로고

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ______________________ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๗๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการทวงถามหนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. ๒๕๕๘”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“ผู้ทวงถามหนี้” หมายความว่า เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อ ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันเป็นปกติธุระตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน และเจ้าหน้าที่ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ในนามการกระทำที่เป็นการค้าหรือเป็นการอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยตนเองหรือด้วยบุคคลหรือนิติบุคคล และให้หมายความรวมถึงผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ดังกล่าว ผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ในการทวงถามหนี้ ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ด้วย “หนี้” หมายความรวมถึงหนี้ที่เกิดจากการค้าหรือบริการ “ลูกหนี้” หมายความรวมถึง

(ก)

บุคคลซึ่งต้องชำระหนี้อันเกิดขึ้นโดยปกติตามกฎหมาย

(ข)

บุคคลซึ่งต้องชำระหนี้อันเกิดขึ้นต่อไปภายภาคหน้า “สินเชื่อ” หมายความรวมถึง สินเชื่อที่เป็นการให้กู้ยืมเงิน การให้เช่าซื้อ การให้เช่าแบบลิสซิ่ง และการให้เงินทุนหมุนเวียนหรือเงินทุนเพื่อการดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกัน *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๑๖ ก/หน้า ๑/๓ มีนาคม ๒๕๕๘ "ลูกหนี้" หมายความว่า ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา และให้หมายความรวมถึง ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาด้วย "ธุรกิจทวงถามหนี้" หมายความว่า การรับจ้างทวงถามหนี้ไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อมเป็นปกติธุระ แต่ไม่รวมถึงการทวงถามหนี้ของเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ของตน "ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ติดต่อผู้ถูกทวงหนี้" หมายความว่า ที่อยู่ที่อาศัยสถานที่ทำงานหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขโทรสาร หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลขไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์อีเมลหรือสื่อสังคมออนไลน์หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น ที่สามารถติดต่อกับลูกหนี้ได้ด้วย "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ "นายทะเบียน" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งให้เป็นผู้มีหน้าที่รับจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งตามการเสนอแนะของคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด 1

การทวงถามหนี้

มาตรา 5 บุคคลใดจะประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต้องจดทะเบียนประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ต่อ นายทะเบียน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

บุคคลซึ่งจดทะเบียนประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามวรรคหนึ่งแล้ว ต้องประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา 6 ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้เป็นนิติบุคคลตามที่คณะกรรมการกำหนด ให้คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติของกรรมการผู้จัดการหรือผู้มีอำนาจรับจดทะเบียนโดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้เป็นนิติบุคคลที่มีทุนต่างประเทศตามความ ให้คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติของกรรมการผู้จัดการหรือผู้มีอำนาจรับจดทะเบียนตามมาตรา 5 ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง และให้มีอำนาจเพิกถอนการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ในกรณีที่ตรวจสอบพบว่าผู้ขอรับจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในกฎกระทรวง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - ๓ - ที่สุด ทั้งนี้ ให้กำหนดระยะเวลาในการอุทธรณ์ และการพิจารณาข้ออุทธรณ์ตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ให้คณะกรรมการสถานภาพความเป็นกองอาจต้องดำเนินส่วนที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือในกรณีที่ไม่มีการกำหนดไว้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่เหมาะสม

มาตรา ๓๗ ให้คณะกรรมการสถานภาพความเป็นกองอาจต้องพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ร้องทราบโดยเร็วที่สุด

มาตรา ๓๘ ห้ามผู้มีอำนาจหน้าที่ติดต่อกับบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกค้าเพื่อการตามหนี้ เว้นแต่บุคคลดังกล่าวได้รับรู้และยินยอมการติดต่อ

การติดต่อกับบุคคลอื่นนอกจากบุคคลตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เพื่อวัตถุประสงค์ในการติดตามหนี้ หรือการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ หรือบุคคลดังกล่าวซึ่งลูกหนี้ได้รับรู้และยินยอมการติดต่อ

(ก)

เพื่อแจ้งหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกค้าเพื่อการตามหนี้

(ข)

เพื่อแจ้งหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกค้าเพื่อการตามหนี้

(ค)

ห้ามติดต่อหรือแสดงตนที่ทำให้เข้าใจผิดเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ติดต่อ

มาตรา ๓๙ การตามหนี้ให้ผู้ทวงถามหนี้ปฏิบัติต่อไปนี้

(ก)

