로고

ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยคดีอาญาคดีสิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้ดำเนินการ ตรากฎหมายโดยคำนึงถึงความจำเป็นและลดขั้นตอนการปฏิบัติเท่าที่จำเป็นเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรค ต่อการจัดทำกิจการของประชาชน หรือการประกอบอาชีพโดยสุจริต และเพื่อให้การบังคับใช้ กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และสร้างความ เชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามหลัก การที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดย มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และรวดเร็ว อันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้ตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐” มาตรา ๒ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวัน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิก (๑) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. ๒๕๔๔ (๓) ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๒๕/๒๕๕๗ เรื่อง ให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีผลใช้บังคับต่อไป ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เว้นแต่ข้อความจะเเสดงให้เห็นอย่างอื่น “ศาล” หมายความว่า ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง “คณะกรรมการ ป.ป.ช.” หมายความว่า คณะกรรมการการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริตเเห่งชาติ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริต “กรรมการ ป.ป.ช.” หมายความว่า ประธานหรือกรรมการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริตเเห่งชาติ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริต การพิจารณาพิพากษาคดีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ให้เป็นไปตามบทบัญญัติเเห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เเละข้อกำหนดของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือของคณะผู้ไต่สวนอิสระที่ได้กระทำไปเเล้ว เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วเเละเป็นธรรม เเละเพื่อประโยชน์เเห่งความยุติธรรม ให้ศาลนำข้อเท็จจริงเเละพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาได้ มาตรา ๕ บันทึกการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือของคณะผู้ไต่สวนอิสระที่ได้กระทำไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันเเละปราบปรามการทุจริต ให้ถือเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ มาตรา ๖ การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวนโดยให้ศาลค้นหาความจริงในประเด็นที่เป็นคุณหรือเป็นโทษเเก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เเละในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริง ให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ แม้การได้มาซึ่งพยานหลักฐานนั้นจะมิชอบด้วยกฎหมายก็ตาม เว้นเเต่พยานหลักฐานนั้นได้มาโดยการซักทอดหรือการบอกกล่าวของผู้ถูกกล่าวหาในกรณีที่มิใช่เป็นผู้กล่าวหาตามแนวทางเเละวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ การพิจารณาของศาลต้องเป็นไปโดยรวดเร็วตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เเละข้อกำหนดของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือของคณะผู้ไต่สวนอิสระที่ได้กระทำไปเเล้ว เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วเเละเป็นธรรม เเละเพื่อประโยชน์เเห่งความยุติธรรม ให้ศาลนำข้อเท็จจริงเเละพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาได้ ในการปฏิบัติหน้าที่ ศาลต้องนำเรื่องเเละการพิจารณาที่เกี่ยวข้องกับความผิดในข้อกล่าวหาคดีใดหรือบุคคลใดมาให้เอกซึ่งตลอดจนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หน่วยราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด