로고

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระ ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า เสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ และ

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยสถาบันการเงินประชาชน

มาตรา ๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจ

ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระ ราชบัญญัตินี้ เพื่อให้การดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการของสถาบันการเงินประชาชน ซึ่งการตราพระ ราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขตามมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติสถาบันการเงิน

ประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๒”

มาตรา ๒[1] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวัน

นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“องค์กรการเงินชุมชน” หมายความว่า คณะบุคคลที่รวมตัวกันขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมเงินและทรัพย์สินโดยมีวัตถุประสงค์ในการออม และการให้บริการทางการ เงิน ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด “สถาบันการเงินประชาชน” หมายความว่า องค์กรการเงินชุมชนที่ได้รับ หย่อนเป็นสถาบันการเงินประชาชนตามพระราชบัญญัตินี้ “การให้บริการทางการเงิน” หมายความว่า การฝากเงิน การให้สินเชื่อ การ รับชำระเงิน การรับโอนเงิน การถอนเงิน หรือการให้บริการทางการเงินอื่นใดตามที่ กำหนดในกฎกระทรวง "ธนาคารผู้ประสานงาน" หมายความว่า ธนาคารหรือสถาบันการเงินซึ่งทำหน้าที่สนับสนุนและประสานงานการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน "สมาชิก" หมายความว่า สมาชิกของสถาบันการเงินประชาชน "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน "สำนักงาน" หมายความว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง "นายทะเบียน" หมายความว่า นายทะเบียนสถาบันการเงินประชาชน "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑

คณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน

มาตรา ๕ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า "คณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน" ประกอบด้วย

(ก)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ

(ข)

กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ

(ค)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนเจ็ดคน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านการพัฒนาชุมชน ด้านการพัฒนาสังคม ด้านกฎหมาย ด้านเศรษฐกิจ การเงิน หรือการคลัง ด้านการบัญชี ด้านการบริหารจัดการหรือวิชาการประกันภัย และด้านใดด้านหนึ่ง ด้านสหกรณ์ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการ และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นผู้ช่วยเลขานุการตามที่กำหนดโดยรัฐมนตรี

มาตรา ๖ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(ก)

มีสัญชาติไทย

(ข)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้า แต่ไม่เกินเจ็ดสิบปี

(ค)

ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

(ง)

ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ ```

(๕)

ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

(๖)

ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๗)

ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้ทรัพย์สินของตนตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ

(๘)

ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาของเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง

(๙)

ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานเอกชน เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

(๑๐)

ไม่เป็นกรรมการหรือผู้บริหารของสถาบันการเงินประชาชนมาตรา ๗ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ และอาจได้รับแต่งตั้งซ้ำได้ แต่ต้องดำรงตำแหน่งติดต่อกันไม่เกินสองวาระได้ เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวแล้ว หากยังมิได้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ ในกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดตามวาระ ให้การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างกระทำโดยคณะกรรมการภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่างลง และให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ตนแทน ในระหว่างที่ยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้ถือว่าคณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ และให้คณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้โดยจะต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามคน

มาตรา ๘ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

(ก)

ตาย

(ข)

ลาออก

(ค)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๖

(ง)

รัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ

มาตรา ๙ คณะกรรมการที่แต่งตั้งแล้วมีอำนาจ ดังต่อไปนี้

(๑)

เสนอแนะนโยบายและแนวทางในการพัฒนาเกี่ยวกับระบบสถาบันการเงินประชาชนต่อคณะรัฐมนตรี ```

(๒)

กำหนดองค์กรการเงินชุมชนตามมาตรา ๓ และกำหนดธนาคารผู้ประสานงานตามมาตรา ๓ ประกอบกับมาตรา ๕๔

(๓)

กำหนดกรอบอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทน ค่าธรรมเนียม และค่าบริการของสถาบันการเงินประชาชน

(๔)

กำหนดหลักเกณฑ์การฝากเงินหรือกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานตามมาตรา ๒๖

(๕)

กำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของกรรมการสถาบันการเงินประชาชนตามมาตรา ๒๘ (๗)

(๖)

กำหนดอัตราขั้นสูงของเงินที่จ่ายเป็นเงินรางวัลของกรรมการ ผู้จัดการ พนักงาน หรือลูกจ้าง ของสถาบันการเงินประชาชน ตามมาตรา ๖๐ (๓)

(๗)

กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การให้บริการทางการเงินโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามมาตรา ๖๒

(๘)

กำหนดหลักเกณฑ์ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานและการกำกับดูแลตามมาตรา ๖๔

มาตรา ๔๘

(๑)

กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาจัดทำรายงานการดำเนินงานของธนาคารผู้ประสานงานตามมาตรา ๗๕

(๒)

กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประมวลข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการทางการเงินและข้อมูลที่ได้รับจากสถาบันการเงินประชาชนตามมาตรา ๗๖

(๓)

กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการตรวจสอบสถาบันการเงินประชาชนของผู้ตรวจสอบแผนงานให้ผู้ตรวจสอบรายงานการตรวจสอบตามมาตรา ๗๘

(๔)

วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา ๑๙๔ มาตรา ๖๒ และมาตรา ๗๖

(๕)

รายงานผลการดำเนินการของสถาบันการเงินประชาชนให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

(๖)

ออกระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้

(๗)

ปฏิบัติการอื่นใดที่จำเป็นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ

มาตรา ๔๙ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมคณะกรรมการ กำหนดกรรมการการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีหนึ่งเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา ๑๑ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

การประชุมของคณะอนุกรรมการให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๑๒ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการอาจเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาได้

มาตรา ๑๓ ให้สำนักงานหน้าที่ที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการรับผิดชอบงานธุรการ งานวิชาการ และกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานของคณะกรรมการ

หมวด ๒

สถาบันการเงินประชาชน

มาตรา ๑๔ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือผู้ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังมอบหมายเป็นนายทะเบียน

ให้นายทะเบียนมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(๑)

ส่งเสริม ช่วยเหลือ แนะนำ กำกับดูแล และตรวจสอบสถาบันการเงินประชาชน

(๒)

ออกระเบียบหรือคำสั่งเพื่อให้การปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินประชาชน

(๓)

กระทำการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เป็นหน้าที่และอำนาจของนายทะเบียนหรือตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

ส่วนที่ ๑

การจัดตั้งและจดทะเบียน

มาตรา ๑๕ ให้สถาบันการเงินประชาชนมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการออมทรัพย์แก่สมาชิก และให้บริการทางการเงินแก่สมาชิก รวมทั้งเสริมสร้างสุขภาวะทางการเงินของสมาชิก คุณภาพชีวิตของสมาชิก และความเข้มแข็งให้กับชุมชน ดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล และไม่แสวงหากำไร

สถาบันการเงินประชาชนต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่าสามสิบคน มูลค่าแห่งทุน กำไร โดยสมาชิกแต่ละคนต้องถือหุ้นคนละหนึ่งหุ้นเท่ากัน และต้องชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า

มาตรา 16 องค์กรการเงินชุมชนที่ขอขึ้นคำขอจดทะเบียนเป็นสถาบันการเงินประชาชนต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกขององค์กรการเงินชุมชนนั้นอย่างน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ขององค์กรการเงินชุมชนนั้น และต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

(ก)

มีการจัดทำงบการเงินประจำปีติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองปีนับถึงวันยื่นคำขอจดทะเบียน

(ข)

มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการทำงานมาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี

(ค)

ทุนที่ดำรงแล้ว เป็นทุนถาวนไม่น้อยกว่าห้าล้านบาท

(ง)

มีผลการดำเนินงานมีกำไรต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองปีนับถึงวันยื่นคำขอจดทะเบียน และในวันที่ยื่นคำขอจดทะเบียนต้องไม่มีผลการดำเนินงานขาดทุนสะสม สมาชิกต้องเป็นบุคคลธรรมดาและมีภูมิลำเนาหรือประกอบอาชีพในหลักแหล่งในพื้นที่ในการดำเนินงานขององค์กรการเงินชุมชนนั้นเป็นส่วนใหญ่ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งนับแต่วันที่สมัครเป็นสมาชิก รวมทั้งต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อบังคับของสถาบันการเงินประชาชน

มาตรา 17 ให้ที่ประชุมสมาชิกองค์กรการเงินชุมชนผู้มีมติขอจดทะเบียนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ขององค์กรการเงินชุมชน พร้อมด้วยสำเนารายชื่อสมาชิกทั้งหมดขององค์กรการเงินชุมชนนั้น

(ก)

ลงมติให้ความเห็นชอบต่อร่างข้อบังคับตามมาตรา 23

(ข)

ลงมติให้ความเห็นชอบต่อร่างข้อบังคับตามมาตรา 23

(ค)

ร่างข้อบังคับตามมาตรา 23 เมื่อธนาคารผู้ประสานงานได้รับคำขอจดทะเบียนและเอกสารตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้เสนอคำขอจดทะเบียนและเอกสารนั้นต่อนายทะเบียนพร้อมด้วยความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณา บทกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอ ให้เป็นไปตามที่นายทะเบียนกำหนด

มาตรา 18 เมื่อมีการยื่นคำขอจดทะเบียนต่อธนาคารผู้ประสานงานแล้ว ให้ธนาคารผู้ประสานงานตรวจสอบคำขอ หากเห็นว่าองค์กรการเงินชุมชนนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรา 16 และมาตรา 17 และร่างข้อบังคับตามมาตรา 23 มีความเหมาะสม ให้เสนอคำขอจดทะเบียนต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการจดทะเบียนต่อไป โดยคำนึงถึงการบริหารจัดการผู้ประสานงานประกอบการพิจารณาในกรณีที่คณะกรรมการเห็นชอบในหลักการจดทะเบียน ให้เสนอคำขอจดทะเบียนให้แก่สถาบันการเงินประชาชนต่อไป

สถานีการเงินประชาชนที่ได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล

มาตรา ๑๙ ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน ให้แจ้งคำสั่งพร้อมด้วยเหตุผลเป็นหนังสือไปยังองค์กรการเงินชุมชนนั้นโดยไม่ชักช้า

องค์กรการเงินชุมชนมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่รับจดทะเบียนต่อคณะกรรมการ โดยยื่นอุทธรณ์ต่อนายทะเบียนภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด

มาตรา ๒๐ เมื่อมีนายทะเบียนรับจดทะเบียนสถานีการเงินประชาชนแล้ว ให้ผู้แทนองค์กรการเงินชุมชนตามมาตรา ๑๗ ปฏิบัติหน้าที่ที่คณะกรรมการสถานีการเงินประชาชนนั้นไปพลางก่อนกว่าจะมีคณะกรรมการสถานีการเงินประชาชนตามมาตรา ๒๒

ให้ผู้ซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนสมาชิกตามมาตรา ๑๗ และได้ถือหุ้นตามจำนวนที่ข้อบังคับกำหนดไว้ เป็นสมาชิกสถานีการเงินประชาชนนั้นตั้งแต่นายทะเบียนรับจดทะเบียนสถานีการเงินประชาชน ในกรณีที่มีผู้ขอเข้ารับสมัครสมาชิกสถานีการเงินประชาชนหลังวันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนสถานีการเงินประชาชน ให้ถือว่าเป็นสมาชิกเมื่อได้ชำระค่าหุ้นตามจำนวนที่ข้อบังคับกำหนดไว้แล้ว