สถานที่ติดต่อ ในกรณีที่ติดต่อโดยบุคคลหรือทางไปรษณีย์ ให้ติดต่อสถานที่ที่ลูกหนี้ หรือบุคคลดังกล่าวได้รับรู้และยินยอมการติดต่อ

(ข)

เวลาที่ติดต่อ ในกรณีที่ติดต่อโดยบุคคล โทรศัพท์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ในวันทำการหรือวันหยุดราชการ ให้ติดต่อได้ระหว่างเวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๒๐.๐๐ นาฬิกา และในวันหยุดราชการ เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา หากไม่ สามารถติดต่อตามเวลาที่กล่าวได้ หรือช่วงเวลาที่กล่าวไม่เหมาะสม ให้ติดต่อได้ในช่วงเวลาอื่นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

(ก)

จำนวนครั้งที่ติดต่อ ในช่วงเวลาตาม (ข) ให้ติดต่อ ตามจำนวนครั้งที่เหมาะสม และคณะกรรมการอาจประกาศกำหนดจำนวนครั้งดังกล่าวได้ (2) ในกรณีที่ผู้รับจ้างงานอยากทำหน้าที่ ผู้รับจ้างงานต้องแจ้งในการจ้างงานนี้ ผู้รับจ้างงานต้องแจ้งให้ทราบถึงการจ้างงานนี้ และต้องแจ้งให้ทราบถึงชื่อและข้อมูล หรือชื่อหน่วยงานของตนเองและของผู้รับจ้างงานด้วย ถ้าผู้รับจ้างงานดังกล่าวมีความจำเป็นต้องทำ ให้แสดงหลักฐานการจ้างงานต่อผู้รับจ้างงาน

มาตรา 10 ในกรณีที่ผู้จ้างงานเกี่ยวรับชำระหนี้ ผู้จ้างงานที่ต้องแสดงหลักฐานการรับมอบอำนาจให้รับชำระหนี้จากเจ้าหนี้ที่มีอำนาจนี้ หรือบุคคลซึ่งลูกหนี้ได้รับรู้ให้มีอำนาจการจ้างงานนี้ด้วย และเมื่อถูกให้ใช้ชำระหนี้นี้ถึงทางตามที่แล้ว ให้ผู้จ้างงานนี้ออกหลักฐานการชำระหนี้แก่ลูกหนี้ด้วย

หากลูกหนี้ใช้ชำระหนี้นี้ถึงทางตามที่แล้วสุดวิจิต ให้ถือว่าเป็นการชำระหนี้ในหน้าที่โดยชอบ ทั้งนี้ไม่ว่าผู้จ้างงานนี้จะได้รับมอบอำนาจให้รับชำระหนี้จากเจ้าหนี้หรือไม่ก็ตาม

มาตรา 11 ห้ามผู้จ้างงานที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานนี้ให้แสดงข้อความต่อไปนี้

(ก)

การแจ้งข่าวที่ไม่ถูกต้องหรือการให้ความเห็น หรือการกระทำใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้หรือผู้อื่น

(ข)

การใช้อำนาจหรือการกระทำที่เกินกรอบที่ลูกหนี้หรือผู้อื่นจะยอมรับได้

(ค)

การจ้างงานที่เป็นไปตามมาตรา 9 วรรคสอง (ข)

(ง)

การติดต่อผู้ลูกหนี้โดยไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก โทรสาร หรือสิ่งอื่นใดที่สื่อให้ทราบว่าเป็นการจ้างงานที่ยังไม่ชำระหนี้ เว้นแต่กรณีการประกาศข่าวตามข้อวิธีการประกาศบนสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งผู้จ้างงานไม่สามารถติดต่อดูดดันในวิธีการอื่น หรือกรณีอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

(จ)

การใช้ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือชื่อทางธุรกิจของผู้จ้างงานที่ทำให้ชวนสงสัยว่าเป็นการติดต่อจากหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เว้นแต่ต้องการธุรกิจของผู้จ้างงานที่ได้แสดงให้ทราบว่าไม่ได้เป็นราชการหรือหน่วยงานของรัฐ

(ข)

การจ้างงานที่ไม่เหมาะสมในลักษณะอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา 12 ห้ามผู้จ้างงานที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานนี้เข้าไปในเคหสถานที่เป็นที่อยู่ หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด ดังต่อไปนี้

(ก)

