พระราชบัญญัติ การศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. ๒๕๔๕
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นปีที่ ๕๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการประถมศึกษา
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๕ และมาตรา ๕๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. ๒๕๔๕”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๓
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “การศึกษาภาคบังคับ” หมายความว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานที่เด็กมีหน้าที่ต้องเรียนตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ “สถานศึกษา” หมายความว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษาภาคบังคับ “ผู้ปกครอง” หมายความว่า บิดามารดา หรืออุปการะ หรือผู้อุปการะ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษาตามประเภทและเพศวัย และหมายความรวมถึงบุคคลที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยหรือที่รับเด็กอยู่ในอุปการะ
*ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙/ตอนที่ ๑๒๓ ก/หน้า ๑๑๔/๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๕*
“เด็ก” หมายความว่า เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดจนถึงอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่เด็กที่สอบได้ชั้นปีที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับแล้ว
“คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน” หมายความว่า คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
“คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา” หมายความว่า คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” หมายความว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีสถานศึกษาอยู่ในสังกัด
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
มาตรา 4 ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ประกาศรายชื่อเด็กในสังกัดซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดและการรู้สถาพโอกาสเข้าเรียนที่จะต้องเข้าสถานศึกษาที่อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาภาคบังคับโดยให้เป็นไปตามมาตรา 6 ทั้งนี้ รวมถึงรายชื่อเด็กในสังกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา รวมทั้งผู้ซึ่งเป็นหน่วยหรือผู้ปกครองของเด็กการขอรับการศึกษาในสถานศึกษาที่ไม่อยู่ในเขตพื้นที่
มาตรา 5 ให้ผู้ปกครองส่งเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา แล้วผู้ปกครองต้องจัดให้สถานศึกษาตามที่คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
มาตรา 6 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ ในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกหรือในเวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อตรวจสอบการเข้าเรียนของเด็ก หากพบว่าเด็กไม่ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาตามมาตรา 4 ให้ดำเนินการให้เด็กเข้าเรียนในสถานศึกษานั้น แล้วรายงานให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ทราบ
ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการให้เด็กได้เข้าเรียนในสถานศึกษาตามวรรคหนึ่งได้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่รายงานให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้เด็กได้เข้าเรียนในสถานศึกษา
มาตรา 7 ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ซึ่งเกี่ยวข้อง
บัตรประจำตัวดังกล่าวให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกำหนด
มาตรา 8 ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องต้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
มาตรา ๑๑ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๒ ผู้ซึ่งมิใช่ผู้ปกครอง มีเหตุอันไม่อาจรับเด็กไว้ในสถานศึกษาอันอยู่ด้วย ต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่เด็กมาอยู่ด้วย เว้นแต่ผู้ปกครองได้ยื่นคำขออยู่ก่อนแล้ว การแจ้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา ๑๓ ให้กระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถานศึกษา จัดการศึกษาเป็นพิเศษสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสาร และการเรียนรู้ หรือมีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรือเด็กซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส หรือเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ให้ได้รับการศึกษาเท่ากับเด็กปกติรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม รวมทั้งการได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดตามความจำเป็น เพื่อประโยชน์และความเท่าเทียมในการได้รับการศึกษาอย่างเต็มขั้น
มาตรา ๑๔ ผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาตรา ๑๕ ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๙ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๑๖ ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เด็กมิได้รับโอกาสศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา ๑๗ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ หรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา ๑๘ ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มาตรา ๑๙ ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา ให้คณะกรรมการการประถมศึกษาจังหวัดทำหน้าที่แทนคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา โดยให้ประธานกรรมการการประถมศึกษาจังหวัดทำหน้าที่ประธานกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา หรือสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดทำหน้าที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๙ ให้บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๒๐ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ประการหนึ่ง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
หมาเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยการศึกษา แห่งชาติที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้ มีบางมาตรา หรือบางส่วนที่มิได้บัญญัติหรืออาจมีข้อความที่อาจก่อให้เกิด การศึกษาเกิดความลักลั่นจำนวนมากขึ้น โดยให้เด็กซึ่งมีอายุบางช่วงที่มีทะเบียนราษฎรในสถานศึกษาอื่นที่มิราช จนอยู่อย่างถาวรที่สังกัดมาก่อน วันเดือนตลอดไปเช่นนี้จึงเป็นที่ใช้งานการศึกษาภาคบังคับ จึงสมควรปรับปรุง กฎหมายว่าด้วยการประถมศึกษาเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าว จึงจำเป็นต้อง ตราพระราชบัญญัตินี้
ปัทมา/แก้ไข
วศิน/ตรวจ
๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ณัชพร/ปรับปรุง
พสิษฐ์/ตรวจ
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