로고

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(1) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาลเป็นอดีตภาค ๒๕๖๐ พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคติเป็นมาฆมาส กุกกุฏสังวัจฉระ จัตวาศก จุลศักราช ๑๓๗๙ สุริยคติเป็น สุรทิน ศุกรวาร โอกาสสมโณทก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า นายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลว่า นับแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมา การปกครองประเทศได้ดำรงคงมั่นต่อเนื่องใน ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขซึ่งเป็นหลักการสำคัญของ ชาติ แก้ไขเพิ่มเติม และปรากฏใช้รัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรในทางการปกครองมา หลายครั้ง แต่การบริหารจัดการได้เสื่อมถอยหรือบกพร่องเป็นระยะด้วยเหตุปัจจัย ปัญหาต่าง ๆ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งภายในและ ภายนอกประเทศ การใช้อำนาจรัฐที่ไม่ชอบหรือไม่เป็นธรรม การขาดความรับผิดชอบ หรือขาดธรรมาภิบาลในองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งการไม่ยึดมั่นในหลักการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง อันเป็นเหตุให้เกิด ความขัดแย้งและความแตกแยกในหมู่ประชาชนอย่างรุนแรงและกว้างขวาง จนเป็น ปฏิปักษ์ต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและบั่นทอนความมั่นคงของประเทศ และรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับที่ผ่านมาอาจยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่าง แท้จริงการดำเนินเมืองและกลไกตามรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจสร้างหลักประกันที่มั่นคง ในระบอบประชาธิปไตยโดยยังไม่อาจปกป้องกลไกที่มีอยู่ให้พ้นจากอิทธิพลของบุคคล และคณะบุคคลที่มีรูปแบบและวิธีการแตกต่างไปจากเดิมได้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๕๕๘ จึงได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการร่าง รัฐธรรมนูญขึ้นทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญที่ใช้เป็นหลักในการปกครอง และเป็นแนวทางในการ จัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่อไป โดยได้กำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ และสร้างความสามัคคีแห่งการปกครองประเทศขึ้นใหม่ด้วยการจัดโครงสร้างองค์กรและ อำนาจขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ผลสัมฤทธิ์แห่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นปัจจัย บ่งชี้ถึงความมุ่งหมายในการให้ความสำคัญต่อองค์กรซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการ อำนาจรัฐสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุจริต เที่ยงธรรม และมีเสถียรภาพ ป้องกันมิให้เกิดวิกฤติของประเทศในลักษณะต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริม สนับสนุน บทบาทและคุณค่าของประชาชนในฐานะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริงในทาง สร้างสรรค์ โดยถือว่าการมีสิทธิและเสรีภาพในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชน แต่การใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย รัฐที่ต่อประชาชนส่วนรวม หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และต้องไม่ละเมิดสิทธิและ เสรีภาพของบุคคลอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และองค์กรต่าง ๆ ของรัฐสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรวจสอบ และต้องดำรงจุดมุ่งหมายของประเทศอันมั่นคง เด็ดขาด เพื่อให้ผู้บริหารที่ มีอำนาจรัฐปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและมีธรรมาภิบาล อันจะเป็นการป้องกัน หรือใช้จ่ายตามอำเภอใจ และการกำหนดมาตรการป้องกันและปรับระบบจัดการ วิกฤติการณ์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนได้กำหนดกลไกอื่น ๆ ตามแนวทางที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ระบุไว้ เพื่อใช้เป็นกรอบในการพัฒนาประเทศตามแนวนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติซึ่งผู้ที่นำบางองค์กรประเทศแต่ละคนจะได้กำหนดนโยบายและวิธีดำเนินการให้เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้มีผลทำให้ในการปฏิบัติประเทศในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญแล้วจะเป็นอย่างร่วมมือร่วมใจกัน รวมตลอดทั้งการลดปัจจัยแห่งความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศมีความสงบสุขมั่นคงซึ่งเป็นฐานของความเจริญก้าวหน้าของประเทศ การอุดมดำเนินการในเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ช่วงไปในทิศทางที่ถูกต้องตามความร่วมมือระหว่างประเทศทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหลายซึ่งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายของสภารัฐบาลจะมีอธิบายตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและระบบการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์และสังคมไทย หลักการดังกล่าวจะช่วยให้การดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล อันจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืนขึ้นตอนจนเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง เลยยั่งยืน ทั้งในทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสมานสามัคคีเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อสร้างสรรค์ให้รัฐธรรมนูญ ประชาชนชาวไทยและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และน้อมนำซึ่งความมุ่งมั่นสุจริตวิสุทธิ์ พิพัฒน์เสรียมงคล อนุกูลคุณผลเกลียวเกียรติยศสง่างามแห่งความประจักษ์ในอารยวัฒน์และมุ่งรัฐสมัย สมดังพระราชปณิธานปรารถนาทุกประการ เทอญ

ตราไว้ ณ วันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในการดำเนินการดังกล่าว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้สำรวจความรับรู้ความเข้าใจในประเทศในหลักการและเหตุผลของบทบัญญัติต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงรัฐธรรมนูญและความหมายโดยผ่านกลไกต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาร่างด้วยการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เมื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้ว ก็เปิดเผยร่างรัฐธรรมนูญและอธิบายถึงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดยมีการจัดทำเอกสารเผยแพร่สาระสำคัญรวมถึงการจัดทำคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดยย่อและโดยละเอียด มีการออกเสียงประชามติเพื่อเป็นการแสดงออกถึงเสียงประชามติของประชาชนโดยตรงและเสียงประชามติโดยอ้อมแบบเสียงจากกลุ่มของผู้มีออกเสียงประชามติที่ยื่นข้อเสนอร่างรัฐธรรมนูญและประเด็นเพิ่มเติมดังกล่าว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญยังดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม และได้ส่งให้คณะรัฐธรรมนูญพิจารณาว่ามีการรอบด้วยผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือไม่ ซึ่งต่อมาคณะรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยและมีความเห็นว่าแก้ไขเพิ่มเติมด้วยความเหมาะสม และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการแก้ไขตามความเห็นดังกล่าว ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๕๖๐ บัญญัติให้การรัฐสภาต้องจัดรับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แล้วเสร็จ นายกรัฐมนตรีจึงนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริเห็นชอบและทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ว่าสมควรพระราชทานพระราชดำริ จึงมีพระราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ขึ้นไว้ ให้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งได้ตราไว้ ณ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ตั้งแต่วันประกาศใช้เป็นต้นไป

หมวด ๑

บททั่วไป

มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม

มาตรา ๔ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน

มาตรา ๕ “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

หมวด ๒

พระมหากษัตริย์

มาตรา ๖ องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้

ผู้ใดจะกล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้

มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

มาตรา ๘ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย

มาตรา ๙ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจอันที่จะสถาปนาและถอดถอนอิสริยยศ ตลอดจนเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเครื่องราชอิสริยศักดิ์

มาตรา 10 พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคนหนึ่งและองคมนตรีอีกไม่เกินสิบแปดคนประกอบเป็นคณะองคมนตรี

คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

มาตรา 11 การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย

ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานองคมนตรีหรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งองคมนตรีอื่นหรือให้องคมนตรีอื่นพ้นจากตำแหน่ง

มาตรา 12 องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ผู้ดำรงตำแหน่งในศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พนักงานรัฐสภา เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือรับราชการหรือรับเงินประจำตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐและต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ

มาตรา 13 ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ ให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

“ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า) องคมนตรีผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ

มาตรา 14 องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเมื่อถึงตาย ลาออก หรือพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

มาตรา 15 การแต่งตั้งและการให้ราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย

การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบราชการในพระองค์

มาตรา 16 ในเมื่อพระมหากษัตริย์ไม่สามารถจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ ให้เป็นไปตามมาตรา 16 วรรคหนึ่ง ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในกรณีที่ไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

มาตรา 17 ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ตามมาตรา 16 วรรคหนึ่ง ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตามลำดับ

องค์มนตรีจึงควรเห็นว่าเป็นความจำเป็นสมควรแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และไม่อาจกราบบังคมทูลให้ทรงแต่งตั้งได้ทันการ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนคนหนึ่ง ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งไว้ก่อนแล้วให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วแจ้งไปยังประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อมีผู้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

มาตรา 17 ในระหว่างที่ไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา 16 ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน

ในกรณีที่ประธานองคมนตรีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ตามมาตรา 16 หรือมาตรา 17 ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน ในระหว่างที่ประธานองคมนตรีขึ้นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือในระหว่างที่ประธานองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคสอง ประธานองคมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานองคมนตรีต่อไป ในกรณีเช่นนี้ ให้คณะองคมนตรีเลือกองคมนตรีคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานองคมนตรีเป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน

มาตรา 18 ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา 16 หรือมาตรา 17 ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภาด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้

“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (พระปรมาภิไธย) และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์และความผาสุกของประชาชนทั้งปวง และจะรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิญาณตนมาแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนอีก

มาตรา 20 ภายใต้บังคับมาตรา 20 การสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467

การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ เมื่อมีพระราชดำริประการใด ให้คณะองคมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมตามพระราชอัธยาศัย เมื่อทรงเห็นชอบแล้ว ให้ประธานองคมนตรีนำร่างกฎมณเฑียรบาลนั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แล้วให้ประธานองคมนตรีประทับตราองคมนตรีและประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ใช้บังคับได้

มาตรา 21 ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ ให้คณะองคมนตรีพิจารณาวินิจฉัยและมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พระมหากษัตริย์ไม่สามารถจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ แล้วให้ประธานองคมนตรีนำความกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์

ในกรณีที่พระบัลลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้มีราชสมบัติต้องตามมาตรา ๒๐ ต่อคณะรัฐสภาเพื่อแต่งตั้งองค์รัชทายาทเพื่อราชาภิเษกให้ความเห็นชอบ ในการนี้จะแสดงพระนามพระราชธิดาได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้มีราชสมบัติต้องตามความในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไปแล้วให้ประธานรัฐสภาแจ้งการดำเนินการให้ประชาชนทราบ

มาตรา ๒๒ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้มีราชสมบัติต้องตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีที่พระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคตไปพ้นจากแผ่นดิน แต่ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงในระหว่างที่พระมหากษัตริย์ยังมิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามมาตรา ๑๗ หรือระหว่างเวลาที่พระบรมวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น ๆ แล้วแต่กรณี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไป ทั้งนี้ จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้มีราชสมบัติต้องตามพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์

ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งไว้แล้วเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปตามวรรคหนึ่ง ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน ในกรณีที่ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวตามวรรคสอง ให้ทำมาตรา ๑๘ วรรคสาม มาใช้บังคับ

มาตรา ๒๓ ในกรณีที่คณะองคมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๒๖ วรรคสอง และอยู่ในระหว่างที่ไม่มีประธานองคมนตรี หรือมิได้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะองคมนตรีที่เหลืออยู่เลือกองคมนตรีคนหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ประธานองคมนตรี หรือเป็นหัวหน้าคณะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๒ วรรคสอง แล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๔ การออกกฎหมายต้องตราพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย พระมหากษัตริย์อาจโอนอำนาจให้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาหรือทรงตรากฎนิคมหรือข้อบังคับแทนพระองค์ได้

ในระหว่างที่ยังมิได้ออกคำสั่งโอนอำนาจตามวรรคหนึ่ง จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปฏิบัติหน้าที่แทนไปพลางก่อนได้

หมวด ๓

สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย

มาตรา ๒๕ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายนี้แล้ว การใดที่ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะกระทำได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นไม่เป็นการกระทบต่อหรือเป็น

อันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญให้ไว้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายขึ้นบังคับ บุคคลหรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นได้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ใช้สิทธิเพื่อการดังกล่าวนั้นบังคับต่ออุทธรณ์ศาลได้ บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของตนจากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา 26 การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เช่นนั้นไว้ กฎหมายต้องกล่าวถึงได้ต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินกว่าที่จำเป็นต่อการรักษาประโยชน์สาธารณะของบุคคลอื่น รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย

กฎหมายมาตราอื่นใด ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่พุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีหรือพื้นที่แห่งบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ

มาตรา 27 บุคคลทุกคนไม่ว่าจะเป็นในฐานะบุคคลหรือในฐานะกลุ่มบุคคล ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้

มาตรา 28 การที่รัฐกำหนดเพียงข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขการใช้สิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าวไว้แต่เฉพาะในกรณีที่จำเป็นหรือที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เท่านั้น

สิทธิหรือเสรีภาพใดที่ได้แต่เฉพาะตัวบุคคล หรือองค์กรของรัฐหรือเอกชนที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ผู้อนุญาต ผู้กำกับ หรือผู้มีโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อความเสมอภาค บุคคลผู้เป็นเจ้าของกิจการ ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้อง และพนักงานผู้มีอำนาจขององค์กรของรัฐหรือเอกชนที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติในเรื่องสิทธิ เสรีภาพนั้น ไม่พ้นที่จะจำกัดไว้ในกฎหมายเฉพาะกิจที่มีความจำเป็นและสมควรแก่กรณี เช่น วัน หรือช่วงเวลา

มาตรา 29 บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของตน

การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ การจับกุมคุมขังบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตหรือร่างกายของบุคคลที่มิได้ เป็นไปตามเหตุอันสมควรตามบัญญัติแห่งกฎหมาย ทารุณกรรม ทุบตีทรมาน หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้

มาตรา 29 บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิดมิได้

ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี ในคดีอาญา จะบังคับให้บุคคลให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองมิได้ คำขอประทานผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาซึ่งได้รับการพิจารณาและจะเรียกหลักประกันจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด การไม่ให้ประกันต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา 30 การเกณฑ์แรงงานจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อใช้ในเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศให้มีอัยการศึก หรือในกรณีอันจำเป็นยิ่งที่จะต้องใช้แรงงานเพื่อการพัฒนาประเทศ

มาตรา 31 บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

มาตรา 32 บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว

การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ

มาตรา 33 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน

การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครอง หรือการค้นเคหสถานหรือที่รโหฐานของบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

