로고

``` ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๑๑ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙

โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายอาญาเสียใหม่พระอันเป็นได้ประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ในยุครัตโกสินทร์ ๑๒๗ เป็นลำมา พฤติการณ์ของบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๙๙”

มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญาที่พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นไป

มาตรา ๔ เมื่อประมวลกฎหมายอาญาได้ใช้บังคับแล้วให้ยกเลิกกฎหมายลักษณะอาญา

มาตรา ๕ เมื่อประมวลกฎหมายอาญาได้ใช้บังคับแล้ว ในกรณีที่กฎหมายใดได้กำหนดโทษอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ในกฎหมายลักษณะอาญาไว้ ให้ถือว่ากฎหมายนั้นได้อ้างถึงโทษ ดังต่อไปนี้

ถ้ากำหนดโทษขั้นที่ ๑ หมายความว่า ปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท ถ้ากำหนดโทษขั้นที่ ๒ หมายความว่า ปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ถ้ากำหนดโทษขั้นที่ ๓ หมายความว่า จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ากำหนดโทษขั้นที่ ๔ หมายความว่า จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๖ เมื่อประมวลกฎหมายอาญาได้ใช้บังคับแล้ว ในกรณีที่กฎหมายตามกฎหมายใดไม่ว่าทุกส่วนหรือบางส่วน ให้ถือว่ากฎหมายนั้นได้อ้างถึง

``` มาใช้บังคับ แต่สำหรับความผิดที่ได้กระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มิให้ กำหนดโทษที่หนักกว่าที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ และจะต้องเป็นโทษปรับหรือมาตรการทาง กฎหมายอื่นๆ ในกรณีที่วิธีการเพื่อความปลอดภัยตามมาตรา ๗๙ แห่งพระราชบัญญัติ ให้บังคับผู้ซึ่งแสดงพฤติการณ์แห่งความวิกลจริตหรือมีลักษณะอันน่าจะใช้บังคับ เสริมอื่นในกรณีที่มีความผิดตามกฎหมาย แต่หากมีการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันใน เวลาที่ผู้ต้องหามีอาการที่ต้องการพิจารณาให้เหมาะสมโดยคณะกรรมการฯ แล้วแต่ให้บังคับตามเงื่อนไขที่ผู้ต้องหามีความผิดตามกฎหมายในมาตราที่มีเนื้อหาเดียวกัน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ท่านผู้บัญญัติ กฎหมายโดยอ้างถึงกฎหมายลักษณะอาญา หรือกฎหมายอื่นที่บัญญัติเป็นการเฉพาะ ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้ทั้งฉบับเป็นพระราชบัญญัติ หรือบทบัญญัติ แห่งพระราชบัญญัติในบทมาตราที่มีเนื้อหาเดียวกัน แล้วแต่กรณี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี สารบัญ พระราชบัญญัติอาญา ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป

ลักษณะ ๑ บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดทั่วไป

มาตรา

หมวด ๑ บทนิยาม

หมวด ๒ การใช้กฎหมายอาญา

๒-๑๘

หมวด ๓ โทษและวิธีการเพื่อความปลอดภัย

ส่วนที่ ๑ โทษ

๑๔-๓๘

ส่วนที่ ๒ วิธีการเพื่อความปลอดภัย

๓๙-๔๐

ส่วนที่ ๓ วิธีเพิ่มโทษ ลดโทษ

และการอธิกรณ์โทษ ๔๕-๔๘

หมวด ๔ ความรับผิดในทางอาญา

๔๙-๕๗

หมวด ๕ การพยายามกระทำความผิด

๕๘-๖๐

หมวด ๖ ตัวการและผู้สนับสนุน

๖๑-๖๔

หมวด ๗ การกระทำความผิดหลายบทหรือหลายกระทง

๖๕-๖๗

หมวด ๘ การกระทำความผิดอีก

๖๘-๗๐

หมวด ๙ อายุความ

๙๕-๑๐๑

ลักษณะ ๒ บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดลหุโทษ

๑๐๑-๑๐๖ ภาค ๒ ความผิด

ลักษณะ ๑ ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

หมวด ๑ ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี

รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ๑๐๗-๑๑๒

หมวด ๒ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายใน

ราชอาณาจักร ๑๑๓-๑๑๗

หมวด ๓ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอก

ราชอาณาจักร ๑๑๘-๑๒๖/๔

หมวด ๔ ความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ

๑๒๗-๑๒๙

ลักษณะ ๑/๑ ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย(2)

