로고

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๕๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒”

มาตรา ๒[1] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“ความผิดมูลฐาน” หมายความว่า

(๑)

ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

(๒)

[2] ความผิดเกี่ยวกับการค้าหรือการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น เฉพาะที่เกี่ยวกับการกระทำของผู้จัดให้มีการค้าหรือการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือผู้จัดให้มีการค้าหรือการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะเป็นทางการค้า หรือการกระทำของผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าวในฐานะเป็นผู้จัดให้มีการค้าหรือการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าวในฐานะเป็นผู้จัดให้มีการค้าหรือการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน คําประชาชน หรือสถานการณ์คําประชาชน หรือเป็นผู้ควบคุมผู้กระทําการคําประชาชนในสถานการณ์คําประชาชน

(๓)

ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา หรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน

(๔)

(3) ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์หรือโกงทรัพย์หรือบุกรุกย้ายทรัพย์ หรือกระทําโดยพูดจิตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน หรือกฎหมายว่าด้วยผลิตพันธุ์และตลาดหลักทรัพย์หรือทรัพย์โดยการกระทําการ หรือผู้มีอํานาจโดย ซึ่งรับผิดชอบหรือมีประโยชน์เกี่ยวข้องในการดําเนินงานของสถาบันการเงินนั้น

(๕)

ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ใน การยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของ พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่หรือจริยธรรม ที่กําหนดในกฎหมายอื่น

(๖)

ความผิดเกี่ยวกับการกระทําโจท หรือยึดเอาทรัพย์ที่กระทําโดยอ้าง อํานาจอั้งยี่ หรือซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา

(๗)

ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วย ศุลกากร

(๘)

(4) ความผิดเกี่ยวกับการจัดการหรือควบคุมประมวลกฎหมายอาญา การกระทําความผิดรวมกันมีมูลค่าตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป หรือเป็นการจัดให้มีการเล่นการ พนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์

(๙)

(6) ความผิดเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมที่มีกฎหมายกําหนดเป็นความผิด

(๑๐)

(7) ความผิดเกี่ยวกับการรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา เฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยอํานวย เช่น ซื้อ จํานํา หรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งทรัพย์ที่ได้มา โดยการกระทําความผิดอันเป็นแหล่งเงินหรือทรัพย์

(๑๑)

(8) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสารการแสดงเงินตรา ดวงตรา แสตมป์ และตัวเลขตามประมวลกฎหมายอาญาที่มีลักษณะเกี่ยวกับการค้า

(๑๒)

(9) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงหรือการใช้เอกสารปลอมที่เกี่ยวข้อง กับการเงินและการธนาคาร หรือการปลอมแปลงหรือการใช้เอกสารปลอมที่เกี่ยวข้อง กับการเงินและการธนาคาร หรือการปลอมแปลงหรือการใช้เอกสารปลอมที่เกี่ยวข้อง กับการเงินและการธนาคาร หรือการปลอมแปลงหรือการใช้เอกสารปลอมที่เกี่ยวข้อง กับการเงินและการธนาคาร

(๑๓)

(11) ความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระทําให้เกิดการสูญเสียประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติโดยมีเจตนาอันมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้า

(๑๒)

[12] ความผิดเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อชีวิตหรือร่างกายอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน

(๑๓)

[13] ความผิดเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายหรือฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญาเพราะเหตุแห่งทรัพย์หรือรับผลประโยชน์หรือเพื่อช่วยให้ได้รับผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง

(๑๔)

[14] ความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง หรือยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นกิจธุระ

(๑๕)

[15] ความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นโจรสลัดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัด

(๑๖)

[16] ความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่มีธรรมเนียมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือความผิดเกี่ยวกับการระดมทุนอันไม่มีธรรมเนียมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่มีธรรมเนียมเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลภายในตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า

(๑๗)

[17] ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์ และความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์เกี่ยวกับการควบคุมยุทธภัณฑ์เพื่อการป้องกันประเทศ ความผิดมูลฐานตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงการกระทำความผิดอาญานอกราชอาณาจักร ซึ่งหากการกระทำความผิดนั้นได้กระทำลงในราชอาณาจักรจะเป็นความผิดมูลฐานด้วย[18] “ธุรกรรม” หมายความว่า กิจกรรมที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรม สัญญาหรือการดำเนินการใด ๆ ที่บุคคล หน่วยธุรกิจ หรือการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน “ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย”[19] หมายความว่า ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การทำธุรกรรมนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่ออำพรางหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน หรือธุรกรรมที่เกี่ยวข้องหรืออาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐานหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย หรือธุรกรรมที่มีลักษณะผิดปกติจากลักษณะปกติของธุรกรรมที่กระทำกันในประเภทเดียวกันหรือในลักษณะเดียวกัน หรือธุรกรรมที่มีลักษณะซับซ้อนเกินสมควร และให้หมายความรวมถึงธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยตามที่กำหนดในกฎกระทรวง “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน” หมายความว่า

(๑)

[20] เงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำหรือการที่เกี่ยวกับความผิดมูลฐาน หรือความผิดฐานฟอกเงินหรือจากการแปลงหรือเปลี่ยนทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินอื่น หรือจากการได้มาซึ่งผลประโยชน์ใด ๆ อันเกิดจากทรัพย์สินดังกล่าวไม่ว่าจะได้รับโดยตรงหรือโดยอ้อม และให้หมายความรวมถึงทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้หรือสนับสนุนการกระทำความผิดมูลฐานหรือการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

(ข)

เงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งเงินหรือทรัพย์สินตาม (๑) หรือ

(ค)

ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินตาม (๑) หรือ (๒) ทั้งนี้ ไม่ว่าทรัพย์สินตาม (๑) (๒) หรือ (๓) จะมีการจำหน่าย จ่าย โอน หรือเปลี่ยนสภาพไปหรือไม่และไม่ว่าจะอยู่ในความครอบครองของบุคคลใด โอนไปเป็นของบุคคลใด หรือปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่าเป็นของบุคคลใด “สถานประกอบการเงิน” หมายความว่า

(๑)

[21] ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ

(๒)

[22] บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

(๓)

[23] (ยกเลิก)

(๔)

บริษัทประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย

(๕)

สหกรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ที่มีการรับฝากเงินหรือรับเงินจากสมาชิกหรือสหกรณ์อื่น และให้ผลประโยชน์ตอบแทนในลักษณะเดียวกันกับการรับฝากเงิน

(๖)

นิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเงินตามที่กำหนดในกฎกระทรวง “กองทุน”[25] หมายความว่า กองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้หมายความรวมถึงกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินด้วย “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน “รองเลขาธิการ” หมายความว่า รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน "สำนักงาน" หมายความว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔ ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้

อำนาจในการพิจารณาสั่งการที่เกี่ยวกับอำนาจกระทรวง ระเบียบ และประกาศเพื่อปฏิบัติการ ตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุ เบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑

บททั่วไป

มาตรา ๕ ผู้ใด

(๑)

โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้ใดว่า ก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำความผิด มิเพื่อช่วยหรือรับโทษของรับโทษน้อยลงในความผิดฐาน หรือ

(๒)

กระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการ ได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้มาซึ่งใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระ ทำความผิด

(๓)

ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ในขณะที่ได้มา ครอบ ครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

มาตรา ๖ ผู้ใดกระทำความผิดฐานฟอกเงิน แม้จะกระทำผ่านอาณา

จักรอาณาจักรผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ถ้า ปรากฏว่า

(๑)

ผู้กระทำความผิดหรือผู้ร่วมกระทำความผิดคนใดคนหนึ่งเป็นคนไทย หรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

(๒)

ผู้กระทำความผิดเป็นคนต่างด้าว และได้กระทำโดยประสงค์ให้ความ ผิดเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือรัฐไทยเป็นผู้เสียหาย หรือ

(๓)

ผู้กระทำความผิดเป็นคนต่างด้าว และการกระทำนั้นเป็นความผิดตาม กฎหมายของรัฐที่ได้กระทำ และกฎหมายของราชอาณาจักร และรัฐนั้นได้ร้องขอให้รัฐ ราชอาณาจักรแยกการดำเนินคดี หรือส่งตัวผู้กระทำความผิดไปยังรัฐนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงโดยความเห็นชอบของคณะ รัฐมนตรี

มาตรา ๗ ในความผิดฐานฟอกเงิน ผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดัง

ต่อไปนี้ ถือว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดนั้น

(๑)

สนับสนุนการกระทำความผิดหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด

(๒)

จัดหา หรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ หรือจัดหาใจความหรือกระทำการใด ๆ เพื่อช่วยให้ผู้กระทำความผิดพ้นการจับกุมหรือเพื่อให้ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ หรือเพื่อให้ได้รับประโยชน์ในการกระทำความผิด ผู้ใดจัดหา หรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ที่พักพิง หรือที่ซ่อนเร้น เพื่อช่วยปิดบังการนำ บุตร สตรี หรือธิดาของตนให้พ้นการถูกจับกุม ถือว่าไม่เป็นผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้ เว้นแต่การกระทำดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือเพื่อให้ผู้กระทำความผิดพ้นการจับกุมหรือหลบหนี

มาตรา ๘ ผู้ใดขายอาวุธหรือกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นแต่เพียงอย่างเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ

มาตรา ๙ ผู้ใดสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษที่หนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ถ้าได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามวรรคหนึ่ง ผู้สมคบกันต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ในการที่ศาลลงโทษตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิด แต่เมื่อพิจารณาเห็นว่า ผู้กระทำความผิดได้กระทำความผิดเพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนอำนาจของผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจเหนือกว่า หรือเพราะความจำเป็นอย่างอื่นอันควรยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดนั้น ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้

มาตรา ๑๐ เจ้าพนักงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ กรรมการหรือผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจ กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติการขององค์กรนั้น การเงิน หรือกรรมการขององค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษที่หนักกว่าที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

กรรมการ อนุกรรมการ กรรมการตรวจสอบ เลขาธิการ รองเลขาธิการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สมคบหรือช่วยปกปิดซ่อนเร้น หรือกระทำการใด ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษที่หนักกว่าที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นที่ร่วมในการกระทำความผิดกับบุคคลธรรมดา จะระวางโทษที่หนักกว่าที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ในฐานะตัวการผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง

มาตรา 12 ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการ อนุกรรมการ กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการ และพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

หมวด 2

การรายงานและการแสดงตน

มาตรา 13 เมื่อมีการทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงิน ให้สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องรายงานการทำธุรกรรมนั้นต่อสำนักงาน เมื่อปรากฏว่าธุรกรรมนั้นอาจเป็น

(ก)

ธุรกรรมที่ใช้เงินสดมีจำนวนเกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวง

(ข)

ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือ

(ค)

ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมตาม (ก) หรือ (ข) หรือไม่ก็ตาม ในกรณีนี้ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใดที่เกี่ยวข้องหรืออาจจะเป็นประโยชน์ในการยืนยันหรือยกเลิกข้อเท็จจริงหรือธุรกรรมที่สถาบันการเงินได้รายงานไปแล้ว ให้สถาบันการเงินรายงานข้อเท็จจริงนั้นให้สำนักงานทราบโดยไม่ชักช้า

มาตรา 14 ในกรณีปรากฏในรายงานดังกล่าวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าธุรกรรมใดที่กระทำไปแล้วโดยมีลักษณะตามมาตรา 13 (ค) เป็นธุรกรรมที่สถาบันการเงินต้องรายงานตามมาตรา 13 ให้สถาบันการเงินรายงานให้สำนักงานทราบโดยไม่ชักช้า

มาตรา 15 ให้สำนักงานที่ตั้งกรุงเทพมหานคร สำนักงานที่ตั้งจังหวัด สำนักงานที่ตั้งสาขา และสำนักงานที่ตั้งอื่น ๆ ตาม มีหน้าที่ต้องรายงานต่อสำนักงาน เมื่อปรากฏว่ามีการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นการเงินมีได้เป็นผู้กระทำและที่มีลักษณะดังต่อไปนี้

(ก)

เมื่อมีการชำระด้วยเงินสดเป็นจำนวนเกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวง

(ข)

เมื่อมีการจ่ายทรัพย์สินมูลค่าตามราคาในเอกสารที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวงและมีลักษณะเป็นการเงินที่กำหนดในกฎกระทรวง เช่นเดียวกับการโอนในทางมรดกให้แก่ทายาทโดยธรรม หรือ

(ค)

เมื่อมีธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย

มาตรา 16 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่สุดการทำหน้าที่สุดการที่ได้รับแจ้งรายการเกี่ยวกับการนำเงินหรือทรัพย์สินออกนอกราชอาณาจักรหรือประเทศที่เกี่ยวข้องด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราหรือออกไปนอกราชอาณาจักร อันมีลักษณะการเกินจำนวนที่คณะกรรมการกำหนด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่สุดการดังกล่าวรวบรวมและจัดส่ง

ข้อมูลที่ได้รับแจ้งนั้นไปยังสำนักงาน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบการแจ้งรายการ ที่คณะกรรมการกำหนด จำนวนเงินตราหรือเงินตราต่างประเทศที่คณะกรรมการกำหนดตามวรรคหนึ่ง ต้องไม่น้อยกว่าจำนวนที่ผู้ดำเนินการที่นำเข้าเงินตราที่นำเข้ามาในหรือออกไปนอกประเทศต้องแจ้งรายการตามที่กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินกำหนด

มาตรา ๑๖ ให้ผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๕ แจ้งต่อไปนี้แก่สำนักงานทำธุรกรรมอันเกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่มีเงินสดเป็นจำนวนเกินกว่าจำนวนที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือมีธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย ทั้งนี้ ผู้ประกอบอาชีพตาม (๒) (๓) (๔) และ (๕) ต้องเป็นนิติบุคคล เว้นแต่ในกรณีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน ผู้ประกอบอาชีพตาม (๒) (๓) และ (๕) ที่มิใช่นิติบุคคล ให้สำนักงานมีอำนาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ประกอบอาชีพดังกล่าวรายงานการทำธุรกรรมต่อสำนักงานเมื่อทำนิติกรรมหรือธุรกรรม

(๑)

ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการดำเนินการ การให้สินเชื่อ หรือการเป็นที่ปรึกษาในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับการลงทุนหรือการเคลื่อนย้ายเงินตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินตามมาตรา ๖

(๒)

ผู้ประกอบอาชีพค้าของเก่า เช่น เพชรพลอย ทองคำ หรือเครื่องประดับที่ประดับด้วยอัญมณี เพชรพลอย หรือทองคำ

(๓)

ผู้ประกอบอาชีพค้าหรือให้เช่าชื่ออินเทอร์เน็ต

(๔)

ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับงานขายหน้าร้านหรือผ่านตัวแทน

(๕)

ผู้ประกอบอาชีพขายต่างตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการส่งออก การนำเข้าทอดตลาดและค้าของเก่า

(๖)

ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินตามประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับหรือตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน

(๗)

ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่มิใช่สถาบันการเงินตามประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน

(๘)

ผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงินตามประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต หรือกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน

(๙)

ผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมธุรกิจการให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์

(๑๐)

[32] ผู้ประกอบอาชีพอื่นที่คณะกรรมการกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินหรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายหรือการแพร่ขยายอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ในกรณีที่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใดที่เกี่ยวข้องหรืออาจจะเป็นประโยชน์ในการยืนยันหรือยกเลิกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธุรกรรมที่ได้รับความไม่เป็นธรรมหนึ่งแล้ว ให้บุคคลดังกล่าวรายงานข้อเท็จจริงนั้นให้สำนักงานทราบโดยไม่ชักช้า ให้นำความในมาตรา ๑๘ มาใช้บังคับกับผู้ที่ทำหรือรายงานความจริงที่ด้วยโดยฉ้อฉล เว้นแต่กรณีผู้ที่ทำหรือรายงานดังกล่าว เป็นผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินเสียเอง(33)

มาตรา ๑๙(34) ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยโดยมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าสมาคมหรือองค์กรไม่แสวงหากำไรใด มีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการเงินแก่การก่อการร้าย ให้สำนักงานโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการธุรกรรม สั่งทางหนังสือให้บุคคลซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนสมาคมหรือองค์กรไม่แสวงหากำไรนั้นชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำธุรกรรมหรือชี้แจงถึงรายการทำธุรกรรมดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวเป็นเวลาตามที่สำนักงานกำหนด และในกรณีดังนี้แม้บุคคลดังกล่าวจะมิได้เป็นผู้มีอำนาจที่ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากสมาคมหรือองค์กรก็ตามในสถานที่ดังกล่าวข้างต้น สมาคมหรือองค์กรนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธการกระทำของบุคคลดังกล่าวหรือการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบตามคำสั่งนั้นได้

มาตรา ๑๗ การรายงานตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ และมาตรา ๑๖ ให้เป็นไปตามแบบ ระยะเวลา หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๘ ธุรกรรมที่ผู้รายงานเห็นสมควรที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรายงานตามมาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๙ การรายงานตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ มาตรา ๑๙ และมาตรา ๑๖ ซึ่งผู้รายงานกระทำโดยสุจริต ทำให้ไม่เกิดความเสียหายแก่บุคคลใดผู้รายงานไม่ต้องรับผิด

มาตรา ๒๐ ให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ จัดให้ลูกค้าแสดงตนทุกครั้งก่อนการทำธุรกรรมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดมาตรการเพื่อชี้อุปสรรคในการแสดงตนของคนทุพพลภาพด้วย เว้นแต่ลูกค้าได้แสดงตนไว้ก่อนแล้ว(35)

การแสดงตนตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

มาตรา ๒๑(36) สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ (๑) และ (๗) ต้องกำหนดนโยบายการรู้ลูกค้า การบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการฟอกเงินของผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อหรืออาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย รวมทั้งต้องจัดให้มีระบบการตรวจสอบเป็นระยะและระบบการติดตามการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจของลูกค้าให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า

ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับกับผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๑๐) ด้วยโดยอนุโลม และเมื่อให้ผู้ประกอบอาชีพที่มีลักษณะอย่างใดให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ โดยต้องมิให้มีลักษณะเป็นการก่อความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบอาชีพรายย่อยและประชาชนที่เกี่ยวข้องจนเกินสมควร และต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเท่านั้น(37)

มาตรา ๒๐ (38) เมื่อมีการทำธุรกรรมตามมาตรา ๑๓ ให้ดำเนินการบันทึกชื่อเหตุจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับธุรกรรมดังกล่าวตามแบบ รายการ หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๒๑ (39) ห้ามมิให้ผู้ที่ทำที่รายงานตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ หรือบุคคลใดเปิดเผยข้อมูลหรือรายงานที่เกี่ยวประการใด ๆ อันอาจทำให้ถูกลักษณะบุคคลภายนอกทราบเกี่ยวกับการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำ การรายงานธุรกรรมหรือการส่งข้อมูลอื่นใดไปยังสำนักงาน เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายหรือความคำสั่งศาลหรือเป็นการเปิดเผยข้อมูลระหว่างหน่วยงานใหญ่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ ทั้งนี้ อยู่ในเงื่อนไขหรือข้อกำหนดเพื่อดักกันการอำนวยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

รายงานที่สำนักงานได้รับตามมาตรานี้ต้องมีบทความลับในการใช้เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ถือการเก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับและประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวเฉพาะเพื่อการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๒๒ (40) ในกรณีที่ผู้ที่ทำที่รายงานตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ ไม่ส่งการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำให้ ให้ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระราชบัญญัตินี้

ในกรณีที่สำนักงานได้ตรวจสอบรายงานตามมาตราวรรคหนึ่งแล้ว เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน ให้มีอำนาจแจ้งให้สถานบันการเงินหรือผู้ประกอบอาชีพดังกล่าวระงับการทำธุรกรรมไว้ก่อนในวันทำการ

มาตรา ๒๒/๑ (41) เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้สำนักงานแห่งหนึ่งที่มีให้มีการกำกับดูแลเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนและปราบปรามการสนับสนุนจากการเงินแก่การก่อการร้าย ให้แก่ผู้ที่ทำที่รายงานตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖

เมื่อมีผู้ที่ทำที่รายงานตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ มิได้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำแนวทางการดำเนินการตามมาตรานี้ ให้สำนักงานมีอำนาจสั่งให้ผู้ที่ทำที่รายงานดังกล่าวดำเนินการจัดทำแนวทางการดำเนินการตามมาตรานี้ และรายงานต่อสำนักงานเพื่อการตรวจสอบและการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดให้มีการกำกับดูแลเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๒๒/๒ (42) ในแต่ละปีให้เป็นหนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่น ให้สำนักงานดำเนินการจัดทำรายละเอียด ดังนี้

(๑)

เกี่ยวกับการแสดงตนตามมาตรา ๒๐ เป็นเวลาทํานับตั้งแต่มีการปิดบัญชีหรือยุติความสัมพันธ์กับลูกค้า

(๒)

เกี่ยวกับการทําธุรกรรมและบันทึกที่อาจเชื่อถือจริงตามมาตรา ๒๐ เป็นเวลาทํานับตั้งแต่การทําธุรกรรมหรือบันทึกที่อาจเชื่อถือจริงนั้น ให้ถือความใน (๑) มาใช้บังคับกับประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖ ด้วย(43) มาตรา ๒๒/๔๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๐/๔ วรรคสาม ให้ผู้มีหน้าที่รายงานตามมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๙ เก็บรักษารายละเอียดเกี่ยวกับการทําธุรกรรมหรือบันทึกซึ่งอาจเชื่อถือจริงตามมาตรา ๒๐/๑ เป็นเวลาสิบปีนับตั้งแต่มีการปิดบัญชี หรือยุติความสัมพันธ์กับลูกค้า แต่ถ้าพบหากหมดเวลาสิบปีแล้ว หากมีเหตุจําเป็นและสมควรเพื่อประโยชน์ในการดําเนินการของพระราชบัญญัตินี้สําหรับลูกค้ารายนั้น ให้เลขาธิการแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้มีหน้าที่รายงานดังกล่าวเก็บรักษารายละเอียดของลูกค้ารายนั้นต่อไปอีกไม่เกินห้าปีนับแต่พ้นเวลาสิบปีได้ หลักเกณฑ์และวิธีการเก็บรักษารายละเอียดตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกําหนด

มาตรา ๒๓ บทบัญญัติในหมวดนี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารแห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย

หมวด ๓

คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

มาตรา ๒๔(45) ให้มีคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินคณะหนึ่ง เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ ปปง.” ประกอบด้วย

(๑)

ผู้ทรงคุณวุฒิจํานวนหนึ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นกรรมการ

(๒)

ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และเลขาธิการคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเป็นกรรมการ

(๓)

เลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ ให้คณะกรรมการการฟอกเงินมีสิทธิเลือกตั้งแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการคนหนึ่ง และรองเลขาธิการคณะกรรมการอีกคนหนึ่ง โดยประธานกรรมการต้องได้รับคะแนนเสียงสองในสามของจํานวนกรรมการทั้งหมด ให้คณะกรรมการการฟอกเงินมีสิทธิเลือกตั้งแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ในสํานักงานคณะกรรมการ ปปง. เป็นผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการตาม (๒) ยกเว้นกรณีที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งหรือดํารงตําแหน่งในตําแหน่งดังกล่าวเมื่อพ้นจากตําแหน่งดังกล่าว ให้ถือว่าการเป็นกรรมการสิ้นสุดลง การกระทำการกรรมการแทนก็ได้ และเมื่อได้มอบหมายผู้ใดแล้วให้ผู้ได้รับมอบหมายนั้นเป็นการกรรมการตาม (2) แทนผู้มอบหมาย

มาตรา 27/46 (ยกเลิก)

มาตรา 27/47 ผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(ก)

มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

(ข)

มีอายุไม่เกินหกสิบปี

(ค)

ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป หรือเป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจหรือหัวหน้าหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งอื่นซึ่งมีลักษณะรายอื่นในโครงการหนึ่งด้านใดตาม (ด)

(ง)

มีความรู้ ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน การคลัง หรือกฎหมาย และไม่มีผู้ใดที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านการปราบปรามการทุจริตหรือการต่อต้านการทุจริตในหน่วยงานการเงินการคลัง

(จ)

ไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง หรือกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองในระยะเวลาสามปีก่อนวันที่สมัคร

(ฉ)

ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคล ซึ่งปรึกษา หรือรับผลประโยชน์ใด ๆ อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้

(ช)

ไม่เป็นผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

(ซ)

ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

(ฌ)

ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ

(ญ)

ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ความผิดฐานทุจริต ความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด กฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

(๑๑)

ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ

(๑๒)

ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

มาตรา ๒๕(48) ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑)

เสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายต่อคณะรัฐมนตรี

(๒)

กำกับดูแล ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย

(๓)

(49) กำกับ ดูแล และควบคุมให้คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงาน และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระและสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งพิจารณาอนุมัติการกระทำใดของคณะกรรมการธุรกรรม สำนักงาน และเจ้าหน้าที่ ที่มีน่าจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายของบุคคล ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ระเบียบตามวรรคหนึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาและมีผลบังคับใช้เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วยข้อใช้บังคับได้ ในระหว่างที่ยังไม่มีระเบียบตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการดำเนินการไปตามที่เห็นสมควร

(๔)

กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายที่อาจเกิดจากการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐหรือกิจการบางประเภทที่ไม่ต้องรายงานการทำธุรกรรมตามพระราชบัญญัตินี้และเสนอแนะมาตรการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว

(๕)

ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือกำหนดหลักเกณฑ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของคณะกรรมการธุรกรรม รวมถึงการตรวจสอบหรือรายงานความเห็นต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนให้มีการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือหลักเกณฑ์ดังกล่าวต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

(๖)

ตัดสินอุทธรณ์ผลคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่เสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรีหรือดำเนินการต่อไป

(๗)

วางระเบียบในการจัดเก็บการเก็บข้อมูลหรือเอกสารเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการปฏิบัติของสำนักงานพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ``` (5) ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามที่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกตาม (3) ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา 26 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปีนับแต่วันแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว

มาตรา 27 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 26 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีเหตุ

(ก)

ตาย

(ข)

ลาออก

(ค)

[50] ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 22/2 หรือคณะรัฐมนตรีให้ออก

(ง)

เป็นบุคคลล้มละลาย

(จ)

เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(ฉ)

ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในกรณีที่การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในระหว่างที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งนั้นยังดำรงตำแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุใดกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งเพิ่มเติมดังกล่าวจะดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว

มาตรา 28 ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิถึงตำแหน่งครบวาระแล้วแต่ยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งอำนาจการปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่

มาตรา 29[51] การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม

ให้ประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม และในกรณีที่ประธานกรรมการรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการซึ่งมาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่ง เป็นประธานในที่ประชุม มติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด เว้นแต่การคัดเลือกบุคคลตามมาตรา 25 (3) การให้ความเห็นชอบตามมาตรา 45 (3) หรือการวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 45 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ```

มาตรา 30 คณะกรรมการจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนคณะกรรมการก็ได้และให้นำมาตรา 29 มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม

มาตรา 31 ให้กรรมการและอนุกรรมการได้รับค่าตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

หมวด 4

คณะกรรมการจรรยาธรรม

มาตรา 32(52) ให้มีคณะกรรมการจรรยาธรรมคณะหนึ่ง ประกอบด้วย

(1) บุคคลซึ่งได้รับการคัดเลือกตามมาตรา 37/1 จำนวนสี่คน เป็นกรรมการ (2) เลขาธิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ ให้คณะกรรมการจรรยาธรรมที่มาจากคณะกรรมการตาม (1) เป็นประธานกรรมการคนหนึ่ง หลักเกณฑ์ วิธีการในการประชุม และการออกคำสั่งใด ๆ ของคณะกรรมการจรรยาธรรม ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจรรยาธรรมกำหนดต่อความเห็นชอบของคณะกรรมการ ระเบียบดังกล่าวเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

มาตรา 33(53) ให้คณะกรรมการจรรยาธรรมศาลสูงสุด คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการอัยการ แต่ละคณะเสนอรายชื่อบุคคลที่ชื่อถือสูงมีความรู้ความสามารถอันจะยังประโยชน์ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ คนละสองชื่อคนใดให้สำนักงานฯ เพื่อเสนอรายชื่อต่อคณะกรรมการเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการจรรยาธรรม ในกรณีที่คณะกรรมการจรรยาธรรมมีมติไม่เห็นชอบรายชื่อบุคคลในส่วนของตนเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการจรรยาธรรมในส่วนของตนในวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานฯ ให้เสนอรายชื่อ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งบุคคลอื่นที่เหมาะสมเป็นกรรมการจรรยาธรรมแทนรายชื่อของคณะกรรมการคณะนั้น

การเสนอชื่ออาจกระทำหนังสือเสนอพร้อมกันทั้งสองชื่อแสดงความยินยอมของผู้ได้รับการเสนอชื่อด้วย

มาตรา 34(54) กรรมการจรรยาธรรมต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 25(1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) (9) (10) และ (11) และต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ในราชการหรือในงานไม่ต่ำกว่าสิบปี หรือเป็นหรือเคยเป็นผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม หรือเป็นหรือเคยเป็นอัยการ หรือเป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือเป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรระหว่างประเทศที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐในต่างประเทศโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี

มาตรา 35(55) กรรมการจรรยาธรรมซึ่งมาจากคณะกรรมการแต่งตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี กรรมการจรรยาธรรมที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระแล้วจะได้รับแต่งตั้งอีกได้

แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน และให้นำมาตรา 27 และมาตรา 28 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 27 (3) ให้กรรมการธุรกรรมซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อคณะกรรมการให้ออกเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 27/2 ในกรณีที่กรรมการธุรกรรมพ้นจากตำแหน่งและยังมิได้แต่งตั้งกรรมการธุรกรรมแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้กรรมการที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แต่กรรมการธุรกรรมที่เหลืออยู่ต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง

มาตรา 37 การประชุมของคณะกรรมการธุรกรรมให้นำมาตรา 29 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 38[56] ให้คณะกรรมการธุรกรรมมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (2) สั่งยับยั้งการทำธุรกรรมตามมาตรา 35 หรือมาตรา 36 (3) ดำเนินการตามมาตรา 48 (4)[57] เสนอรายงานการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ต่อคณะกรรมการ (4/1)[58] กำกับ ดูแล และควบคุมให้สำนักงานและเลขาธิการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระและตรวจสอบได้ (4/2)[59] ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือคำแนะนำหลักเกณฑ์ใด ๆ เพื่อให้สำนักงานปฏิบัติและดำเนินการตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนดและต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา (5) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

มาตรา 39[60] ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยและมีพยานหลักฐานอันสมควรว่าธุรกรรมใดเกี่ยวข้องหรืออาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานความผิดฐานฟอกเงิน ให้คณะกรรมการธุรกรรมมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือยับยั้งการทำธุรกรรมนั้นไว้ก่อนในเวลาอันที่พนักงานสอบสวนเห็นสมควร

ในกรณีจำเป็นหรือเร่งด่วน เลขาธิการอาจสั่งยับยั้งการทำธุรกรรมนั้นไว้ก่อนได้แล้วรายงานต่อคณะกรรมการธุรกรรม

มาตรา 40[61] ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าธุรกรรมใดเกี่ยวข้องหรืออาจเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานความผิดฐานฟอกเงิน ให้คณะกรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการมีอำนาจขอให้บุคคลผู้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมนั้นให้ข้อมูลหรือเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมนั้นในระยะเวลาที่กำหนดแต่ไม่เกินสามสิบวันทำการ

มาตรา 41[62] ในกรณีการดำเนินการตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ให้คณะกรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการบันทึกไว้เป็นหลักฐานในรายงานการ

ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมหรือในการสั่งการของเลขาธิการว่ามีพยานหลักฐานใด และผู้ใดเป็นผู้ขอ ผู้ให้หรือสั่งการให้มีการดำเนินการตามหมายบัญญัติอันกล่าว

มาตรา ๗๙[63] เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการ แล้วแต่กรณี ส่งยับยั้งการทำธุรกรรมตามมาตรา ๗๕ หรือมาตรา ๗๗ แล้ว ให้คณะกรรมการธุรกรรมรายงานต่อคณะกรรมการในการประชุมคราวถัดไป และให้รายงานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบด้วย

รายงานตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องระบุรายละเอียด ดังต่อไปนี้

(ก)

บุคคลผู้ถูกสั่งยับยั้งการทำธุรกรรม

(ข)

พยานหลักฐานที่ใช้ดำเนินการต่อบุคคลตาม (ก)

(ค)

ผู้ขอ ผู้ให้หรือสั่งการให้มีการดำเนินการ

(ง)

ผลการดำเนินการ รายงานตามมาตรานี้ให้ถือเป็นความลับของทางราชการ ในกรณีที่คณะกรรมการหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตรวจสอบรายงานตามวรรคหนึ่งแล้วพบว่ามีการกระทำที่ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ส่งผลการตรวจสอบและความเห็นของคณะกรรมการหรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแล้วแต่กรณี ให้คณะกรรมการธุรกรรมดำเนินการต่อไป

มาตรา ๘๐[64] ในกรณีที่คณะกรรมการธุรกรรมเห็นว่าคดีใดสมควรจัดให้มีมาตรการคุ้มครองพยานผู้ให้ข้อมูลคำ หรือผู้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอื่นอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการของคณะกรรมการธุรกรรม ให้คณะกรรมการธุรกรรมแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้มีมาตรการในการคุ้มครองบุคคลดังกล่าว โดยให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวเป็นพยานที่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยานในคดีอาญา ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการธุรกรรมเสนอความเห็นเกี่ยวกับสมควรใช้มาตรการทั่วไปหรือมาตรการพิเศษตามกฎหมายดังกล่าวสำหรับบุคคลเหล่านั้นด้วย[65]

ในกรณีที่มีความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลตาม (ก) หรือสมาชิก ครอบครัว ผู้สืบสันดาน หรือบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว เพราะการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาเนื่องจากการดำเนินการหรือการให้ข้อมูลคำ หรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอื่นอันเป็นประโยชน์ ให้บุคคลดังกล่าวหรือทายาทหรือผู้มีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายมีสิทธิได้รับค่าทดแทนหรือค่าเสียหายตามกฎหมายว่าด้วยการช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีอาญาด้วย สำนักงานอาจจัดให้มีค่าตอบแทนหรือประโยชน์อื่นใดแก้บุคคลตามวรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา ๘๑ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับหมายความเป็นพนักงานสอบสวนกรณียิ่งต่อไปนี้

(๑)

มีหนังสือสอบถามหรือเรียกให้สถาบันการเงิน ส่วนราชการ องค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ แล้วแต่กรณี ส่งมาที่ทำให้มีคำขอส่งหนังสือด้วยคำสั่งส่งเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ มาเพื่อตรวจสอบ หรือเพื่อประกอบการพิจารณา

(๒)

มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใด ๆ มาเพื่อให้ข้อคำส่งคำชี้แจง เป็นหนังสือ หรือส่งบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ มาเพื่อตรวจสอบหรือเพื่อประกอบการพิจารณา

(๓)

เข้าไปในเคหสถาน สถานที่ หรือยานพาหนะใด ๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการซุกซ่อนหรือเก็บทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพื่อตรวจค้นหรือเพื่อประโยชน์ในการติดตาม ตรวจสอบ หรือยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือพยานหลักฐาน เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากเนิ่นช้าอาจเอามาตรการดังกล่าวไม่ได้ หรือทรัพย์สินหรือพยานหลักฐานดังกล่าวนั้นจะถูกย้ายถ่ายซุกซ่อน ทำลาย หรือทำให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม (๓) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามวรรคหนึ่งแสดงเอกสารมอบหมายและบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวตามวรรคสองให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศข้อมูลที่ได้จากการให้ข้อคำ คำชี้แจงเป็นหนังสือ บัญชี เอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ ที่ได้มานั้นจะต้องไม่กระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล ความลับทางการค้า สิทธิของทรัพย์สินทางปัญญา หรือธุรกิจ ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันการเงิน ผู้ประกอบอาชีพ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้ตามปกติ

มาตรา ๓๖/๖๖[๖๘] ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เลขาธิการ รองเลขาธิการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นพนักงานสอบสวนตามอำนาจการสืบสวนการปฏิบัติราชการคดีฐานฟอกเงินและบันทึกข้อกล่าวหาตั้งข้อหาเพื่อเป็นหลักฐานส่งเรื่องดังกล่าวไปยังพนักงานสอบสวนโดยไม่ชักช้าภายในไม่เกินห้าสิบสี่ชั่วโมง

มาตรา ๓๖/๖๗[๖๙] ผู้ปฏิบัติหน้าที่หรือผู้ช่วยเหลือผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ละเว้นซึ่งถูกฟ้องหรือถูกดำเนินคดีเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตามข้อยกเว้นที่คณะกรรมการกำหนด แล้วแต่กรณีจากหน้าที่หรือหน้าที่ในลักษณะอื่น

มาตรา ๓๖/๗ ให้กรรมการธุรกรรมได้รับค่าตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

มาตรา ๓๖/๖๘ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๖/๖๙ (ยกเลิก)

หมวด ๕

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

มาตรา ๖๐(๗๐) ให้จัดตั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เรียกโดยย่อว่า “สำนักงาน ปปง.” ขึ้นเป็นส่วนราชการที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง ปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระและเป็นกลาง มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑)

ดำเนินการให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการ คณะกรรมการธุรกรรม และปฏิบัติการอื่น

(๒)

รับรายงานการทำธุรกรรมที่ส่งให้ตามหมวด ๒ และแจ้งตอบการรับรายงาน รวมทั้งการรักษาและข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่ได้รับโดยทางอื่น

(๓)

(๗๑) รับหรือส่งรายงานหรือข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่น หรือข้อตกลงที่ได้จัดทำขึ้นระหว่างหน่วยงานในประเทศหรือต่างประเทศ

(๔)

(๗๒) กำหนดแนวทางปฏิบัติ กำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ของผู้ที่เกี่ยวข้องทางการทำธุรกรรมต่อสำนักงานตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวปฏิบัติและระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

(๕)

(๗๓) ประเมินความเสี่ยงระดับชาติที่เกี่ยวกับการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายเพื่อจัดทำแผนป้องกันและกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายต่อคณะกรรมการและคณะรัฐมนตรี รวมทั้งมีส่วนร่วมในการประเมินความเสี่ยงระดับชาติที่เกี่ยวกับการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายที่ดำเนินการโดยองค์กรระหว่างประเทศหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามแผนป้องกันและยุทธศาสตร์ดังกล่าว

(๖)

(๗๔) จัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย

(๗)

(๗๕) แจ้งรายชื่อผู้ที่มีหน้าที่รายงานตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ ซึ่งไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ เพื่อพิจารณาโทษทางปกครอง

(๘)

(๗๖) ส่งเสริมความร่วมมือของประชาชนเกี่ยวกับการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย

(๙)

(๗๗) เก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีอันเกี่ยวกับการทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ```

(จ)

ให้มีโครงการที่เกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้ การให้การศึกษา และฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือช่วยเหลือหรือสนับสนุนให้ภาครัฐและภาคเอกชนให้มีการจัดโครงการดังกล่าว

(ฉ)

ปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น

มาตรา ๗๘[78] ให้เลขาธิการคนหนึ่งมีหน้าที่ความดูแลโดยทั่วไปของราชการของสำนักงานและเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง และดำรงตำแหน่งในสำนักงานนี้เพียงตำแหน่งเดียวโดยให้มีรองเลขาธิการเป็นผู้ช่วยและปฏิบัติงานตามที่เลขาธิการมอบหมายได้

เลขาธิการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๗๙[79] ให้เลขาธิการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งคณะรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ตามผลการคัดเลือกตามมาตรา ๒๕ (๒) โดยความเห็นชอบของวุฒิสภา

มาตรา ๘๐ เลขาธิการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(๑)

มีความรู้ความเชี่ยวชาญในทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน การคลัง หรือกฎหมาย

(๒)

ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง หรือเทียบเท่าขึ้นไปหรือเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป หรือรองหัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไปมอบหมายให้เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม

(๓)

ไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐ

(๔)

ไม่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ ที่ปรึกษา หรือดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีลักษณะงานคล้ายกันหรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในห้างหุ้นส่วน บริษัท สถาบันการเงินหรือประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพอย่างอื่น หรือประกอบการใด ๆ อันขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๘๑[81] เลขาธิการพ้นจากราชการด้วยเหตุสิ้นสุดแห่งตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้ถือว่าดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว[82]

ให้เลขาธิการได้รับเงินเพิ่มพิเศษประจำตำแหน่งในอัตราและเงื่อนไขตามที่กำหนดในข้อบังคับของคณะกรรมการที่ออกโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และเงินเพิ่มพิเศษประจำตำแหน่งดังกล่าวไม่ให้นำมารวมคำนวณเพื่อประโยชน์ในการคำนวณบำเหน็จบำนาญ ให้การพิจารณาของคณะกรรมการเกี่ยวกับการแต่งตั้งเลขาธิการหรือการพ้นจากตำแหน่งที่มีเหตุผลเกี่ยวกับความเหมาะสมของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่ง และในการพิจารณาดังกล่าวให้ประธานกรรมการเป็นผู้มีอำนาจสั่งการและดำเนินการแทนคณะกรรมการ และการพิจารณาดังกล่าวให้ถือเป็นที่สุด ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง[83] ```

มาตรา ๕๔(๘๔) นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตราแล้ว เลขาธิการพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

(๑)

พ้นจากราชการไม่ว่าด้วยเหตุใด

(๒)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๔

(๓)

คณะกรรมการมีมติให้ออก เนื่องจากมีเหตุบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรงหรือบกพร่องตามมาตรา หรือมีพฤติการณ์ที่ไม่สมควรไว้ในใจในความสุจริต โดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจ

(๔)

ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

มาตรา ๕๕(๘๕) ภายในสองปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง ผู้ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการจะไปดำรงตำแหน่งใด ๆ ในหรือเป็นลูกจ้างของหน่วยงานที่เป็นผู้แทนที่รายงานตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๓ มิได้

มาตรา ๕๖ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำอันอาจเข้าข่ายของสถานการณ์เงิน เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการสื่อสาร หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ถูกใช้เพื่ออาจก่อให้เกิดประโยชน์ในการกระทำความผิดหรือการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อการกระทำความผิดตามกฎหมายอื่น เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา

อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๕๔๐ และยุทธภัณฑ์ของสำนักงานเป็นยุทธภัณฑ์ของราชการทหารหรือตำรวจตามมาตรา ๑(๑) แห่งพระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน พ.ศ. ๒๕๕๑ สำนักงานอาจมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนและยุทธภัณฑ์ ชนิดใด ขนาดใด จำนวนเท่าใด ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด การมี ใช้ และพกอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และยุทธภัณฑ์ไปในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๑๗ ให้สำนักงานจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีเสนอคณะรัฐมนตรี รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีอย่างน้อยให้มีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้

(๑)

รายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้

(๒)

ปัญหาและอุปสรรคจากการปฏิบัติงาน

(๓)

รายงานข้อเท็จจริงหรือข้อสังเกตจากการปฏิบัติงานอย่างหนึ่ง พร้อมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะ ให้คณะรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีต่อสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อสังเกตจากการปฏิบัติงานและข้อสังเกต การดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน

มาตรา ๑๘ ในการตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรม หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าความมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินใดที่เป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิด ให้คณะกรรมการธุรกรรมมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอายัดทรัพย์สินนั้นไว้ชั่วคราวมีกำหนดไม่เกินเก้าสิบวัน

ในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว เลขาธิการจะสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งไปพลางแล้วรายงานต่อคณะกรรมการธุรกรรม การตรวจสอบรายงานและข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ผู้ที่ถูกธุรกรรมมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยหรือคำสั่งเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวต่อคณะกรรมการธุรกรรมในการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับการกระทำความผิดให้คณะกรรมการธุรกรรมมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่ง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งแล้วแต่กรณี สั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือสิ่งเทียมอาวุธยึดหรืออายัดทรัพย์สินแล้ว ให้คณะกรรมการธุรกรรมรายงานต่อคณะกรรมการ

มาตรา 89 ภายใต้บังคับมาตรา 88 วรรคหนึ่ง ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินในมูลนิธิเกี่ยวกับการกระทำความผิด ให้พนักงานอัยการมีเรื่องให้พนักงานสอบสวนเพื่อมีคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็ว

ในกรณีที่พนักงานอัยการเห็นว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์พอที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินนั้นเพิ่มหรือตกเป็นของแผ่นดินได้ ให้พนักงานอัยการแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป โดยให้ระบุข้อที่ไม่สมบูรณ์นั้นให้ครบถ้วนในคราวเดียวกัน ให้เลขาธิการคณะกรรมการตรวจสอบและส่งเรื่องเพิ่มเติมให้พนักงานอัยการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง หากพนักงานอัยการยังเห็นว่าไม่มีเหตุพอที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินนั้นเพิ่มหรือตกเป็นของแผ่นดินได้ ให้พนักงานอัยการแจ้งให้เลขาธิการคณะกรรมการทราบเพื่อส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด และเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดเป็นประการใดให้พนักงานอัยการและเจ้าพนักงานดำเนินการตามนั้น ทุกคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดถือว่าเป็นที่สุดและอาจกล่าวต่างกัน ให้ปฏิบัติตามความเห็นของพนักงานอัยการ เมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยชี้ขาดไม่ให้ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินและได้ปฏิบัติตามความเห็นของพนักงานอัยการแล้ว ให้เลขาธิการคณะกรรมการแจ้งให้ผู้เสียหายทราบโดยเร็ว และหากผู้เสียหายเห็นว่าคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวไม่ถูกต้อง ให้ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินได้ โดยให้ยื่นคำร้องต่อศาลภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน ให้สำนักงานดำเนินการนำทรัพย์สินนั้นเข้าสู่กองทุน และในกรณีที่มีผู้ขอรับคืนโดยใช้สิทธิหรือรับคืนตามกฎหมายซึ่งสำนักงานได้ส่งมอบคืนภายในกำหนดสองปี ให้สำนักงานส่งคืนทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขอรับคืน หากไม่อาจส่งคืนทรัพย์สินได้ให้คืนเป็นเงินจากกองทุนแทน หากยังไม่มีผู้ขอรับคืนเมื่อพ้นกำหนด ให้ทรัพย์สินนั้นเป็นของกองทุน ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ การเก็บรักษาและการจัดการทรัพย์สินหรือเงินในระหว่างที่ยังไม่มีผู้ขอรับคืน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด (89) เมื่อคณะรับคำร้องที่พนักงานอัยการยื่นต่อศาลแล้ว ให้ศาลสั่งให้เปิดประกาศในหนังสือพิมพ์ และประกาศอย่างอื่นต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน เพื่อให้ผู้เสียหายหรือเจ้าของทรัพย์สินที่มีสิทธิในทรัพย์สินนั้นได้ยื่นคำร้องขอคืนต่อศาลภายในกำหนดเวลา และหากไม่มีผู้ยื่นคำร้องขอคืนภายในกำหนดเวลา ให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินได้โดยไม่จำเป็นต้องสอบสวนหรือรับฟังพยานหลักฐานอื่นอีก วรรคหก (90) (ยกเลิก)

มาตรา 90/1 ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน ให้เลขาธิการรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เสียหายและความเสียหายส่งให้พนักงาน

อัยการยื่นคำร้องต่อศาลขอมีคำสั่งตามมาตรา ๓๒ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไปเป็นทรัพย์ตกได้แก่แผ่นดินในทันทีในจำนวนความเสียหายที่ยังไม่ได้รับคืนหรือชดใช้คืน และเมื่อศาลมีคำสั่งให้แผ่นดินหรือให้ทรัพย์สินตกได้แก่ผู้เสียหายแล้ว ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยให้ความเห็นชอบในมาตรา ๔๙ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อเท็จจริง ให้สำนักงานประกาศในราชกิจจานุเบกษาแจ้งให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องพร้อมทั้งคำแถลงรายละเอียดแห่งความเสียหายภายในกำหนดวันและเวลากำหนดในราชกิจจานุเบกษา หากผู้เสียหายในความผิดมูลฐานได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ อนามัย หรือชื่อเสียง ให้ทำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับในการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานตามมาตรานี้ต้องเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดมูลฐานและไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น ค่าเสียหายของพึงใช้โดยสุจริตในเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามมาตราที่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งกรณี ทั้งนี้ คำสั่งศาลตามวรรคสามแห่งพระราชบัญญัตินี้ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีในทางแพ่งตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิด การรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เสียหายและความเสียหาย คำร้องและการยื่นคำร้อง และการเก็บรักษาและการจัดการทรัพย์สิน เพื่อบำบัดความเสียหายตามวรรคหนึ่ง ให้สำนักงานดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๔๘ ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานที่มีสิทธิฟ้องคดีแพ่งนำมาบังคับทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๔๗ ต้องเป็นผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย โดยแสดงให้ศาลเห็นว่า

(ก)

ตนเป็นเจ้าของทรัพย์จริง และทรัพย์สินนั้นไม่ได้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือ

(ข)

ตนเป็นผู้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาโดยสุจริตและตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางกุศลสาธารณะ ผู้ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๔๙ อาจยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนต่อศาลที่สั่ง โดยแสดงให้ศาลเห็นว่าตนมีส่วนได้เสียโดยสุจริตและสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณะตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณะ

มาตรา ๔๙ เมื่อศาลคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินพนักงานอัยการตามมาตรา ๔๗ แล้ว หากผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่พนักงานอัยการร้องขอให้ตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๔๗ อาจยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนต่อศาลที่สั่ง โดยแสดงให้ศาลเห็นว่าตนมีส่วนได้เสียโดยสุจริตและสมควรในทางศีลธรรมอันดี หรือในทางกุศลสาธารณะ

ทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๔๗ ให้สำนักงานดำเนินการจัดการทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๔๗ โดยให้สำนักงานจัดการทรัพย์สินนั้นโดยวิธีการที่เหมาะสมและเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้สำนักงานจัดการทรัพย์สินนั้นโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของแผ่นดิน เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ หากผู้ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๔๗ อาจยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิของตนต่อศาลที่สั่ง มูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงินมาก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรดาทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือได้มาหรือโอนมาโดยไม่สุจริต แล้วแต่กรณี

มาตรา ๕๗/๑[95] ในกรณีที่ศาลเห็นว่าทรัพย์สินตามคำร้องไม่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินนั้น และในกรณีเช่นนี้ ถ้าไม่มีผู้ใดขอรับคืนทรัพย์สินภายในสองปีนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าว ให้สำนักงานนำทรัพย์สินนั้นเพิ่มเข้ากองทุน

ในกรณีที่มีผู้ขอรับคืนโดยใช้สิทธิตามกฎหมายอื่นซึ่งสามารถทำได้แม้จะเกินกำหนดเวลาตามสองปีก็ตาม ให้สำนักงานส่งคืนทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขอรับคืน หากไม่อาจส่งคืนทรัพย์สินได้ให้คืนเป็นเงินจากกองทุนแทน หากยังไม่มีผู้มารับคืนเมื่อพ้นห้าปีนับแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นเพิ่มเข้ากองทุน ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ การเก็บรักษาและการจัดการทรัพย์สินหรือเงินในระหว่างที่ยังไม่มีผู้มารับคืน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด[96]

มาตรา ๕๗[97] ในกรณีที่ศาลเห็นว่าทรัพย์สินตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ถ้าศาลได้สั่งคดีร้องขอซึ่งว่ามีผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา ๕๐ วรรคสอง แล้วเห็นว่าผู้ร้องขอซึ่งว่ามีผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา ๔๙ หรือมีส่วนได้เสียตามมาตรา ๕๐ วรรคสอง เป็นผู้ซึ่งนำเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับผู้กระทำความผิด มูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงินมาก่อน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลดังกล่าวเป็นส่วนได้เสียที่มิชอบหรือได้มาโดยไม่สุจริต

มาตรา ๕๘[98] ถ้าความปรากฏแก่ศาลเองหรือปรากฏตามคำร้องของพนักงานอัยการว่า ทรัพย์สินที่ร้องขอให้ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๔๙ หรือมีให้ทรัพย์สินไปเพิ่มพูนหรือใช้คืนทรัพย์สินที่เสียหายให้แก่ผู้เสียหายตามมาตรา ๔๙/๑ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้มาโดยไม่สุจริตหรือได้มาโดยไม่สุจริตหรือเป็นทรัพย์สินที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินหรือความผิดฐานฟอกเงินมาก่อน ให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินหรือให้ทรัพย์สินนั้นไปเพิ่มพูนหรือใช้คืนทรัพย์สินที่เสียหายให้แก่ผู้เสียหายตามมาตรา ๔๙/๑ หรือสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ต้องมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ให้นำที่ดินขายหรือตกเป็นของแผ่นดินแทนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดและนำทรัพย์สินนั้นไปให้แก่เจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียต่อไป

มาตรา ๕๙ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๕๐ หากปรากฏในภายหลังโดยคำร้องของเจ้าของ ผู้รับโอน หรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินนั้น ว่าคำสั่งเดิมนั้นมีมูลหรือข้อเท็จจริงอันควรรับฟังอย่างชัดเจนว่าอาจจะสั่งคืนทรัพย์สินนั้นหรือกำหนดเงื่อนไขในการคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย หากไม่สามารถคืนทรัพย์สินหรือคุ้มครองสิทธิได้ ให้ใช้ราคาทรัพย์สินตามคำสั่งเดิมแทน และต้องกระทำ(99)

คำร้องตามวรรคหนึ่งต้องยื่นภายในหนึ่งปีนับแต่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินสิ้นสุด และผู้ร้องต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรา ๖๐ ได้ เพราะไม่ทราบถึงประกาศหรือหนังสือแจ้งของเลขาธิการหรือเหตุขัดข้องอันสมควรประการอื่น ก่อนศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลแจ้งให้เลขาธิการการบังคับร้องต้องกล่าว และให้โอกาสพนักงานอัยการเข้ามาโต้แย้งคำร้องนั้นได้

มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรา ๕๐ หากปรากฏว่าทรัพย์สินนั้นเกี่ยวกับการกระทำความผิดเพียงเล็กน้อย หรือพนักงานอัยการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินได้ และให้เจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียใช้โดยสุจริต

มาตรา ๖๑ หลังจากที่พนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องตามมาตรา ๖๐ ทุกกรณีเหตุอันควรได้คำร้องว่าคำสั่งเดิมนั้นมีมูลหรือข้อเท็จจริงอันควรรับฟังอย่างชัดเจนว่าอาจจะสั่งให้ศาลพิจารณาใหม่ได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียใช้โดยสุจริต

มาตรา ๖๒ เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมหรือเลขาธิการ แล้วแต่กรณี ได้มีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินได้ตามมาตรา ๔๘ แล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามคำสั่ง แล้วรายงานให้ทราบพร้อมทั้งประเมินราคาทรัพย์สินนั้นโดยเร็ว

การยึดหรืออายัดทรัพย์สินและการประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดไว้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการชำระหนี้และบังคับคดีโดยยึดหรืออายัด

มาตรา ๖๓ การเก็บรักษาและการจัดการทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดไว้ตามคำสั่งของคณะกรรมการธุรกรรม เลขาธิการหรือศาล แล้วแต่กรณี ให้ดำเนินการเก็บรักษาหรืออายัดไว้ตามคำสั่งดังกล่าวให้เหมาะสมต่อสภาพทรัพย์สินนั้น

ในกรณีทรัพย์สินอาจเสื่อมสภาพหรือไม่เหมาะสมต่อสภาพทรัพย์สินนั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายดำเนินการจัดการทรัพย์สินนั้นในรูปแบบและใช้ประโยชน์ตามประเภทของทรัพย์สินนั้น ให้เหมาะสมต่อสภาพทรัพย์สินนั้นในรูปแบบและใช้ประโยชน์ตามประเภทของทรัพย์สินนั้น ให้เหมาะสมต่อสภาพทรัพย์สินนั้นในรูปแบบและใช้ประโยชน์ตามประเภทของทรัพย์สินนั้น การให้ผู้เสียหายได้รับทรัพย์สินไปดูแลและใช้ประโยชน์ การนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดหรือการนำทรัพย์สินไปใช้ประโยชน์ของทางราชการตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ถ้าความปรากฏในภายหลังว่า ทรัพย์สินที่นำออกขายทอดตลาดหรือที่นำไปใช้เพื่อประโยชน์ของทางราชการตามวรรคสอง มิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดให้คืนทรัพย์สินนั้นพร้อมทั้งผลได้ให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองตามคำสั่งคณะกรรมการกำหนด ให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครอง ถ้าไม่อาจคืนทรัพย์สินได้ ให้ชดใช้ราคา ทรัพย์สินนั้นตามราคาประเมินในวันที่มีคำสั่งของคณะกรรมการ หรือราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่ได้รับคืนหรือชดใช้ราคา แล้วแต่กรณี การประเมินค่าเสียหายและค่าเสื่อมสภาพตามวรรคสี่ ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๖๔ ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดใด เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าตามราคาท้องตลาดอยู่ในปัจจุบัน แต่ไม่มีการนำทรัพย์สินนั้นมาพิจารณาตามกฎหมายลำงล่าว หรือมิได้มีการตรวจสอบพิจารณาตามข้อกำหนดแล้วไม่มีผล หรือการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้อาจก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการมากกว่า ก็ให้ดำเนินการทรัพย์สินนั้นตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

ในการพิจารณาดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดใดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คำนึงถึงความสำคัญของทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ความสำคัญของการกระทำความผิด ความสำคัญขององค์กรอาชญากรรม ความสำคัญของผู้กระทำความผิด และความสำคัญของผู้เสียหาย ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดหรือเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม หรือผู้ซึ่งทรัพย์สินที่สำคัญนั้นเกี่ยวการ ผู้รู้ ผู้ครอบครอง ทั้งนี้ สำนักงานการกระทำความผิดดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของคณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๖๕ การดำเนินการทางศาลตามมาตรานี้ ให้นำส่งต่อศาลและให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม

ในกรณี ให้พนักงานอัยการได้มีอำนาจในการนำคำวินิจฉัยของศาลมาเยียวยาผังปวง

หมวด ๖/๑

กองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

มาตรา ๖๕/๑ ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินขึ้น โดยให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ต่อไปนี้

(๑)

สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน การดำเนินคดี การตรวจค้น การยึดหรืออายัด การบริหารจัดการทรัพย์สิน การขายทอดตลาด การคืนทรัพย์สิน หรือการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวมทั้งการสนับสนุนหน่วยงานอื่น ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

(๒)

ส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ผู้เกี่ยวข้อง และประชาชนเกี่ยวกับการเผยแพร่และการให้ข้อมูลข่าวสาร การประชุมหรือการจัดการศึกษาอบรม การร่วมมือทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และการดำเนินการเพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

(๓)

ดำเนินกิจการอื่นที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัตินี้ ภายใต้บังคับมาตรา ๕๔/๗ ให้คณะกรรมการอำนาจกำหนดระเบียบการใช้จ่ายเงินเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๕๔/๘(๑๐๔) กองทุนตามมาตรา ๕๔/๑ ประกอบด้วยทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้

(๑)

ทรัพย์สินที่ให้แก่กองทุนตามมาตรา ๕๔

(๒)

ทรัพย์สินที่เก็บรักษาซึ่งไม่มีการขอรับคืนตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๕๔/๑