มาตรา 34 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น ทั้งนี้ ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติ

``` จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน เสรีภาพทางวิชาการย่อมได้รับความคุ้มครอง แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของพลเมืองตามไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และต้องเคารพและไม่ปิดกั้นความคิดเห็นต่างของบุคคลอื่น

มาตรา ๓๕ บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ

การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อคุ้มครองเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ การให้ข่าวสารหรือข้อความใด ๆ ที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนจัดทำขึ้นไปให้หัวหน้าที่สั่งการก่อนนำไปเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์หรือสื่อใด ๆ จะกระทำได้ เว้นแต่จะกระทำในระหว่างที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย การให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นเพื่ออุดหนุนกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นของเอกชนจะกระทำมิได้ เว้นแต่เป็นการให้ตามจารีตประเพณีหรือเพื่อการโฆษณา หรือเพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ข่าวสารหรือความรู้ หรือเพื่อการศึกษา ทั้งนี้ ต้องเปิดเผยรายละเอียดให้สาธารณชนทราบ และต้องไม่กระทบต่อเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ เจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมมีเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ แต่ให้คำนึงถึงวัตถุประสงค์และภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัดอยู่ด้วย

มาตรา ๓๖ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารถึงกันไม่ว่าในทางใด ๆ

การตรวจ การดัก หรือการเปิดเผยข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกัน รวมทั้งการกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกันจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย

มาตรา ๓๗ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทรัพย์สินและการสืบมรดก

ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเสรีภาพนี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อการอันเป็นสาธารณประโยชน์ หรือการได้มาซึ่งทรัพย์กรรมธรรมดา เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น และต้องจัดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นธรรมแก่เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้มีสิทธิได้รับความเสียหายจากการเวนคืนทรัพย์สินนั้นด้วย การใช้ทรัพย์สินของเอกชนเพื่อการอันเป็นสาธารณประโยชน์ต้องได้รับการชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้มีสิทธิได้รับความเสียหายจากการใช้ทรัพย์สินนั้นด้วย ``` การบังคับคืนอสังหาริมทรัพย์ ให้กระทำเพียงเท่าที่จำเป็นต่อไปนี้คือใช้เพื่อการที่บัญญัติไว้ในวรรคสาม เว้นแต่เป็นการบังคับเพื่อขอคืนอสังหาริมทรัพย์ที่แบ่งแยกไปแล้วแต่ทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกบังคับคืนตามที่กฎหมายบัญญัติ กฎหมายว่าด้วยการบังคับคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องระบุวัตถุประสงค์แห่งการบังคับคืนและกำหนดระยะเวลาการนำไปใช้อสังหาริมทรัพย์ที่คืนแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนดหรืออสังหาริมทรัพย์ที่คืนแล้วจากการใช้ประโยชน์ และเจ้าของเดิมหรือทายาทประสงค์จะได้คืน ให้คืนแก่เจ้าของเดิมหรือทายาท ระยะเวลาการขอคืนและการคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกบังคับคืนตามที่มีได้ใช้ประโยชน์ หรือที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ตามเหตุของเดิมหรือทายาท และการเรียกคืนค่าทดแทนที่ชำระไป ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ การตรากฎหมายบังคับคืนอสังหาริมทรัพย์โดยระบุเจาะจงของอสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกบังคับคืนตามความจำเป็น มิให้ถือว่าเป็นการขัดต่อมาตรา 26 วรรคสอง

มาตรา 37 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและการเลือกถิ่นที่อยู่

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการสาธารณสุข หรือเพื่อรักษาสถานภาพของครอบครัว หรือเพื่อสวัสดิภาพของผู้เยาว์

มาตรา 38 การถอนสัญชาติของบุคคลสัญชาติไทยโดยการเกิด จะกระทำมิได้ เว้นแต่ผู้นั้นได้สัญชาติอื่นโดยสมัครใจ

การถอนสัญชาติของบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยโดยการเกิด จะกระทำมิได้

มาตรา 40 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงหรือเศรษฐกิจของประเทศ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม การคุ้มครองผู้บริโภค การจัดเก็บภาษีอากร การรักษาศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการจัดระเบียบการประกอบอาชีพเฉพาะที่จำเป็น หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น การตรากฎหมายเพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพตามวรรคสอง ต้องไม่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติไม่ว่าด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องการศึกษา

มาตรา 68 บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ

(ก)

ได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ

(ข)

เสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐและได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว (c) ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ

มาตรา ๓๒ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหกรณ์ สมาคม องค์กร ชุมชน หรือหมู่คณะอื่น

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้ ให้แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อการป้องกันหรือขจัดการกีดกันหรือการผูกขาด

มาตรา ๓๓ บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ

(๑)

อนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และวรรณกรรมอันดีงามเพื่อของท้องถิ่นและของชาติ

(๒)

จัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลยั่งยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ

(๓)

เข้าถึงพื้นที่อันเหมาะสมต่อหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการโดยน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงชุมชน หรือองค์กรเอกชนในการจัดการโดยอาศัยความเห็นชอบอย่างสูงสุดของประชาชนหรือชุมชนและได้รับผลกระทบจากกิจการดังกล่าว ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาดำเนินการโดยให้ประชาชนหรือชุมชนซึ่งมีส่วนร่วมในการพิจารณาดำเนินการที่กฎหมายบัญญัติ

(๔)

ดำเนินหรือร่วมผลักดันการชุมชน สิทธิของบุคคลและชุมชนตามวรรคหนึ่ง หมายความรวมถึงสิทธิที่จะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐในการดำเนินการดังกล่าวด้วย

มาตรา ๓๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้ ให้แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น

มาตรา ๓๕ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมตัวตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามกฎหมายบัญญัติ

กฎหมายมาตรา ๓๕ วรรคหนึ่งต้องมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารพรรคการเมือง ซึ่งต้องกำหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจที่สำคัญของพรรคการเมือง และกำหนดกระบวนการให้สมาชิกดำเนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงำจากบุคคลภายนอก ทั้งนี้ เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองได้เพียงพรรคเดียว และการเลือกตั้งผู้บริหารพรรคการเมืองต้องเป็นการเลือกตั้งโดยสมาชิก

มาตรา ๔๙ สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครอง

บุคคลย่อมมีสิทธิโดยรวมทั้งสิทธิขององค์กรของผู้บริโภคเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค องค์กรของผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิจัดทำข้อเสนอเพื่อเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิดพลังในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้ง อำนาจในการดำเนินการแทนขององค์กรผู้บริโภค และการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๕๐ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ

บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

มาตรา ๕๑ สิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตรย่อมได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือตามที่กฎหมายบัญญัติ

บุคคลซึ่งต้องอุปการะเลี้ยงดูเด็กและไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้เพราะการย้ายถิ่น และบุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือตามสมควรจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๕๒ บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อสลายหรือบ่อนทำลายระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้

ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ ในกรณีที่อัยการสูงสุดสั่งมิให้รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในกำหนดหนึ่งแต่วันที่ได้รับคำร้องของ ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ การดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการตามวรรคหนึ่ง

หมวด ๔

หน้าที่ของปวงชนชาวไทย

มาตรา ๕๓ บุคคลมีหน้าที่ ต้องปฏิบัติ

(๑)

พิทักษ์ทรัพยากรใช้ร่วมกัน ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(๒)

ป้องกันประเทศ รักษาความมั่นคงปลอดภัย ผลประโยชน์ของชาติ และสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

(๓)

ปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง ```

(๔)

เข้ารับการศึกษาอบรมในการศึกษาอาคับบังคับ

(๕)

รับราชการทหารตามที่กฎหมายบัญญัติ

(๖)

เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม

(๗)

ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติโดยอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ

(๘)

ร่วมมือช่วยเหลือสนับสนุนการอนุรักษ์และผู้คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม

(๙)

เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ

(๑๐)

ไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ

หมวด ๕

หน้าที่ของรัฐ

มาตรา ๕๐ การใช้จ่ายธรรมบัญญัติต้องเป็นหน้าที่ของรัฐตามหลักนี้ ถ้าการนั้นเป็นการเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง ส่งเสริมประชาชน และชุมชนซึ่งติดตามและเร่งรัดให้รัฐดำเนินการ รวมตลอดทั้งหรือร่วมหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อมิให้ประชาชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์ในลักษณะเดียวกันและวิธีการที่ กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๕๒ รัฐต้องอำนวยความสะดวกให้ส่งเสริมบ้านพรมชาติอย่างยั่งยืน เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและผล ประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์ แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ

กำลังทหารให้ใช้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้วย

มาตรา ๕๓ รัฐต้องดูแลให้การปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่าง เคร่งครัด

มาตรา ๕๔ รัฐต้องจัดดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อย กว่าสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย

รัฐต้องจัดดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนวัยเรียนเพื่อให้มีพัฒนาการ ที่เหมาะสมตามวัยโดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กนักเรียนทุกคนได้เรียนรู้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง และเหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมให้มีความรู้และใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่นตาม ความถนัดของตนอย่างมีประสิทธิภาพ และความรู้ในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยรัฐที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดให้มีการพัฒนาครูและยกระดับมาตรฐานการศึกษาทุกระดับให้สอดคล้องกับมาตรฐาน การศึกษาแห่งชาติ เพื่อสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ``` บทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ และการดำเนินการและตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติคือ การศึกษาทั้งทางท้องถิ่นจึงมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชื่อมโยงได้ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ในการดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตามศักยภาพ หรือให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามวาระคราว รัฐต้องดำเนินการให้ชุมชนและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาตามความถนัดของตน ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาและเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทางการศึกษาที่รัฐจัดตั้งขึ้นหรือบริจาคทรัพย์สินแก่กองทุนให้อยู่ในระบบการคอยช่วยเหลืออย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การศึกษาของผู้ปฏิบัติงานตามหลักดังกล่าวอาจช่วยเหลือด้านค่าเทอมให้กับการบริหารจัดการกองทุนเป็นอิสระและกำหนดหลักใช้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์สูงสุดของรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรต่าง ๆ

มาตรา 55 รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาผู้ปฏิบัติงานด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บริการสาธารณสุขต้องมีคุณภาพ ต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุม และป้องกันโรคที่เหมาะสม และการฟื้นฟูสุขภาพของประชาชน รัฐต้องพัฒนาการบริหารสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มาตรา 56 รัฐต้องจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โครงการหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ รัฐอาจกระทำด้วยประกาศไว้ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือให้รัฐเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนหรือสละสิทธิ์ได้ การจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง รัฐต้องดูแลให้มีการเรียกเก็บค่าบริการเป็นธรรมแก่ประชาชนหรือผู้ใช้บริการตามที่เหมาะสม การนำสาธารณูปโภคของรัฐไปให้เอกชนดำเนินการต้องทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ รัฐต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนเหมาะสมและต้องไม่กระทบต่อการประกอบกิจการที่รัฐและเอกชนจะได้รับและกลับการที่จะเรียกเก็บจากประชาชนรวมกัน

มาตรา 57 รัฐต้อง

(1) อนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและของชาติ และจัดให้พื้นที่ สาระอนุสาหรับกิจการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ใช้สิทธิและมีส่วนร่วมในการดำเนินการดังต่อไปนี้ (8) อนุรักษ์ คุ้มครอง บำรุงรักษา ฟื้นฟู บริหารจัดการ และใช้หรือจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมดำเนินการและได้รับประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวด้วยตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา 56 การดำเนินการของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดำเนินการให้การศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อให้สามารถประกอบการพิจารณาดำเนินการหรืออนุญาตตามที่กฎหมายบัญญัติ

บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการดำเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหนึ่ง ในการดำเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหนึ่ง รัฐต้องจัดให้มีให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ชุมชน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดให้น้อยที่สุด และต้องดำเนินการเยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชนหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการหรืออนุญาตดังกล่าวด้วย

มาตรา 59 รัฐต้องจัดให้มีระบบข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐที่มีใช้อยู่แล้วหรือที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐจะเป็นความลับของทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องจัดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารดังกล่าวได้โดยสะดวก

มาตรา 60 รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและสิทธิในการเข้าใช้ของโครงการที่มีผลเป็นสมบัติของชาติ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน

การจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากสมบัติของชาติที่สมควรแก่กรณี ไม่ว่าจะใช้เพื่อส่งวิทยุการขยายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม หรือเพื่อประโยชน์อื่น ต้องดำเนินไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะ รวมตลอดทั้งการให้ประชาชนในแต่ละท้องถิ่นได้ใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รัฐต้องจัดให้มีองค์กรของรัฐที่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรับผิดชอบในการจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม ให้เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่นในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรมด้วย การจัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคสอง ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนก่อน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา 26 รัฐต้องจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคในลักษณะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการรู้ข้อมูลที่เป็นจริง ด้านความปลอดภัย ด้านความเป็นธรรมในการทำสัญญา หรือด้านอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

มาตรา 27 รัฐต้องจัดให้มีกลไกการเงินการคลังอย่างเหมาะสมเพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพและมั่นคงอย่างยั่งยืนตามกฎหมายว่าด้วยการเงินการคลังของรัฐ และต้องระมัดระวังมิให้เกิดความไม่สมดุล

กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐต้องมีข้อบังคับเกี่ยวกับการควบคุมการดำเนินการทางการคลังและงบประมาณของรัฐ การกำหนดวินัยทางการคลังด้านรายได้และรายจ่ายทั้งในงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ การบริหารทรัพย์สินของรัฐและเงินคงคลัง และการบริหารหนี้สาธารณะ

มาตรา 28 รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในการรัฐและเอกชน และต้องให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรวมรวมหลักฐานรู้ ต่อสู้กัน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ

หมวด 6

แนวนโยบายแห่งรัฐ

มาตรา 29 บทบัญญัติในหมวดนี้เป็นแนวทางให้รัฐจัดทำแผนการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน

มาตรา 30 รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันที่จะนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว

การจัดทำ การกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ และสาระที่พึงมีในยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งบัญญัติให้เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง ยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

มาตรา 31 รัฐพึงดูแลให้มีและผู้คุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือสืบมา และรัฐพึงส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลัก

ธรรมของพระพุทธศาสนาเอาวางเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

มาตรา ๖๘ รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร

รัฐพึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยปลอดครัว ปราศจากการแทรกแซงหรือคุกคามใด ๆ รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายจากกองทุนและแหล่งสมบัติอื่น ๆ หรือผู้ต้องโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดทนายความให้

มาตรา ๖๙ รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม เพื่อความเข้มแข็งของสังคมและเสริมสร้างความสามารถของคนในชาติ

มาตรา ๗๐ รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวิถีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของตนอย่างสันติสุขโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการเพื่อความสมานฉันท์ของคนในชาติ ธรรมนูญต้องป้องกันหรือแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างสันติวิธี หรือจัดให้มีมาตรการอื่นใดตามที่จำเป็น

มาตรา ๗๑ รัฐพึงส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาและนันทนาการของประชาชนทุกเพศทุกวัยให้มีความเป็นเลิศในระดับชาติและนานาชาติ รวมตลอดถึงการส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในมิติสุขภาพในม

(๓)

จัดให้มีมาตรการการควบคุมการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทำกินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

(๔)

จัดให้มีทรัพยากรน้ำที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน รวมทั้งการประกอบอาชีพการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการอื่น

(๕)

ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รวมทั้งพัฒนาและสนับสนุนให้มีการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนที่สอดคล้องกับความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน

มาตรา ๗๖ รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ำและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทำกินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด

มาตรา ๗๗ รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทำงานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพและวัยและให้มีงานทำ และพึงคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพอนามัยที่ดีในการทำงาน ได้รับรายได้ สวัสดิการ การประกันสังคม สิทธิประโยชน์อื่นอันพึงมีพึงได้และสวัสดิการที่จำเป็น และพึงจัดให้มีหรือส่งเสริมการรวมตัวเพื่อการดำรงชีพที่มั่นคงยั่งยืน

รัฐพึงจัดให้มีระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการ

มาตรา ๗๘ รัฐพึงจัดให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความสมดุล มั่นคง และยั่งยืน โดยส่งเสริมให้มีการนำทรัพยากรธรรมชาติไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้มีการพัฒนาสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศ

รัฐต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม การจัดให้มีสาธารณูปโภคหรือการจัดทำบริการสาธารณะ รัฐพึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และกิจการวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ในการพัฒนาประเทศ รัฐพึงคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจและความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน ประชาคม

มาตรา ๗๙ รัฐพึงจัดระบบบริการสาธารณสุขให้ประชาชนได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและได้มาตรฐาน โดยส่งเสริมให้เอกชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดให้มีบริการดังกล่าวด้วย โดยหน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้บริการเฉพาะทางหรือบริการที่มีค่าใช้จ่ายสูง และมีหลักเกณฑ์ตัดสินที่เป็นธรรมในการจัดบริการดังกล่าวให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ

รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม โดยกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อำนาจ หรือกระทำการโดยมิชอบที่เป็นการทำลายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระบวนการแต่งตั้งหรือการพิจารณาความดีความชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าว

มาตรา ๗๗ รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่จำเป็นให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและผลการวิเคราะห์ดังกล่าวต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน เมื่อมีกฎหมายแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกฎหมายดังกล่าวในทุกด้าน เพื่อพัฒนากฎหมายให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อไม่ให้กฎหมายเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่จำเป็น และพึงกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง

มาตรา ๗๘ รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ การจัดทำบริการสาธารณะในรูปแบบอื่น ๆ และระดับทั้งปวง การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมตลอดถึงการมีส่วนในทางการเมือง และการอื่นใดในกระบวนการที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชนหรือชุมชน

หมวด ๗

รัฐสภา

ส่วนที่ ๑

บททั่วไป

มาตรา ๗๙ รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

รัฐสภาจะประชุมร่วมกันหรือแยกกัน ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ บุคคลจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในขณะเดียวกันมิได้

มาตรา 60 ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา

ในกรณีที่ไม่มีประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้ ให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภาแทน ในระหว่างที่ประธานวุฒิสภาต้องทำหน้าที่ประธานรัฐสภาตามวรรคสอง แต่ไม่มีประธานวุฒิสภาและในกรณีที่ตำแหน่งประธานไม่มีสมาชิกวุฒิสภา ให้รองประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ถ้าไม่มีรองประธานวุฒิสภา ให้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอาวุโสสูงที่สุดในขณะนั้นทำหน้าที่ประธานรัฐสภาและให้ดำเนินการเลือกประธานวุฒิสภาโดยเร็ว ประธานรัฐสภามีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และดำเนินกิจการของรัฐสภา ในกรณีประชุมร่วมกันให้เป็นไปตามข้อบังคับ ประธานรัฐสภาและผู้ทำหน้าที่แทนประธานรัฐสภาต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ รองประธานรัฐสภามีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และตามที่ประธานรัฐสภามอบหมาย

มาตรา 61 ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

ภายใต้บังคับมาตรา 145 ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้ส่งนายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

มาตรา 62 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกของสภาตนคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) หรือมาตรา 111 (1) (2) (3) (4) (5) (6) หรือ (7) แล้วแต่กรณี และให้ประธานแห่งสภานั้นส่งคำร้องดังกล่าว ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยโดยไม่ชักช้าและให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด

เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างที่มีการพิจารณาก็ได้ ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคำวินิจฉัยภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่มีเหตุให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง มีให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งพ้นจากปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสองเป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่ามีสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาใดหมดสิ้นสุดลงตามมาตราหนึ่ง ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามวรรคหนึ่งได้ด้วย

ส่วนที่ ๒

สภาผู้แทนราษฎร

มาตรา ๑๔๗ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวนห้าร้อยคน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนสามร้อยคน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่งร้อยคน

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ โดยให้ใช้บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสองส่วนเป็น ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใด และยังไม่มีการเลือกตั้งหรือประกาศชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้สมาชิกผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่อาจจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อในจำนวนหนึ่งร้อยคนได้ครบ ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่