การแสดงหรือการใช้ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือเครื่องแบบที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ ``` - ๕ -

(๒)

การแสดงหรือมีข้อความที่ทำให้เชื่อว่าการทวงถามหนี้เป็นการกระทำโดย หน่วยงานของสำนักงานทนายความ หรือสำนักงานกฎหมาย

(๓)

การแสดงหรือมีข้อความที่ทำให้เชื่อว่าลูกหนี้เป็นคนดี หรือจะถูกยึดหรืออายัด ทรัพย์หรือเงินเดือน

(๔)

การติดต่อหรือการแสดงในเรื่องที่ว่าทวงถามหนี้ดำเนินการให้แก่บริษัทข้อมูล เครดิต หรือบริษัทรับซื้อหนี้มูลหนี้

มาตรา ๑๓ ห้ามผู้ทวงถามหนี้กระทำการทวงถามหนี้ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม

ดังต่อไปนี้

(ก)

การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ เกินกว่าอัตราที่คณะกรรมการ ประกาศกำหนด

(ข)

การเสนอหรือจูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คทั้งที่รู้ว่าลูกหนี้อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถ ชำระหนี้ได้

มาตรา ๑๔ ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการดังต่อไปนี้

(ก)

ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้

(ข)

หาผลประโยชน์จากการทวงถามหนี้ ไม่ว่าจะเป็นโดยตรง หรือโดยอ้อมเป็นต้น ของสามี ภริยา บุตร หรือผู้อยู่ในอุปการะของตน หรือในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นกระทำได้ ตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐอื่น รวมถึงราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ

หมวด ๒

การกำกับดูแลและตรวจสอบ

มาตรา ๑๕ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการกำกับการทวงถาม

หนี้” ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวง มหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการหนึ่งคน ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการ หนึ่งคน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ประธานกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ประธานกรรมการกำกับกิจการสถาบันการเงินผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัด รวมทั้งสิ้นไม่เกินสิบห้าคน เป็นกรรมการ ให้รองอธิบดีกรมการปกครองเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้คณะกรรมการแต่งตั้ง ข้าราชการของกรมการปกครองสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการตามวรรคหนึ่งต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด และต้องไม่เป็นบุคคลต้องห้าม ตามมาตรา ๖ หรือมาตรา ๗ หรือประสบการณีที่ไม่สามารถทำหน้าที่กรรมการได้ ตามมาตรา ๘ หรือมาตรา ๙ ``` การคุ้มครองผู้บริโภคอย่างน้อยด้านละหนึ่งคน โดยมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี และอาจได้รับ แต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้ ทั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิตาม การคุ้มครองผู้บริโภคในแต่ละด้านดังกล่าวต้องมีความเหมาะสมกับการคุ้มครองผู้บริโภค ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติ หน้าที่ต่อไปจนกว่ารัฐมนตรีจะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิคนใหม่เข้ารับหน้าที่ มาตรา ๑๖ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการคุ้มครองผู้บริโภค ทวงถามหนี้ อำนาจหน้าที่ดังกล่าวให้รวมถึง (๑) ออกประกาศหรือกฎสั่งเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ (๒) ออกข้อบังคับด้านหลักเกณฑ์กติกาและวิธีการกำกับดูแลการทวงถามหนี้ของ คณะกรรมการตามมาตรา ๒๔ และกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว (๓) พิจารณาอ้างอิงข้อมูลธุรกิจที่สำคัญให้กระทรวงปรึกษา และสั่งแก้ไขถอน การจดทะเบียนการประกอบธุรกิจตามมาตรา ๓๕ (๔) กำหนดหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบและระยะเวลาการชำระค่าปรับตามคำ เปรียบเทียบตามมาตรา ๔๕ (๕) เสนอแนะ หรือให้คำแนะนำรัฐมนตรีในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ตลอดจนเสนอแนะรัฐมนตรีหรือรัฐสภาเกี่ยวกับการตรา แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิก กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัตินี้ (๖) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาและปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย มาตรา ๒๗ คณะกรรมการตามมาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๗ (ก) คณะกรรมการ เปรียบเทียบ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่ทำการเปรียบเทียบตามคำสั่ง ของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ข) เสนอแนะคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการในการคุ้มครอง หรือ ช่วยเหลือทุกข์ในด้านอื่น (๗) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่มีกฎหมายกำหนด หรือตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย ข้อบังคับและประกาศของคณะกรรมการนั้น เมื่อได้รับความเห็นชอบจากนายกฯ แล้ว ให้ใช้บังคับได้ มาตรา ๑๗ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีสัญชาติไทยและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (๒) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับ ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๓) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจเพราะกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากภาคเอกชน เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (b) เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ให้สินเชื่อ หรือเป็นผู้ให้สินเชื่อ หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจตามหมวดนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