(๓)

ทรัพย์สินที่มีผู้ให้

(๔)

ทรัพย์สินที่ได้รับจากหน่วยงานของรัฐของไทยหรือของต่างประเทศ

(๕)

ผลประโยชน์ที่เกิดจากทรัพย์สินตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔)

มาตรา ๕๔/๙(๑๐๕) กองทุนตามมาตรา ๕๔/๑ ให้เป็นของสำนักงานโดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

มาตรา ๕๔/๑๐(๑๐๖) การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงินกองทุน และการเก็บรักษาทรัพย์สิน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

มาตรา ๕๔/๑๑(๑๐๗) อำนาจหน้าที่ในการบริหาร การจัดการ การจัดหาผลประโยชน์ การจำหน่ายทรัพย์สินและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของกองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

มาตรา ๕๔/๑๒(๑๐๘) ค่าใช้จ่ายที่คณะกรรมการเห็นสมควรเกี่ยวกับการดำเนินงานของหน่วยงานบุคคลตามอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้จ่ายจากกองทุนตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

มาตรา ๕๔/๑๓(๑๐๙) เลขาธิการต้องจัดทำรายงานการเงินประจำปีของกองทุนเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาและตรวจรับรองประจำปีให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ และรายงานดังกล่าวต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาด้วย

หมวด ๗

บทกำหนดโทษ

มาตรา ๖๐ ผู้ใดกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๖๑[๑๑๐] นิติบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรา ๖๐ มาตรา ๗ มาตรา ๘ หรือมาตรา ๙ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท

ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งของนิติบุคคลเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวทำให้เกิดสิ่งจูงใจหรือเพิกเฉยละเลยไม่ดำเนินการหรือไม่กระทำการอันเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้ซึ่งเมื่อระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๖๒[๑๑๑] นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดใช้อำนาจสั่งการให้คณะกรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมทรัพย์สิน หรือยับยั้งการทำธุรกรรม ยึดหรืออายัด หรือปฏิบัติการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ โดยมีเจตนาเพื่อหาผลประโยชน์อันมิควรได้ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น หรือเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง หรือกระทำการโดยกลั่นแกล้งผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ รองเลขาธิการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดปฏิบัติการภายใต้พระราชบัญญัตินี้โดยมีเจตนาเพื่อหาผลประโยชน์อันมิควรได้ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๖๓[๑๑๒] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๕/๑ ต้องระวางโทษปรับไม่น้อยกว่าสามหมื่น แต่ไม่เกินหกหมื่นบาทต่อบทเพลงและรายได้อื่นที่ได้จากการทำงานนั้นคืนความเป็นรายปี แต่ต้องไม่เกินอัตราทั้งหมดบาท

มาตรา ๖๔[๑๑๓] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๖ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๐/๑ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๖/๑ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๓๖ หรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่สำนักงานตามมาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๒๐/๒ กำหนด ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงห้าล้านบาท หรือปรับไม่เกินร้อยละหนึ่งหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่ หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

ผู้ที่เห็นว่าการปฏิบัติตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๐/๓ วรรคสอง ย่อมมีความผิดตามมาตรา ๖๔

มาตรา ๖๕[๑๑๔] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๖ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๐/๑ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๖/๑ มาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๓๖ หรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่สำนักงานตามมาตรา ๑๙/๑ หรือมาตรา ๒๐/๒ กำหนด ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงห้าล้านบาท หรือปรับไม่เกินร้อยละหนึ่งหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่ หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

มาตรา ๖๖ ผู้ใดไม่ให้ข้อเท็จจริง ไม่ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือไม่ส่งบัญชีเอกสารหรือหลักฐานตามมาตรา ๑๓ (๑) หรือ (๒) หรือข้อกำหนดหรือไม่ให้ความสะดวกตาม

มาตรา ๖๓ (๓) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดกระทำการใด ๆ ให้บุคคลอื่นล่วงรู้ข้อมูลซึ่งเก็บรักษาไว้ตามมาตรา ๓๗ วรรคสี่ เว้นแต่การปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือจากกฎหมาย ต้องระวางโทษตามวรรคหนึ่ง

มาตรา ๖๔[๑๑๕] ความผิดตามมาตรา ๖๒ มาตรา ๖๓ และมาตรา ๖๔ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบที่คณะกรรมการแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้

คณะกรรมการเปรียบเทียบดังกล่าวข้างต้น ประกอบด้วยเลขาธิการเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสองคน พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหนึ่งคน โดยมีข้าราชการในสำนักงานที่เลขาธิการมอบหมายเป็นกรรมการและเลขานุการ ให้เลขาธิการแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงานจำนวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ทำการเปรียบเทียบ และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการเปรียบเทียบกำหนดแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา ๖๕[๑๑๖] ความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามมาตรา ๖๔ ถ้าผู้ต้องหาต่อสู้คดีหรือไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการเปรียบเทียบ ให้ดำเนินการฟ้องร้องคดีต่อศาล หรือถ้าผู้ต้องหาไม่ชำระค่าปรับตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ดำเนินการฟ้องร้องคดีต่อศาล หรืออาจดำเนินการให้เป็นไปตามความผิดนั้น ๆ

มาตรา ๖๖ ผู้ใดขัดขวาง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารหรือบันทึก ข้อมูล หรือทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานขอตรวจยึดไว้ หรือยึดหรือริบหรือควรจะตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๖๗[๑๑๗] ผู้ใด

(ก)

ฝ่าฝืนมาตรา ๒๑/๑ หรือ

(ข)

รู้หรือควรจะรู้ความลับในการเกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ กระทำด้วยประการใด ๆ ให้ผู้อื่นรู้หรืออาจรู้ความลับดังกล่าว เว้นแต่เป็นการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือจากกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันผู้ประกอบอาชญากรรมมีวิธีการหลีกเลี่ยงกฎหมายมากมายรูปแบบ ได้มีการเงินหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพิ่มมากขึ้นจากการทำในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นการนำเงิน เพื่อทำเงินหรือทรัพย์สินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ในการกระทำความผิดต่อไปได้อีก ทำให้ยากแก่การปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายเหล่านั้น และโดยที่กฎหมายที่มีอยู่ยังไม่สามารถปราบปรามการฟอกเงินหรืออาชญากรรมที่เงินหรือทรัพย์สินนั้นได้เท่าที่ควร อันเป็น เพื่อเป็นการตัวของการประกอบอาชญากรรมดังกล่าว สมควรเพิ่มบทเฉพาะการดัง ๆ ให้สามารถดำเนินการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. ๒๕๖๓

มาตรา ๒ พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับการเงินเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงินซึ่งช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้การกระทำความผิดรุนแรงยิ่งขึ้น อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการป้องกันและปราบปรามการกระทำที่เป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินมีความสำคัญยิ่งขึ้น และโดยที่กฎหมายที่มีอยู่ยังไม่สามารถปราบปรามการฟอกเงินหรืออาชญากรรมที่เงินหรือทรัพย์สินนั้นได้เท่าที่ควร สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเพื่อให้การรับบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญาในเรื่องนี้เป็นไปอย่างได้ผล โดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศและความปลอดภัยสาธารณะ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๒๔ ให้เลขาธิการคณะกรรมการพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันพ้นกำหนดที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการพระราชบัญญัตินี้ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งเลขาธิการคนใหม่

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มีบทบัญญัติที่ยังไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และการกำหนดให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงินซึ่งช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้การกระทำความผิดรุนแรงยิ่งขึ้น อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเพื่อให้การรับบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญาในเรื่องนี้เป็นไปอย่างได้ผล จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ กระทำความผิดอาญาฐานอื่นนอกจากแปลงความผิดมูลฐานดังกล่าวยังสามารถนำเงินและทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดในแต่ละคราวมาใช้ในการสนับสนุนการกระทำความผิดอาญาในแปลงความผิดมูลฐานได้อีก นอกจากนี้ ยังมีข้อเด่นในการบังคับใช้กฎหมายบางประการไม่อาจดําเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อให้การดํารงวาระประกอบอาชญากรรมเป็นไปอย่างได้ผลสมที่กฎหมายกําหนดไว้โดยแท้จริง ในขณะนี้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินสามารถดําเนินการไปได้ด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงเป็นการสมควรให้การกระทำความผิดอาญาฐานอื่นที่ต่อความสมบูรณ์เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือดุลยภาพมันคงแห่งรัฐหรือความมันคงทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นความผิดมูลฐาน จึงเป็นเรื่องพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๒(120)

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบอาชญากรรมเกี่ยวกับความผิดมูลฐานได้ใช้ช่องทางจากการประกอบอาชีพบางประเภทเพื่อมิให้การดําเนินการของสถาบันการเงินเป็นแหล่งในการฟอกเงิน นอกจากนี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มีกําหนดบัญชีรายชื่อเกี่ยวกับการกระทําความผิดมูลฐานไว้ในมาตรา ๓ ซึ่งมีลักษณะเป็นการกระทำความผิดที่ไม่ครอบคลุมถึงการกระทำความผิดที่มีลักษณะเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดมูลฐานที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ อันเป็นเหตุให้การดําเนินการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานดังกล่าวไม่สามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเท่าที่ควร เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่ได้จากการกระทำความผิดอาญาฐานอื่นที่ต่อความสมบูรณ์เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือดุลยภาพมั่นคงแห่งรัฐหรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นความผิดมูลฐาน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๕(121)

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กําหนดให้การกระทำความผิดอาญาฐานอื่นที่ต่อความสมบูรณ์เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือดุลยภาพมั่นคงแห่งรัฐหรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นความผิดมูลฐาน แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงการกระทำความผิดที่มีลักษณะเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดมูลฐานที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ อันเป็นเหตุให้การดําเนินการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานดังกล่าวไม่สามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเท่าที่ควร เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่ได้จากการกระทำความผิดอาญาฐานอื่นที่ต่อความสมบูรณ์เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือดุลยภาพมั่นคงแห่งรัฐหรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นความผิดมูลฐาน รวมทั้งกำหนดให้มีคณะกรรมการป้อง เทียบปรับ ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล จึงจำเป็นต้องมีพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๕[122]