มาตรา ๑๔๘ ในการเลือกตั้งครั้งแรกให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนสามร้อยคน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวนสองร้อยคน โดยให้มีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อในคราวเดียวกัน และให้ถือว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในคราวเดียวกันด้วย ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากับยอดสมาชิกผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่

มาตรา ๑๔๙ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เพียงหนึ่งคนและผู้สมัครเลือกตั้งแต่ละเขตเลือกตั้งต้องเป็นคนเดียวกัน โดยจะลงคะแนนเลือกตั้งรับเลือกตั้งได้ หรือจะลงคะแนนไม่เลือกตั้งโดยเลยก็ได้

ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละเขตส่งคะแนนสูงสุดและคะแนนสูงสุดถัดลงมาเพียงหนึ่งเสียงให้เลือกไปเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสมัครรับเลือกตั้ง การออกเสียงลงคะแนน การนับคะแนน การรวมคะแนน การประกาศผลการเลือกตั้ง และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกฎหมายดังกล่าวอาจกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องยื่นหลักฐานแสดงการเสียภาษีเงินได้ประจำปีภาษีก่อนการสมัครรับเลือกตั้งด้วยก็ได้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มีเหตุอันควรเชื่อว่าผลการเลือกตั้งนั้นเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบของเขตเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องตรวจสอบเบื้องต้นและประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่าสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง ทั้งนี้ การประกาศผลดังกล่าวไม่เป็นการตัดหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะดำเนินการสืบสวน ไต่สวน หรือวินิจฉัยกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าการเลือกตั้งหรือการประกาศผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมไม่ว่าจะได้ประกาศผลการเลือกตั้งแล้วหรือไม่ก็ตาม

มาตรา ๖๗ (๓) การกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีและการแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้กระทำดังนี้

(๑)

ให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง แล้วคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสี่ร้อยคน จำนวนที่ได้รับให้ออกเป็นจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน

(๒)

จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคนตาม (๑) ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้นได้หนึ่งคน โดยให้นอกจากจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง

(๓)

จังหวัดใดมีราษฎรเกินจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน

(๔)

เมื่อได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดตาม (๒) และ (๓) แล้ว ถ้ายังขาดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนครบสี่ร้อยคน ให้คำนวณการจัดสรรตาม (๓) หากที่สุด ให้พิจารณาเพิ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดที่มีเศษที่เหลือจากการคำนวณนั้นใกล้กับรองลงมามากที่สุดจนครบจำนวนสี่ร้อยคน

(๕)

จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินหนึ่งคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมี โดยต้องแบ่งพื้นที่ของแต่ละเขตเลือกตั้งติดต่อกันและต้องจัดให้จำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน

มาตรา ๖๘ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องเป็นผู้มีพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกส่งรับสมัครเลือกตั้ง และต้องสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมืองนั้น

เมื่อมีการสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะลาออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกก่อนสมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งถอนการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งมิได้ และต้องถือว่าพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งยอมรับการสมัครรับเลือกตั้งนั้น

มาตรา ๖๙ ในการเลือกตั้งทั่วไป ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งรับรองรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่าอาจเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ในบัญชีรายชื่อที่ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ และให้ความในมาตรา ๔๗ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม พรรคการเมืองจะไม่เสนอรายชื่อบุคคลตามวรรคหนึ่งก็ได้

มาตรา ๔๙ การเสนอชื่อบุคคลตามมาตรา ๔๘ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

(๑)

ต้องมีหนังสือยินยอมของบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อ โดยมีรายละเอียดตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

(๒)

ผู้ได้รับการเสนอชื่อดังกล่าวเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖๐ และไม่เคยทำหนังสือยินยอมตาม (๑) ให้พรรคการเมืองอื่นในการเลือกตั้งคราวนั้น การเสนอชื่อบุคคลโดยที่ไม่ได้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อบุคคลนั้น

มาตรา ๕๐ พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้สิทธิ์ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้

การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ให้พรรคการเมืองจัดทำบัญชีรายชื่อพระคณะหนึ่งซึ่งมีชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมืองดังกล่าวนี้ และไม่จำกัดจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจะเสนอได้ โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อดังกล่าว การจัดทำบัญชีรายชื่อตามวรรคสอง ต้องให้สมาชิกรของพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย โดยต้องจัดทำบัญชีผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง

มาตรา ๕๑ การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง ให้คำนวณที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งหมดและคำนวณเป็นจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองนั้นจะได้รับเลือกตั้งโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมทั้งหมด โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตั้งตามลำดับหมายเลขที่พรรคการเมืองนั้นได้เรียงลำดับไว้

หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

มาตรา ๕๒ ในกรณีที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้พรรคการเมืองที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้รับเลือกตั้งในลำดับถัดไปจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อใหม่ ให้ยึดลำดับบัญชีรายชื่อเดิมในการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นหลักในการเลือกตั้งครั้งใหม่

มาตรา ๗๗ ในการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ในบางเขตก่อนการประกาศผลการเลือกตั้ง หรือการเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ หรือยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งครบทุกเขตเลือกตั้งไม่ว่าด้วยเหตุใด การคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคการเมืองพึงมี และจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองพึงได้รับเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ในกรณีที่ผลการคำนวณตามวรรคหนึ่งทำให้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดลดลง ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นในลำดับท้ายยกเว้นจากตำแหน่ง

มาตรา ๗๘ ภายในหนึ่งปีหลังจากวันเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใหม่ เพราะเหตุที่การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นใช้ไม่ได้โดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ความในมาตรา ๗๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่างไม่ว่าด้วยเหตุใด ภายหลังพ้นหนึ่งปีนับแต่วันเลือกตั้งทั่วไป ให้ผลกระทบกับการคำนวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคการเมืองพึงมีตามมาตรา ๗๗

มาตรา ๗๙ บุคคลผู้มีคุณสมบัติต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

(ก)

มีสัญชาติไทย แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

(ข)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีในวันเลือกตั้ง

(ค)

มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งอยู่นอกเขตเลือกตั้งที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งนั้นมาแล้วยังไม่ครบหนึ่งร้อยแปดสิบวันถึงวันเลือกตั้ง อาจออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งที่ตนมีชื่ออยู่ตามความจำเป็นหรือความสะดวกและปลอดภัยของตน เช่น ณ สถานที่ และตามวิธีการ เงื่อนไข และขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจไม่ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยมีเหตุอันสมควรตามระยะเวลาที่บัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากถูกจำกัดสิทธิบางประการตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว

มาตรา ๘๐ บุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

(ก)

เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช

(ข)

อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ (c) ต้องถูกขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (d) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

มาตรา ๗๗ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(๑)

มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(๒)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์ถึงวันเลือกตั้ง

(๓)

เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเพียง พรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ใน กรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลาดังกล่าวให้น้อยกว่าสามสิบวัน

(๔)

ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีถิ่นฐานอยู่ในเขตเลือกตั้ง อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย

(ก)

มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่ส่งสมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็น เวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง

(ข)

เป็นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดที่ส่งสมัครรับเลือกตั้ง

(ค)

เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่ส่งสมัครรับเลือกตั้งเป็น เวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าหนึ่งปีการศึกษา

(ง)

เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ วิสาหกิจในจังหวัดที่ส่งสมัครรับเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ห้าปี

มาตรา ๗๘ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(๑)

ติดยาเสพติดให้โทษ

(๒)

เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

(๓)

เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ

(๔)

เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา ๗๓ (๒) (๓) หรือ (๔)

(๕)

อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

(๖)

ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล

(๗)

เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๔)

เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

(๕)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๖)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๗)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๘)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงยี่สิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๙)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงยี่สิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๐)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสามสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๑)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสามสิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๒)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสี่สิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๓)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสี่สิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๔)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๕)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าสิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๖)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหกสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๗)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหกสิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๘)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงเจ็ดสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๑๙)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงเจ็ดสิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๐)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงแปดสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๑)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงแปดสิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๒)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงเก้าสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๓)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงเก้าสิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๔)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๕)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๖)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๗)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๘)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒๙)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบห้าปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๓๐)

เคยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและได้พ้นโทษมายังไม่ถึงหนึ่งร้อยสามสิบปีก่อนวันเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๒)

ตาย

(๓)

ลาออก

(๔)

พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๗๓

(๕)

ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๗๕/๑

(๖)

มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๗๕/๒

(๗)

กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๔๘ หรือมาตรา ๑๔๙

(๘)

ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก

(๙)

พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกตามมติของพรรคการเมืองนั้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งสังกัดพรรคการเมืองนั้น ในกรณีนี้ ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นภายในกำหนดสิบวันนับตั้งแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติ ให้ถือว่าผู้ที่สูญเสียสมาชิกภาพนั้นเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นตั้งแต่วันดังกล่าว

(๑๐)

ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง แต่ในกรณีที่มีการขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเพราะคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่สมาชิกสังกัดอยู่ในขณะที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นมิได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งยุบพรรคการเมือง ให้ถือว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ครบกำหนดหกสิบวันดังกล่าว

(๑๑)

พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๐๔ หรือมาตรา ๒๙๕ วรรคสาม

(๑๒)

ขาดประชุมเกินจำนวนหนึ่งในสามของจำนวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภาผู้แทนราษฎร

(๑๓)

ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการกระทำความผิดในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

มาตรา ๙๖ เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ภายในสี่สิบห้าวัน และให้การเลือกตั้งนั้นแล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร เว้นแต่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่ามีเหตุจำเป็นที่มิอาจดำเนินการให้เป็นวันเดียวกันได้

มาตรา ๙๗ พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ภายในกำหนดวันนับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาลงมตรคงหนึ่งใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่ช้ากว่าสี่สิบวันแต่ไม่เกินสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ วันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

มาตรา ๑๐๘ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งภายในกำหนดวันตามคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดตามมาตรา ๑๐๖ หรือมาตรา ๑๐๗ คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้ แต่ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เหตุอันมิอาจหลีกเลี่ยงดังกล่าวสิ้นสุด และต้องประกาศวันเลือกตั้งใหม่ในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๑๐๙ เมื่อมีตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงเพราะเหตุอื่นใด นอกจากถึงคราวออกจากตำแหน่งตามวาระ หรือเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้

(๑)

ในกรณีที่เป็นตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ว่างจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีขึ้นภายในสี่สิบห้าวัน และให้ความในมาตรา ๑๐๖ และ ๑๐๗ ใช้บังคับโดยอนุโลม

(๒)

ในกรณีที่เป็นตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น โดยเรียงลำดับถัดจากผู้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อในคราวเลือกตั้งทั่วไปครั้งสุดท้าย และให้บุคคลดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง แต่ถ้าไม่มีชื่อบุคคลในบัญชีรายชื่อดังกล่าวแล้ว ให้ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อนั้นว่างลง สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้แทนพรรคการเมืองที่พ้นจากตำแหน่งตาม (๑) ให้เริ่มนับแต่วันเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ส่วนสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้แทนพรรคการเมืองที่พ้นจากตำแหน่งตาม (๒) ให้เริ่มนับแต่วันที่มีประกาศรายชื่อในราชกิจจานุเบกษา และให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้แทนพรรคการเมืองที่พ้นจากตำแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากับอายุของสภาผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่ การดำรงตำแหน่งต่อคนเดิมของพรรคการเมืองที่พรรคการเมืองส่งผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อมีสิทธิเสนอชื่อเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้เป็นไปตามมาตรา ๙๕

มาตรา ๑๑๐ ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดรับราชการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร หรือมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่รวมกันแล้วมีจำนวนมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร หรือรวมกันแล้วมีจำนวนมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร

ในกรณีที่พรรคการเมืองดังกล่าวข้างต้น มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งผู้ที่นายกฯ เสนอชื่อ ผู้ที่มาดำรงในสถานผู้แทนราษฎรย่อมพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติ ตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อมีเหตุอันต้องตามมาตรา ๑๐๑ (๑) (๒) (๓) หรือ (๗) ในกรณีเช่นนี้ พระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้งผู้ที่มาดำรงในสถานผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง

ส่วนที่ ๓

วุฒิสภา

มาตรา ๑๐๗ วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสองร้อยคน ซึ่งมาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม โดยในการแบ่งกลุ่มต้องมีนโยบายจะทำให้ประชาชนซึ่งสมัครสมัครรับเลือกทุกคนสามารถอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้

การแบ่งกลุ่ม จำนวนกลุ่ม และคุณสมบัติของบุคคลในแต่ละกลุ่ม การสมัครและรับสมัคร หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกกันเอง การได้รับเลือก จำนวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดและกลุ่ม การขึ้นบัญชีรายชื่อ การเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อดำรงตำแหน่งแทน และมาตรการป้องกันมิให้การเลือกกันเองเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และเพื่อประโยชน์ในการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ให้คำนึงถึงให้ผู้สมัครในแต่ละกลุ่มเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกันเอง หรืออาจกำหนดให้การคัดกรองผู้สมัครรับเลือกด้วยวิธีการอื่นโดยให้ผู้สมัครรับเลือกสมัครรับในกระบวนการคัดกรองก็ได้ การดำเนินการการตรวจสอบ ให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนกับกรมการปกครอง จังหวัด และระดับประเทศเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่ามีสัญชาติไทยโดยกำเนิด ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาว่างลงไม่ครบตามวรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะเพราะเหตุตำแหน่งว่างหรือด้วยเหตุอื่นใดอันมิใช่เพราะเหตุถึงคราวออกตามอายุของวุฒิสภา และไม่มีรายชื่อบุคคลที่ระบุไว้ในบัญชีรายชื่อ ให้ผู้สมัครในกลุ่มเดียวกันสมัครรับเลือกตั้งในกลุ่มเดียวกัน หรือมิฉะนั้นให้ผู้สมัครในกลุ่มอื่นสมัครรับเลือกตั้งในกลุ่มเดียวกัน ทั้งหมดตามลำดับของวุฒิสภาตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภาขึ้นแทนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง และให้ผู้ได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระของผู้สมัครที่เหลืออยู่ การเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้กระทำในพระราชอาณาจักรไทย และภายในวันนั้น แต่ห้ามมิให้พระราชบัญญัติที่ใช้บังคับ ให้คำนึงถึงการกระทำการเลือกตั้งที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น และให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่ไม่อาจกระทำการเลือกตั้งได้ ให้ดำเนินการเลือกตั้งใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พ้นเหตุจำเป็นดังกล่าว

มาตรา ๑๐๘ สมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้

ก. คุณสมบัติ

(๑)

มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(ข)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีในวันสมัครรับเลือก

(ค)

มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ หรือทำงานในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่าสิบปีหรือเป็นผู้มีลักษณะอันพึงประสงค์และเงื่อนไขอื่นใดที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

(ง)

เกิด มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทำงาน หรือมีความเกี่ยวพันกับพื้นที่ที่สมัครตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ข. ลักษณะต้องห้าม

(๑)

เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓) (๑๔) (๑๕) (๑๖) (๑๗) หรือ (๑๘)

(๒)

เป็นข้าราชการ

(๓)

เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือก

(๔)

เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

(๕)

เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เว้นแต่ได้พ้นจากการดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือก

(๖)

เป็นหรือเคยเป็นรัฐมนตรี เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือก

(๗)

เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือก

(๘)

เป็นพนักงาน ผู้บริหาร หรือบรรจุอยู่ในตำแหน่งใดแห่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในคราวเดียวกัน หรือผู้ดำรงตำแหน่งในศาลรัฐธรรมนูญ หรือในองค์กรอิสระ

(๙)

เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มาจากการรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา ๒๖๙ อายุของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้สิ้นสุดลงเมื่อมีประกาศผลการเลือกตั้ง สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาให้สิ้นสุดเมื่อมีการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่ออายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลง ให้สมาชิกวุฒิสภาอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่

มาตรา ๑๐๑ เมื่อสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง ให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาใหม่ตามมาตรา ๑๐๑ วรรคห้า

มาตรา ๑๑๑ สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง เมื่อ

(๑)

ถึงคราวออกตามอายุของวุฒิสภา

(๒)

ตาย

(๓)

ลาออก

(๔)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐๘

(๕)

ขาดประชุมเกินกว่าจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าสี่วันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานวุฒิสภา

(๖)

ต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการกระทำความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

(๗)

กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๓ หรือกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา ๑๑๔ หรือมาตรา ๑๑๕

(๘)

พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๙๔ หรือมาตรา ๒๓๔ วรรคสาม

มาตรา ๑๑๒ บุคคลผู้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงแล้วไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภาอีก เว้นแต่เป็นการสิ้นสุดลงเพราะครบกำหนดวาระ หรือการยุบเลิกวุฒิสภา แต่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรัฐมนตรีได้

มาตรา ๑๑๓ สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ทำให้หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ

ส่วนที่ ๔

บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง

มาตรา ๑๑๔ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์

มาตรา ๑๑๕ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ทั้งนี้จะกระทำให้ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายจัดการใด ๆ มิได้

มาตรา ๑๑๖ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีเอกสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมสภา ทั้งนี้ไม่ว่ากรณีใด ๆ จะนำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไปฟ้องร้องในทางใด ๆ ตามผลของการแสดงความคิดเห็นหรือการออกเสียงลงคะแนนดังกล่าวมิได้

ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นกรรมการบริหารหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองหรือสมาคมมิได้

มาตรา ๑๐๗ ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งดำรงตำแหน่งจนสิ้นอายุของสมาชิกภาพผู้แทนราษฎรถือการยุบสภาผู้แทนราษฎร

ประธานและรองประธานวุฒิสภาดำรงตำแหน่งถึงวันสิ้นอายุของวุฒิสภา วันแต่ในกรณีวาระตามมาตรา ๑๐๙ วรรคสาม ให้ประธานและรองประธานวุฒิสภาดำรงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

มาตรา ๑๐๘ ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานและรองประธานวุฒิสภาต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระตามมาตรา ๑๐๗ เมื่อ

(๑)

ขาดจากสมาชิกภาพแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก

(๒)

ลาออกจากตำแหน่ง

(๓)

ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือดำรงการการเมืองอื่น

(๔)

ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แต่คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งที่ชี้ขาดหรือการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

