로고

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นปีที่ ๔๘ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและ

นำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๖”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา

นุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“ธนาคาร” หมายความว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย “ผู้ส่งออก” หมายความว่า ผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศ รวมทั้งบุคคลซึ่งมี คุณสมบัติตามที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งทำการส่งออกสินค้า หรือบริการไปจำหน่ายยังต่างประเทศ เพื่อให้ได้เงินตราสกุลต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเงินตราสกุลอื่นที่มิใช่เงินบาท เงินตราสกุลต่างประเทศ รายสาขาอาชีพ และให้หมายความรวมถึงผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ส่งออก “ธนาคารของผู้ส่งออก” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินอื่นที่ให้ สินเชื่อแก่ผู้ส่งออก หรือดำเนินการเกี่ยวกับการส่งออกสินค้า ตามพระราชบัญญัติธนาคาร พาณิชย์ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย “ธนาคารของผู้นำเข้า” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินอื่น หรือองค์กร อื่นที่ให้สินเชื่อแก่ผู้นำเข้า หรือดำเนินการเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าในประเทศของผู้นำเข้า “ผู้นำเข้า” หมายความว่า *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๐/ตอนที่ ๗๕/ฉบับพิเศษ หน้า ๙๐/ กันยายน ๒๕๓๖ *มาตรา ๓. นิยามคำว่า “ผู้ส่งออก” ได้เพิ่มเติมในพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและ นำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - 2 - (ล) ผู้ประกอบกิจการในประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกซึ่งสินค้าหรือบริการจากประเทศไทย กิจการที่ได้หรือสนับสนุนการได้มาซึ่งเงินตราต่างประเทศ หรือกิจการที่ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ (ข) ผู้ประกอบกิจการในต่างประเทศ ซึ่งมีผู้ลงทุนหรือร่วมลงทุนดังต่อไปนี้ (ก) เป็นผู้มีสัญชาติไทย หรือ (ข) เป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยซึ่งผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นในนิติบุคคลนั้นโดยบุคคลตาม (ก) หรือเป็นนิติบุคคลที่บุคคลตาม (ก) ลงทุนในลักษณะที่มีอำนาจควบคุมนิติบุคคลนั้น และเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย หรือข้อบังคับหรือข้อตกลงของประเทศที่นิติบุคคลนั้นตั้งอยู่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด หรือในการออกคะแนนเสียงรวมกันเพื่อกำหนดนโยบายการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น “ธนาคารของผู้ลงทุน” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน หรือองค์กรอื่นใดที่ให้สินเชื่อ ค้ำประกัน หรือให้บริการทางการเงินที่เกี่ยวกับการลงทุนแก่ผู้ลงทุน “เงินลงทุน” หมายความว่า ทุนประเดิมตามมาตรา ๔ และเงินที่ใช้ในการเพิ่มทุนตามมาตรา ๑๐ เงินที่ระดมได้จากการออกตราสารหนี้ของกิจการในต่างประเทศ เมื่อพ้นกำหนดทุนเมื่อเกิดขึ้นในทุกกรณีจะบัญชีออกและไม่ถือเรื่องจากการดำรงทรัพย์สิน “ตราสารทางการเงิน” หมายความว่า ตราสารหนี้ หุ้นกู้ พันธบัตร และตราสารอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการส่งออกและนำเงินเข้าแห่งประเทศไทย “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการตามคณะกรรมการเพื่อการส่งออกและนำเงินเข้าแห่งประเทศไทย “ผู้จัดการ” หมายความว่า ผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้อำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑

การจัดตั้งและเงินทุน

มาตรา ๗ ให้จัดตั้งธนาคารขึ้นเรียกว่า “ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “ธสน.” และให้เป็นนิติบุคคล

มาตรา ๘ นับถือตามคำว่า “ธนาคารของผู้ลงทุน” เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๖ ให้ธนาคารตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสาขา หรือสำนักงานผู้แทน ณ ที่ใดภายในหรือภายนอกราชอาณาจักรก็ได้ แต่การจะตั้งสาขาหรือสำนักงานผู้แทนภายนอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน

มาตรา ๗ ให้ธนาคารมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจอันเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ และการดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ให้มีอำนาจกระทำได้ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ และต้องไม่ขัดต่อพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๘ ภายในขอบวัตถุประสงค์ของธนาคารตามมาตรา ๗ ให้ธนาคารมีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพย์สิทธิใด ๆ ซื้อ จัดหา ขาย จำหน่าย เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม รับจำนำ รับจำนอง แลกเปลี่ยน โอน รับโอน หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ตลอดจนรับเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้กู้ยืม หรือผู้ค้ำประกัน