มาตรา 18 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 15 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

(ก)

ตาย

(ข)

ลาออก

(ค)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ออกเพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 17

(ง)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 17

มาตรา 19 ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้คณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการทั้งหมดที่เหลืออยู่จนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ เว้นแต่กรณีกรรมการจะเหลือน้อยกว่ากึ่งหนึ่ง และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งแทนกรรมการที่เหลืออยู่จนครบกำหนดแทน

ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมในประการที่จำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแต่เดิมยังไม่ครบถ้วนในทันที ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นอยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ยังไม่ครบถ้วนแล้ว

มาตรา 20 การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการทำหน้าที่แทนตามลำดับ ถ้ารองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุมแทน การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนนในที่ประชุมเสมอกัน ให้ประธานในที่ประชุมมีเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา 21 คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณา หรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้

การประชุมคณะอนุกรรมการ ให้บังคับมาตรา 20 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 22 ในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามมาตรา 21 ให้คณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอย่างน้อยคนหนึ่งต้องเป็นพนักงาน หรือผู้ปฏิบัติการเกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมการปกครอง หรือผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย หรือผู้แทนสมาคมธนาคารไทย และผู้แทนสมาคมธนาคารนานาชาติ

ไทยเป็นอนุกรรมการ โดยมีข้าราชการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และเป็นผู้ช่วยเลขานุการจำนวนสองคน

มาตรา ๒๔ ในกรณีที่บุคคลที่หรือบุคคลอื่นได้รับการปฏิบัติจากเจ้าพนักงานที่เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัตินี้ ให้บุคคลที่หรือบุคคลอื่นมีสิทธิเข้าร้องต่อคณะกรรมการตามมาตรา ๒๒ เพื่อขอรับข้อสั่งการได้

การร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา ๒๕ ในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการ คณะกรรมการตามมาตรา ๒๒ และคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๓ มาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๘ (๓) มีอำนาจสั่งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาได้

มาตรา ๒๖ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรมการปกครองรับผิดชอบในงานธุรการของคณะกรรมการ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการให้มอบหมาย

ให้กรมการปกครองมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑)

รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้เพื่อเสนอคณะกรรมการตามมาตรา ๒๒

(๒)

ติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของผู้ทวงถามหนี้ หรือกำกับดูแลการปฏิบัติของผู้ประกอบการทวงถามหนี้

(๓)

ประสานกับหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลหรือตรวจสอบผู้ทวงถามหนี้ หรือบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้

(๔)

รวบรวม ประชาสัมพันธ์ และอบรมวิธีการทวงถามหนี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม

(๕)

ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการให้มอบหมาย

มาตรา ๒๗ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังรับผิดชอบในงานธุรการของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๓ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะอนุกรรมการดังกล่าวให้มอบหมาย

ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังมีอำนาจหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้เพื่อเสนอคณะกรรมการตามมาตรา ๒๓ รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการทวงถามหนี้สินเชื่อที่เป็นสินเชื่อผู้บริโภค ดังต่อไปนี้

(๑)

ติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของผู้ทวงถามหนี้ หรือกำกับดูแลการปฏิบัติของผู้ประกอบการธุรกิจทวงถามหนี้

(๒)

ประสานกับหน่วยงานของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลหรือตรวจสอบผู้ทวงถามหนี้หรือบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้

(๓)

รวบรวม ประชาสัมพันธ์ และอบรมวิธีการทวงถามหนี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม

(๔)

ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่งได้มอบหมาย

มาตรา ๒๗ ในจังหวัดหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการกำกับการพิจารณาแผนป้องกันประจำจังหวัด ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้แทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค หรือผู้แทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรจังหวัด หรือผู้แทน ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง เป็นกรรมการ