มาตรา ๑๐๙ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาต้องจัดให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี เพื่อเลือกประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาอย่างน้อยหนึ่งคนขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนในกรณีที่ตำแหน่งประธานหรือรองประธานว่างลงหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และผู้ที่ทำหน้าที่แทน ต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานและรองประธานวุฒิสภาไม่อยู่ในที่ประชุม ให้สมาชิกแห่งสภานั้น ๆ เลือกกันเองให้สมาชิกคนหนึ่งเป็นประธานในคราวประชุมนั้น

มาตรา ๑๑๐ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรและการประชุมวุฒิสภาต้องมีสมาชิกลงมติในที่ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่แต่ละสภา จึงจะเป็นองค์ประชุม เว้นแต่ในกรณีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะกำหนดองค์ประชุมไว้เป็นอย่างอื่นอย่างหนึ่งก็ได้

การลงมติในที่ประชุมต้องกระทำโดยเปิดเผย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ สมาชิกคนหนึ่งคนใดไม่มีสิทธิออกเสียงในกรณีที่ตนมีส่วนได้เสียกับเรื่องที่ลงมตินั้น ให้ถือว่าการออกเสียงของสมาชิกคนหนึ่งคนใดที่ขัดต่อบทบัญญัติในวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ การประชุมร่วมกันของรัฐสภาและการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ให้มีการถ่ายทอดการประชุมให้ประชาชนทราบด้วย เว้นแต่กรณีที่รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภามีมติเป็นอย่างอื่น การออกเสียงลงคะแนนเลือกหรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งใด ให้กระทำเป็นการลับ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๑๑๑ ภายในสามสิบวันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก

ในที่นี้ให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ขยายเวลาออกไปก็ได้ การปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีนอกจากกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน จะกระทำได้ก็โดยความเห็นชอบของรัฐสภา วันประชุมสภาผู้แทนราษฎรตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด แต่ในการนี้ให้มีการประชุมรัฐสภาอันเนื่องจากกรณีหนึ่งกรณีใดมิใช่เป็นไปเพื่อพิจารณาต่อหรือให้ความเห็นชอบในเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ให้ถือว่าเป็นการประชุมรัฐสภาในสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองสำหรับปีนั้นได้

มาตรา ๑๑๒ พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา ทรงเปิดและทรงปิดประชุม

พระมหากษัตริย์จะมีพระราชดำริหรือทรงเห็นชอบให้มีการทำพิธีเปิดประชุมรัฐสภาโดยพระองค์เองหรือโดยมีพระราชดำรัสในโอกาสนี้ก็ได้ และจะทรงมอบหมายให้ผู้แทนพระองค์ทำพิธีเปิดประชุมรัฐสภาแทนก็ได้ เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พระมหากษัตริย์จะทรงเรียกประชุมรัฐสภานอกเวลาประชุมสมัยวิสามัญก็ได้ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๑๑ และมาตรา ๑๑๒ การเรียกประชุม การขยายเวลาประชุม และการปิดประชุมรัฐสภา ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา

มาตรา ๑๑๓ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีสิทธิลาสภารวมกัน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาให้มีการประชุมรัฐสภาในสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองหรือการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญก็ได้

ให้ประธานรัฐสภาดำเนินการตามข้อบังคับและเสนอเรื่องต่อพระมหากษัตริย์ ราชกิจจา

มาตรา ๑๑๔ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ที่ประสงค์จะลาออกจากตำแหน่ง ให้ยื่นหนังสือลาออกต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ การลาออกมีผลนับแต่วันที่ประธานได้รับหนังสือลาออก

ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙๑ อำนาจที่มีความสำคัญต่อการบริหารราชการแผ่นดินของสภาผู้แทนราษฎรคือการให้ความเห็นชอบต่อการออกพระราชกำหนดและการอนุมัติพระราชกำหนดในกรณีฉุกเฉิน หากต้องดำเนินการให้ทันต่อเหตุการณ์ ประชุมไปปรากฏต่อบริเวณรัฐสภาและการกล่าวถ้อยคำนี้มีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐสภานั้น ในกรณีสภาวรรคสอง ถ้าสมาชิกกล่าวถ้อยคำที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้นได้รับความเสียหาย ให้ประธานแห่งสภานั้นจัดให้มีการไต่สวนคำกล่าวนั้นของสมาชิกและการพิจารณาเอกสารที่เกี่ยวข้องในเวลาที่กำหนดในข้อบังคับการประชุมของสภานั้น ทั้งนี้ โดยไม่กระทบต่อสิทธิของบุคคลในการฟ้องคดีต่อศาล เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ย่อมคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา และแต่กรณี และผู้ครอบไปถึงบุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ตลอดจนผู้ดำเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาทางวิทยุหรือรายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางอื่นใดซึ่งได้รับอนุญาตจากประธานแห่งสภานั้นด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๑๕๕ ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไปทำการสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่สมาชิกผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นการจับในขณะกระทำความผิด

ในกรณีที่การจับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในขณะกระทำความผิด ให้รายงานไปยังประธานแห่งสภาที่สมาชิกผู้นั้นเป็นสมาชิกโดยไม่ชักช้า และถ้าสภาที่สมาชิกผู้นั้นเป็นสมาชิกมีมติให้ปล่อยตัวสมาชิกผู้นั้น ให้ผู้มีหน้าที่ดำเนินการปล่อยตัวสมาชิกผู้นั้นโดยไม่ชักช้า ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายหรือศาลมีคำสั่งให้จำคุกสมาชิกผู้นั้นในระหว่างสมัยประชุม ให้ถือว่าสมาชิกผู้นั้นได้รับอนุญาตจากสภาที่สมาชิกผู้นั้นเป็นสมาชิกให้ปล่อยตัวโดยอนุโลม

มาตรา ๑๕๖ ในระหว่างที่ไม่มีสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกสมาชิกในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้พิจารณาแล้วในสมัยประชุม สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา หรือพิจารณาในระหว่างสมัยประชุมได้ แต่ต้องไม่มีการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา

มาตรา ๑๕๗ ในระหว่างที่ไม่มีสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าอัยการสูงสุดผู้แทนราษฎรสันนิษฐาน สภาผู้แทนราษฎรหรือบุคคลอื่นใด จะนำเรื่องไปยังศาลได้ ให้แยกเป็นดังนี้

(๑)

มีกรณีที่ศาลต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๙๗ และมาตรา ๑๙๘ มาตรา ๒๐ หรือมาตรา ๒๑

(๒)

มีกรณีที่ศาลต้องดำเนินการในกรณีที่พนักงานอัยการหรือเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในกรณีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีตำแหน่งใดตามพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่น เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้มีหน้าที่ดำเนินการประชุมได้ โดยให้ประธานวุฒิสภาทำความบังคับบัญชาตามข้อบังคับการประชุมโดยการประกาศในระเบียบรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยสามัญ และให้ประธานวุฒิสภาสั่งให้สมาชิกมารับฟังพระบรมราชโองการ ในกรณีตาม (๑) ให้ชุมนิสภาทำหน้าที่รัฐสภา แต่การให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของชุมนิสภา

มาตรา ๑๘๑ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมแต่ละสภา แต่คณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกของสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของทั้งสองสภา แล้วแต่กรณี ร้องขอให้ประชุมลับก็ให้ประชุมลับ

มาตรา ๑๘๒ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอำนาจตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอื่นที่มิใช่หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าที่และองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติ การปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การนับคะแนน การงดออกเสียง การเปิดเผยการลงมติ การประชุมลับ การอภิปรายทั่วไป การรักษาเยียวยาความเรียบร้อย และการที่เห็นว่าเป็นการสมควรทั้งนี้ รวมทั้งมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับประมวลจริยธรรมของสมาชิกและกรรมาธิการ และข้อบังคับเพื่อดำเนินการตามบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

ในข้อบังคับการประชุมที่มีส่วนที่เกี่ยวกับการตั้งกรรมาธิการสัญญาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเงิน ให้มีบทบัญญัติที่กำหนดให้คณะกรรมาธิการสัญญาต้องมีสมาชิกซึ่งเป็นกรรมาธิการในสัดส่วนที่เหมาะสมกับแต่ละพรรคการเมือง และในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ ต้องกำหนดให้ผู้แทนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการวิสามัญทั้งหมด

มาตรา ๑๘๓ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอำนาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ และยังมีอำนาจเลือกบุคคลผู้มิได้เป็นสมาชิกได้ ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ หรือคณะกรรมาธิการร่วมกันตามมาตรา ๑๗๖ เพื่อกระทำกิจการ การสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใด ๆ และรายงานให้สภาทราบภายในระยะเวลาที่สภากำหนด

การกระทำกิจการ การสอบหาข้อเท็จจริง หรือการศึกษาเรื่องใด ๆ ต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของสภา และหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นในกรณีที่การกระทำกิจการ การสอบหาข้อเท็จจริง หรือการศึกษาในเรื่องใดมิอาจดำเนินการต่อ ให้เป็นหน้าที่ของประธานสภาตัดข้อสังเกตนั้นในการให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ในการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการอาจขอให้อำนาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทำการแทนได้ คณะกรรมาธิการสามัญตามรัฐธรรมนูญนี้อาจนำเอาเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในกิจการที่กระทำหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่ในนั้น แต่การเรียกเช่นว่านั้นให้เป็นอำนาจที่ผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภามีสิทธิเสนอให้กระทำในกรอบของวิธีพิจารณาสำหรับการพิจารณาคดี หรือการบริหารงานบุคคลของแต่ละสภา และให้มีข้อบังคับเกี่ยวกับผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่และอำนาจโดยตรงในแต่ละองค์กรตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องจัดการเกี่ยวกับการที่สมาชิกรัฐสภาหรือผู้ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำหน้าที่ของรัฐในลักษณะหรือในหน้าที่ ให้ข้อเท็จจริง ส่งเอกสาร หรือแสดงความคิดเห็นที่คณะกรรมาธิการเรียก ให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีมติเปิดเผยบันทึกการประชุม รายงานการดำเนินการ รายงานการสอบหาข้อเท็จจริง หรือรายงานการศึกษา แล้วแต่กรณี ของคณะกรรมาธิการให้ประชาชนทราบ เว้นแต่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี มีมติให้เปิดเผย เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๕ ให้ผู้ครองธงบุคคลผู้กระทำหน้าที่และผู้ปฏิบัติสนองคำเรียกตามมาตรานี้ด้วย กรรมาธิการสามัญตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดต้องมีจำนวนตามที่พระใกล้เคียงกับจำนวนอย่างน้อยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎร ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาตามมาตรา ๑๒๕ ให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑๓๐ ให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย

(๑)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(๒)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

(๓)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(๔)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

(๕)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ

(๖)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

(๗)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

(๙)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

(๑๐)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

มาตรา ๑๓๑ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย

(๑)

คณะรัฐมนตรี โดยคำเสนอแนะของคณะกรรมการกฤษฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง

(๒)

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

มาตรา ๑๓๒ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ นอกจากที่บัญญัติไว้ดังต่อไปนี้ให้กระทำเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติ

(๑)

การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้เสนอต่อรัฐสภา และให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ถ้ารัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบตามร่างที่เสนอ

(๒)

ก่อนลงมติในวาระที่สามให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ให้ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ให้ความเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ หรือมีข้อความที่ต้องแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ หรือไม่อย่างไร และให้รัฐสภาพิจารณาความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความเห็น ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ไม่มีข้อทักท้วงภายในสิบห้าวันนับแต่ได้รับร่างดังกล่าว ให้รัฐสภาดำเนินการต่อไป

(๓)

ในกรณีที่ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือทำให้ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้เสนอความเห็นเป็นหนังสือไปยังรัฐสภา และให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาแก้ไขแล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ ให้รัฐสภาเป็นอันว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นตกไป เว้นแต่ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เห็นควรให้ใช้ข้อความที่เป็นการเร่งด่วน ให้รัฐสภาดำเนินการต่อไป

มาตรา ๑๓๓ ร่างพระราชบัญญัติให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ จะเสนอได้ก็แต่โดย

(๑)

คณะรัฐมนตรี

(๒)

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมด

(๓)

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียน ตามมาตรา ๓ สิทธิเลือกตั้งทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือมาตรา ๔ หน้าที่ของรัฐ ที่มี ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติมีผู้เสนอหลาย (๒) หรือ (๓) เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินจะเสนอได้ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี

มาตรา ๑๓๔ ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องหนึ่งดังต่อไปนี้

(๑)

การตั้งขึ้น ยกเลิก ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับเกี่ยวกับภาษีหรืออากร

(๒)

การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการโอนงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน

(๓)

การกู้เงิน การค้ำประกัน การใช้เงินกู้ หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ

(๔)

เงินตรา ในกรณีที่เป็นที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน ให้เป็นอำนาจของที่ประชุมร่วมกันของประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรทุกคณะเป็นผู้วินิจฉัย ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้การประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณากรณีตามวรรคสองภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว มติของที่ประชุมร่วมกันตามวรรคสองให้ถือเป็นที่สุด ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา ๑๓๕ ร่างพระราชบัญญัติใดที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอและในขั้นรับหลักการไม่เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน แต่สภาผู้แทนราษฎรได้แก้ไขเพิ่มเติมและประธานสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่

ในกรณีที่มีการประชุมร่วมกันตามวรรคสี่ที่วินิจฉัยว่า การแก้ไขเพิ่มเติมทำให้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ และให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นร่างพระราชบัญญัติของคณะรัฐมนตรี

มาตรา ๑๓๖ เมื่อมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติแล้วจะเพิ่มลดรายจ่ายหรือเปลี่ยนแปลงรายการรายจ่ายที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัตินั้นได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

ในกรณีที่คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติใดเห็นว่าควรเพิ่มลดรายจ่ายหรือเปลี่ยนแปลงรายการรายจ่ายที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัตินั้น ให้คณะกรรมาธิการเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วจึงเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อสภา ระยะเวลาในวรรคหนึ่ง ไม่ให้นับรวมระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๑๗๐ ถ้าผู้สมควรดำรงตำแหน่งพระราชบัญญัติไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัตินั้น ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินไปยังวุฒิสภา ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรแจ้งให้วุฒิสภาทราบและให้ถือเป็นเด็ดขาด หากมิได้แจ้ง ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมิใช่ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน มาตรา ๑๗๐ เมื่อวุฒิสภาได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติเสร็จแล้ว

(๑)

ถ้าเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๖๘

(๒)

ถ้าไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อนและส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร

(๓)

ถ้าแก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎรยังสภาผู้แทนราษฎร ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติม ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๖๘ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปยังที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณา ถ้าที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัตินั้นตามที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๖๘ ถ้าที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัตินั้นตามที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม ให้ถือว่าวุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัตินั้นตามที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมกันต้องมีกรรมาธิการของสภาทั้งสองมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม และให้ทำความในมาตรา ๑๖๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าผู้เสนอไม่ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๖๙ ให้ถือว่าผู้เสนอได้ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัตินั้น และให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๖๘ ต่อไป

มาตรา ๑๗๑ สภาผู้แทนราษฎรจะยกเว้นร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ตามมาตรา ๑๗๐ ขึ้นพิจารณาใหม่ได้เมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่ยับยั้งไว้

(๑)

วันที่ผู้เสนอส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎรสำหรับกรณียับยั้งตามมาตรา ๑๗๐ (๑)

(๒)

วันที่สภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบด้วย สำหรับกรณียับยั้งตามมาตรา ๑๗๐ (๒) ในกรณีในวรรคหนึ่ง ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหรือคำสั่งของกรรมาธิการร่วมกันด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันได้้รับความเห็นชอบของรัฐสภาและให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๙๐ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓๓ วรรคสี่ ระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามวรรคหนึ่ง ให้นับแต่สิ้นวันในกรณีร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ และเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน

มาตรา ๑๓๙ ในระหว่างที่มีการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติตามมาตรา ๑๓๗ คณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ได้

ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรจะอุทธรณ์ตามที่ว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นย่อมเป็นร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานวุฒิสภาแล้วแต่กรณีส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้คณะรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถ้าคณะรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป

มาตรา ๑๔๐ การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายเกี่ยวด้วยการจ่ายเงินแผ่นดินตามวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยการเงินการคลังของรัฐ เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกี่ยวด้วยการจ่ายเงินแผ่นดินตามวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ ให้ตราพระราชกำหนดเพื่อจัดให้มีการจ่ายเงินแผ่นดินได้ตามความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้

มาตรา ๑๔๑ งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินให้ทำเป็นพระราชบัญญัติ ถ้าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณออกใช้ไม่ทันปีงบประมาณใหม่ ให้ใช้กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณที่แล้วนั้นไปพลางก่อน

รัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกับการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระของรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และองค์กรอัยการ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวิธีการเงินการคลังของรัฐ ในกรณีที่เห็นว่าการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการมีสิทธิขอเปลี่ยนแปลงต่อคณะกรรมาธิการโดยตรงก็ได้

มาตรา ๑๔๒ ในการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อสภาผู้แทนราษฎร ให้คำนึงถึงความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายของรัฐ และให้มีรายการรายจ่ายเพื่อการลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของรายจ่ายรวม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวิธีการเงินการคลังของรัฐ

มาตรา ๑๔๓ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเสนอหรือกระทำการใดอันมีผลให้เพิ่มหรือลดรายจ่ายหรือเปลี่ยนแปลงรายการในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้

ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัตินั้น และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณา ในการพิจารณาของวุฒิสภา วุฒิสภาจะต้องให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายในสิบห้าวันนับตั้งแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินั้นถึงวุฒิสภา โดยจะขยายเวลาเพิ่มเติมได้ ๑๕ วันถ้าหากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่าร่างกฎหมายดังกล่าวที่วุฒิสภาเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัตินั้น ในกรณีที่เห็นชอบให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๐ ถ้าวุฒิสภาไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้ทำความในมาตรา ๑๓๘ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่ได้ทันที ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งและวรรคสาม มิให้นับรวมระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามมาตรา ๑๔๘ วรรคสาม

มาตรา ๑๔๕ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการที่ได้ แต่อนุญาตให้มีการลดหรือตัดทอนรายการซึ่งมิใช่รายจ่ายของส่วนของผู้ถูกห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(๑)

เงินส่งใช้คืนเงินกู้

(๒)

ดอกเบี้ยเงินกู้

(๓)

เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้ ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของแต่ละสภา เห็นว่าการแปรญัตติหรือการฝ่าฝืนบัญญัติวรรคสอง ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จในสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแปรญัตติหรือการกระทำดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้การแปรญัตติหรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันตกไป และให้ถือว่าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป เว้นแต่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าความขัดหรือแย้งนั้นไม่เป็นสาระสำคัญ ให้ดำเนินการต่อไปได้โดยให้ถือว่าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจัดโครงการหรืออนุมัติหรือจัดสรรเงินงบประมาณโดยรู้ว่าการดำเนินการนั้นขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย บันทึกข้อความไว้เป็นหนังสือหรือมีหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตรวจ ให้พวกเขากระทำผิด การเรียกเงินสินบนตามวรรคสามหรือวรรคสี่ ให้กระทำได้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้รับแจ้งตามวรรคสี่ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการสอบสวนเป็นทางลับโดยพลัน หากเห็นว่าการแจ้งมูล ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการต่อไปตามวรรคสาม และไม่ว่าการแจ้งนั้นจะเป็นการแจ้งโดย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและศาลรัฐธรรมนูญหรือบุคคลใดจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้แจ้งมิได้

มาตรา ๑๕๕ ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีไว้ที่ทำเนียบแต่ถ้าเห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๕๔ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ผ่านกำหนดเวลาดังกล่าว

มาตรา ๑๕๖ ร่างพระราชบัญญัติใด พระมหากษัตริย์ยังมิได้ทรงเห็นชอบด้วย และพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือมิได้คืนมายังรัฐสภาภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้น ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นไม่ผ่านอาจต้องไปดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๑๕๗ ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบ หรือที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วแต่พระมหากษัตริย์ยังมิได้ทรงเห็นชอบด้วย หรือมิได้คืนมายังรัฐสภาภายในกำหนด ให้เป็นอันยกไป

บรรดาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบที่ตกไปตามวรรคหนึ่ง คณะรัฐมนตรีมีสิทธิ์ยื่นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือถูกยกเลิก แล้วแต่กรณี เพื่อการต่อไป ถ้าร่างตกไปแล้วแต่รัฐมนตรีต้องร้องขอการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้ถือว่าร่างนั้นตกไป

มาตรา ๑๕๘ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย นายกรัฐมนตรีต้องแจ้งให้รัฐสภาทราบก่อน

(๑)

หากสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา มีมติให้ส่งร่างพระราชบัญญัติไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้ดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการต่อไป ความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า (8) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือกระทบต่อหน้าที่หรืออำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้ประธานรัฐสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีอาจนำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือกระทบต่อหน้าที่หรืออำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ใช่ข้อความสาระสำคัญ ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป และให้นำร่างพระราชบัญญัตินั้นไปพิจารณาต่อไปตามมาตรา ๑๔๘

มาตรา ๑๔๘ ให้มีความในมาตรา ๑๔๘ มาใช้บังคับการจัดบริการประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครซึ่งมีกฎหมายลูกลักษณะ และข้อบังคับในการประชุมรัฐสภาแห่งชาติแห่งหนึ่ง หรือรัฐสภาแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ความเห็นชอบแล้วให้ความเห็นชอบแล้วโดยอนุโลม

มาตรา ๑๔๙ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยต้องแจ้งต่อหน้าที่ไว้ด้วย