มาตรา ๒๑ ให้คณะกรรมการสถานีการเงินประชาชนประกอบด้วยกรรมการซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งในการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายในหกสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนสถานีการเงินประชาชน โดยให้ผู้แทนองค์กรการเงินชุมชนตามมาตรา ๑๗ เป็นผู้เรียกประชุมใหญ่และมอบหมายการฟังปวงให้แก่คณะกรรมการสถานีการเงินประชาชน

มาตรา ๒๒ สถานีการเงินประชาชนย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ และความรับผิดที่เกี่ยวเนื่องกับองค์กรการเงินชุมชนเดิมที่ได้จดทะเบียนเป็นสถานีการเงินประชาชนนั้นทั้งสิ้น

มาตรา ๒๓ ข้อบังคับของสถานีการเงินประชาชนอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้

(ก)

ชื่อ ซึ่งต้องมีคำว่า “สถานีการเงินประชาชน” นำหน้า

(ข)

ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสถานีการเงินประชาชน

(ค)

พื้นที่ในการดำเนินงาน ชื่อผู้ถือหุ้น มูลค่าของหุ้น การชำระค่าหุ้น การขายและการโอนหุ้น ตลอดจนการจ่ายคืนค่าหุ้น

(ง)

ข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงาน การบัญชี และการเงินของสถานีการเงินประชาชน

(ข)

คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิก วิธีรับสมาชิก การพ้นจากสมาชิกภาพ ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก

(ค)

ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่

(ง)

การเลือกตั้ง การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการประชุมของคณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชน

(จ)

การส่งเสริมหรือสนับสนุนการออมสวัสดิการ

(ฉ)

ธนาคารผู้ประสานงานให้การสนับสนุน

มาตรา 25 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ จะกระทำได้ก็แต่โดยมติของที่ประชุมใหญ่ และต้องบังคับใช้ได้แต่ในส่วนที่แก้ไขเพิ่มเติมไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในสามสิบวันนับตั้งแต่ที่ประชุมใหญ่ลงมติ เมื่อจดทะเบียนได้ออกหนังสือแสดงแล้วให้ผลใช้บังคับได้

ในกรณีที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับโดยการเปลี่ยนชื่อสถาบันการเงินประชาชน ให้ดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมถึงชื่อสถาบันการเงินประชาชน และให้หมายเหตุบอกไว้ในสำคัญรับจดทะเบียนการเปลี่ยนชื่อให้แก่สถาบันการเงินประชาชนนั้นด้วย การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับและการเปลี่ยนชื่อของสถาบันการเงินประชาชน ยังไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิหรือความรับผิดใด ๆ ของสถาบันการเงินประชาชนหรือบุคคลภายนอก ให้เจ้าพนักงานจดทะเบียนตรวจสอบ และถ้าการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโดยปกติ

มาตรา 26 ห้ามผู้ใดเอาชื่อจากสถาบันการเงินประชาชนไปใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในทางธุรกิจว่า “สถาบันการเงินประชาชน” หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน

ส่วนที่ 2

การดำเนินงานและการกำกับดูแล

มาตรา 27 ให้สถาบันการเงินประชาชนกระทำกิจการได้ภายในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา 14 ซึ่งรวมถึง

(ก)

รับฝากเงินจากสมาชิกและประชาชนในพื้นที่ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ รวมทั้งวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนซึ่งอยู่ในพื้นที่ในการดำเนินงาน

(ข)

ให้สินเชื่อแก่สมาชิก

(ค)

เป็นตัวแทนการรับชำระเงินและโอนเงินของสมาชิกและประชาชน

(ง)

ฝากเงินหรือซื้อหุ้นในสถาบันอื่นที่ใช้ในการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการกำหนด

(๔)

เรียกเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ หรือผลตอบแทน ค่าธรรมเนียม และค่าบริการอื่น ๆ

(๕)

ซื้อหรือมีไว้ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ในกรณีดังต่อไปนี้

(ก)

เพื่อใช้เป็นสถานที่ดำเนินการหรือใช้ประโยชน์ตามสมควร

(ข)

เป็นการได้มาจากการชำระหนี้ หรือการซื้อทรัพย์ที่จำนองหรือทรัพย์สินอื่นที่ผู้กู้ยินยอมให้ขายซึ่งทรัพย์หรือสิทธิจากการจำนำ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการชำระหนี้หรือทรัพย์สินที่พึงขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการให้จำหน่ายภายในกำหนดเวลา

(๖)

ส่งเสริมหรือสนับสนุนการจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิกหรือประชาชนในพื้นที่ในการดำเนินงานโดยใช้เงินที่ได้จากการจัดสรรกำไรของสถาบันการเงินประชาชน ทั้งนี้ ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสถาบันการเงินประชาชน

(๗)

กระทำกิจการอย่างอื่นนอกจากที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสถาบันการเงินประชาชนและตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง

มาตรา ๒๗ ให้คณะกรรมการเงินประชาชนมีผลกระทบกระทรวงการคลังด้านการเงินประชาชนต่อคณะกรรมการการเงินแห่งชาติ และกรรมการการยื่นคำไม่ขออนุญาตที่สมเหตุสมผล ซึ่งมีรายใหญ่ต่อคณะกรรมการ