ให้แต่งตั้งข้าราชการประจำจังหวัดและเลขานุการ และให้คณะกรรมการกำกับการพิจารณาแผนป้องกันประจำจังหวัดมีหน้าที่การปกครองจังหวัดสอบสวนผู้ต้องสงสัยและผู้ต้องหา ในกรุงเทพมหานคร ให้มีคณะกรรมการกำกับการพิจารณาแผนป้องกันประจำกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแต่งตั้ง เป็นกรรมการ ให้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้คณะกรรมการกำกับการพิจารณาแผนป้องกันประจำกรุงเทพมหานครมีหน้าที่การปกครองกรุงเทพมหานครสอบสวนผู้ต้องสงสัยและผู้ต้องหา

มาตรา ๒๘ ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ มีอำนาจหน้าที่ภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ ดังต่อไปนี้

(ก)

พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนตามพระราชบัญญัตินี้

(ข)

สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนของผู้ประกอบธุรกิจตามสถานที่ตามมาตรา ๑๓

(ค)

แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ มอบหมาย

(ง)

รายงานการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการทุกสามเดือน

(จ)

ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการมอบหมาย การประชุมคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๗ และคณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่ง (๓) ให้นำมาตรา ๒๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตามมาตรา ๒๗ และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รับผิดชอบในหน้าที่การตรวจสอบการพิจารณาแผนป้องกันประจำจังหวัด และคณะกรรมการกำกับการพิจารณาแผนป้องกันประจำกรุงเทพมหานคร มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการประกอบธุรกิจดังต่อไปนี้

(ก)

เป็นสำนักงานทะเบียนรับจดทะเบียนการประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัตินี้ รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้เพื่อเสนอคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี

(ค)

ติดตามสอดส่องพฤติการณ์ของผู้ทวงถามหนี้ หรือกำกับดูแลการปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้

(ง)

ประสานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การกำกับดูแลการทวงถามหนี้ของผู้ทวงถามหนี้ หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้

(จ)

รวบรวม ประมวลสถิติ และสรุปวิธีการทวงถามหนี้ที่เหมาะสม

(ฉ)

ปฏิบัติตามที่คณะกรรมการ และคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณีมอบหมาย

มาตรา ๓๑ เพื่อประโยชน์ในการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้ ให้ทำการอำนวย และอาสาแก่ตัวความในส่วนที่รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทวงถามหนี้ให้ด้วย รวมทั้งให้หัวหน้าหน่วยงานดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ที่รวมถึงการจัดเอกสารและส่งเรื่องร้องเรียนที่การปกครองจังหวัด หรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๓๒ ในกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้เกี่ยวข้องตอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยไม่ชักช้า และให้รายงานผลการดำเนินการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทราบด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่ได้รับอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นที่สุด

มาตรา ๓๓ ในกรณีปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสั่งให้ผู้ทวงถามหนี้หรือกรรมการ ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือพนักงานของผู้ทวงถามหนี้ ในกรณีผู้ทวงถามหนี้เป็นนิติบุคคล แสดงข้อมูล เอกสารบัญชี หรือสิ่งอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้ และหลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์ และหลักฐานของผู้ทวงถามหนี้ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้

มาตรา ๓๔ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ส่งปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้แสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลทุกคน

ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกครั้ง บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด

หมวด ๓

บทกำหนดโทษ

ส่วนที่ 1

โทษทางปกครอง

มาตรา 34 ในกรณีที่ปรากฏแก่คณะกรรมการตามมาตรา 27 ว่าผู้ประกอบการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 8 วรรคสอง (4) หรือ (5) มาตรา 9 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง มาตรา 11 (2) หรือมาตรา 13 (1) ให้คณะกรรมการตามมาตรา 27 มีอำนาจสั่งให้ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืน หรือปฏิบัติให้ถูกต้องพร้อมเพิกถอนผลของการกระทำที่ฝ่าฝืน

หากผู้กระทำความผิดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการตามมาตรา 27 พิจารณาสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา 35 ในการพิจารณาออกคำสั่งลงโทษปรับทางปกครอง ให้คณะกรรมการตามมาตรา 27 คำนึงถึงความร้ายแรงแห่งพฤติการณ์ที่กระทำผิด

ในกรณีที่ผู้ถูกลงโทษปรับทางปกครองไม่ยอมชำระค่าปรับทางปกครอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับชำระค่าปรับทางปกครองตามคำสั่งของคณะกรรมการตามมาตรา 27 โดยให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดีมาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้ถือว่าคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองดังกล่าวเป็นคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุด ค่าปรับทางปกครองให้ตกเป็นรายได้ของแผ่นดิน