รัฐมนตรีมีสิทธิที่จะไม่ตอบกระทู้ที่มีคณะรัฐมนตรีเห็นว่านั้นยังไม่ควรเปิดเผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน

มาตรา ๑๕๐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อมอบสิทธิให้ไว้ว่าให้รัฐมนตรีแต่ละบุคคลหรือทั้งหมด

เมื่อได้มีการเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว จะมีการอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เว้นแต่จะมีการถอนญัตตินั้นเสียก่อน การอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีการลงมติ โดยมีเสียงข้างมากให้เห็นชอบกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เห็นชอบกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจใ

มาตรา ๑๕๒ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร จะเข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติเพื่อตรวจสอบหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติก็ได้

มาตรา ๑๕๓ สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อขออภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ

มาตรา ๑๕๔ การเสนอญัตติขออภิปรายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๒ มาตรา ๑๕๓ หรือมาตรา ๑๕๔ แล้วแต่กรณี ให้กระทำได้เพียงหนึ่งครั้ง

ความในวรรคหนึ่งไม่ให้นำมาใช้บังคับแก่การขออภิปรายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๔ ที่มีเหตุสุดวิสัยให้มีการขออภิปรายทั่วไป

มาตรา ๑๕๕ ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยหรือเศรษฐกิจของประเทศสมควรขอรับคำปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างรัฐสภาและรัฐบาลคณะรัฐมนตรีอาจขอให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อปรึกษาหารือในปัญหานั้นได้ ในกรณีเช่นนี้ให้ประธานรัฐสภาเป็นประธานในที่ประชุม และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้รักษาความสงบเรียบร้อยในการประชุม ทั้งนี้ ไม่ให้มีการลงมติในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา

ส่วนที่ ๕

การประชุมร่วมกันของรัฐสภา

มาตรา ๑๕๖ ในกรณีต่อไปนี้ ให้รัฐสภาประชุมร่วมกัน

(๑)

การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๗

(๒)

การปฏิญาณตนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาตามมาตรา ๑๙

(๓)

การรับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ ตามมาตรา ๒๐

(๔)

การรับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา ๒๑

(๕)

การให้ความเห็นชอบในการปิดสมัยประชุมสมัยสามัญตามมาตรา ๑๒๑

(๖)

การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญตามมาตรา ๑๒๑

(๗)

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๑๓๒

(๘)

การปรึกษาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติใหม่ตามมาตรา ๑๓๔

(๙)

การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๗

(๑๐)

การเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๔ และมาตรา ๑๕๕

(๑๑)

การตราข้อบังคับการประชุมรัฐสภาตามมาตรา ๑๗๖

(๑๒)

การแถลงนโยบายตามมาตรา ๑๖๒

(๑๓)

การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงครามตามมาตรา ๑๗๘

(๑๔)

การรับฟังคำชี้แจงและการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญาตาม

มาตรา ๑๗๘

(๑๕)

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๕๖

(๑๖)

กรณีอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๑๗๖ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาให้ถือข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ให้ใช้ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยอนุโลมไปพลางก่อน

ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ให้มีคณะทำงานที่เป็นกลางทั้งสองฝ่ายตั้งคณะทำงานโดยอนุโลม เว้นแต่ในเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการ กรรมาธิการซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกของแต่ละสภาจะต้องมีจำนวนเสมอกันหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจำนวนสมาชิกของแต่ละสภา

หมวด ๘

คณะรัฐมนตรี

มาตรา ๑๕๘ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคนประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ ให้นายกรัฐมนตรีผู้นั้นทรงเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจะต้องจัดทำหนังสือรับมอบงานกันและกันในแต่ละปีได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำหนังสือเพื่อแสดงถึงหน้าที่รับผิดชอบ แต่ให้มีพระบรมราชโองการในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นวาระดำเนินการ

มาตรา ๑๕๙ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐ และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคนั้นไม่อยากจำนวนต่ำกว่าจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

การเสนอชื่ออาจกระทำได้ต้องมีสมาชิกริเริ่มร้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมติเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

มาตรา ๑๖๐ รัฐมนตรีต้อง

(ก)

มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(ข)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี

(ค)

สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

(ง)

มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

(จ)

ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

(ฉ)

ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘

(ช)

ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือมีการอธิกรณ์โทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

(ซ)

ไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๗๐ หรือมาตรา ๑๗๔ มาแล้วไม่ถึงสองปีนับถึงวันแต่งตั้ง

มาตรา ๑๖๑ ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้า จะรักษาความซื่อสัตย์สุจริตต่อพระมหากษัตริย์ จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ในกรณีที่ประธานองคมนตรีปฏิเสธหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ได้ตามมาตรา ๑๖๑ (๑) พึงมอบการปฏิบัติหน้าที่นั้นเพื่อดำเนินการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมต่อไป

มาตรา ๑๖๒ คณะรัฐมนตรีซึ่งจะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติให้ความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เข้ารับหน้าที่

ส่วนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง หากมีภารกิจที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้ล่าช้าไปอาจกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่ต้องดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้

มาตรา ๑๖๓ รัฐสภามีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบแถลงนโยบายหรือข้อวิธีหรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภาแต่ไม่มีสิทธิยกหรือลงมติลงคะแนน เว้นแต่เป็นการออกเสียงลงคะแนนในกรณีที่นายกรัฐมนตรีขอให้รัฐสภาลงมติในเรื่องสำคัญเพราะรัฐธรรมนูญนี้ และให้นำเอาสิทธิที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๑๖๔ ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบัติหน้าที่ตามหลักต่อไปนี้ด้วย

(๑)

ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม

(๒)

รักษาวินัยในการดำเนินการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด

(๓)

ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

(๔)

สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุก และสามัคคีปรองดองกัน รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในการกำหนดนโยบายและการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี

มาตรา ๑๖๕ ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะขอให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อการนี้ก็ได้ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในกรณีเช่นนี้ให้รัฐสภาอภิปรายให้ความเห็นได้แต่ไม่มีการลงมติ

มาตรา ๑๖๖ ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้รัฐสภาอภิปรายและลงมติในเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งมิใช่เรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมของแต่ละสภา

มาตรา ๑๖๗ รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

(๑)

ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๗๐

(๒)

อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร

(๕)

คณะรัฐมนตรีลาออก

(๖)

พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๗๔ เมื่อรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตาม (๑) (๓) หรือ (๖) ให้ดำเนินการ เพื่อให้มีคณะรัฐมนตรีใหม่ตามมาตรา ๑๖๘ และมาตรา ๑๖๙

มาตรา ๑๖๘ ให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ภายใต้เงื่อนไข ดังต่อไปนี้

(๑)

ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๑) (๒) หรือ (๔) ให้อยู่ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ในแผนในกรณีที่คณะ รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๑) เพราะเหตุถูกสมาชิกรัฐสภาลงมติไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา ๑๕๑ หรือมาตรา ๑๕๖ (๔) หรือ (๕) นายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป มิได้

(๒)

ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๓) (๖) คณะรัฐมนตรีที่พ้นจาก ตำแหน่งจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้ตาม (๒) หรือคณะ รัฐมนตรีอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การบริหารราชการ แผ่นดิน หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ตาม มาตรา ๑๖๘ และมาตรา ๑๖๙ ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ประธานรัฐสภาดำเนินการตามมาตรา ๑๗๕ วรรคสอง ให้สภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐสภาในการกระทำการอื่น ๆ เฉพาะหน้าที่จำเป็นในทางนิติบัญญัติ โดยให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งแทนเพื่อดำเนินการใน หน้าที่แทนคณะรัฐมนตรี

มาตรา ๑๖๙ คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๑) (๒) และ ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา ๑๖๘ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้

(๑)

ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงบประมาณหรือโครงการ หรือมีผล เป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่ที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณ รายจ่ายประจำปี

(๒)

ไม่แต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือบุคคลอื่น กล่าวกำหนดการปฏิบัติหน้าที่ หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่แทน เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(๓)

ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้มีรายจ่ายเพื่อการลงทุนหรือการ อื่นใดที่มิใช่รายจ่ายประจำ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก่อน

(๔)

ไม่ให้ทรัพย์สินของรัฐหรือประการอื่นของรัฐที่มีผลกระทบต่อการได้มาซึ่ง ผลตอบแทนหรือไม่กระทำการอันมีผลเป็นการกำหนดสิทธิหรือพันธะผูกพันต่อคณะกรรมการ การเลือกตั้งทั้งหมด

มาตรา ๑๗๐ ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อ

(๑)

ตาย

(๒)

ลาออก

(๓)

สภาผู้แทนราษฎรมิได้ให้ความไว้วางใจ

(๔)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐

(๕)

กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๖ หรือมาตรา ๑๘๗

(๖)

มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๗๑ นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตราหนึ่งแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ด้วย ให้บทความในมาตรา ๗๐ มาใช้บังคับกับการสิ้นสุดของความเป็นรัฐมนตรีตาม (๒) (๓) หรือ (๖) หรือวรรคสอง โดยอนุโลม เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย

มาตรา ๑๗๐ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ

มาตรา ๑๗๑ ในกรณีที่มีประโยชน์อันพึงจะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานให้ใช้งบเงินคงคลังในพระราชบัญชีแผ่นดินได้

การกระทำของพระมหากษัตริย์ตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำโดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีเท่านั้นเว้นแต่กรณีสุดแล้วแต่พระราชอัธยาศัยซึ่งอาจจะทรงมีพระราชดำริเองได้ ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีเสนอพระราชกำหนดนั้นต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าครบสมัยประชุมและการรอการเปิดสมัยประชุมล่วงเลยเป็นการล่าช้า คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาพระราชกำหนดนั้นโดยเร็ว ถ้าสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้นหรือมีมติไม่อนุมัติในส่วนหนึ่งส่วนใดของพระราชกำหนดนั้น ให้พระราชกำหนดนั้นหรือส่วนที่มิได้รับอนุมัตินั้นเป็นอันสิ้นผลไป แต่ไม่กระทบต่อกิจการใดที่ได้ปฏิบัติในระหว่างที่มีพระราชกำหนดนั้น หากพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่งมีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยเฉพาะพระราชบัญญัติ ให้พระราชกำหนดนั้นมีผลใช้บังคับแทนบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก มีผลใช้บังคับต่อไปในระหว่างที่ยังไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติม ถ้าสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาลงมติไม่อนุมัติพระราชกำหนดที่กล่าวมาแล้ว หรือถ้าครบสมัยประชุมแล้วและสภาผู้แทนราษฎรยังมิได้พิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดนั้นตามมาตราหนึ่งของมาตรานี้ ให้พระราชกำหนดนั้นเป็นอันสิ้นผลไปบังคับเป็นพระราชอัธยาศัยต่อไป การอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด ให้คณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีไม่อนุมัติ ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา การพิจารณาพระราชกำหนดของสมาชิกแห่งสภาผู้แทนราษฎรของวุฒิสภา และการยืนยันการอนุมัติพระราชกำหนด จะต้องกระทำในโอกาสแรกที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภาแล้วแต่กรณี

มาตรา ๑๗๑ ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะได้พิจารณาพระราชกำหนดใด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่เป็นสมาชิกของพระราชกำหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา ๒๑๖ วรรคหนึ่ง ให้ประธานแห่งสภานั้นส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า พระราชกำหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา ๒๑๖ วรรคหนึ่งหรือไม่ และให้การพิจารณาพระราชกำหนดนั้นไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง และให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่สุดและมีผลผูกพันต่อสภาที่ส่งความเห็นไปถาม ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าพระราชกำหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา ๒๑๖ วรรคหนึ่ง ให้พระราชกำหนดนั้นไม่มีผลใช้บังคับตั้งแต่ต้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าพระราชกำหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา ๒๑๖ วรรคหนึ่ง ต้องไม่กระทบต่อการกระทำใด ๆ ของบุคคลหรือของหน่วยงานของรัฐที่ได้กระทำไปก่อนมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าพระราชกำหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา ๒๑๖ วรรคหนึ่ง

มาตรา ๑๗๒ พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญได้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา

มาตรา ๑๗๓ พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชบัญญัติได้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา

ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติที่รัฐสภาเสนอ ให้พระมหากษัตริย์คืนพระราชบัญญัตินั้นพร้อมด้วยข้อสังเกตมายังรัฐสภาภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่รัฐสภาเสนอ และให้รัฐสภาพิจารณาใหม่ หากรัฐสภาเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา ให้ประธานรัฐสภานำพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่ง หากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยและไม่คืนพระราชบัญญัตินั้นภายในสามสิบวัน ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัตินั้นได้

มาตรา ๑๗๔ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยับยั้งร่างกฎหมายโดยไม่ต้องลงพระปรมาภิไธย

มาตรา ๑๗๕ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย

มาตรา ๑๗๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึก

ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกตามเหตุแห่งที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการรบหรือการได้มาซึ่งกฎหมายกำหนดอำนาจไว้ต้องกระทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ

มาตรา ๑๗๗ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงครามเมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

มิให้ความเห็นชอบของรัฐสภาต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

มาตรา ๑๘๕ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำนิติกรรมสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ

หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกราชอาณาจักรไทยซึ่งมีสิทธิอธิปไตยหรือเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติให้ใช้บังคับ หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการดำเนินการดังกล่าวให้รัฐสภาดำเนินการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วม หรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือที่ทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้นหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ให้มีกฎหมายกำหนดวิธีการที่ประชาชนซึ่งมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นเมื่อเกิดผลกระทบของการทำนิติกรรมสัญญาตามวรรคสามด้วย เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับหนังสือสัญญาใดที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง ให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำร้อง

มาตรา ๑๘๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ

มาตรา ๑๘๗ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนอันมีตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า และทรงให้พ้นจากตำแหน่ง วันแต่กรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษ

มาตรา ๑๘๘ ข้าราชการและพนักงานของรัฐซึ่งมิใช่ตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง จะเป็นข้าราชการการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมิได้

มาตรา ๑๘๙ บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาอื่นเกี่ยวกับการกระทำและการงดเว้นการกระทำของพระมหากษัตริย์ในมาตรา ๗ วรรคสอง บังคับใช้โดยอนุโลมในรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๑๙๐ เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององค์มนตรี ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา

นำที่ดินบ้านกูญหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากตำแหน่ง ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา

หมวด ๗

การขัดกันแห่งผลประโยชน์

มาตรา ๑๘๙ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้อง

(๑)

ไม่ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจหรือดำรงตำแหน่งสมาชิกหรือเป็นผู้บริหารท้องถิ่น

(๒)

ไม่รับหรือแทรกแซงหรือทำการเกี่ยวกับการเข้ารับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจไม่ว่าด้วยตนเองหรือทางอ้อม หรือเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่สัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

(๓)

ไม่รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ

(๔)

ไม่กระทำการใด ๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงการบริหารงานบุคคล การแต่งตั้ง การโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน หรือการลงโทษข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของรัฐ หรือของหน่วยงานของรัฐ หรือของรัฐวิสาหกิจ หรือการกระทำอื่นใดในลักษณะเดียวกัน และมิให้ใช้อำนาจในกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภารับหรือดำรงตำแหน่งการบริหารของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา หรือกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งในการบริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกิจการของสภา หรือกรรมการตามที่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นการเฉพาะ ให้บทย่อ (๒) และ (๓) มาใช้บังคับแก่ผู้สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา และบุคคลอื่นที่อยู่ในสภาพเช่นเดียวกับผู้สมรสของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาด้วย ทั้งนี้ถ้าบุคคลดังกล่าวผู้สมรส หรือบุตรได้รับมอบหมายจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาให้กระทำการตามมาตรานี้

มาตรา ๑๙๐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรืออำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ที่มิควรได้สำหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในเรื่องต่อไปนี้

(ก)

การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ในส่วนของฝ่ายราชการ หน่วยราชการหรือหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

(ข)

กระทำการใดอันอาจทำให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ นั่นแสดงเป็นการแทรกแซงในการราชการของรัฐ (c) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนหรือการให้พ้นจากตำแหน่งของข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งหรือเงินประจำนอกจากเงินเดือนข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

มาตรา ๑๖๖ ให้มีความในมาตรา ๑๖๔ มาใช้บังคับแก่รัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม เว้นแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(a) การดำรงตำแหน่งหรือการดำเนินการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่หรืออำนาจของรัฐมนตรี (b) การกระทำตามหน้าที่และอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน หรือตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา หรือตามที่กฎหมายบัญญัติ นอกจากกรณีตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีต้องไม่ใช้ตำแหน่งหรือดำเนินการกระทำการใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองโดยมีลักษณะที่ทำให้เกิดมาตรฐานทางจริยธรรม

มาตรา ๑๖๗ รัฐมนตรีต้องไม่มีหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่อาจใช้ความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นผู้จัดการของบุคคลใด

กรณีที่รัฐมนตรีผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการกระทำหนึ่ง ต้องได้ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่รัฐมนตรีนั้นเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นอยู่ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการนั้นก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งหรือก่อนที่จะดำเนินการนั้น มิฉะนั้นจะต้องกระทำการพร้อมเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รัฐมนตรีจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทตามวรรคสองไม่ว่าในทางใด ๆ มิได้

มาตรานี้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ให้ใช้บังคับแก่ผู้สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐมนตรี และการถือหุ้นของรัฐมนตรีที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าโดยทางใด ๆ ด้วย

หมวด ๑๐

ศาล

ส่วนที่ ๑

บททั่วไป

มาตรา ๑๖๘ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์

ผู้พิพากษาและตุลาการต้องพิจารณาพิพากษาอรรถคดีโดยอาศัยรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติเสียยิ่ง

มาตรา ๑๖๙ บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้แต่โดยพระราชบัญญัติ

การตั้งศาลขึ้นใหม่หรือกำหนดวิธีพิจารณาเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใด คดีหนึ่งหรือที่ซึ่งจำเลยใดๆ รวมทั้งเมื่อยอมให้แสดงพยานหลักฐานตามกฎหมายสำหรับอันตราย พิพากษาลงโทษนั้นๆ อาจกระทำได้

มาตรา ๑๙๘ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและให้ผู้พิพากษาและอัยการพ้นจากตำแหน่ง แต่ในกรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ ตามวาระ หรือพ้นจากราชการพระราชกฤษฎีกาให้มีความสามารถรับผิดชอบตามที่พระราชทาน

มาตรา ๑๙๙ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้พิพากษาและอัยการต้องวางคำสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยโดยความซื่อสัตย์สุจริตโดยปราศจากอคติทั้งปวงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและตามกฎหมายทุกประการ”

มาตรา ๒๐๐ ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง หรือศาลทหาร ให้พิจารณาวินิจฉัยข้อโต้แย้งโดยคณะกรรมการ ประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด หัวหน้าสำนักอัยการทหาร และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นที่ไม่เคยมีผลเกี่ยวกับที่พิพาทซึ่งผู้พิพากษาอัยการหรือผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณา

หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของศาลตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๒๐๑ ให้แสดงสาละยกเว้นเวลาทหาร มหาดไทยอำนาจประสงค์งานธุรการที่มีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น โดยให้หัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่งเป็นผู้รับบัญชาชี้แจงต่อประชาชนของแต่ละศาล ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ

ให้ศาลยุติธรรมและศาลปกครองมีรายรับเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการเฉพาะตามความเหมาะสมตามที่กฎหมายบัญญัติ

ส่วนที่ ๒

ศาลยุติธรรม

มาตรา ๒๐๒ ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้ขึ้นสู่อำนาจของศาลอื่น

การจัดตั้ง วิธีการพิจารณาคดี และการดำเนินงานของศาลยุติธรรมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการนั้น

มาตรา ๒๐๓ ให้แผ่นดินเลือกอาญาของผู้ต้องคำพิพากษาให้พ้นจากการเสียชีวิต ศาลฎีกา โดยองค์คณะผู้พิพากษาเป็นผู้พิจารณาพิพากษาในคดีอาญาที่สำคัญซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชนหรือผู้พิพากษาอัยการทหารอาจใส่ชื่อคณะอธิบดีหรือผู้พิพากษาอื่นไม่ต่ำกว่าห้าคนได้โดยมีประธานศาลฎีกาเป็นผู้ใหญ่ในคดีอุทธรณ์ว่าคำพิพากษานั้นไม่ย่อมอาจทำลายได้แม้ในคดีนั้นก็ตาม

คนตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้ถือเป็นประมวลกฎหมาย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดีตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เป็นไปตามพระ ราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง ให้ยุติธรรมต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา การวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามวรรคสี่ ให้ดำเนินการ โดยองค์คณะของศาลฎีกาซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำ กว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกตั้ง และได้รับเลือก ตั้งจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยให้ถือเป็นที่สุดในกรณีที่ไม่สามารถจัดตั้งองค์คณะได้ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าคำวินิจฉัยนั้นเป็นคำวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกา ในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำ พิพากษาให้ผู้ใดชดใช้เงินหรือทรัพย์สินแก่รัฐ ให้ถือว่าคำพิพากษานั้นเป็นคำพิพากษา ถึงที่สุด และให้รัฐมีสิทธิเรียกร้องให้ชดใช้เงินหรือทรัพย์สินนั้นได้โดยไม่ต้องรอให้มีคำพิพากษา อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา หลักเกณฑ์และวิธีการยุติธรรมอุทธรณ์ และการพิจารณาวินิจฉัย อุทธรณ์ตามวรรคห้า ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธี พิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