๑๓๕/๑-๑๓๕/๔

ลักษณะ ๒ ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง

หมวด ๑ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่งาน

๑๓๖-๑๔๗

หมวด ๒ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

๑๔๘-๑๖๖

ลักษณะ ๓ ความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม

หมวด ๑ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม

๑๖๗-๑๗๓

หมวด ๒ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

๑๗๔-๒๐๐

ลักษณะ ๔ ความผิดเกี่ยวกับศาสนา

๒๐๖-๒๐๘

ลักษณะ ๕ ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน

ลักษณะ ๕ ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน

๒๐๙-๒๑๖

ลักษณะ ๖ ความผิดเกี่ยวกับการให้เด็กไปเสียจากบิดามารดา

ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ๒๑๗-๒๒๒

ลักษณะ ๗ ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง

หมวด ๑ ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา

๒๔๐-๒๔๕

หมวด ๒ ความผิดเกี่ยวกับดวงตรา แสตมป์และตั๋ว

๒๔๖-๒๕๒

หมวด ๓ ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

๒๖๔-๒๖๘

หมวด ๔ ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์(3)

๒๖๙/๑-๒๖๙/๗

หมวด ๕ ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง(4)

๒๖๒/๗-๒๖๒/๑๕

ลักษณะ ๘ ความผิดเกี่ยวกับการค้า

๒๖๒/๑๖-๒๖๔

ลักษณะ ๙ ความผิดเกี่ยวกับเพศ

๒๖๕-๒๘๗

ลักษณะ ๑๐ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย

หมวด ๑ ความผิดต่อชีวิต

๒๘๘-๒๙๕

หมวด ๒ ความผิดต่อร่างกาย

๒๙๖-๓๐๐

หมวด ๓ ความผิดฐานทำให้แท้งลูก

๓๐๑-๓๐๕

หมวด ๔ ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บหรือคนชรา

๓๐๖-๓๐๘

ลักษณะ ๑๑ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง

หมวด ๑ ความผิดต่อเสรีภาพ

๓๐๙-๓๑๒

หมวด ๒ ความผิดฐานเปิดเผยความลับ

๓๑๓-๓๑๕

หมวด ๓ ความผิดฐานหมิ่นประมาท

๓๒๖-๓๓๓

ลักษณะ ๑๒ ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

หมวด ๑ ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์และวังทรัพย์

๓๓๔-๓๓๖

หมวด ๒ ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์

และปล้นทรัพย์ ๓๓๗-๓๔๐

หมวด ๓ ความผิดฐานฉ้อโกง

๓๔๑-๓๔๔

หมวด ๔ ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

๓๔๙-๓๕๐

หมวด ๕ ความผิดฐานยักยอก

๓๕๖

หมวด ๖ ความผิดฐานรับของโจร

๓๕๗

หมวด ๗ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์

๓๕๘-๓๖๒

หมวด ๘ ความผิดฐานบุกรุก

๓๖๔-๓๖๖

ลักษณะ ๑๓ ความผิดเกี่ยวกับ(5)

๓๖๗/๑-๓๖๗/๖ ภาค ๓ ลหุโทษ ๓๖๘-๓๙๘ ประมวลกฎหมายอาญา ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป

ลักษณะ ๑

บทบัญญัติทั่วไปเกี่ยวกับความผิดทั่วไป

หมวด ๑

บทนิยาม

มาตรา ๑ ในประมวลกฎหมายนี้

(๑)

"โดยทุจริต" หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น

(๒)

"ทางสาธารณะ" หมายความว่า ทางบกหรือทางน้ำสำหรับประชาชนใช้ในการจราจร และให้หมายความรวมถึงทางรถไฟและทางรถรางที่มีสายเด่น สำหรับประชาชนโดยสารด้วย