ศาลต้องเเจ้งให้หน่วยงานหรือบุคคลดังกล่าวทราบเพื่อดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด มาตรา 7 ศาลมีอำนาจออกหมายอาญาและหมายใด ๆ ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติ มาตรา 8 ให้ประธานศาลฎีกาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และเมื่อมีประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ถือเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และถ้าศาลฎีกามีความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินคดีเพื่อให้การปฏิบัติตามของศาลใต้บังคับที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ข้อกำหนดตามวรรคหนึ่งเมื่อได้รับความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ นอกจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ กระบวนพิจารณาในศาลให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว ให้บังคับใช้แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้บังคับเท่าที่จะใช้บังคับกับบทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 9 ให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ประธานศาลฎีกาแต่งตั้งผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวนตามที่ศาลฎีกากำหนดจากอาวุโสต่อเนื่องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวนตามที่เห็นสมควร เป็นผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาเพื่อปฏิบัติหน้าที่อื่นในประการที่มิใช่คดีของผู้พิพากษาตามมาตรา 10 สำหรับคดีที่ดำเนินการอยู่ มาตรา 10 คดีอันอยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ดังต่อไปนี้ (1) คดีที่มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทำความผิดอันเกิดจากตำแหน่งหน้าที่และตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือองค์กรตรวจเงินแผ่นดิน รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ (2) คดีที่มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทำความผิดอันเกิดจากตำแหน่งหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย (3) คดีที่มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย (๔) คดีที่บุคคลตาม (๑) หรือกรรมการ ป.ป.ช. หรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมาตรา ๔๕ วรรคสอง ต้องไปเบิกบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจปกปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินอื่นอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าเจตนาไม่แสดงที่แท้จริงทรัพย์สินหรือหนี้สิน มาตรา ๑๑ เมื่อมีการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ให้ประธานศาลฎีกาเรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยเร็ว เพื่อเลือกผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสสูงในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวนเก้าคน เป็นองค์คณะผู้พิพากษา โดยให้เลือกเป็นรายคดี ในกรณีมีเหตุสมควร ผู้พิพากษาคนใดอาจขอถอนตัวจากการได้รับเลือกเป็นองค์คณะผู้พิพากษาได้ โดยให้แสดงต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก่อนการลงคะแนน และให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติว่าจะให้การถอนตัวดังกล่าวมีผลหรือไม่ เมื่อองค์คณะผู้พิพากษาได้รับเลือกแล้ว ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแต่งตั้งผู้พิพากษาคนหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาเป็นหัวหน้าองค์คณะผู้พิพากษา การเลือกองค์คณะผู้พิพากษาแต่ละครั้งให้กระทำโดยการลงคะแนน โดยผู้พิพากษาซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดเรียงลำดับไปตามลำดับจำนวนเท่ากับจำนวนที่ได้รับเลือกเป็นองค์คณะผู้พิพากษา สำหรับกรณี คดีที่ผู้มีตำแหน่งเท่ากันได้คะแนนเป็นอันดับเดียวกัน ให้ผู้ได้รับเลือกเป็นองค์คณะผู้พิพากษาโดยการจับสลาก ผู้พิพากษาซึ่งได้รับเลือกเป็นองค์คณะผู้พิพากษาแล้วจะปฏิเสธการเป็นองค์คณะผู้พิพากษาไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันอาจทำให้ดำเนินการพิจารณาและพิพากษาคดีไม่ได้ ให้ดำเนินการเลือกผู้พิพากษาเข้ามาแทนที่ให้ครบจำนวนตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามวรรคหนึ่ง โดยผู้พิพากษาซึ่งได้รับเลือกแทน ให้ดำรงตำแหน่งเดียวกับผู้พิพากษาอื่นในองค์คณะผู้พิพากษาที่ตนเข้าแทนที่และมีอำนาจตรวจสำนวน ทำความเห็นในการวินิจฉัย เสนอลงมติข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยข้อกฎหมายและวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือคำพิพากษาได้ ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นอื่นอันอาจทำให้ผู้พิพากษาองค์คณะผู้พิพากษาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกผู้พิพากษาเข้ามาแทนที่ให้ครบจำนวนตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามวรรคหนึ่ง และให้ผู้พิพากษาซึ่งได้รับเลือกแทน ดำรงตำแหน่งเดียวกับผู้พิพากษาอื่นในองค์คณะผู้พิพากษาที่ตนเข้าแทนที่และมีอำนาจตรวจสำนวน ทำความเห็นในการวินิจฉัย เสนอลงมติข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยข้อกฎหมายและวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือคำพิพากษาได้ การเปลี่ยนแปลงสถานะของผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งได้รับเลือกเป็นองค์คณะผู้พิพากษาไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาในระหว่างการพิจารณาคดี ไม่เป็นเหตุให้ผู้พิพากษานั้นพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ในคดีนั้นต่อไป ผู้พิพากษาซึ่งร่วมประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงคะแนน หรือองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งได้รับเลือกในการประชุมดังกล่าว ตลอดจนบุคคลซึ่งกระทำหน้าที่ช่วยงานในปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในองค์คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยระบบบริหารราชการการกฎหมายและยุติธรรมกำหนด มาตรา 12 ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาย่อมพ้นจากหน้าที่ในคดี เมื่อ (1) พ้นจากการเป็นข้าราชการตุลาการ (2) ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ไปดำรงตำแหน่งที่อื่น (3) ถอนได้ตัวเองจากการพิจารณาคดีนั้น และองค์คณะผู้พิพากษาผู้มีคำสั่งยอมรับตามคำขอที่ตนได้ในมาตรา 13 มาตรา 13 มีเหตุสมควรและได้รับอนุญาตจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้ถอนตัวได้ มาตรา 14 หากคู่ความฝ่ายใดประสงค์ขอคัดค้านผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาโดยอ้างตามเหตุอันจะคัดค้านผู้พิพากษาได้ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลก่อนเริ่มการไต่สวนพยานหลักฐาน ในกรณีนี้ ให้คณะผู้พิพากษาไต่สวนตามที่เห็นสมควรแล้วมีคำสั่งยอมรับหรือยกคำคัดค้าน คำสั่งนั้นเป็นที่สุด และให้บันทึกบัญชีคำคัดค้านการคัดค้านผู้พิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไว้บังคับโดยอนุโลม การคัดค้านผู้พิพากษาจะกระทำได้ หากได้เริ่มการไต่สวนพยานหลักฐานไปแล้ว เว้นแต่ผู้คัดค้านสามารถแสดงเหตุผลที่ศาลพิจารณาเห็นว่าไม่สามารถคัดค้านได้ก่อนหน้านั้น มาตรา 15 ให้องค์คณะผู้พิพากษาเลือกผู้พิพากษาในที่ประชุมองค์คณะเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนมีอำนาจดำเนินการตามมติขององค์คณะผู้พิพากษา และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาแล้ว ให้มีอำนาจดำเนินการได้ในขั้นตอนวิธีพิจารณาต่อไป มาตรา 16 ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานต่อเนื่องติดต่อกันไปจนกว่าจะเสร็จการพิจารณา เว้นแต่จะมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันอาจอ้างได้ มาตรา 17 ถ้าผู้ตรวจสูงสุด หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีกรณีว่าพยานหลักฐานต้องส่งไปภายนอกประเทศจะสูญหายหรือหาไม่ได้นานเกินกว่าที่จะนำมาพิจารณาในบุคคลดังกล่าวต้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลสั่งไต่สวนพยานหลักฐานนั้นให้เสร็จ ในการนี้ศาลมีอำนาจสั่งการตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ยื่นฟ้อง