กรรมการสถาบันการเงินประชาชนมีกรอบอยู่ในตำแหน่งครบวาระนั้น แต่เว้นแต่ต้องมี กรรมการสถาบันการเงินประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่ง ๑๕ แต่ต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน เว้นแต่ได้รับเลือกตั้งในฐานะผู้ใหญ่สมาชิกโดยมีคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด ในกรณีที่มีการเลือกตั้งกรรมการสถาบันการเงินประชาชนแทนตำแหน่งที่ว่างก่อนครบวาระ ให้กรรมการสถาบันการเงินประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน

มาตรา ๒๘ กรรมการสถาบันการเงินประชาชน ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(๑)

มีสัญชาติไทย

(๒)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี

(๓)

เป็นสมาชิกของสถาบันการเงินประชาชน

(๔)

ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

(๕)

ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๖)

ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(๗)

มีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา ๒๙ ในการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชนั้น การการ สถาบันการเงินประชาชนต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ และข้อ บังคับของสถาบันการเงินประชาชน ตลอดจนมติที่ประชุมใหญ่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและ ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของสถาบันการเงินประชาชน และต้องรับผิดชอบร่วมกันใน การบริหารงานสถาบันการเงินประชาชนนั้น ซึ่งรวมถึงเรื่องต่อไปนี้

(ก)

การระดมทุนให้ได้ระยะหนึ่งจริง

(ข)

จัดให้และรักษาไว้ให้เรียบร้อย ซึ่งบรรดาสมุดบัญชีและเอกสารที่ กฎหมายกำหนดไว้

(ค)

การให้สถาบันการเงินประชาชนเรียกประชุมใหญ่ตามที่กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๓๐ ให้คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนเป็นผู้ดำเนิน กิจการและเป็นผู้แทนสถาบันการเงินประชาชนในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อ การนี้คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนอาจมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลาย คนทำการแทน หรือจะมอบอำนาจให้บุคคลภายนอกเป็นผู้จัดการก็ได้

มาตรา ๓๑ ค่าอำนวยการของกรรมการสถาบันการเงินประชาชนและผู้ จัดการสถาบันการเงินประชาชนให้เบิกจ่ายจากกองทุนดำเนินงาน

มาตรา ๓๒ ให้คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนจัดให้มีการ ประชุมสามัญเป็นประจำทุกปี ปีละหนึ่งครั้ง ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี ของสถาบันการเงินประชาชน

การประชุมใหญ่คราวอื่นให้เรียกว่า ประชุมใหญ่วิสามัญ

มาตรา ๓๓ เมื่อมีเหตุอันสมควร คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชน จะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อใดก็ได้

ในกรณีสถาบันการเงินประชาชนขาดทุนถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนที่ ชำระแล้ว คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนต้องเรียกประชุมใหญ่วิสามัญโดยไม่ ชักช้า แต่ไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบเพื่อแจ้งให้สมาชิกทราบถึงการขาดทุนนั้น

มาตรา ๓๔ สมาชิกซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิก ทั้งหมดของสถาบันการเงินประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อกันทำหนังสือร้องขอให้คณะ กรรมการสถาบันการเงินประชาชนจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญก็ได้ โดยในหนังสือร้องขอ นั้นต้องระบุวาระที่จะให้มีการประชุมด้วย

ในกรณีสมาชิกเข้าชื่อกันร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญ ให้คณะ กรรมการสถาบันการเงินประชาชนเรียกประชุมใหญ่วิสามัญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับ หนังสือร้องขอ หากคณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนไม่เรียกประชุมใหญ่วิสามัญ ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว สมาชิกซึ่งเข้าชื่อกันร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญมีสิทธิ เรียกประชุมใหญ่วิสามัญได้เอง

มาตรา ๓๕ ให้คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนดำเนินการในนามนั้นนอกจากคำเรียกประชุมใหญ่ให้สมาชิกทุกคนทราบ

หลักเกณฑ์และวิธีการบอกกล่าวให้เป็นไปตามข้อบังคับของสถาบันการเงินประชาชน

มาตรา ๓๖ การประชุมใหญ่ของสถาบันการเงินประชาชน ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมใหญ่ สมาชิกอาจมอบอำนาจให้บุคคลใดคนหนึ่งมาประชุมแทนตนได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนด

มาตรา ๓๗ ในการประชุมใหญ่ของสถาบันการเงินประชาชน ถ้าสมาชิกมาประชุมไม่ครบองค์ประชุมและมิได้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ สมาชิกต้องขอให้เรียกประชุมใหม่โดยระบุถึงเหตุอันสมควรภายในสิบวันนับแต่วันแรกที่ประชุมใหญ่ครั้งแรก ในกรณีที่ประชุมครั้งนี้ เมื่อมีสมาชิกมาประชุมไม่ถึงองค์ประชุมในที่เดียวกันจำนวนสมาชิกทั้งหมด ถือให้ถือว่ามิใช่องค์ประชุม

มาตรา ๓๘ ประธานกรรมการสถาบันการเงินประชาชนเป็นประธานของที่ประชุมใหญ่ ในกรณีที่ไม่มีประธานกรรมการสถาบันการเงินประชาชนหรือมีแต่ไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้สมาชิกซึ่งมาประชุมเลือกสมาชิกคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม

มาตรา ๓๙ ในการประชุมใหญ่ของสถาบันการเงินประชาชน สมาชิกหนึ่งคนให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน

มติของที่ประชุมใหญ่ให้ถือเสียงข้างมากของสมาชิกที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด เว้นแต่กรณีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าจำนวนหนึ่งของจำนวนสมาชิกซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน

(ก)

การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสถาบันการเงินประชาชน

(ข)

การเลือกกรรมการหรือพนักงานในวาระหรือให้เป็นกรรมการต่อไปอีกที่นาวาระตามมาตรา ๒๙ วรรคสอง