(๓)

"สถานที่สาธารณะ" หมายความว่า สถานที่ใด ๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้

(๔)

"เคหสถาน" หมายความว่า ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือน โรง เรือน หรือแพ ซึ่งบุคคลอาศัย และให้หมายความรวมถึงบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย จะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม

(๕)

"อาวุธ" หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ใช้หรือเจตนาจะใช้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายหรือทำลายทรัพย์ก็เป็นอาวุธ

(๖)

"ใช้กำลังประทุษร้าย" หมายความว่า ทำการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายหรืออาวุธหรือวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึงการทำให้ตกใจ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ไม่ว่าจะโดยใช้ยาหรือทำให้หมดสติหรือใช้วิธีอื่นใดด้วยก็ตาม

(๗)

"เอกสาร" หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้ทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข ผังหรือแผนแบบอย่างอื่น จะเป็นโดยวิธีพิมพ์หรือวิธีถ่ายภาพหรือวิธีอื่นอันเป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น

(๘)

"เอกสารราชการ" หมายความว่า เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ และให้หมายความรวมถึงสำเนาเอกสารนั้น ๆ ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ด้วย

(๙)

"เอกสารสิทธิ" หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ

(๑๐)

"ลายมือชื่อ" หมายความรวมถึงลายพิมพ์นิ้วมือและเครื่องหมายอื่นที่บุคคลลงไว้แทนลายมือชื่อของตน

(๑๑)

"กลางคืน" หมายความว่า เวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น

(๑๖)

"คุมขัง" หมายความว่า คุมตัว ควบคุม จับ กักขังหรือจำคุก

(๑๗)

"ค่าไถ่" หมายความว่า ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอา หรือให้เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง

(๑๘)

"ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์" หมายความว่า

(ก)

เอกสารหรือข้อมูลอื่นใดในลักษณะอักษรตัวเลขหรือสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสื่อหรือระบบที่ไม่สามารถ โดยปกติทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจความหมายได้โดยการมองเห็นธรรมดา เช่น การมองเห็นกระดาษ ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือสื่ออื่นใดในลักษณะเดียวกัน ทั้งรวมถึงการประมวลผลการจัดการการส่งหรือการรับข้อมูลดังกล่าวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วย รหัส หมายเลขบัตร หรือสัญลักษณ์อื่นใด ทั้งที่สามารถมองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

(ข)

ข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชี หมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องมือทางอัตโนมัติ ใด ๆ ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ โดยมิได้มีการออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดให้ แต่มีวิธีการให้เห็นทางเดียวกับ (ก) หรือ

(ค)

สิ่งอื่นใดที่ใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุบุคคลผู้เป็นเจ้าของ

(๑๙)

[7] "หนังสือเดินทาง" หมายความว่า เอกสารสำคัญประจำตัวไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐออกให้ หรือองค์กรระหว่างประเทศออกให้แก่บุคคลใด เพื่อใช้แสดงในกรณีเดินทางระหว่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงเอกสารที่ใช้แทนหนังสือเดินทางและแบบหนังสือเดินทางที่รัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศออกให้ด้วย

(๒๐)

[8] "เจ้าพนักงาน" หมายความว่า บุคคลซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นเจ้าพนักงานหรือได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ไม่ว่าเป็นประจำหรือครั้งคราว และไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่

(๒๑)

[9] "สื่ออิเล็กทรอนิกส์" หมายความว่า วัตถุหรือสิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็นถึงการกระทำทางเพศของเด็กหรือเด็กซึ่งอยู่ในสภาพไม่เกินสมควร โดยรูป เรื่อง หรือคำอันสามารถสื่อไปในทางลามกอนาจาร ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ เครื่องฉายภาพยนตร์ แบบบันทึกเสียง แบบเทปบันทึกภาพ หรือรูปแบบใดในลักษณะเดียวกัน หรือในลักษณะของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือในลักษณะของอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่สามารถแสดงผลให้เห็นหรือได้ยินได้

(๒๒)