มาตรา 36 ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นนิติบุคคลต้องรับโทษปรับทางปกครอง ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลเกิดจากการสั่งการหรือไม่สั่งการ หรือการกระทำการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ของกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการแทนนิติบุคคลนั้น บุคคลดังกล่าวต้องรับโทษปรับทางปกครองตามที่บัญญัติไว้สำหรับกรณีนั้น ๆ ด้วย

มาตรา 37 ให้คณะกรรมการตามมาตรา 27 มีอำนาจสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนของผู้ประกอบธุรกิจตามที่เห็นสมควร เมื่อปรากฏว่าผู้ประกอบธุรกิจตามมาตรานี้

(ก)

เคยถูกลงโทษปรับทางปกครอง และถูกลงโทษซ้ำอีกจากการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน

(ข)

กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น

มาตรา 38 ผู้ถูกลงโทษไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งให้ระงับการจดทะเบียนตามมาตรา 37 วรรคสอง หรือผู้ที่ถูกสั่งให้ระงับการจดทะเบียนตามมาตรา 37 ต่อคณะกรรมการได้ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด

ส่วนที่ ๒

โทษอาญา

มาตรา ๔๗ บุคคลใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๐ วรรคสอง (๒) หรือ (๓) มาตรา ๑๑ (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) หรือมาตรา ๑๓ (๒) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๘ บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๒ (๒) (๓) หรือ (๔) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๙ บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๓ (๑) หรือมาตรา ๑๔ (๑) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๕๐ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ฝ่าฝืนมาตรา ๑๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหกแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๕๑ บุคคลใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามมาตรา ๒๔ หรือขัดขวาง หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามมาตรา ๒๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๕๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษอาญาตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการ หรือไม่สั่งการ หรือการกระทำ หรือไม่กระทำด้วยประการใดของกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น บุคคลดังกล่าวต้องรับโทษเช่นเดียวกับนิติบุคคลนั้น ๆ ด้วย

มาตรา ๕๓ บรรดาความผิดในส่วนที่ ๒ นี้ ยกเว้นมาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๒ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ถ้าผู้ต้องหายินยอมให้ดำเนินการเปรียบเทียบและได้ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว

คณะกรรมการเปรียบเทียบในกรณีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่

(๑)

ในกรณีความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ให้เป็นอธิบดีกรมที่ดิน หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมาย

(๒)

ในกรณีความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกเกินหนึ่งปี แต่ไม่เกินสามปี ให้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบได้ทำการเปรียบเทียบแล้ว และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว ให้ถือว่าคดีนั้นสิ้นสุดลง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้คณะกรรมการเปรียบเทียบแจ้งให้คณะกรรมการทราบโดยเร็ว บทเฉพาะกาล

มาตรา ๕๖ บุคคลใดประกอบธุรกิจตามความในหรือถือในลักษณะของตนเอง เดิมกับตามพระราชบัญญัติอยู่ในบังคับก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากผู้นั้นจะประกอบธุรกิจดังกล่าวต่อไป ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ในระหว่างการยื่นคำขอจดทะเบียนตามวรรคหนึ่ง ให้บุคคลนั้นประกอบธุรกิจดังกล่าวต่อไปได้ตามข้อยกเว้นแจ้งการไม่รับจดทะเบียนจากนายทะเบียน

มาตรา ๕๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ในกรณีแรกเริ่มการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการคนที่หนึ่ง ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการคนที่สอง อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมที่ดิน อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง อธิบดีกรมธนารักษ์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมสรรพสามิต อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและนายกสภาทนายความ เป็นกรรมการ ให้อธิบดีกรมการปกครองเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้อธิบดีกรมการปกครองแต่งตั้งข้าราชการของกรมการปกครองสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งนี้ เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายนเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การจดทะเบียนที่เป็นปัจจุบันมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อบุคคลที่ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่างๆ รุนแรง การคุกคามโดยญาติผู้ตาย การใช้กำลังระหว่างผู้ขาย หรือการทำให้เสียชื่อเสียง รวมถึงการให้ข้อมูลเท็จ และการสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่บุคคลอื่น ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานของการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาใบ และการควบคุมการพิจารณาใบนี้ในกรณีเฉพาะ สมควรมีการกฎหมายในเรื่องดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติ ปริยานุช/ผู้จัดทำ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ กฤษฎา/ผู้ตรวจ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