มาตรา ๑๖๖ การบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญต้องมี

ความเป็นอิสระและดำเนินการโดยคณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบ ประธานศาลฎีกาเป็นประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นข้าราชการตุลาการในแต่ ละศาล และผู้พิพากษาซึ่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา บรรดาที่ได้รับเลือกจาก ข้าราชการตุลาการไม่เกินสองคน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

ส่วนที่ ๓

ศาลปกครอง

มาตรา ๑๖๗ ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองอัน

เนื่องมาจากการใช้อำนาจปกครองของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ให้มีศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองชั้นต้น อำนาจศาลปกครองตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการวินิจฉัยข้อขัดแย้งขององค์กร อิสระซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององค์กรอิสระนั้น ๆ การยื่นคำร้อง วิธีพิจารณาคดี และการดำเนินงานของศาลปกครองให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

มาตรา ๑๙๘ การบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับตุลาการศาลปกครองต้องมีความเป็นอิสระและดำเนินการโดยคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองซึ่งประกอบด้วยประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นตุลาการในศาลปกครอง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่เป็นหรือเคยเป็นตุลาการในศาลปกครองไม่น้อยกว่าจำนวนที่ได้รับเลือกจากข้าราชการตุลาการศาลปกครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

ส่วนที่ ๔

ศาลทหาร

มาตรา ๑๙๙ ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่ผู้กระทำความผิดเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในขอบอำนาจศาลทหารและคดีอื่น ๆ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

การยื่นคำร้อง วิธีพิจารณาคดี และการดำเนินงานของศาลทหาร ตลอดจนการแต่งตั้งและการให้ตุลาการศาลทหารพ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

หมวด ๑๑

ศาลรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๒๐๐ ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวนเก้าคนโดยพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากบุคคล ดังต่อไปนี้

(ก)

ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกาและไม่เคยทำงานในตำแหน่งตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จำนวนสามคน

(ข)

ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตุลาการศาลปกครองสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จำนวนสองคน

(ค)

ผู้ทรงคุณวุฒิทางนิติศาสตร์ซึ่งได้รับการสรรหาและดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวนหนึ่งคน

(ง)

ผู้ทรงคุณวุฒิทางรัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ซึ่งได้รับการสรรหาและดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวนหนึ่งคน

(จ)

ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับการสรรหาและดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐ หรือดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จำนวนสองคน ในกรณีที่บุคคลผู้มีคุณสมบัติตามหัวหน้าคณะในศาลฎีกาตาม (ก) ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามที่เห็นว่าไม่ต่ำกว่าหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแทน แล้วไม่น้อยกว่าสามสิบก็ได้ การนับระยะเวลาสามสิบวัน ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ได้รับการคัดเลือกหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหา แล้วแต่กรณี ในกรณีเช่นนี้จำเป็นต้องทดสิทธิเลือกได้ คณะกรรมการสรรหาจะประกาศผลระยะเวลาสามสิบวันหรือวรรคสองก็ได้ แต่ตลอดจนเหลือน้อยกว่าสองปีมิได้

มาตรา ๒๐๑ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคุณสมบัติต่อไปนี้ด้วย

(๑)

มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(๒)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปี แต่ไม่ถึงเจ็ดสิบแปดปีในวันที่ได้รับการคัดเลือกหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหา

(๓)

สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

(๔)

มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

(๕)

สุขภาพที่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรา ๒๐๒ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(๑)

เป็นหรือเคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระใด

(๒)

ลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๗๕ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓)

(๓)

เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๔)

เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา

(๕)

เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมืองในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา

(๖)

เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท

(๗)

เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้เป็นหลัก หรือเป็นผู้ทำของบุคคลใด

(๘)

เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ

(๙)

มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

มาตรา ๒๐๓ เมื่อมีกรณีที่จะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วย

(๑)

ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ

(๒)

ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ

(๓)

ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นกรรมการ

(๔)

บุคคลซึ่งองค์กรอิสระแต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๒๐๐ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๑ และไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ องค์กรละหนึ่งคนเป็นกรรมการ ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการสรรหาตาม (๒) หรือกรรมการสรรหาตาม (๔) มีไม่ครบไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้คณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยกรรมการสรรหาที่มีอยู่ ให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา ให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยการประชุมร่วมกันและลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด โดยคำนึงถึงความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่หลากหลายในทางกฎหมาย การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการบริหารงานขององค์กรอิสระ ในกรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน ให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาเลือกจากผู้ได้รับคะแนนเสียงเท่ากันนั้นอีกครั้งหนึ่ง และหากยังมีคะแนนเสียงเท่ากันอีก ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในการสรรหา ให้คณะกรรมการสรรหาปรึกษาหารือเพื่อคัดสรรให้ได้บุคคลซึ่งมีความรู้ดีเป็นที่ยอมรับ มีความหลากหลายในทางปฏิบัติหน้าที่ และเพื่อมิให้ตุลาการทางจริยธรรมเป็นช่องว่างที่ต้องสงสัย โดยก่อนการประกาศรายชื่อผู้สมัคร ให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาจากบุคคลที่มีความเหมาะสมเข้ามาได้ด้วย แต่ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลนั้น

มาตรา ๒๐๔ ผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้รับการเห็นชอบให้แต่งตั้งจากที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากตุลาการศาลด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนตุลาการทั้งหมด

ในกรณีที่ผู้ได้รับการคัดเลือกไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมตุลาการศาล ให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลใหม่แทนผู้ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบต่อไป เมื่อผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมตุลาการศาลแล้ว ให้เลือกกันเองในที่ประชุมเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ แล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ ให้ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ รัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

มาตรา ๒๐๘ ผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้เป็นตุลาการศาล

รัฐธรรมนูญโดยยังมิได้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๐๖ (๒) (๗) หรือ (๘) หรือยัง ประกอบวิชาชีพตาม (๑) อยู่ ต้องแสดงหลักฐานว่าได้ลาออกหรือเลิกประกอบวิชาชีพตาม

มาตรา ๒๐๖ (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) แล้ว ต่อประธานวุฒิสภาภายในเวลาที่ประธานวุฒิสภา

กำหนด จึงถือเป็นอันครบถ้วนที่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียง ประชามติ ในกรณีที่ไม่แสดงหลักฐานภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้นั้นสละสิทธิและ ให้ดำเนินการคัดเลือกหรือสรรหาใหม่

มาตรา ๒๐๙ ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๒๐๘ ถ้ามีผู้ได้

รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาจำนวนไม่เพียงพอกับกรณีความ ให้ผู้ได้รับความเห็นชอบเลือก กันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ ต้องรอให้ผู้ได้รับความเห็นชอบครบถ้วนก่อน และเมื่อโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมกันและกำหนดข้อปฏิบัติในการปฏิบัติหน้าที่โดยเร็วที่สุดนั้น ให้ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่าที่มีอยู่

มาตรา ๒๑๐ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้วินิจฉัยการกระทำอื่นใดเป็น

แต่เป็นที่พ้นระหว่างวิชาชีพหรือแต่งตั้ง และให้การวินิจฉัยนั้นไม่ได้เพราะรายละเอียด

มาตรา ๒๑๑ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๐๖ ตุลาการศาล

รัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

(๑)

ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๒๐๖ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๒

(๒)

ตาย

(๓)

ลาออก

(๔)

มีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์

(๕)

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้พ้นจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า สามในสี่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่มีอยู่เพราะเหตุฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

(๖)

พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๒๕๙ วรรคสาม ประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งลาออกจากตำแหน่ง ให้พ้นจากตำแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย ในกรณีที่มีการพ้นจากตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งว่างลง ให้ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญที่พ้นจากตำแหน่งดำเนินการให้ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งตุลาการศาล รัฐธรรมนูญใหม่แทน ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ใด ให้ดำเนินการตามที่มาตรา ๒๐๓

(๙)

หรือ (๑๐) หรือให้เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา ๒๐๓ เป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นที่สุด การร้องขอ ผู้มีสิทธิร้องขอ การพิจารณา และการวินิจฉัยตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๒๐๙ ในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งก่อนการและยังไม่มีการแต่งตั้งบุคคลการศาลรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้ผู้ถูกกล่าวศาลรัฐธรรมนูญที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้

บทบัญญัติในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับกรณีมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหลืออยู่ไม่ถึงห้าคน

มาตรา ๒๑๐ ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(๑)

พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย

(๒)

พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ

(๓)

หน้าที่และอำนาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การยื่นคำร้องและเงื่อนไขในการยื่นคำร้อง การพิจารณาวินิจฉัย การทำคำวินิจฉัย และการดำเนินการของศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ให้บทบัญญัติในมาตรา ๑๕๔ มาตรา ๑๕๕ มาตรา ๑๕๖ และมาตรา ๑๕๗ มาใช้บังคับแก่ศาลรัฐธรรมนูญโดยอนุโลม

มาตรา ๒๑๑ องค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการนั่งพิจารณาและในการทำคำวินิจฉัยต้องประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่าห้าคน

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ถือเสียงข้างมาก เว้นแต่รัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ใดจะปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องนั้นมิได้ในกรณีที่ตนเองหรือบุตรหลานของตนมีส่วนได้เสียในเรื่องนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ

มาตรา ๒๑๒ การพิจารณาและวินิจฉัยให้เป็นไปตามหลักการพิจารณาคดีอันเป็นธรรมและให้คู่กรณีมีโอกาสได้รับฟังข้อกล่าวหา ตรวจพยานหลักฐาน และโต้แย้งข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาและวินิจฉัยให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำคัดค้านเกี่ยวกับองค์คณะของศาลตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นกระบวนการได้กระทบการวินิจฉัย คำคัดค้านนั้นจะไม่รับฟังและถือว่าไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำ พิพากษาของศาลอื่นซึ่งถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในคดีอาญาให้เฉพาะผู้ซึ่งสมควรถูกกล่าวหาพิพากษา กระทำความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วย มาตรา 5 นั้น เป็นผู้ไม่เคยกระทำความผิดดังกล่าว หรือคำที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ปล่อยตัว ไป แต่ห้ามมิให้เอาคำวินิจฉัยที่วินิจฉัยว่าขัดต่อเจตนารมณ์หรือศีลธรรมอันดีมาใช้

มาตรา 203 บุคคลซึ่งถูกลิดรอนสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง ไว้และมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการลิดรอนสิทธิหรือเสรีภาพนั้นเป็นผลมาจากการบังคับ ใช้รัฐธรรมนูญ หรือบทหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

มาตรา 204 ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 203 วรรคสาม และผู้ถูกกล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญต้องอยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน ให้ ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดร่วมกันแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและ ไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นตุลาการศาล รัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ หรือจนกว่าจะมีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทน

หมวด 12

องค์กรอิสระ

ส่วนที่ 1

บททั่วไป

มาตรา 205 องค์กรอิสระเป็นองค์กรที่ต้องตั้งขึ้นให้มีความอิสระในการ ปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจขององค์กรอิสระต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ

มาตรา 206 นอกจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ เป็นการเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวขององค์กรอิสระแล้วองค์กรและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กร อิสระต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามทั่วไปดังต่อไปนี้

(1) มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปี แต่ไม่เกินเจ็ดสิบปี (2) มีคุณสมบัติตามมาตรา 201 (1) (3) (4) และ (6) (3) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 202

มาตรา 207 เมื่อมีกรณีที่ต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น ตำแหน่งที่ว่างลงในองค์กรอิสระ ให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติ และปราศจากลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การสรรหาตามมาตรา 201 (4) ให้ประกอบด้วยบุคคลซึ่งแต่งตั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระที่ต้องสรรหาต้องมีมติร่วมกัน

ให้คำความในมาตรา ๒๐๘ มาตรา ๒๐๙ มาตรา ๒๑๐ และมาตรา ๒๑๑ มาใช้บังคับแก่การจรรยามรรยาทหนึ่งโดยอนุโลม

มาตรา ๒๐๗ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

(๑)

ตาย

(๒)

ลาออก

(๓)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามทั้งในไปตามมาตรา ๒๖ หรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเฉพาะตามมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ หรือมาตรา ๒๖ วรรคสอง และตามกฎหมายที่ตราขึ้นตามมาตรา ๒๖ วรรคสี่ แล้วแต่กรณี ให้คำความในมาตรา ๒๐๗ วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า และมาตรา ๒๐๙ มาใช้บังคับแก่การพ้นจากตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระโดยอนุโลม ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๐๕ วรรคสาม ถ้ามีจำนวนเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้คำความในมาตรา ๒๐๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๒๐๙ ให้หลักรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

กระทำการขึ้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ในหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระอื่น ให้แจ้งองค์กรอิสระนั้นทราบเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

ส่วนที่ 2

คณะกรรมการการเลือกตั้ง

มาตรา 22 คณะกรรมการการเลือกตั้งประกอบด้วยกรรมการจำนวนเจ็ดคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากบุคคลดังต่อไปนี้

(1) ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่าง ๆ หรือมีประโยชน์แก่การบริหารและจัดการการเลือกตั้งอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา จำนวนห้าคน (2) ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองปลัดกระทรวง หรือดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธิบดีมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี ซึ่งได้รับการสรรหาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวนสองคน ผู้ซึ่งจะได้รับการสรรหาเป็นกรรมการการเลือกตั้งตาม (1) ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 26 (2) (3) (4) (6) หรือ (7) หรือ (8) หรือเป็นผู้ทำงานหรือเคยทำงานในภาคประชาสังคมมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการสรรหาประกาศกำหนด

มาตรา 23 กรรมการการเลือกตั้งซึ่งมีการกระทำดังกล่าวในมาตรา 22 ให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ากระทำการเลือกตั้งหรือจัดการเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เป็นธรรม

ในระหว่างที่กรรมการการเลือกตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนอายุครบ และยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แต่ถ้าสมาชิกกรรมการการเลือกตั้งเหลืออยู่ไม่ถึงสี่คนให้กระทำได้แต่เฉพาะการที่จำเป็นอื่นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

มาตรา 24 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(1) จัดหรือดำเนินการให้มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกสมาชิกวุฒิสภา การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และการออกเสียงประชามติ (2) ควบคุมดูแลการเลือกตั้งและการเลือกตาม (1) ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อการนี้ ให้มีอำนาจสั่งการหรือไต่สวนเพื่อดำเนินการที่จำเป็นหรือที่เห็นสมควร (3) เมื่อผลการสืบสวนหรือไต่สวนตาม (2) หรือผลแห่งการพิจารณาเหตุอันควรสงสัยว่าการเลือกตั้งหรือการจัดการเลือกตั้ง (1) มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือการออกเสียงประชามติไม่เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้มีอำนาจสั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการเลือกตั้งหรือการเลือก หรือออกเสียงประชามติ และสั่งให้ดำเนินการเลือกตั้ง เลือก หรือออกเสียงประชามติใหม่ในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วย หรือทุกหน่วย

(ด)

สั่งระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตาม (จ) ไว้เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปี เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้นั้นกระทำการทุจริตในการกระทำของบุคคลอื่น ที่มีลักษณะเป็นการทุจริตหรือทำให้การเลือกตั้งหรือการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม

(ฉ)

ดูแลการดำเนินงานของพรรคการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย

(ช)

หน้าที่และอำนาจอื่นตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ในการสืบสวนหรือไต่สวนตาม (1) คณะกรรมการการเลือกตั้งจะมอบหมายให้กรรมการการเลือกตั้งคนใดคนหนึ่ง หรือมอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการ หรือมอบหมายให้คณะอนุกรรมการการเลือกตั้งภายใต้การกำกับของกรรมการการเลือกตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดก็ได้ การใช้อำนาจตาม (3) ให้กรรมการการเลือกตั้งแต่ละคนซึ่งพบเห็นการกระทำความผิดมีอำนาจระงับได้สำหรับหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งที่พบเห็นการกระทำความผิด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

มาตรา 25 ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งหรือการเลือกตั้ง ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งหรือการเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติอย่างน้อยให้การเลือกตั้งหรือการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งนั้น ผู้ที่กระทำการหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง

มีให้นับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งพ้นจากปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสี่เป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี ให้นำมาตรา ๑๓ ที่ใช้บังคับกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นด้วยโดยอนุโลม แต่ให้อำนาจของคณะกรรมการเป็นอำนาจของศาลฎีกา และให้คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นที่สุด การพิจารณาคำพิพากษาของศาลฎีกาพิพากษาตามมาตรา ๑๓ ให้เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาซึ่งต้องกำหนดให้ชัดเจนไม่ล่าช้าและให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว

มาตรา ๒๗๒ ในระหว่างที่พระราชบัญญัติให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือการเลือกสมาชิกวุฒิสภา หรือเมื่อประกาศให้มีการออกเสียงประชามติ มีผลใช้บังคับ ห้ามไม่ให้ข่มขู่ คุมขัง หรือพยายามกระทำการกระทำการเลือกตั้งไปสู่ความวุ่นวาย ห้ามได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือในกรณีอื่นในขอบเขตที่ความสงบ

ในกรณีที่มีการจัดการการเลือกตั้งในเขตเดียวกันหรือหลายเขต หรือซับหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งในกรณีอื่น ให้รายงานต่อประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยด่วน และให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจสั่งการได้ แต่ถ้าประธานกรรมการการเลือกตั้งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีอยู่เป็นผู้ดำเนินการ

ส่วนที่ ๓

ผู้ตรวจการแผ่นดิน

มาตรา ๒๖๒ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีจำนวนสามคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา

ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินไม่ต่ำกว่าหนึ่งปีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐ ที่เกี่ยวข้องให้ยุติหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมดังกล่าว

(๓)

เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาดำเนินการที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินตาม (๑) หรือ (๒) โดยไม่มีเหตุผลสมควร ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแจ้งต่อคณะรัฐมนตรีทราบเพื่อการดำเนินการตามที่เห็นสมควรต่อไป ในการดำเนินการตาม (๑) หรือ (๒) หากเป็นกรณีที่เกี่ยวกับการละเมิด สิทธิมนุษยชน ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำเนินการต่อไป

มาตรา ๒๖๒ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๖๑ ผู้ตรวจการแผ่นดิน อาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีสาระ ดังต่อไปนี้

(๑)

บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้เสนอหรือร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธี พิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

(๒)

กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องหรือร้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

ส่วนที่ ๔

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

มาตรา ๒๖๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วยกรรมการจำนวนเก้าคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ที่ได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา

ผู้ที่ได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มี ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย บัญชี เศรษฐศาสตร์ การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และต้องเป็นผู้มีความกล้าหาญและมีความเป็นกลางทางการเมือง

(๑)

รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

(๒)

รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

(๓)

เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอัยการสูงสุดตุลาการรัฐธรรมนูญ หรือหน่วยงานของรัฐที่มิใช่เป็นส่วนราชการที่จัดตั้งตามกฎหมายเฉพาะไม่น้อยกว่าห้าปี (c) ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์

(ง)

เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่กฎหมายรับรองการประกอบวิชาชีพโดยประกอบวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลไม่น้อยกว่าสิบปีนับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อ และได้รับการรับรองการประกอบวิชาชีพจากองค์กรวิชาชีพนั้น

(จ)

เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้านการบริหารการเงิน การคลัง การบัญชี หรือการบริหารกิจการสาธารณะในระดับไม่น้อยกว่าผู้บริหารระดับสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี

(ฉ)

เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งตาม (1) (2) (3) (4) หรือ (5) รวมกันไม่น้อยกว่าสิบปี การนับระยะเวลาตามวรรคสอง ให้นับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหา แล้วแต่กรณี

มาตรา 23 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีกรรมการดำรงตำแหน่งเดียวกันกับพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว

ในระหว่างที่กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระและยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้กรรมการที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เว้นแต่มีจำนวนไม่ถึงกึ่งหนึ่งหรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้