มาตรา ๔๐ การจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีของสถาบันการเงินประชาชน ให้จัดสรรเป็นทุนสำรองไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของกำไรสุทธิ จนกว่าทุนสำรองนั้นจะมีจำนวนหนึ่งในสิบของจำนวนทุนของสถาบันการเงินประชาชนหรือมากกว่านั้นที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสถาบันการเงินประชาชน

กำไรสุทธิประจำปีที่เหลือจากการจัดสรรเป็นทุนสำรอง ที่ประชุมใหญ่อาจจัดสรรได้ภายใต้ข้อบังคับของสถาบันการเงินประชาชน ดังต่อไปนี้

(ก)

จ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่สมาชิกตามส่วนที่ถือหุ้น

(ข)

จ่ายเป็นเงินเฉลี่ยคืนให้แก่สมาชิกตามส่วนที่สมาชิกได้กู้ยืมจากสถาบันการเงินประชาชนในระหว่างปี

(ค)

จ่ายเป็นเงินรางวัลแก่กรรมการ ผู้จัดการ พนักงาน หรือลูกจ้าง ของสถาบันการเงินประชาชนในกรณีของอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเงินและสมาชิกสามัญที่คณะกรรมการประกาศกำหนด บังคับ

(๔)

จ่ายเป็นเงินสนับสนุนหรือส่งเสริมการจัดสวัสดิการตามที่กำหนดในข้อ

(๕)

เป็นเงินสำรองอื่น

มาตรา ๔๐ เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่แล้ว สถาบันการเงินประชาชนอาจโอนทุนสำรองตามมาตรา ๔๐ วรรคหนึ่ง เพื่อต่อยอดขยายทุนสะสมของสถาบันการเงินประชาชนก็ได้

มาตรา ๔๑ ให้สถาบันการเงินประชาชนให้บริการทางการเงินแก่สมาชิกโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยขั้นตามมาตรา ๖๔ (๔) ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา ๔๒ ให้สถาบันการเงินประชาชนจัดทำทะเบียนต่อไปนี้ โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยขั้นตามมาตรา ๖๔ (๔) ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่นายทะเบียนกำหนด

(๑)

ทะเบียนสมาชิก ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการ

(ก)

ชื่อ และที่ตั้งสถาบันการเงินประชาชน

(ข)

ชื่อ สัญชาติ และที่อยู่ของสมาชิก

(ค)

วันที่เข้าเป็นสมาชิก

(๒)

ทะเบียนหุ้น ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายการ

(ก)

ชื่อ และที่ตั้งสถาบันการเงินประชาชน

(ข)

ชื่อของสมาชิกที่ถือหุ้น มูลค่าหุ้น จำนวนหุ้น และเงินค่าหุ้นที่ชำระแล้ว

(ค)

วันที่ชำระค่าหุ้น

มาตรา ๔๓ การดำเนินงานและการกำกับดูแลสถาบันการเงินประชาชนในเรื่องดังต่อไปนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

(๑)

การให้กู้และการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้รายใหญ่

(๒)

การจัดเงินกองทุน

(๓)

การบริหารสินทรัพย์และการจัดการสินทรัพย์สภาพคล่อง

(๔)

เรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานและการกำกับดูแล

ส่วนที่ ๓

การสนับสนุนและประชาสงเคราะห์

มาตรา ๔๕ ให้คณะกรรมการประกาศกำหนดผู้ทำหน้าที่เป็นนายคารผู้ประสานงาน

มาตรา ๔๖ ให้นายคารผู้ประสานงานมีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน และมีหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑)

ให้ข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชนต่อคณะกรรมการ

(๒)

สนับสนุน ช่วยเหลือ และแนะนำการจัดตั้งสถาบันการเงินประชาชน โดยเน้นพื้นที่ที่มีศักยภาพและสามารถให้บริการทางการเงินประชาชนได้

(๓)

รับคำขอจดทะเบียนเป็นสถาบันการเงินประชาชนจากองค์กรการเงินชุมชนพร้อมทั้งจัดทำความเห็นประกอบการพิจารณา เพื่อนำเสนอคณะนายทะเบียนตามมาตรา ๑๗

(๔)

จัดทำและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการให้บริการทางการเงิน ระบบทะเบียน ระบบการโอนเงิน ระบบบัญชี ระบบความปลอดภัย หรือระบบอื่นใดที่เกี่ยวกับการเงินประชาชน

(๕)

จัดทำและพัฒนาระบบฐานข้อมูล วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมซึ่งรวมถึงข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของสถาบัน คำแนะนำด้านการเงินประชาชน

(๖)

จัดทำและพัฒนามาตรฐานการให้บริการจัดการความเสี่ยง และระบบมาตรฐานการให้บริการของสถาบันการเงินประชาชน

(๗)

พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมพร้อม ทั้งในด้านระบบการเงิน การบัญชี และการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร เพื่อยกระดับมาตรฐานให้แก่สถาบันการเงินประชาชน

(๘)

ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวกับสถาบันการเงินประชาชน ซึ่งรวมถึงการประเมินความเสี่ยง และมาตรฐานการให้บริการของสถาบันการเงินประชาชน

(๙)

ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

มาตรา ๔๗ ให้นายคารผู้ประสานงานจัดทำรายงานผลการดำเนินงานที่เกี่ยวกับสถาบันการเงินประชาชนเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เสนอคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๔๘ ให้นายคารผู้ประสานงานจัดทำรายงานเกี่ยวกับผลการประเมินความเสี่ยงและมาตรฐานการให้บริการของสถาบันการเงินประชาชนเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๔๙ ให้นายคารผู้ประสานงานจัดทำรายงานเกี่ยวกับผลการประเมินความเสี่ยงและมาตรฐานการให้บริการของสถาบันการเงินประชาชนเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด

หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาในการประเมินความเสี่ยงและมาตรฐานคุณภาพการให้บริการ ให้เป็นไปตามที่นายทะเบียนกำหนด

มาตรา 60 ให้คณะกรรมการและบุคคลที่คณะกรรมการมอบหมายมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลตามมาตรา 51 (5) และมาตรา 55 เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

ส่วนที่ 4

การจัดทำบัญชีและสอบบัญชี

มาตรา 61 ให้สถาบันการเงินประชาชนจัดทำบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไปและเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ที่สำนักงานใหญ่ของสถาบันการเงินประชาชนภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด

การลงรายการบัญชีต้องมีเอกสารประกอบการลงบัญชีที่สมบูรณ์โดยครบถ้วน

มาตรา 62 ให้สถาบันการเงินประชาชนจัดทำงบการเงินประจำปีทุกรอบบัญชีของสถาบันการเงินประชาชน

งบการเงินประจำปีต้องมีข้อความให้แสดงเสร็จและให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นแล้วนำเสนอที่ประชุมใหญ่ของสถาบันการเงินประชาชนภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นรอบปีบัญชี

มาตรา 63 ให้สถาบันการเงินประชาชนจัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชนในรอบปีบัญชีนั้น และให้ส่งสำเนารายงานประจำปีและงบการเงินประจำปีที่ประชุมใหญ่ได้อนุมัติแล้วไปยังนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่สถาบันการเงินประชาชนประชุมใหญ่ และเผยแพร่เป็นการทั่วไป

มาตรา 64 ให้สถาบันการเงินประชาชนเก็บรักษางบการเงินประจำปีตามมาตรา 62 และรายงานประจำปีตามมาตรา 63 พร้อมทั้งข้อบังคับของสถาบันการเงินประชาชนและกฎหมายที่สถาบันการเงินประชาชนได้จัดทำขึ้นไว้ที่สถาบันการเงินประชาชน เพื่อให้สมาชิกตรวจดูได้

มาตรา 65 ผู้สอบบัญชีต้องให้มีผู้สอบบัญชีใหญ่สำหรับผู้สอบบัญชีทุกจำพวกบัญชีรับอนุญาต

ผู้สอบบัญชีซึ่งออกไปพ้นต้องเลือกตั้งกลับเข้ารับเลือกตั้งอีกก็ได้

หมวด 3

การตรวจสอบสถาบันการเงินประชาชน

มาตรา 66 ในกรณีที่สมควรผู้ตรวจสอบสถาบันการเงินประชาชนได้กระทำการที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ หรือกระทำการหรือมีการละเว้นการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกหรือประชาชน ให้คณะนายทะเบียนแต่งตั้งกรรมการในสำนักงานหรือ

บุคคลภายนอกเป็นผู้ตรวจสอบเพื่อตรวจสอบสถานะการเงินประชาชนนั้น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ให้ผู้ตรวจสอบมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(๑)

เข้าไปในสถานที่เพื่อตรวจสอบสถานะการเงินประชาชนเพื่อตรวจสอบในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกหรือในระหว่างเวลาทำการของสถานะการเงินประชาชนได้ และเมื่อได้เข้าไปแล้วจะมีอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริง ถ้ายังติดขัดในการไม่เสร็จอาจกระทำต่อไปในเวลาตามสมควรนอกเวลาทำการของสถานะการเงินประชาชนได้

(๒)

ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้กรรมการ ผู้จัดการ พนักงาน หรือผู้จ้างของสถานะการเงินประชาชน มาเพื่อแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจการของสถานะการเงินประชาชน หรือให้ส่งรายงานการประชุมหรือเอกสารใด ๆ ของสถานะการเงินประชาชนที่จำเป็นแก่การตรวจสอบได้

(๓)

ยึดหรืออายัดเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องในสถานะการเงินประชาชนที่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบซึ่งเชื่อว่าไม่เกินสามสิบวัน ในกรณีอายัดสิ่งยึดหรืออายัดดังกล่าวต้องระบุเหตุผลความจำเป็น และสิทธิของผู้ถูกยึดหรืออายัดอื่นนั้น ให้ผู้ตรวจสอบรายงานการตรวจสอบต่อคณะกรรมการที่แต่งตั้งคณะกรรมการและนายทะเบียนตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๕๔ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๕๒ ผู้ตรวจสอบต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ด้วย

บัตรประจำตัวผู้ตรวจสอบต้องเป็นไปตามแบบที่นายทะเบียนประกาศกำหนด

มาตรา ๕๕ ให้ผู้ตรวจสอบเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

หมวด ๔

การแก้ไขฐานะของสถานะการเงินประชาชน

มาตรา ๕๖ ในกรณีที่คณะกรรมการสถานะการเงินประชาชนตรวจพิจารณาหรือออกรายงานทำการในกรณีจำเป็นเพื่อขอเสนอ จนทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของสถานะการเงินประชาชนหรือสมาชิก หรือในกรณีสถานะการเงินประชาชนมีสมาชิกพร้อมจำนวนอาจให้มีการส่งต่อข้อมูลข่าวสารต่อคณะกรรมการหรือสมาชิก ให้นายทะเบียนมีคำสั่งออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ปฏิบัติการ ดังต่อไปนี้

(๑)

ให้คณะกรรมการสถานะการเงินประชาชนประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องพร้อมกำหนดระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด

(๒)

ให้คณะกรรมการสถานะการเงินประชาชนประชุมพิจารณาระงับการปฏิบัติในส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดข้อบกพร่องหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์ของสถานะการเงินประชาชนหรือสมาชิก

(๓)