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓๐ ให้เลขาธิการซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นเลขาธิการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ โดยให้อยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งตามที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดนับแต่วันที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้

เมื่อบุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการตามวรรคหนึ่งครบวาระแล้ว คณะรัฐมนตรีอาจลงมติให้บุคคลดังกล่าวดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐที่มีลักษณะหน้าที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษ และสิทธิประโยชน์อื่นใดได้เท่ากับที่ได้รับอยู่เดิมได้

มาตรา ๓๒ ให้ดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการ และคณะกรรมการธุรกรรมตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในระหว่างเวลาที่ไม่มีกรรมการในคณะกรรมการ หรือคณะกรรมการธุรกรรม ให้คณะกรรมการ หรือคณะกรรมการธุรกรรม ประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่

มาตรา ๓๔ เรื่องใดที่อยู่ในระหว่างดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ถ้าเป็นเรื่องซึ่งไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ดำเนินการต่อไปได้เสมือนเป็นเรื่องที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๓๕ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมต่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในปัจจุบัน สมควรปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดมูลฐาน ความผิดฐานฟอกเงิน พร้อมทั้งเพิ่มที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และลักษณะของการกระทำความผิดมูลฐานให้ครอบคลุมการกระทำความผิดที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำความผิด และการลงโทษผู้กระทำความผิดในความผิดฐานฟอกเงิน และการช่วยเหลือการกระทำความผิดดังกล่าวให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ เหลือผู้ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ และเพิ่มอำนาจหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการประเมินความเสี่ยง การจัดทำแผนปฏิบัติการระดับหน่วยงานต่าง ๆ และบังคับรายชื่อผู้ที่หน้าที่รายงานซึ่งกระทำการใดที่เป็นไปเพื่อหน่วงเหนี่ยวดูแลและส่งเสริมความร่วมมือของประชาชนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และดำเนินการเกี่ยวกับการปฏิบัติการต่าง ๆ การแสวงหาและใช้ข้อมูลในการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ได้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและคณะกรรมการธุรกรรม และกำหนดวิธีการในการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกำหนดเงื่อนไขของตำแหน่งดังกล่าว รวมทั้งปรับปรุงหน้าที่ของคณะกรรมการธุรกรรม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัตินี้ให้เพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนที่เป็นบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๓๗ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กรรมการผู้จัดการ ผู้บังคับการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษทางอาญาร่วมกับนิติบุคคลที่กระทำความผิดด้วย โดยไม่มีความผิดเอง เป็นผลให้บทบัญญัติดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๙ และส่งผลให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวสิ้นผลในขณะซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงคำวินิจฉัยในคดีของตัวกำหนดเดียวกัน คือ พระราชบัญญัติสิทธิ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๓๗ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๗๗ พระราชบัญญัติสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๔ และพระราชบัญญัติอื่น ๆ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๓๗/๗ ซึ่งพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๗/๗ วรรคสอง เป็นบังคับใช้ไม่ได้อีกส่งผลให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓๗/๗ วรรคสอง อื่น ๆ เพื่อเป็นการบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวและกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันนี้ให้มีผลใช้บังคับต่อรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ คำสั่งทั้งหมดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๘/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน[124] ข้อ ๑ ให้บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับดำเนินการตามที่กำหนดในคำสั่งนี้ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่สิ้นสุดลง ให้การดำเนินการเพื่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามคำสั่งนี้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการไม่ละเว้นหรือให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่ ข้อ ๖ ในกรณีที่เห็นสมควรนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นชอบเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้ ข้อ ๗ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๕(125)

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ: เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินไม่สามารถป้องกันผู้ที่มุ่งร้ายองค์กรสาธารณกุศลในความผิดมูลฐานที่ได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน ไว้อย่างชัดเจน และบางบัญชีที่ผู้ครองสิทธิ์อาจบริจาคเงินหรือทรัพย์สินที่หน้ามองการร้องขอให้กับบุคคลเหล่านั้น ยังไม่ครอบคลุมผู้ที่มุ่งร้ายองค์กรสาธารณกุศลในทรัพย์สินเหล่านั้น อีกทั้งยังไม่มีบทบัญญัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการบังคับคืนเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดจากการหลอกลวงผิดกรณีที่ทรัพย์สินนั้นถูกรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น ดังนั้น เพื่อให้การบังคับรองสิทธิ์แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานและการป้องกันองค์กรสาธารณกุศลไม่ให้เป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พัชราภรณ์ / Maker 9 มกราคม 2566 สุภาทิพย์ / Checker 10 มกราคม 2566 สุภาทิพย์ / Authorizer 10 มกราคม 2566 (1) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖/ตอนที่ ๒๙ ก/หน้า ๔๕/๒๙ เมษายน ๒๕๔๒ (2) มาตรา ๓ นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๕ (3) มาตรา ๓ นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๕ (4) มาตรา ๓ นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (๔) เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ (5) มาตรา ๓ นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (๕) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๕ (7) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (11) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (8) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (12) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (9) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (13) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (10) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (14) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (11) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (15) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (12) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (16) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (13) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (17) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (14) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (18) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (15) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (19) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (16) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (20) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (17) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” (21) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (18) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (19) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย” แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (20) มาตรา 3 นิยามคำว่า “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด” (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (21) มาตรา 3 นิยามคำว่า “สถาบันการเงิน” (8) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 (22) มาตรา 3 นิยามคำว่า “สถาบันการเงิน” (9) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 [23] มาตรา ๓ นิยามคำว่า “สถาบันการเงิน” (๓) ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖ [24] มาตรา ๓ นิยามคำว่า “สถาบันการเงิน” (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ [25] มาตรา ๓ นิยามคำว่า “กองทุน” เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ [26] มาตรา ๓ (๓) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [27] มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ [28] มาตรา ๑๑ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ [29] มาตรา ๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [30] มาตรา ๑๕/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [31] มาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๒ [32] มาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง (๑๐) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [33] มาตรา ๑๖ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๒ [34] มาตรา ๑๖/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [35] มาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๒ [36] มาตรา ๒๐/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๒ [37] มาตรา ๒๐/๒ วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ [38] มาตรา ๒๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖ [39] มาตรา 20/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 [40] มาตรา 20/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 [41] มาตรา 20/3 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 [42] มาตรา 22 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2542 [43] มาตรา 22 วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 [44] มาตรา 20/1 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 [45] มาตรา 24 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน [46] มาตรา 20/2 ยกเลิกโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน [47] มาตรา 20/6 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 [48] มาตรา 25 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 [49] มาตรา 25 วรรคหนึ่ง (3) แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน [50] มาตรา 25 วรรคหนึ่ง (1) แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 37/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน [51] มาตรา 26 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 [52] มาตรา 27 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 [53] มาตรา 30/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ``` (54) มาตรา ๓๒/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ (55) มาตรา ๓๒/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ (56) มาตรา ๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ (57) มาตรา ๓๔ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๕ (58) มาตรา ๓๔ (๕) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๕ (59) มาตรา ๓๔ (๔/๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ (60) มาตรา ๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ (61) มาตรา ๓๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ (62) มาตรา ๓๖/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ (63) มาตรา ๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๕ (64) มาตรา ๓๗/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ (65) มาตรา ๓๗/๑ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ (66) มาตรา ๓๘/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ (67) มาตรา ๓๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ (68) มาตรา ๓๙/๑ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ (69) มาตรา ๓๙/๒ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ ``` (70) มาตรา 40 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (71) มาตรา 40 (3) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2552 (72) มาตรา 40 (3/1) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (73) มาตรา 40 (3/2) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (74) มาตรา 40 (3/3) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (75) มาตรา 40 (4) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (76) มาตรา 40 (4/1) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (77) มาตรา 40 (4/2) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (78) มาตรา 40 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (79) มาตรา 40 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (80) มาตรา 40 (b) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2565 (81) มาตรา 40 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2565 (82) มาตรา 40 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (83) มาตรา 40 วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (84) มาตรา 40 วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (85) มาตรา 40 (2) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 (86) มาตรา 86 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 (87) มาตรา 86/1 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2555 (88) มาตรา 86/2 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (89) มาตรา 86 วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (90) มาตรา 86 วรรคท้าย ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 (91) มาตรา 86/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 (92) มาตรา 86 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2555 (93) มาตรา 86 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2542 (94) มาตรา 86 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (95) มาตรา 86/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 (96) มาตรา 86/1 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2564 (97) มาตรา 86 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (98) มาตรา 86/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 (99) มาตรา 86 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 (100) มาตรา 86 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2542 (101) มาตรา 86 วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 (102) หมวด 6/1 กองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มาตรา 45/7 ถึงมาตรา 45/8 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (103) มาตรา 45/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (104) มาตรา 45/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (105) มาตรา 45/3 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (106) มาตรา 45/4 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (107) มาตรา 45/5 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (108) มาตรา 45/6 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (109) มาตรา 45/7 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (110) มาตรา 16 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้เพิ่มเติมพันธะหน้าที่แห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับการฟอกเงินในทางอาญาของผู้มีหน้าที่ในบุคคล พ.ศ. 2560 (111) มาตรา 16/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (112) มาตรา 16/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (113) มาตรา 26 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (114) มาตรา 27 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (115) มาตรา 50/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (116) มาตรา 50/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556 (117) มาตรา 55 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 (118) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 120/ตอนที่ 77 ก/หน้า 4/11 สิงหาคม 2548 (119) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125/ตอนที่ 50 ก/หน้า 14/1 มีนาคม 2551 (120) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126/ตอนที่ 51 ก/หน้า 1/22 กรกฎาคม 2552 (121) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 130/ตอนที่ 11 ก/หน้า 1/1 กุมภาพันธ์ 2556 (122) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131/ตอนที่ 57 ก/หน้า 9/4 ตุลาคม 2557 (123) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132/ตอนที่ 6 ก/หน้า 1/9 กุมภาพันธ์ 2558 (124) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135/ตอนพิเศษ 200 ง/หน้า 54/4 สิงหาคม 2561 (125) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 137/ตอนที่ 66 ก/หน้า 37/25 ตุลาคม 2563