มาตรา 24 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(1) ได้สอบสวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในแผ่นดิน ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อดำเนินการต่อไปตามรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (2) ได้สอบสวนและวินิจฉัยกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเพื่อดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (3) ดำรงตำแหน่งใหม่ในกรณีที่ตำแหน่งเดิมพ้นไปแล้วแต่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใหม่หรือยังไม่มีการสรรหา ผู้สมัครเข้ารับการสรรหา หรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งใหม่ในกรณีที่ตำแหน่งเดิมพ้นไปแล้วแต่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใหม่หรือยังไม่มีการสรรหา ผู้สมัครเข้ารับการสรรหา หรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งใหม่ในกรณีที่ตำแหน่งเดิมพ้นไปแล้วแต่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใหม่หรือยังไม่มีการสรรหา ผู้สมัครเข้ารับการสรรหา หรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งใหม่ในกรณีที่ตำแหน่งเดิมพ้นไปแล้วแต่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใหม่หรือยังไม่มีการสรรหา ผู้สมัครเข้ารับการสรรหา หรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งใหม่ในกรณีที่ตำแหน่งเดิมพ้นไปแล้วแต่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใหม่หรือยังไม่มีการสรรหา ผู้สมัครเข้ารับการสรรหา หรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งใหม่ในกรณีที่ตำแหน่งเดิมพ้นไปแล้วแต่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งใหม่หรือยังไม่มีการสรรหา ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม (๑) (๒) และ (๓) ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่จะต้องจัดให้มีกลไกการขับเคลื่อนทางที่จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพที่เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม ในกรณีจำเป็นอาจมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตดำเนินการแทนในเรื่องที่มิได้เป็นความผิดอาญาแผ่นดินหรือที่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เพื่อรัฐบางระดับหรือกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยรัฐรายงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในเรื่องที่ผู้ดำเนินการสอบสวนหรือไต่สวนเมื่อมีข้อเท็จจริงหลากหลาย วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้

มาตรา ๒๕๔ ผู้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา ๒๓๖ วรรคสองที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเฉพาะที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต อดีตกรรมการรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๒๓๖ (๑) ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการไต่สวนถึงข้อจริงและหากมีมูลถือความผิดและไม่ต้องหาคำฟ้องของกรรมการที่พิจารณาคดีที่พอมีมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีพฤติกรรมหรือกระทำความผิดตามที่ได้เสนอให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

(๑)

ถ้าเป็นกรณีที่ศาลหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการในมาตรา ๒๖๒ วรรคสอง มาใช้บังคับกับการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาโดยอนุโลม

(๒)

กรณีส่วนกลาง (๑) ให้ส่งมอบการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกา ตามมาตรา ๒๖๒ วรรคสอง หรือดำเนินการอื่นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติสอบสวนกรณีหนึ่ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เมื่อคดีถูกฟ้องศาลฎีกาและศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับฟ้อง ให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ที่ตนทำอาจจะฝ่าฝืนกฎหมาย เว้นแต่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ในกรณีที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐอีกต่อไป และไม่สามารถอ้างสิทธิตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐอีกต่อไป ในกรณีที่ศาลฎีกาแสดงคำพิพากษาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานจงใจปกปิดทรัพย์สิน ให้ทรัพย์สินที่ปกปิดนั้นตกเป็นของแผ่นดิน ที่ผู้นั้นได้มาจากการกระทำความผิด รวมทั้งบรรดาทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้มาแทนทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ดำเนินการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามหลักในการพิจารณา และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ให้นำมาตรการบังคับใช้กับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยตามมาตรา ๒๗๓ (๓) จึงไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงบัญชีทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้นด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๒๗๖ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของพรรคการเมืองคนใดไม่ยอมทำหน้าที่ของตนจนเป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือสภาทั้งสองแห่งที่อยู่ของทั้งสองสภาหรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยของตนได้ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าสมาชิกผู้นั้นกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงและให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการตามมาตรา ๒๗๔ (๗) โดยมิชักช้าและประธานรัฐสภาให้ถือว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติ ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้สมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงจากผู้มีความเห็นว่าการกระทำของสมาชิกผู้นั้นเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม หน้าที่และอำนาจ วิธีการไต่สวน ระยะเวลา การไต่สวนและการดำเนินการอื่นตามมาตรานี้ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๒๗๗ เมื่อดำเนินการไต่สวนแล้วเสร็จ ให้คณะผู้ไต่สวนสรุปชี้ขาดดำเนินการดังต่อไปนี้

(๑)

ถ้าเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้สั่งยุติเรื่อง และให้แจ้งคำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด

(๒)

ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๒๗๕ วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม

(๓)

ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และเห็นควรดำเนินการ ให้ส่งคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และให้กำหนดระยะเวลาในการฟ้องคดีตามวรรคสามและวรรคสี่มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ส่วนที่ ๕

คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

มาตรา ๒๗๘ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินประกอบด้วยกรรมการจำนวนเก้าคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้ที่ได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา

ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน กฎหมาย การบัญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลัง และต้องเป็นที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจเงินแผ่นดิน ทั้งนี้ เป็นมาลาไม่เกินหกสิบปี

มาตรา ๒๙ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีอำนาจกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นส่วนที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว

มาตรา ๓๐ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(๑)

วางนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน

(๒)

กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน

(๓)

กำกับการตรวจเงินแผ่นดินให้เป็นไปตาม (๑) และ (๒) และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ

(๔)

ให้คำปรึกษา แนะนำ หรือเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมทั้งการให้แนะนำหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน

(๕)

สั่งลงโทษทางปกครองกรณีมีการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ถูกสั่งลงโทษตาม (๕) อาจอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในกำหนดสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง ในการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดต้องคำนึงถึงนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดินตาม (๑) และ (๒) ประกอบด้วย

มาตรา ๓๑ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนหนึ่งซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของสภาโดยได้รับการเสนอชื่อจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต้องเป็นผู้ซึ่งมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน กฎหมาย การบัญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลัง และต้องเป็นที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจเงินแผ่นดิน การสรรหา การคัดเลือก และการเสนอชื่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

มาตรา ๒๖๒ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินปฏิบัติหน้าที่โดยเที่ยงธรรม เป็นกลาง และปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ โดยมีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้

(๑)

ตรวจเงินแผ่นดินตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดินที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกำหนด และตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ

(๒)

ตรวจผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณของหน่วยงานของรัฐ

(๓)

มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตาม (๑) และ (๒)

(๔)

กำกับและรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตาม (๓)

มาตรา ๒๖๓ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินมีความซื่อสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่โดยรับผิดชอบต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยธุรการของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

วารการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

มาตรา ๒๖๔ ในกรณีที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการใช้เงินแผ่นดินมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี เพื่อทราบและดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

ในการดำเนินการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือหน่วยงานอื่นตามที่ได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเอกสารหลักฐานที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้วถือเป็นหลักฐานสำคัญของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือหน่วยงานอื่น แล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๖๕ เพื่อประโยชน์ในการตรวจเงินหรือบัญชีของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินมีอำนาจเรียกให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ หรือเรียกให้บุคคลใดมาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ก็ได้

ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ให้ปรึกษาหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการด้วยความระมัดระวังและรักษาความลับของทางราชการด้วย

ส่วนที่ 6

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

มาตรา 256 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีประกอบด้วยกรรมการจำนวนเจ็ดคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งได้รับการสรรหา

ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การสรรหา และการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทั้งนี้ บทบัญญัติเกี่ยวกับการสรรหาต้องกำหนดให้ผู้แทนองค์กรภาคประชาชนด้านสิทธิมนุษยชนมีส่วนร่วมในการสรรหาด้วย

มาตรา 257 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้

(1) ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนการตีความหรือไม่บังคับใช้กฎหมายไทยให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน (2) จัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศเสนอรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี และเผยแพร่ต่อประชาชน (3) เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน (4) ชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้าในกรณีที่มีการตีความสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยใช้อคติหรือไม่เป็นธรรม (5) สร้างเสริมจิตสำนึกของสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน หน้าที่และอำนาจอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อมีรายงานตาม (1) และ (2) หรือข้อเสนอแนะตาม (3) ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการโดยไม่ชักช้า หากไม่ดำเนินการต้องแจ้งเหตุผลให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบ หรือชี้แจงในกรณีที่นำเสนอต่อรัฐสภา เพื่อให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบโดยไม่ชักช้า ในการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต้องคำนึงถึงความเท่าเทียมของประชาชนชาวไทยและประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ

หมวด ๑๓

องค์กรอัยการ

มาตรา ๒๕๔ องค์กรอัยการมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

หน้าที่งานอัยการมีอิสระในการจัดการหลังคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เที่ยงธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง และไม่ให้ถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่นขององค์กรอัยการให้มีความเป็นอิสระโดยให้มีระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการเฉพาะตามความเหมาะสมและกรบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับพนักงานอัยการต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการอัยการ ซึ่งมีอัยการสูงสุดเป็นประธานและกรรมการซึ่งต้องไม่เป็นพนักงานอัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิบริหารที่ได้รับเลือกจากพนักงานอัยการ ผู้ทรงคุณวุฒิกล่าวอย่างน้อยหนึ่งคนต้องมิใช่หรือเคยเป็นพนักงานอัยการมาก่อน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ กฎหมายตามวรรคสาม ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้พนักงานอัยการกระทำการหรือดำรงตำแหน่งโดยอันอาจมีผลให้การจัดหรือการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามวรรคสอง หรืออาจทำให้ประชาชนหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องขาดความเชื่อถือในความเป็นอิสระและใช้เป็นการทั่วไป โดยจะมอบอำนาจให้แก่กรรมการอัยการมิได้

หมวด ๑๔

การปกครองส่วนท้องถิ่น

มาตรา ๒๕๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๑ ให้มีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามวิธีการและรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กฎหมายบัญญัติ

การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบใดให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นและความสามารถในการปกครองตนเองในด้านการเงินได้ จำนวนและความหนาแน่นของประชากร และพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

มาตรา ๒๕๖ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งที่เป็นนิติบุคคลและอิสระทำหน้าที่อิสระและดำเนินกิจกรรมสาธารณะของตนเองตามหลักแห่งการปกครองตนเอง รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

หน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องไม่ขัดต่อหรือแย้งกับหน้าที่และอำนาจของรัฐตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละระดับและระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมมีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามความจำเป็นและเหมาะสมของแต่ละแห่ง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยให้คำนึงถึงการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องคำนึงถึงภารกิจที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งต้องดำเนินการ ตลอดจนประชากรและสภาพเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ในการจัดทำบริการสาธารณะหรือกิจกรรมสาธารณะใดที่เป็นหน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ้าการร่วมดำเนินการกับเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐที่มิใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐอื่นนั้นจักเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในท้องถิ่นมากกว่าการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะดำเนินการเอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจร่วมพิธีขออนุมัติให้เอกชนหรือหน่วยงานของรัฐดำเนินการนั้นก็ได้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ของตนเองโดยจัดระบบการบริหารจัดการที่มีความเหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเพียงพอ ในระหว่างที่ยังไม่อาจดำเนินการได้ ให้รัฐจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปพลางก่อน กฎหมายเฉพาะการรวมที่มีและกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหาร การจัดทำบริการสาธารณะ การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา การเงินและการคลัง และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งต้องคำนึงถึงหลักการแห่งการปกครองตนเองของประชาชนในท้องถิ่นหรือประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม การใช้อำนาจรัฐ และการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความแตกต่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งและความจำเป็นของท้องถิ่นนั้นด้วย รวมทั้งต้องมีมาตรการป้องกันและการป้องปรามการทุจริตตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๒๕๕ สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง

ผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งหรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่นหรือในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ จะให้มาจากวิธีอื่นก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย

มาตรา ๒๕๖ การดำเนินงาน ให้คำนึงถึงความเหมาะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาพท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นที่เป็นตัวแทนของประชาชนตามหลักการปกครองตนเอง รวมตลอดถึงหลักให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๒๕๗ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อเพื่อขอให้มีการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายบัญญัติ

หมวด ๑๕

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้

มาตรา ๒๕๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้

(๑)

ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภารวมกัน หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

(๒)

ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ

(๓)

การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่เสนอโดยประชาชนตาม (๑) วรรคหนึ่งไม่ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนั้นตกไป

(๔)

การพิจารณาในวาระที่สองซึ่งเป็นการพิจารณาเรียงลำดับมาตรา โดยการออกเสียงในวาระที่สองนี้ ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่ในกรณีที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเป็นผู้เสนอ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อกันได้แสดงความคิดเห็นด้วย

(๕)

เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนั้นแล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป

(๖)

การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยไม่นับรวมจำนวนสมาชิกที่ขาดประชุมในวันลงคะแนนเสียงและจำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมแต่ไม่ออกเสียงลงคะแนนเสียงหรือออกเสียงงดออกเสียง

(๗)

เมื่อมีการลงมติเห็นชอบตาม (๖) แล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน แล้วส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระมหากษัตริย์เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาใช้บังคับต่อไป

(๘)

ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๑๕ พระมหากษัตริย์ หรือหมวด ๑๖ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องอื่น ที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจของคณะ หรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ให้คณะหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออำนาจได้ ก่อนดำเนินการตาม (ข) ให้ต้องให้การออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จึงให้ดำเนินการตาม (ข) ต่อไป

(จ)

ก่อนนายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตาม (ข) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกขององค์กรอิสระตาม (ข) มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือขัดต่อหลักการตามที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาแล้วเกินกรณี ว่าขัดรัฐธรรมนูญตาม (ข) ข้อถัดมาตรา ๒๕๔ หรือมีหลักฐานแสดง (จ) และให้ประธานแห่งรัฐสภาที่ได้รับเรื่องดังกล่าวส่งความตามที่แย้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพระมหากรุณาธิคุณลงพระปรมาภิไธยไม่ได้

หมวด ๑๖

การปฏิรูปประเทศ

มาตรา ๒๕๗ การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้

(๑)

ประเทศมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น

(๒)

สังคมมีความสงบสุข เป็นธรรม และมีโอกาสอันเท่าเทียมกันเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ

(๓)

ประชาชนมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา ๒๕๘ ให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล ดังต่อไปนี้

ก. ด้านการเมือง

(๑)

ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งส่งผลในการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนอย่างมีคุณภาพและปราศจากการครอบงำทางการเมือง

(๒)

ให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็งและเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสำคัญต่อระบบการเมือง เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถทำหน้าที่ในการรวบรวมและสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน อีกทั้งให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมและมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถกำหนดนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ ความรับผิดชอบอย่างแท้จริงในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและการคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมจริยธรรม เข้าดำรงตำแหน่งผู้นำหรือดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม

(๓)

มีกลไกที่กำหนดความรับผิดชอบของพรรคการเมืองในการประกาศนโยบายที่ได้วิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่า และความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

(๔)

มีกลไกที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรับผิดชอบต่อประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน

(๕)

มีกลไกแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธีภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ช. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

(๑)

ให้มีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน และเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน

(๒)

ให้มีการบูรณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นระบบข้อมูลที่สนับสนุนการตัดสินใจและการบริการประชาชน

(๓)

ให้มีการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน โดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของภารกิจและประสิทธิภาพของการบริหารราชการแผ่นดิน โดยต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

(๔)

ให้มีการปรับปรุงและพัฒนาการบริหารงานบุคคลภาครัฐเพื่อจูงใจให้ผู้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงเข้ามาทำงานในหน่วยงานของรัฐ และสามารถเจริญก้าวหน้าได้ตามความสามารถและผลสัมฤทธิ์ของงานของตนเองและบุคคล มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าตัดสินใจในเฉพาะหน้าสิ่งที่ถูกต้องโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว มีความคิดสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้การปฏิบัติราชการและการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส คุ้มครองเจ้าหน้าที่บุคลากรภาครัฐจากการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมของผู้บังคับบัญชา

(๕)

ให้มีการปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความคล่องตัว เปิดเผย ตรวจสอบได้ และมีผลในทางปฏิบัติในการป้องกันการทุจริตทุกรูปแบบ ค. ด้านกฎหมาย

(๑)

มีกลไกให้มีการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหรือการประกอบอาชีพของประชาชน โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตหรือประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข โดยมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนและมีกลไกการติดตามผลการดำเนินงาน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ

(ข)

ปฏิรูประบบการเรียนการสอนและการศึกษาด้านวิชากฎหมาย เพื่อพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายให้เป็นผู้มีความรอบรู้ มีจิตสำนึกและยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรมของนักกฎหมาย

(ค)

พัฒนาระบบฐานข้อมูลกฎหมายของรัฐโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลกฎหมายได้สะดวก และสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระของกฎหมายได้ง่าย

(ง)

จัดให้มีกลไกช่วยเหลือประชาชนในการจัดทำและเสนอร่างกฎหมาย ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม

(ก)

ให้มีการกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า และมีกลไกช่วยเหลือประชาชนผู้ยากจนและผู้พิเศษให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ รวมตลอดถึงการสร้างกลไกเพื่อการรับคำการลางกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม

(ข)

ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม และให้มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับพนักงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความถูกต้องและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน รวมทั้งให้มีการพัฒนาระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีประสิทธิภาพโดยการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการสอบสวน และให้มีการจัดให้บริการทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มีมาตรฐานและครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการด้านการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างท่วงทีและเลือก

(ค)

เสริมสร้างและพัฒนาจิตสำนึกธรรมขององค์กรขององค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมให้มุ่งอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนโดยสะดวกและรวดเร็ว

(ง)

ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับหน้าที่ อำนาจ และการดำเนินขององค์กรต่าง ๆ ให้เหมาะสม และแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการบังคับการตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้รับคำตอบแทนที่เหมาะสม ได้รับความเป็นธรรมในกรณีที่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการกระทำที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งในทางตรงข้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำผิดจะต้องถูกลงโทษตามความร้ายแรงของการกระทำ และให้มีการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดซ้ำอีก รวมทั้งให้มีการกำหนดมาตรการคุ้มครองบุคคลที่ให้ข้อมูลหรือเบาะแสทุกกรณีไว้ในกฎหมาย จ. ด้านการศึกษา

(ก)

ให้สถานศึกษาดำเนินการจัดให้เด็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาในภาคบังคับ ๔๕ ชั่วโมงต่อปี เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาทางกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้สมกับวัยโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ปกครอง

(ข)

ให้ดำเนินการตรากฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนตามมาตรา ๔๕ วรรคห้า ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้

(ค)

ให้สภาเด็กและเยาวชนจัดสรร คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูและอาจารย์ที่ได้ผู้ซึ่งสัญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถและประสิทธิภาพในการสอน รวมทั้งมีกลไกสร้างระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลของผู้ประกอบวิชาชีพครู

(ง)

ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัดและปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยสอดคล้องกับทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ ฉ. ด้านเศรษฐกิจ

(จ)