ให้กรรมการสถานะการเงินประชาชนผู้เป็นต้นเหตุหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำการแก้ไขหรือดำเนินการเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องหรือให้แล้วเสร็จตามวิธีการและในระยะเวลาที่กำหนด เวลาที่นายทะเบียนกำหนด (5) มีคำสั่งถอดถอนกรรมการสถาบันการเงินประชาชนใดคนหนึ่งหรือทุกคนหรือผู้จัดการสถาบันการเงินประชาชน โดยให้ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมใหญ่

มาตรา 20 ในกรณีที่นายทะเบียนสั่งให้คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด ให้นายทะเบียนตั้งคณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนชั่วคราว มีอำนาจหน้าที่และสิทธิทั้งเดียวกับคณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชน และให้อยู่ในตำแหน่งไม่เกินกำหนดวันที่นายทะเบียนแต่ตั้ง

ก่อนพ้นกำหนดตำแหน่งให้นายทะเบียนสั่งให้คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนชั่วคราวจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งกรรมการสถาบันการเงินประชาชนขึ้นใหม่ทั้งคณะตามวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับ

มาตรา 21 ในกรณีที่นายทะเบียนสั่งให้กรรมการสถาบันการเงินประชาชนพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด ให้คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนชั่วคราวเรียกประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งเป็นกรรมการสถาบันการเงินประชาชนขึ้นใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กรรมการสถาบันการเงินประชาชนพ้นจากตำแหน่ง ถ้ามีการเลือกตั้งหรือเลือกตั้งไม่ได้ ให้นายทะเบียนสั่งให้กรรมการสถาบันการเงินประชาชนชั่วคราวอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีกไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดดังกล่าว และให้คณะกรรมการสถาบันการเงินประชาชนชั่วคราวจัดให้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งกรรมการสถาบันการเงินประชาชนขึ้นใหม่ทั้งคณะตามวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับ

มาตรา 22 คำสั่งใด ๆ ตามมาตรา 19 หรือมาตรา 20 ให้ผู้สั่งได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด

มาตรา 23 สถาบันการเงินประชาชนใดมีผลการดำเนินงานขาดทุนติดต่อกันเกินสามปี หรือถูกทุนที่มีอยู่ลดลงถึงจำนวนทุน ให้สถาบันการเงินประชาชนนั้นเสนอโครงการเพื่อแก้ไขฐานะและการดำเนินงานต่อคณะนายทะเบียน เพื่อขอความเห็นชอบภายในระยะเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่ทราบ

โครงการตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วย (1) แผนดำเนินงาน (2) ข้อเสนอที่ให้ลดหรืองดจ่ายทุนหรือผลกำไรของสถาบันการเงินประชาชน (3) ระยะเวลาที่คาดหมายการให้เสร็จสิ้นโครงการ เมื่อนายทะเบียนได้รับโครงการแล้ว จะต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับโครงการ และให้แจ้งสถาบันการเงินประชาชนนั้นทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่พิจารณาเสร็จ ในกรณีนี้ จะกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้ ในกรณีที่สถานบริการเงินประชาชนไม่เสนอโครงการภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง หรือโครงการที่เสนอไม่ได้รับความเห็นชอบ หรือไม่ดำเนินการตามโครงการ หรือดำเนินการไม่เป็นไปตามโครงการที่ได้รับความเห็นชอบหรือความตกลงที่ทำขึ้นอื่น เวลาที่นายทะเบียนกำหนดตามวรรคสอง ให้นายทะเบียนมีคำสั่งให้สถานบริการเงินประชาชนนั้นดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควร หรือสั่งเลิกสถานบริการเงินประชาชนนั้น

หมวด ๕

การเลิกสถานบริการเงินประชาชน

มาตรา ๒๕ สถานบริการเงินประชาชนย่อมเลิกด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด ดังต่อไปนี้

(๑)

มีเหตุอันสมควรที่กำหนดในข้อบังคับของสถานบริการเงินประชาชน

(๒)

ที่ประชุมใหญ่ลงมติไม่น้อยกว่าสามในสี่ของสมาชิกทั้งหมดให้เลิก

(๓)

ล้มละลาย

(๔)

นายทะเบียนสั่งให้เลิกตามมาตรา ๒๓

(๕)

ที่นายทะเบียนสั่งเลิกว่าทำผิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รอบบัญชี ให้สถานบริการเงินประชาชนที่เลิกตาม (๑) (๒) หรือ (๓) แจ้งให้นายทะเบียนทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เลิก ให้นายทะเบียนมีประกาศการเลิกสถานบริการเงินประชาชนไว้ที่สถานที่ตั้งของสถานบริการเงินประชาชน

มาตรา ๒๖ สถานบริการเงินประชาชนที่ถูกสั่งเลิกตามมาตรา ๒๓ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง และให้นายทะเบียนส่งคำอุทธรณ์ต่อไปยังคณะกรรมการโดยไม่ชักช้า

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด

มาตรา ๒๗ เมื่อสถานบริการเงินประชาชนเลิกไปแล้วด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๕ ให้อัตราชำระบัญชีตามบัญญัติในหมวด ๖ การชำระบัญชี

หมวด ๖

การชำระบัญชี

มาตรา ๒๘ การชำระบัญชีสถานบริการเงินประชาชนที่เลิกตามหมวดนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการชำระบัญชีสมาคม

มาตรา ๒๙ รายการทรัพย์สินของสถานบริการเงินประชาชนที่เลิกเพราะเหตุนายทะเบียนสั่งให้เลิกให้ตกเป็นของแผ่นดินแต่ผู้ชำระบัญชี