ให้ผู้พิพากษาในองค์คณะพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสูงสุดหรือกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้พิพากษา ทั้งนี้ พยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนพยานหลักฐานดังกล่าวให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ มาตรา 18 เมื่อศาลประทับรับฟ้อง ให้ผู้กล่าวหาต้องนำพยานมาตามมาตรา 11 (1) คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐหยุดปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีนั้น เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ในการนี้ศาลอาจสั่งให้ผู้พิพากษาในองค์คณะพิจารณาคดีพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐาน หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมได้ ทั้งนี้ ให้ศาลดำเนินการพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาที่ศาลเห็นสมควร มาตรา ๑๗ ในระหว่างพิจารณา ศาลอาจมอบหมายให้ผู้พิพากษาซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในศาลฎีกาทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (๑) ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อให้คดีดำเนินไปตามหลักการพิจารณาคดี (๒) ดำเนินการและจัดทำรายงานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ศาลสั่ง (๓) ช่วยเหลือศาลในการรับฟังคำพยาน (๔) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือ ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาในการทำหน้าที่ของแต่ละคดี หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในศาลฎีกาให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา มาตรา ๑๘ ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือใน กฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ให้ถือเป็นระยะเวลาที่จำกัด ของประธานศาลฎีกา หรือของศาลที่กำหนด เมื่อคดีเสร็จแล้วหรือเมื่อมีความจำเป็น ศาลอาจเลื่อน หรือขยายได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม คำสั่งเลื่อนหรือขยายระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ศาลมีคำสั่งเป็นหนังสือ โดยให้คำนึงถึง ความเหมาะสมในการบริหารจัดการงานของศาลและข้อจำกัดของศาล มาตรา ๑๙ การพิจารณาคดีให้เป็นไปโดยเปิดเผย เว้นแต่ศาลเห็นว่าการพิจารณาโดยเปิดเผย อาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม มาตรา ๒๐ การประชุมของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา หรือของที่ประชุมใหญ่ของแผนกคดี ในองค์คณะผู้พิพากษาทุกคนที่พิจารณาเห็นในการวินิจฉัยคดีเป็นหนังสือโดยลำพัง พร้อมทั้งต้องแสดง ด้วยวาจาต่อที่ประชุม และให้ที่ประชุมอภิปรายหารือร่วมกันก่อนแล้วจึงลงมติโดยให้ถือตามเสียง ข้างมาก ในกรณี องค์คณะผู้พิพากษาอาจมอบหมายให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษา เป็นผู้จัดทำคำสั่งหรือคำพิพากษาแทนตนก็ได้ ความเห็นในการวินิจฉัยคดีตามวรรคหนึ่งของผู้ลงมติจะมีสาระสำคัญตามข้อกำหนด ของประธานศาลฎีกา คำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่ของศาล ให้เป็นผลโดยประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา ส่วนความเห็นในการวินิจฉัยของผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาทุกคน ให้เป็นไปตามวิธีการในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา มาตรา ๒๑ คำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยคดีหรือคำพิพากษาของศาล อย่างน้อยต้องประกอบด้วย (๑) ชื่อคู่ความทุกฝ่าย (๒) เรื่องที่คู่ความกล่าวหา (๓) ข้อกล่าวหาและคำให้การ (๔) ข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณา (๕) เหตุผลในการวินิจฉัยทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย (ข) บทบัญญัติของกฎหมายที่อ้างอิง (ค) คำวินิจฉัยคดี รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง ถ้ามี มาตรา ๒๒ เมื่อมีคำสั่งจับในคดีที่จะต้องจับกุมหรือควบคุมผู้ซึ่งถูกกล่าวหาหรือจำเลย