ให้สินเชื่อเป็นการทั่วไปแก่บุคคล ผู้กู้ยืมออก ธนาคารของผู้กู้ยืม ธนาคารของผู้ค้ำประกัน หรือผู้ค้ำประกัน

ให้สินเชื่อเพื่อการนำเข้า ส่งออก หรือการทำให้เป็นการผลิตสินค้าหรือบริการของผู้กู้ยืมออก หรือผู้ค้ำประกัน หรือเพื่อการพัฒนาประเทศ

ให้สินเชื่อหรือบริการทางการเงินในรูปอื่นซึ่งเป็นประโยชน์แก่วัตถุประสงค์ของธนาคารตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของธนาคาร และได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี

รับประกันความเสียหายในกรณีที่ผู้กู้ยืมออก ธนาคารของผู้กู้ยืม หรือธนาคารของผู้ค้ำประกัน แล้วแต่กรณี

รับประกันความเสียหายในกรณีที่ผู้กู้ยืมออก ธนาคารของผู้กู้ยืม หรือธนาคารของผู้ค้ำประกัน แล้วแต่กรณี

รับประกันความเสียหายในกรณีที่ผู้กู้ยืมออก ธนาคารของผู้กู้ยืม หรือธนาคารของผู้ค้ำประกัน แล้วแต่กรณี

รับประกันความเสียหายในกรณีที่ผู้กู้ยืมออก ธนาคารของผู้กู้ยืม หรือธนาคารของผู้ค้ำประกัน แล้วแต่กรณี

มาตรา ๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๑๐ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๑๑ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๑๒ (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๕

"รับประกันความเสี่ยงในการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุนตาม (๒) ของ บทนิยามคำว่า "ผู้ลงทุน" ในมาตรา ๔ เฉพาะความเสี่ยงทางการเมือง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง (๔/๑) "รับประกันความเสี่ยงในการโอนเงินซึ่งอาจกระทบต่อผู้ลงทุนและความเสี่ยง ทางการเมือง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง

"เข้าร่วมลงทุนหรือให้สินเชื่อเพื่อการลงทุนในต่างประเทศซึ่งเป็นไป เพื่อการสนับสนุนการดำเนินกิจการซึ่งจำเป็นและบริการของประเทศ หรือซึ่งจะเป็นการ ส่งเสริมการประกอบกิจการในต่างประเทศของผู้ลงทุน และเข้าร่วมลงทุนหรือให้สินเชื่อเพื่อ สนับสนุนการส่งออกหรือการพัฒนาประเทศ

ซื้อ เชื่อถือ หรือรับช่วงสิทธิเอกสารทางการเงิน หรือรับโอนสิทธิเรียกร้องของ ผู้รับประโยชน์ในเอกสารนั้น

รับประสัดเงิน รับรองตั๋วเงิน หรือออกตั๋วเงินในตัวเงิน

เรียกเก็บดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าธรรมเนียมและค่าบริการอื่น ๆ อันเนื่องมาจาก การให้กู้เงินเงิน ซื้อ เชื่อถือ รับช่วงสิทธิเอกสารที่ระลึก และการให้บริการทางการเงินอื่น

ออกเอกสารทางการเงิน

๑๐

ขาย ขายต่อ หรือขายช่วงสิทธิเอกสารทางการเงิน

๑๑

ตั้งสำนักงานในประเทศหรือต่างประเทศเพื่อดำเนินกิจการของธนาคาร

๑๒

นำเงินไปลงทุนเพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของธนาคาร หรือเพื่อรวมเงิน จากสถานประกอบการในต่างประเทศ แต่ไม่รวมถึงการจะขนเงินสดไปจากประเทศหนึ่งไป

๑๓

ทำธุรกิจเงินตราต่างประเทศของธนาคาร

๑๔

ใช้เงินลงทุนหรืออยู่ในอำนาจการในการลงทุนเพื่อทำให้ได้ประโยชน์ อนุญาตจากคณะกรรมการ

๑๕

กระทำการอื่นอันสอดคล้องหรือจำเป็นในการจัดการให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ ของธนาคาร การรับประกันความเสี่ยงตาม (๔) (๔/๑) (๕) และ (๖) ให้รวมถึงการรับ ประกันภัยด้วย