มาตรา ๖๙ การชำระบัญชีสถานีการเงินประชาชนที่เลิกเพราะเหตุอื่นนอกจากล้มละลายหรือนายทะเบียนสั่งให้เลิก ให้ที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งผู้ชำระบัญชีขึ้นทำการชำระบัญชีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เลิกสถานีการเงินประชาชน

ในกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ไม่เลือกตั้งผู้ชำระบัญชีภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้นายทะเบียนแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีขึ้นทำการชำระบัญชี เมื่อคณะผู้ชำระบัญชีคนหนึ่งคนใดตายหรือพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุอื่นในระหว่างการชำระบัญชี ให้ที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งผู้ชำระบัญชีคนใหม่แทนผู้ชำระบัญชีซึ่งตายหรือพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวได้ แต่ต้องไม่ช้ากว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง

มาตรา ๗๐ การชำระบัญชีสถานีการเงินประชาชนที่เลิกเพราะเหตุอื่นนอกจากล้มละลาย ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการชำระบัญชีของหุ้นส่วนจดทะเบียน หุ้นส่วนที่ไม่จดทะเบียน และบริษัทจำกัด มาใช้บังคับกับการชำระบัญชีของสถานีการเงินประชาชนโดยอนุโลม

ในระหว่างการชำระบัญชี ให้ถือว่าสถานีการเงินประชาชนนั้นยังคงอยู่ตราบเท่าที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี

มาตรา ๗๑ ผู้ชำระบัญชีที่นายทะเบียนแต่งตั้งอาจได้รับค่าตอบแทนตามที่นายทะเบียนกำหนด

ผู้ชำระบัญชีที่ที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งอาจได้รับค่าตอบแทนตามที่ประชุมใหญ่กำหนด

หมวด ๗

บทกำหนดโทษ

มาตรา ๗๒ ในหมวดนี้

"ผู้มีอำนาจในการจัดการ" หมายความว่า

(๑)

กรรมการของสถานีการเงินประชาชน

(๒)

ผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งสถานีการเงินประชาชนแต่งตั้ง มอบหมาย หรือทำสัญญาให้มีอำนาจในการบริหารงานทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ

(๓)

บุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามความควบหรือครอบงำกรรมการ หรือการจัดการของสถานีการเงินประชาชน ให้มีอำนาจสั่งการอย่างสำคัญต่อการดำเนินนโยบายหรือการดำเนินงานของสถานีการเงินประชาชน

มาตรา ๗๓ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

มาตรา ๗๔ ผู้ใดขัดขวางหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่นายทะเบียนสั่งเป็นหนังสือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๗๕ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ตรวจสอบซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๗๖ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารใด ๆ อันผู้ตรวจสอบได้ยึด อายัด รักษาไว้ หรือสั่งให้ส่งเป็นพยานหลักฐานหรือเพื่อแจ้งการให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ว่าผู้ตรวจสอบจะรักษาเอกสารนั้นไว้เอง หรือสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องยึดหรือรักษาไว้ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๗๗ ผู้ใดสจงใจขัดขวางหรือหลีกเลี่ยงการแสดงประชาชนเนื่องจากการปฏิบัติของเจ้าพนักงานที่ดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดในกฎหมายฉบับนี้เกิดการที่มีความผิดอันต้องลงโทษตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับในการเปิดเผยในกรณี ดังต่อไปนี้

(๑)

การเปิดเผยตามหน้าที่หรือเพื่อประโยชน์ในการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี

(๒)

การเปิดเผยเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

(๓)

การเปิดเผยแก่ผู้สอบบัญชี

(๔)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานผู้ประสานงานที่ให้การสนับสนุนสถานะการเงินประชาชนเท่านั้น

(๕)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน

(๖)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินประชาชน

(๗)

การเปิดเผยความลับของลูกค้าสถาบันการเงินประชาชนที่ถูกเปิดเผยดังกล่าวให้ความยินยอมแล้ว

(๘)

การเปิดเผยความลับของลูกค้าของสถาบันการเงินประชาชนที่ถูกเปิดเผยดังกล่าวให้ความยินยอมแล้ว

(๙)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้

มาตรา ๗๘ ผู้ใดจงใจหรือโดยสำคัญผิดเปิดเผยความลับของสถาบันการเงินประชาชนโดยหน้าที่ที่มีอยู่แล้วในการกระทำการดังกล่าว หรือจงใจหรือโดยสำคัญผิดเปิดเผยความลับดังกล่าวในประการที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการเปิดเผยตามกรณีในมาตรา ๗๗ วรรคสอง

มาตรา ๗๙ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวนั้นที่เกี่ยวข้องการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่ระงับการกระทำจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษตามบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๘๐ ในวาระเริ่มแรก ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชนประกอบด้วยประธานกรรมการและกรรมการโดยตำแหน่งตามมาตรา ๔ ปฏิบัติหน้าที่ต่อมาพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินห้าร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๘๑ เมื่อครบกำหนดสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการชั่วคราวจากส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนบุคคลในท้องถิ่นมาจัดทำข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในกรณีที่รัฐมนตรีเห็นสมควรอาจแต่งตั้งกรรมการให้บุคคลในท้องถิ่นที่มีความรู้ ความสามารถ หรือมีประสบการณ์ในด้านการจัดการ ด้านการบริหารความเสี่ยง และด้านการบัญชีสมควรจะร่วมด้วยก็ได้ และให้คณะกรรมการชั่วคราวดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นพ้องกรณีท

14 มิถุนายน 2565 สุภาภัทร / Authorizer 14 มิถุนายน 2565 [1] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๙/ตอนที่ ๕๐ ก/หน้า ๕๔/๓๐ เมษายน ๒๕๖๕