เนื่องจากมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลนั้นน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลนั้นจะหลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือจะก่อเหตุอันตรายประการอื่น ศาลมีอำนาจสั่งให้จับได้ตามคำขอของพนักงานอัยการ คณะผู้ไต่สวนอิสระ หรืออัยการสูงสุดหรือตามคำขอของคณะไต่สวนอิสระหรืออัยการสูงสุดซึ่งอาจยื่นได้ในกรณีที่มีการฟ้องคดีแล้ว ไม่ว่าจะมีการควบคุมผู้ต้องหาอยู่ก่อนหรือไม่ ให้พนักงานอัยการ ผู้พิพากษาหรือคณะผู้ไต่สวนอิสระเป็นผู้ดำเนินการควบคุมผู้ต้องหา และเมื่อการควบคุมผู้ต้องหาตามคำสั่งศาลสิ้นสุดลง ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทันที หมวด ๒ การดำเนินคดีอาญา มาตรา ๒๓ ผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ได้แก่ (ก) อัยการสูงสุด (ข) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกำหนด มาตรา ๒๔ ในการฟ้องคดีอาญาสำหรับการกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และบทใดบทหนึ่งอยู่ในอำนาจของศาล ให้ศาลรับพิจารณาพิพากษาข้อหาความผิดบทนั้นได้รวม ในกรณีที่พยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดครอบคลุมถึงการกระทำความผิดตามบทที่มีการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะผู้พิจารณาแจ้งไปยังคณะผู้พิจารณาอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดผลคดีที่สมบูรณ์ มาตรา ๒๕ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีอาญาเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือเป็นที่สุดและไม่อาจอุทธรณ์หรือฎีกาได้ เว้นแต่แต่คณะผู้พิจารณาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีอาญาเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือเป็นที่สุดและไม่อาจอุทธรณ์หรือฎีกาได้ เว้นแต่แต่คณะผู้พิจารณาจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาตรา 26 ห้องพิจารณาคดีเป็นห้องพิจารณาคดีและมีข้อความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 15/4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีข้อความเป็นการกระทำเกี่ยวกับการพิจารณาคดี หรือการปฏิบัติหน้าที่หรือเรื่องใดอันขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำความผิด พร้อมทั้งข้อเท็จจริงและหลักฐานในชั้นต้นเพียงพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาได้ตามข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ ในกรณีที่มีการร้องขอให้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะผู้ไต่สวนอิสระ แล้วแต่กรณี หรือส่งเรื่องไปยังศาลอาญาเพื่อดำเนินคดีในกรณีที่มีการกระทำความผิดรวมไว้ในเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร กรณีที่ศาลเห็นว่าห้องพิจารณาคดีไม่ถูกต้อง ให้ศาลสั่งคืนคำฟ้องแก่ผู้ฟ้องไปยังผู้ฟ้องหรือการฟ้องคดีอาญาฐานพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ถือว่าเป็นความฟ้อง มาตรา 27 ในกรณีที่ห้องพิจารณาคดีสาธารณะ ให้ต้องการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาไปยังห้องพิจารณาคดี ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถแสดงตัวต่อศาลสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหลักฐานแสดงเหตุอันควรทำให้ศาลออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาแต่เพียงลำพังไม่ได้ตาม หรือเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถติดต่อการกระทำความผิด หรือไม่สามารถตามตัวโดยไม่มีเหตุแก้ตัวอื่นใด ให้ศาลแจ้งรับฟังข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง และไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาตอบคำถามต่อหน้าศาล มาตรา 28 ในกรณีที่มีคำสั่งศาลให้จับหรือฟ้องไว้ตามมาตรา 27 และศาลได้แจ้งหมายเรียกและสืบพยานไปยังห้องพิจารณาคดีในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถแสดงตัวต่อศาล ให้ศาลออกหมายจับหรือหมายเรียกตามที่เห็นสมควร