มาตรา ๔ ให้กำหนดทุนประเดิมของธนาคารเป็นจำนวนสองพันห้าร้อยล้านบาท

ประกอบด้วย * มาตรา ๔ (๔/๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐ * มาตรา ๔ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่ง ประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๗ * มาตรา ๔ (๔/๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๗ * มาตรา ๔ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๗

เงินผลกำไรรวมทั้งดอกผลตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารเงิน ผลกำไรที่ได้จากธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากการปรับปรุงระบบธนาคารแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อส่งเสริม กิจการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๕

เงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายสมทบครบจำนวนทุนประเดิมนั้น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการเบิกจ่ายออกในงบเงินทุน (๖) และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยโอนเงินมอบไม่อยู่ภายใต้การพิจารณาในพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ และในส่วนที่เหลือให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายอย่างครบ จำนวนทุนประเดิมตามวรรคหนึ่งภายในสองปีนับแต่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๑๐ การเพิ่มทุนของธนาคารให้กระทำโดยได้รับเงินจากธนาคารแห่ง ประเทศไทยหรือได้รับการจัดสรรจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือจากแหล่งเงินอื่นโดยได้รับอนุมัติ จากรัฐมนตรี

มาตรา ๑๑ เงินที่ใช้หมุนเวียนในการดำเนินกิจการประกอบด้วย

เงินทุนประเดิม

เงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้

เงินที่ได้จากการออกตราสารการเงินหรือการกู้ยืม

เงินประกันการให้กู้ยืมและการให้บริการ

เงินที่ได้รับจากกระทรวงการคลังในประเทศ

เงินที่ได้จากรายย่อย ขายลาย ขายต่อของตราสารการเงิน

รายได้ของธนาคาร

เงินผู้มีอุปการะ

เงินจากแหล่งเงินอื่นที่รัฐมนตรีอนุมัติ

มาตรา ๑๒ ให้ธนาคารได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ในกิจการของธนาคาร

หมวด ๒

คณะกรรมการและการจัดการ

มาตรา ๑๓ ให้มีคณะกรรมการธนาคารแห่งนี้ เรียกว่า “คณะกรรมการธนาคารเพื่อการ ส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และผู้จัดการ เป็นกรรมการ และกรรมการอื่นอีกไม่เกิน

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทํานองนี้รัฐมนตรีแต่ตั้งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยในจํานวนนี้ต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จากภาคเอกชนอย่างน้อยสามคน ให้รัฐมนตรีแต่ตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง เป็นประธานกรรมการตามด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี การให้ประธานกรรมการพ้นจากตําแหน่ง ให้รัฐมนตรีเป็นผู้ดําเนินการด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการอาจแต่งตั้งบุคคลใดเป็นเลขานุการก็ได้

มาตรา ๑๔ กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่ตั้งต้องมีวารอยู่ในตําแหน่งคราวละสามปี

ในกรณีที่กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่ตั้งพ้นจากตําแหน่งก่อนวาระ หรือในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมระหว่างวาระกรรมการซึ่งแต่งตั้งได้รับเลือกให้ดํารงตําแหน่งเพื่ออยู่ในตําแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มเติมอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลือของกรรมการซึ่งแต่งตั้งให้แล้วนั้น เมื่อครบกําหนดตามวาระของตําแหน่งกรรมการดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระดังกล่าว ยังคงปฏิบัติหน้าที่เพื่อดําเนินการต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ามาแทนที่ กรรมการซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งใหม่ได้ แต่ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน

มาตรา ๑๕ นอกจากการพ้นจากตําแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๔ กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตําแหน่ง เมื่อ

(ก) ตาย (ข) ลาออก (ค) รัฐมนตรีให้ออกด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ง) เป็นบุคคลล้มละลาย (จ) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (ฉ) ได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

มาตรา ๑๖ การประชุมคณะกรรมการซึ่งมีกรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม ให้กรรมการที่ประธานกรรมการแต่งตั้งเป็นประธานในที่ประชุมทําหน้าที่เป็นประธาน

การลงมติในที่ประชุมของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ ทั้งนี้แต่ละคณะกรรมการตามมาตรา ๑๑ (๔) ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการทั้งหมดที่มีในที่ประชุมจึงจะมีมติในกรณีมติเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเพื่อเป็นเสียงชี้ขาด *มาตรา ๑๓ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๕* ```