ช่วยอุปสรรคและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมกลุ่มเศรษฐกิจต่าง ๆ อย่างยั่งยืน โดยมีมิติผู้มีส่วนได้เสีย

(ช)

สร้างกลไกเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการนำความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศ

(ซ)

ปรับปรุงระบบการจัดการให้มีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มพูนรายได้ของประชาชนอย่างทั่วถึง และปรับปรุงระบบการจัดเก็บและการใช้จ่ายภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพ

(ฌ)

สร้างกลไกเพื่อส่งเสริมสหกรณ์และผู้ประกอบการแต่ละขนาดให้มีความสามารถในการแข่งขันอย่างเหมาะสม และส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจเพื่อสังคมและวิสาหกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างกลไกเพิ่มโอกาสในการทำงานและการประกอบอาชีพของประชาชน ช. ด้านอื่น ๆ

(ญ)

ให้มีระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และยั่งยืนโดยคำนึงถึงความต้องการใช้น้ำในทุกมิติ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศของโลก

(ฎ)

จัดให้มีการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม รวมทั้งการตรวจสอบกรรมสิทธิ์และการถือครองที่ดินทั่วประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการครอบครองสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินอย่างเป็นธรรม

(ฏ)

จัดให้มีระบบการบริหารจัดการข้อมูลและข้อมูลเปิดที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และยั่งยืน โดยคำนึงถึงความต้องการใช้น้ำในทุกมิติ

(ฐ)

ปรับปรุงระบบสวัสดิการและการคุ้มครองให้ประชาชนได้รับสิทธิและประโยชน์จากการบริหารจัดการของรัฐอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

(ฑ)

ให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิที่แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชนในเขตพื้นที่เหมาะสม

มาตรา ๒๕๙ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๖๐ และมาตรา ๒๖๒ การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศหรืออย่างน้อยต้องมีวิธีการจัดทำแผน การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนในการดำเนินการปฏิรูปประเทศ การจัดสรรทรัพยากรดำเนินการ และระยะเวลาดำเนินการปฏิรูปประเทศทุกด้าน ซึ่งต้องกำหนดให้เริ่มดำเนินการปฏิรูปในแต่ละด้านภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้รวมตลอดทั้งผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังว่าจะบรรลุในระยะเวลาหนึ่งปี

ให้ดำเนินการตรากฎหมายตามวรรคหนึ่ง และประกาศใช้บังคับภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ในระหว่างที่กฎหมายตามวรรคหนึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการปฏิรูปโดยอาศัยหน้าที่และอำนาจที่มีอยู่แล้วไปพลางก่อน

มาตรา ๒๖๐ ในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตามมาตรา ๒๕๙ (๔) ด้านกระบวนการยุติธรรม (๔) ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ประกอบด้วย

(๑)

ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์และไม่เคยเป็นข้าราชการตำรวจมาก่อน เป็นประธาน

(๒)

ผู้แทนหรือเลขาธิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งต้องไม่อยู่ในฐานะตำรวจแห่งชาติรวมอยู่ในคณะกรรมการด้วย

(๓)

ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์และไม่เคยเป็นข้าราชการตำรวจมาก่อน จำนวนหนึ่งที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (๓) เป็นกรรมการ

(๔)

ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ ให้คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เมื่อครบกำหนดเวลาตามวรรคสองแล้ว ถ้าการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ให้คณะรัฐมนตรีสั่งให้ข้าราชการตำรวจดำเนินการตามหลักความสุจริตตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๒๖๒ ในการปฏิรูปตามมาตรา ๒๕๙ ด้านการศึกษา ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ประกอบด้วยผู้แทนองค์กรวิชาชีพด้านการศึกษาและคณะกรรมการอื่นๆตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร

ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และให้คณะกรรมการดังกล่าวจัดทำข้อเสนอแนะและร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีภายในสองปีนับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง บทเฉพาะกาล

มาตรา ๒๖๒ ให้คณะของคณะมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะของคณะมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๒๖๓ ในระหว่างที่ยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งมีอยู่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ยังคงทำหน้าที่รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ต่อไป และให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา ตามลำดับ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสร็จสิ้นการทำหน้าที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติสิ้นสุดลงในวันก่อนวันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นตามรัฐธรรมนูญนี้

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม รวมทั้งพ้นจากการมีลักษณะต้องห้ามที่บัญญัติไว้สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญนี้ ดังต่อไปนี้ด้วย

(๑)

มาตรา ๙๘ ยกเว้น (๓) (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕)

(๒)

มาตรา ๑๐๐ ยกเว้น (๓)

(๓)

กรณีตาม (๗) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา ๙๘ ยกเว้น (๓) (๑๒) (๑๓) และ (๑๕)

(๔)

กรณีตาม (๙) เฉพาะในกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติราชการตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายหรือคำสั่งที่ออกด้วยกฎหมาย และในส่วนที่เกี่ยวกับ มาตรา ๑๐๐ (๑)

(๕)

มาตรา ๑๐๐ ยกเว้น ก. คุณสมบัติข้อ (๓) และ (๔) และ ข. ลักษณะต้องห้ามตาม (๑) (๒) และ (๗) แต่เฉพาะกรณีตาม (๙) นั้น ไม่รวมส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา ๙๘ (๓) และ (๑๕) ให้ไม่นำมาตรา ๒๑๖ มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ห้ามมิให้บุคคลซึ่งกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนให้แก่เจ้าหน้าที่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งหรือในฐานะใดฐานะหนึ่ง ให้ถือว่าบทบัญญัตินั้นมิได้ใช้บังคับแก่การกระทำของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในกรณีที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในระหว่างที่ยังไม่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๒๖๒ หรือมาตรา ๒๖๓ ในระหว่างที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติยังคงทำหน้าที่รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่ามีอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายอื่นจนกว่าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ในระหว่างที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่ตามวาระครบหนึ่ง หากมีตำแหน่งว่างลง หัวหน้าคณะรัฐมนตรีอาจส่งหนังสือถึงหัวหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อทรงแต่งตั้งผู้สมควรขึ้นและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสอง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่างได้ เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้วประกาศผลการเลือกตั้งจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้รับเลือกตั้งครั้งแรกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ได้ ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๒๖๔ ให้คณะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ตามหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะรับมอบหน้าที่และรับผิดชอบราชการแผ่นดินตามมาตรา ๒๖๓ วรรคสาม มาใช้บังคับแทนการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของบุคคลโดยอนุโลม

รัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แล้ว ยังต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้สำหรับรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖๐ ยกเว้น (๑) หมวด ๑ ส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา ๙๘ (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓) และต้องพ้นจากลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐ ยกเว้น (๓) และ (๔) ในกรณีตาม (๔) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา ๑๔๔ และ (๕) และเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา ๑๘๖ (๑) การดำเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐมนตรีเสนอหรือสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ แต่ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสองด้วย ให้นำความในมาตรา ๒๖๓ วรรคสอง มาใช้บังคับแทนการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งและวรรคสามด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๒๖๕ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ มีอำนาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ตามหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะรับมอบหน้าที่และรับผิดชอบราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ และให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป ให้ข้อความในมาตรา ๒๖๓ วรรคสอง มาใช้บังคับในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๒๖๖ ให้คณะกรรมการการปฏิรูปประเทศอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปพลางก่อนเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ อนาคตจะมีการมอบหมายด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๒๗๐

เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือวิธีการทำงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อให้การปฏิรูปประเทศตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้ ให้ข้อความในมาตรา ๒๖๓ วรรคสอง มาใช้บังคับในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๒๖๗ ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๘ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๘ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ อยู่ในตำแหน่งทำหน้าที่ต่อไปเพื่อจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ต้องจัดทำให้แล้วเสร็จ และเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ดังต่อไปนี้

(๑)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(๒)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

(๓)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(๔)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

(๕)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

(๖)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและดุลยภาพของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

(๗)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน

(๘)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

(๙)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

(๑๑)

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวขึ้นใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และต้องมุ่งหมายให้การจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ และต้องทำให้แล้วเสร็จภายในอายุสี่สิบวันนับแต่วันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เสนอเรื่องต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตราเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อส

มาตรา ๒๖๗ ในวาระเริ่มแรก ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกจำนวนสองร้อยห้าสิบคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของประธานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้

(๑)

ให้คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคัดเลือกบุคคลซึ่งมีความรู้ความสามารถหรือมีประสบการณ์หรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพหรือการประกอบอาชีพต่าง ๆ และมีความเป็นกลางทางการเมืองจำนวนไม่น้อยกว่าสองเท่าของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่จะดำเนินการสรรหาบุคคลดังกล่าวรวมเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้

(ก)

ให้คณะกรรมการเลือกตั้งดำเนินการออกเสียงเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๐๗ จำนวนสองร้อยคนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดยให้ดำเนินการในแต่ละครั้งก่อนที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๒๖๖ ไม่น้อยกว่าสิบวันแล้วนำรายชื่อเสนอคณะกรรมการสรรหาแห่งชาติ

(ข)

ให้คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคัดเลือกบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมในอันจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาและการปฏิบัติประโยชน์แก่ส่วนรวมตามกรอบการสรรหาที่กำหนด ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จไม่ช้ากว่าวันเวลาที่กำหนดตาม (ก)

(ค)

ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติตัดสินใจเลือกบุคคลที่ได้รับเลือกตาม (ก) จากบัญชีรายชื่อที่ได้รับจากคณะกรรมการสรรหาแห่งชาติ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในด้านความรู้ความสามารถและความหลากหลายของบุคคลในแต่ละด้านอย่างทั่วถึง และให้ตัดเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อที่ได้รับการสรรหาตาม (ข) ให้ได้จำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคนรวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นลำดับสำคัญคน และคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อจากบัญชีรายชื่อที่ได้รับการสรรหาตาม (ข) รวมกันให้ครบ ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายในสามวันนับแต่วันที่ประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๒๖๖

(ง)

มีให้ดำเนินการในมาตรา ๑๐๗ ช. ลักษณะต้องห้าม (๗) ในส่วนที่เกี่ยวกับการเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือรับเงินเดือนผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับสรรหาตาม (๑) (ข) และให้ดำเนินการในมาตรา ๑๐๗ ช. ลักษณะต้องห้าม (๙) (๑๐) (๑๑) และมาตรา ๑๔๔ ช. ใช้บังคับกับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาโดยดำเนินการตาม

(๒)

ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติตัดสินใจเลือกบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งตาม (๑) จำนวนสองร้อยห้าสิบคนตามที่เห็นว่าเหมาะสมเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในวุฒิสภาโดยให้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งต่อไป และให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นผู้เสนอผู้สมควรรับสนองพระบรมราชโองการ

(๓)

อายุของสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรานี้นับแต่วันถัดจากวันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยการเลือกตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งในวุฒิสภา ให้ถือว่าดำรงตำแหน่งในวุฒิสภาโดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในวันเดียวกันนั้น (๑) (ก) ขึ้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาใหม่ โดยให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ดำเนินการและแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาใหม่ต่อไป พระบรมราชโองการ สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตำแหน่งเมื่อพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในขณะได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย และให้ดำเนินการเพื่อแต่งตั้งให้ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตำแหน่งแทน ให้สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่าง อยู่ในตำแหน่งเท่ากับอายุของวุฒิสภาที่เหลืออยู่

(๓)

ในระหว่างที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลในบัญชีรายชื่อสำรองขึ้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างตาม (๒) หรือมีกรณีที่ไม่มีรายชื่อบุคคลสำรองอยู่ในบัญชีรายชื่อรอง หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ไม่ว่า ด้วยเหตุใด ให้ผู้สมควรปฏิบัติหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาตามที่มีอยู่

(๔)

เมื่ออายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลงตาม (๓) ให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๐๗ ต่อไป และให้มีความในมาตรา ๑๐๘ วรรคสามมาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๒๐ นอกจากจะมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ให้ผู้มีสิทธิตามมาตรา ๒๖๙ ที่หน้าและอำนาจติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรา ๒๖๐ การปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ในกรณี ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งความคืบหน้าใน การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาเพื่อทราบทุกสามเดือน

พระบรมราชบัญญัติเรื่องการดำเนินการตามมาตรา ๑๖ การปฏิรูปประเทศ ให้เสนอและจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศ ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็นต้องตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ให้คณะรัฐมนตรีจัดทำร่างพระราชบัญญัตินั้นพร้อมกับการเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้น ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้แจ้งว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติพิเศษตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามมาตรา ๒๖๐ การปฏิรูปประเทศ หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามมาตรา ๒๖๐ การปฏิรูปประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดไม่อาจเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นได้ อาจเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติพิเศษให้แจ้งต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้พิจารณา ประธานสั่งคำร้องดังกล่าวต้องยื่นคำสั่งให้ผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี จะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นแล้วเสร็จ เมื่อประธานรัฐสภาได้รับคำร้องจากสภาผู้แทนราษฎร ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการร่วมซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ผู้ที่สมควรดำเนินการให้แล้วเสร็จ ผู้แทนคณะรัฐมนตรีและผู้แทนจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในสัดส่วนที่เท่ากัน ให้คณะกรรมการร่วมพิจารณาและให้ความเห็นในเวลาที่กำหนดในคำร้องนั้น และให้ประธานรัฐสภาแจ้งผลการพิจารณาให้คณะรัฐมนตรีทราบ การวินิจฉัยของคณะกรรมการร่วมดังกล่าวถือเป็นที่สุด และให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการร่วมดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการไปตามคำวินิจฉัยนั้น

มาตรา ๒๒ ในกรณีเร่งด่วนให้คณะรัฐมนตรีขอให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมร่วมกันของรัฐสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๓ (๒) หรือ (๓) ให้กระทำโดยมีประธานรัฐสภาเป็นประธานในที่ประชุมร่วมกันนั้น

(a) การแก้ไขเพิ่มเติมโทษหรือองค์ประกอบความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือตำแหน่งหน้าที่ในทางยุติธรรม หรือความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ เฉพาะเมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นมีผลให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากความผิดหรือไม่ต้องรับโทษ (b) ร่างพระราชบัญญัติที่มีชื่อมีลักษณะมีเนื้อความแสดงแน่ชัดว่าเนื้อหาอยู่ภายลักษณะตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา

มาตรา ๒๗๒ ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๕๙ เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๙ วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

ในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง หากที่ประชุมไม่อาจเลือกแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ได้ ให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีมติไม่เห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ โดยไม่ต้องนำความในมาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับ และมติที่เห็นชอบแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีคะแนนเสียงมากกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

มาตรา ๒๗๓ ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะพ้นจากตำแหน่งตามวาระ เว้นแต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญนี้จะบัญญัติให้ต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ทั้งนี้ การดำรงตำแหน่งดังกล่าวต้องไม่เกินเก้าปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นครั้งแรก และการดำรงตำแหน่งดังกล่าวต้องไม่เกินวาระที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ในกรณีที่ตำแหน่งว่างลงก่อนวาระ ให้ดำเนินการสรรหาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น

การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญต้องแล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เว้นแต่มีเหตุอันสมควรที่ไม่อาจดำเนินการได้ตามกำหนดดังกล่าว เป็นไปตามที่กำหนดของสภารัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๒๕๔ ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติสามารถปฏิบัติหน้าที่องค์กรอิสระตามที่และกำหนดในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ได้ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมตาม พ.ร.บ. ๒๕๕๓ เป็นองค์กรอิสระตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม และให้คณะรัฐมนตรีจัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับ

มาตรา ๒๕๕ ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระซึ่งดำเนินการให้มีมาตรฐานทางจริยธรรมตามมาตรา ๒๑๙ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่ง

ในกรณีที่มีการยกร่างสภารัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง ระยะเวลาที่เป็นอำนาจศาลพิจารณาให้แล้วเสร็จตามที่ศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นตำแหน่งให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดในวรรคหนึ่ง ให้ศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่งโดยอุปสมบท

มาตรา ๒๕๖ นอกจากที่บัญญัติไว้ในกรณีที่เป็นไปตามกระบวนการรัฐสภาให้คณะรัฐมนตรีเสนอกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๖๖ มาตรา ๑๘๔ และมาตรา ๒๕๔ วรรคสาม ย่อมสถาปนาบัญญัติแห่งกฎหมายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้

ในระหว่างที่ยังไม่มีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๑๖๖ มาตรา ๑๘๔ และมาตรา ๒๕๔ วรรคสาม ให้คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง และคณะกรรมการอัยการ ที่มีอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ทำหน้าที่คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง และคณะกรรมการอัยการตามมาตรา ๑๖๖ มาตรา ๑๘๔ และมาตรา ๒๕๔ วรรคสาม แล้วแต่กรณี ไปพลางก่อน ในระหว่างที่ยังไม่มีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ หรือหากมีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ หรือหากมีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ หรือหากมีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ หรือหากมีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ หรือหากมีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ หรือหากมีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ ในกรณีที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ให้คณะรัฐมนตรีกำหนดระยะเวลาที่แต่ละหน่วยงานต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามความจำเป็นของแต่ละหน่วยงาน แต่ทั้งนี้รวมแล้วต้องไม่เกินสองร้อยสี่สิบวันตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐตามวรรคหนึ่งไม่อาจดำเนินการได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวครบถ้วน ให้คณะรัฐมนตรีสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นพ้นจากตำแหน่ง

มาตรา ๒๗/๗ บรรดาประกาศ คำสั่ง และการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ได้มีขึ้นในวันก่อนที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ หรือก่อนที่ใช้บังคับไปตามมาตรา ๒๖/๒ วรรคสอง ไม่ว่าเป็นประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำที่มีผลใช้บังคับในทางรัฐธรรมนูญ ทางนิติบัญญัติ ทางบริหาร หรือทางตุลาการ ให้ประกาศ คำสั่ง การกระทำดังกล่าวคงสภาพบังคับตามประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำนั้น เป็นประกาศ คำสั่ง การกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย และมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คำสั่งดังกล่าว ให้กระทำผ่านพระราชบัญญัติ เว้นแต่ประกาศ หรือคำสั่งที่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางการบริหาร การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมให้กระทำโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือมติคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี

บรรดากฎหมายใด ๆ ที่ได้ตราขึ้นไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๘ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๕๕๙ ให้คงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับแทนที่ โดยให้ถือว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๖๕

มาตรา ๑ “รัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๖ ในวาระแรกเริ่มแรก มีให้กำหนดบัญญัติในมาตรา ๓๗ มาตรา ๖๘ และมาตรา ๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ มาใช้บังคับนอกเหนือจากสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนี้เท่าที่จะเป็นการจำเป็นภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้

ในระหว่างที่ยังมิได้กำหนดบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้มาใช้บังคับตามวรรคหนึ่ง ให้บทบัญญัติของมาตรา ดังกล่าวก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่กระทำขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของฉบับดังกล่าวนำมาใช้บังคับต่อไป หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ คือ โดยมาตรา 37 และมาตรา 76 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กำหนดสภาพและเงื่อนไขการเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งร่วมกับสมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อ สมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองบางพรรคหรือพรรคการเมืองร่วมกันเป็นจำนวนที่ไม่สอดคล้องต่อจำนวนประชากรในแต่ละเขตเลือกตั้ง หากมีการกำหนดให้ผลสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนที่สอดคล้องต่อจำนวนประชากรในแต่ละเขตเลือกตั้ง และการกำหนดคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมต่อพรรคการเมืองและต่อคนราษฎรที่มีสิทธิ์หนึ่งเสียงของประชาชน การให้มีการเลือกตั้งโดยเป็นไปเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ย่อมทำให้ประชาชนได้ใช้เจตจำนงในการเลือกตั้งสอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2565 นิธิวรรณ / Maker 6 กรกฎาคม 2565 ภัทรานิษฐ์ / Checker 6 กรกฎาคม 2565 ภัทรนิษฐ์ / Authorizer 6 กรกฎาคม 2565 (1) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134/ตอนที่ 50 ก/หน้า 1/6 เมษายน 2560 (2) มาตรา 37 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 (3) มาตรา 76 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 (4) มาตรา 77 แก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2564 (5) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 137/ตอนที่ 77 ก/หน้า 1/20 พฤศจิกายน 2564