ในกรณีที่ได้ออกหมายจับจำเลยและได้มีการดำเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถจับจำเลยได้ภายในสามเดือนนับแต่วันออกหมายจับ ให้ศาลสั่งอ่านพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่มีผลสิ้นสุดเมื่อจำเลยแสดงตัวต่อศาลและแถลงแก้ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง บทบัญญัติในมาตรานี้มิให้เป็นการตัดสิทธิ์ของจำเลยในการแถลงแก้ข้อเท็จจริงในเวลาใดก็ตามต่อศาลรวมถึงศาลชั้นพิจารณา แต่การมาศาลล่าช้าก็ไม่มีผลให้การไต่สวนและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ได้ทำไปแล้วต้องเสียไป มาตรา 29 ในคดีที่ศาลคดีอาญาในระบบบริหารงานตามมาตรา 15 และมีคำพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด จำเลยต้องชดใช้ทรัพย์ตามหลักฐานในที่ดินที่เกี่ยวข้องซึ่งเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ จำเลยจะสามารถขอแสดงเหตุผลต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ทรัพย์ได้ แต่ต้องยื่นเรื่องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และให้ศาลถือว่าเรื่องนั้นเป็นการพิจารณาใหม่ในคดีตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ต้องคงหลักเกณฑ์ในกรณีนี้เป็นที่สิ้นสุด ในกรณีที่ศาลสั่งยึดทรัพย์สินของจำเลย ให้ดำเนินการตามมาตรา 12 แต่ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาจะต้องไม่กระทำการใดที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การร้องขอให้ศาลพิจารณาใหม่ไม่มีผลให้การไต่สวนและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ได้ทำไปแล้วต้องเสียไป การดำเนินการในการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๐ เมื่อศาลประทับรับฟ้องแล้ว ห้ามไม่ให้ถอนอนุญาตให้รื้อฟื้น เว้นแต่จะได้ความว่าหากไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องจะกระทบต่อบทเยียวยาความยุติธรรม มาตรา ๑๑๑ การพิจารณาและไต่สวนพยานหลักฐานให้กระทำโดยเปิดเผย เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะสำคัญ ให้ศาลสั่งให้พิจารณาเป็นการลับได้ แต่ศาลเห็นในการสืบพยาน เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปโดยไม่ล่าช้า ศาลอาจนัดสืบพยานหลักฐานล่วงหน้าได้ในการนี้ต้องต่อเนื่อง (๑) จำเลยไม่อาจงดเว้นการไต่สวนพยานหลักฐานในเนื้ออันอาจก่อความเจ็บป่วยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันอาจก้าวล่วงได้ เมื่อจำเลยมีพยานและจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลหรือไม่เข้าพิธีการรณรงค์และสืบพยาน (๒) จำเลยเป็นนิติบุคคลและศาลได้ออกหมายจับผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นแล้วแต่จับตัวมาไม่ได้ (๓) จำเลยอยู่ในอำนาจศาลแต่ไม่ได้นำตนมาให้ และศาลได้ออกหมายจับแต่ยังจับตัวมาไม่ได้ (๔) ในระหว่างพิจารณาหรือไต่สวน ศาลสั่งให้จำเลยออกจากห้องพิจารณาเพราะเหตุขัดขวางการพิจารณาหรือไต่สวน หรือจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล (๕) จำเลยกระทำการอันไม่สมควรต่อศาลโดยไม่เป็นผู้มีเหตุอันควร หรือศาลเห็นว่าการอยู่ในห้องพิจารณาอาจมีผลกระทบต่อความยุติธรรมต่อจำเลยหรือบุคคลอื่น หรือกระทบต่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน กรณีตาม (๔) ในกรณีที่ต้องมีการส่งหนังสือ คำสั่ง หรือพยานเอกสาร ให้ส่งไปยังทนายความของจำเลยแทน มาตรา ๑๑๒ ในการดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยซึ่งสมควรเห็นในประการทั้งปวงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะให้เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าถูกจับในการสอบสวนให้ไปในระหว่างการพิจารณาคดี ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้แทนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินหรือบุคคลผู้เกี่ยวข้องยื่นประกันภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ระงับไปเพราะเหตุที่ตัวผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยไม่มีการสั่งฟ้อง ยกฟ้อง จำหน่ายคดี หรือยอมฟ้อง มาตรา ๑๑๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๑๒ เมื่อศาลประทับรับฟ้องแล้ว ให้ศาลสั่งส่งสำเนาแก้ไขคำฟ้อง และให้คู่ความมาปรากฏในวันพิจารณาครั้งแรก ในวันพิจารณาศาลต้องไต่สวนคำฟ้อง ให้จำเลยเสนอตัวตรวจสอบและจัดทำสำเนาเอกสารในส่วนงานการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในวันพิจารณาศาลต้องแจ้งข้อกล่าวหาอย่างชัดเจนและแถลงข้อเท็จจริงในส่วนจริง ให้จำเลยและอัยการฟังเพื่อให้ฟัง และอาจนำคำให้การหรือพยานหลักฐานอื่น ๆ มาใช้ในการต่อสู้ข้อเท็จจริง คำให้การ ของจำเลยให้บันทึกไว้ ถ้าจำเลยไม่ให้การก็ให้บันทึกไว้ และถ้าจำเลยให้การปฏิเสธหรือไม่ให้การ ก็ให้ ศาลกำหนดวันตรวจพยานหลักฐานโดยให้การกำหนดวันดังกล่าวห่างไม่เกินยี่สิบวัน ในกรณีที่ จำเลยให้การตามในวันตรวจพยานหลักฐานแล้วว่าต้องการพยานหลักฐานใด ให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ ในคดีที่ศาลได้ให้การรับสารภาพของผู้ต้องหา แม้พยานที่ศาลได้รับสารภาพนั้นกฎหมาย กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกกว่าสิบกว่าปี หรือโทษสถานที่เป็นมากกว่านั้น ศาลอาจเรียก พยานหลักฐานมาไต่สวนเพื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดตามความร้ายแรงของพยานหลักฐาน จำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ มาตรา 14 ให้โจทก์กล่าวยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลพร้อมสำนวนในจำนวนที่ เพียงพอก่อนวันพิจารณาพยานหลักฐานไม่ต้องทำสำเนา การยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อมีช่องว่างในระยะเวลามากพอศาลจะกำหนดให้ต้องยื่นได้รับ อนุญาตจากองค์คณะผู้พิพากษา เมื่อมีเหตุอันควรแสดงได้ว่าไม่สามารถนำรายการพยานหลักฐานนั้น หรือเป็นการยื่นนั้นเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หรือเพื่อให้โอกาสแก้แย้งและในการต่อสู้คดี มาตรา 15 ในวันตรวจพยานหลักฐาน ให้โจทก์กำหนดพยานเอกสารและพยาน วัตถุต่อศาลเพื่อให้ฝ่ายจำเลยตรวจสอบ วันเดียวกันองค์คณะผู้พิพากษาจะกำหนดวันสืบพยาน เนื่องจาก การตรวจพยานหลักฐานไม่เป็นไปเพื่อการพิจารณาในคดีนั้น หลังจากนั้นให้จำเลยกำหนดพยานเอกสารและ พยานหลักฐานของตนต่อองค์คณะผู้พิพากษา เพื่อประโยชน์ในการค้นหาความจริงในคดีนั้น มาตรา 16 ศาลมิให้ส่งหมายเรียกเอกสารและพยานวัตถุที่ศาลสั่งคดีนั้น เพราะเหตุจำเลยมิได้ยื่นบัญชีพยาน หลักฐานในวันตรวจพยานหลักฐาน เว้นแต่ศาลเห็นสมควรอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ มาตรา 17 ในกรณีที่ต้องมีการไต่สวน ให้องค์คณะผู้พิพากษากำหนดวันเริ่มไต่สวน โดยแจ้งให้โจทก์และจำเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน มาตรา 18 ในกรณีที่ไต่สวนพยานบุคคล ในกรณีจะเป็นพยานที่ผู้ถูกกล่าวหา หรือที่ศาลเรียกมาดูเอง ให้องค์คณะผู้พิพากษาสอบถามพยานบุคคลเอง โดยการเริ่มให้พยานทราบ ประเด็นและข้อเท็จจริงจริงที่จะไต่สวน แล้วให้พยานเบิกความในข้อเท็จจริงด้วยตนเอง หรือ ตอบคำถามจากศาล ศาลอาจถามพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด ๆ ที่ศาลเห็นว่าจำเป็นไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา โดยก่อนอื่นต้องกล่าว แล้วจึงอนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหาถามพยานได้ การสอบพยานควรกระทำเพื่อให้ศาลเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่ความสมบูรณ์ของพยานควรกระทำแล้ว ทั้งนี้ศาลให้ผู้ถูกกล่าวหาแยกอีก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล มาตรา ๓๗ บุคคลดังต่อไปนี้มีสิทธิได้รับค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่นตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนด (๑) พยานบุคคลที่ศาลเรียกมาเองตามมาตรา ๓๓ (๒) บุคคลซึ่งมาให้ถ้อยคำ และบุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๖ วรรคสาม และวรรคสี่ (๓) ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญที่ศาลอนุญาตให้มาให้ความเห็นตามมาตรา ๓๙ มาตรา ๓๘ ศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีได้ แต่ต้องแจ้งให้คู