มาตรา ๑๗ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแล โดยทั่วไป ซึ่งกิจการของธนาคารอันพึงประสงค์ตามมาตรา ๗ อำนาจหน้าที่ดังกล่าวนี้ให้รวมถึง

แต่งตั้งและถอดถอนผู้จัดการหรือความเห็นชอบของรัฐมนตรี

กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เงินตอบแทน และค่าใช้จ่าย

กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง การเงิน ทรัพย์สิน และการบัญชี รวมทั้งการตรวจสอบและประเมินผล

กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการบริหารงานและดำเนินกิจการ

กำหนดกฎเกณฑ์ ประเภทสินค้า บริการ และลักษณะการสนับสนุนของผู้ซื้อของ ผู้กู้ และผู้ลงทุนที่สมควรได้รับการสนับสนุน

กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารเงินประกันความเสี่ยง การออกตราสารหนี้ จัดราคาเบี้ยประกัน การประเมินราคาทรัพย์สินและการดำเนินการในส่วนที่ขาดแคลน

พิจารณาให้ความเห็นชอบงบประมาณของธนาคาร

มาตรา ๑๘ คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารคณะหนึ่งประกอบด้วยผู้จัดการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการอีกจำนวนหนึ่งไม่เกินสี่คน โดยจำนวนที่แต่งตั้งนี้ให้คณะกรรมการโดยมติเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ เป็นกรรมการบริหารและกำหนดให้กรรมการบริหารมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการของธนาคารตามที่คณะกรรมการกำหนด ให้คณะกรรมการบริหารรายงานการดำเนินงานต่อคณะกรรมการตามระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๑๙ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการบริหารร่วมรับผิดชอบในนโยบายที่ผิดพลาดหรือผิดหลักเกณฑ์

มาตรา ๒๐ ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการของธนาคารให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของธนาคาร และตามนโยบายหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด ในกิจการของธนาคารที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้จัดการแสดงเป็นผู้แทนของธนาคาร และเพื่อการนี้ผู้จัดการอาจมอบให้ผู้อื่นแทนหรือบุคคลใดกระทำกิจการอย่างแทนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด

หมวด ๓ การกำกับ การดำเนินงานและการควบคุม

มาตรา ๒๑ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปถึงกิจการของธนาคารเพื่อการนี้จะสั่งให้ธนาคารชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือดำเนินการกระทำอย่างอื่นตามที่รัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อประโยชน์ของรัฐมนตรี ตลอดจนการสั่งให้ธนาคารปฏิบัติตามนโยบายของรัฐมนตรีหรือมติคณะรัฐมนตรีและเพื่อประโยชน์ของรัฐมนตรีในการดำเนินงานได้

```

มาตรา ๒๒ ให้ธนาคารจัดสรรเงินกองทุนเป็นข้อจํากัดร่วมกับสินทรัพย์ หนี้สิน หรือภาระผูกพันตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กําหนดโดยกฎกระทรวง

มาตรา ๒๓ ในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายเนื่องจากการดําเนินธุรกิจตามไปยกย่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสรรพสามิตให้กระทรวงการคลังจัดสรรเงินกองทุนประจําปีเพื่อชดเชยหรือเพิ่มทุนตามความจําเป็นและเหมาะสม

มาตรา ๒๔ ในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายจากการดําเนินธุรกิจการรับประกันความเสียหายตามที่ในมาตรา (๒) (๒) (๒) (๒) หรือ (๒) ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการดําเนินกิจการของธนาคารหรือมีผลทําให้ธนาคารไม่สามารถดําเนินงานตามกฎหมายกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๒๒ ได้ ให้กระทรวงการคลังจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีหรือเงินอื่นเพื่อชดเชยการจัดสรรหรือเพื่อเพิ่มทุน

มาตรา ๒๕ ในกรณีที่มีการกําหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นในธนาคารแห่งใดที่อยู่ในต่างประเทศหรือภายในประเทศ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนตามที่กําหนดในกฎหมายหรือข้อบังคับของธนาคารนั้น และให้ถือว่าการถือหุ้นดังกล่าวเป็นการลงทุนของเงินกองทุนของธนาคารตามวัตถุประสงค์ที่แสดงในแผนธุรกิจ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการถือหุ้นโดยคณะรัฐมนตรีหรือผู้มีอํานาจในกฎหมาย

การดําเนินการในมาตรานี้จะต้องแสดงในแผนเงินทุนเพื่อการประกอบงบแสดงเงินกองทุนของธนาคาร ให้ชัดเจนและเป็นไปตามที่กําหนดในกฎหมายหรือข้อบังคับของธนาคาร

มาตรา ๒๖ ให้สํานักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของธนาคารและเสนอรายงานผลการสอบบัญชีต่อรัฐมนตรี ให้ธนาคารรายงานกิจการประจําปี งบดู บัญชีที่รายละขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีตามวรรคหนึ่งได้รับรองแล้วต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อทราบภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นปีบัญชีแต่ละปี

หมวด ๔ การจัดสรรกําไร

*มาตรา ๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒ *มาตรา ๒๕ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๒

มาตรา ๒๙ การจัดสรรกำไรสุทธิประจำปี ให้ธนาคารจัดสรรเป็นเงินสำรองไว้ในกิจการของธนาคารไม่ต่ำกว่าร้อยละหนึ่งของกำไรสุทธิ ส่วนที่เหลือให้จัดสรรเข้าเงินกองทุนและหรือเงินสำรองอื่น เป็นรายได้ของแผ่นดิน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี หมวดเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศที่มีการค้าระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น จึงสมควรจัดตั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นองค์กรหลักที่ให้บริการทางการเงินและบริการด้านอื่น เพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ อันจะเป็นการอำนวยประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมวดเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่สมควรแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนในต่างประเทศ โดยให้มีความคล่องตัว ให้บริการทางการเงินรูปอื่น ค้ำประกันและรับประกันความเสี่ยง ตลอดจนให้มีส่วนร่วมลงทุนหรือให้สินเชื่อเพื่อพัฒนาธุรกิจการค้าในรูปแบบต่าง ๆ ในกรณีที่มีความจำเป็นต่อการส่งออก หรือสนับสนุนกิจการของประเทศไทยหรือมีผลต่อกิจการในต่างประเทศของกิจการในประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่ออำนวยประโยชน์ต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ *พระราชบัญญัติทุนให้ยกบังคับที่ขัดหรือแย้งกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม* มาตรา ๔๕ ในพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ ให้แก้ไขคำว่า “องค์การเงินตราระหว่างประเทศ” เป็น “องค์การเงินตราระหว่างประเทศ” หมวดเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้อำนาจให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่โดยตรงสามารถดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายในกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม นั้นแล้ว และเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้บัญญัติเป็นไปตามหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐบาลจึงตราพระราชบัญญัตินี้ในส่วนราชการเดิมเป็นส่วนราชการใหม่ โดยให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ หน้าที่ที่โอนเปลี่ยน จะนั้น เพื่ออนุวัตให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติและพระราช กฤษฎีกาดังกล่าว จึงสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ เพื่อให้ ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่เกิดปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่อันเนื่องมาจากการตีความ กฎหมายใดให้มีการโอนอำนาจดังกล่าวระหว่างกระทรวงหรือรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบตามกฎหมายไปเป็นของ หน่วยงานใดหรือผู้ใดนั้น โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้เหมาะสมเปลี่ยนชื่อส่วนราชการ รัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ดังกล่าว รวมทั้ง อำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการให้สอดคล้องกับการจัดโอนอำนาจการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าว และ รายการโครงสร้างหรืออัตรากำลังที่มีการถ่ายโอนอำนาจดังกล่าว ซึ่งเป็นการแก้ไขให้เหมาะสมกับรัฐธรรมนูญ และพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า พระราชกฤษฎีกาการส่งออกและนำกลับฝังประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๖ มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้กรรมการซึ่งเป็นคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาการส่งออกและนำเข้า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๖ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผล บังคับใช้ทำหน้าที่ในคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้ต่อไปจนกว่าจะครบวาระการ ดำรงตำแหน่ง มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติฉบับการ เพื่อการส่งออกและนำกลับฝังประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๖ มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่สอดคล้องกับ สภาพการณ์ปัจจุบันและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานบางประการของกระทรวงการคลังและสำนักงานใน แห่งประเทศไทย สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบางลักษณะเพื่ออำนวยความสะดวกในการกระทำกิจการ ขอราชการในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารงานของส่วนราชการให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ และเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ``` - 12 - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นุสรา/เพิ่มเติม 6 สิงหาคม 2563 ```