[10] "กระทำชำเรา" หมายความว่า การกระทำ กระทำชำเรา กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศหรือสิ่งอื่นใดกระทำต่ออวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือให้ผู้อื่นกระทำในลักษณะดังกล่าวต่อผู้กระทำหรือบุคคลอื่น

หมวด ๒

การใช้กฎหมายอาญา

มาตรา 2 บุคคลซึ่งต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย

ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ใดกระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้นั้นแล้ว ก็ให้ผลของคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นสิ้นไปด้วย ถ้าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง

มาตรา 3 ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใดเว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้

(ก)

ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษานั้นมากกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง เมื่อมีคำขอของผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้กระทำความผิด ผู้แทนโดยธรรมของผู้เยาว์ ผู้อนุบาลของผู้ที่มีจิตฟั่นเฟือนหรือไม่สมประกอบ ให้ศาลพิจารณาเพื่อมีคำสั่งลดโทษให้ตามบัญญัติในภายหลัง ในกรณีที่ศาลสั่งลดโทษใหม่ให้ปรากฏว่า ผู้กระทำความผิดได้รับโทษมามากแล้ว เมื่อได้มีคำสั่งลดโทษใหม่ให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวผู้กระทำความผิดนั้นไป สมควร ศาลอาจกำหนดโทษน้อยกว่าโทษขั้นต่ำที่กฎหมายบัญญัติในภายหลังกำหนดไว้ก็ได้ หากมีโทษใหม่ หรือกำหนดโทษที่ผู้กระทำความผิดได้รับมาแล้วนั้นเป็นการเพียงพอ ควรปล่อยตัวผู้กระทำความผิดนั้นไป

(ข)

ถ้าศาลพิพากษาให้โทษประหารชีวิตผู้กระทำความผิดแล้วและต่อมาได้มีการบัญญัติในภายหลัง ให้เปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นโทษอย่างอื่น ให้ศาลพิจารณาเพื่อมีคำสั่งลดโทษประหารชีวิตตามคำพิพากษาได้เปลี่ยนเป็นโทษสูงสุดที่ต้องพึงลงได้ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง

มาตรา 4 ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร ต้องรับโทษตามกฎหมาย

การกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ให้ถือว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักร

มาตรา 5 ความผิดใดที่การกระทำหรือผลแห่งส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักร ผมแห่งการกระทำหรือผลแห่งส่วนหนึ่งส่วนใดได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือโดยลักษณะของการกระทำ ผลที่เกิดขึ้นหรือที่จะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หรือผลของการกระทำนั้นที่ได้มุ่งต่อราชอาณาจักร ให้ถือว่าความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร

ในกรณีการกระทำความผิด หรือพยายามกระทำการใดซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แม้แต่การกระทำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือผลแห่งการกระทำส่วนหนึ่งส่วนใดจะได้กระทำหรือล่วงไปนอกเขตราชอาณาจักร ผลแห่งการกระทำส่วนหนึ่งส่วนใดจะได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรหรือมุ่งต่อราชอาณาจักร ให้ถือว่าการกระทำความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา 6 ความผิดใดได้กระทำในราชอาณาจักรหรือพยายามกระทำการใดซึ่งกฎหมายนี้ถือได้กระทำในราชอาณาจักร แต่การกระทำความผิดนั้นได้กระทำโดยผู้ที่อยู่นอกราชอาณาจักร

สนับสนุน หรือของผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้นจะได้กระทำต่อราชอาณาจักร ก็ให้ถือว่า ตัวการ ผู้สนับสนุนหรือผู้ใช้ให้กระทำได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา ๗ ผู้ใดกระทำความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอกพระราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร คือ

(๑)

ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๗ ถึงมาตรา ๑๑๒

(๒)

(ก)[11] ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๕/๑ มาตรา ๑๓๕/๒ มาตรา ๑๓๕/๓ และมาตรา ๑๓๕/๔

(ข)

ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔๐ ถึงมาตรา ๒๔๕ มาตรา ๒๕๐ มาตรา ๒๕๒ มาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๖๖ (๓) และ (๔)

(ค)

ความผิดเกี่ยวกับเพศตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗๖ และมาตรา ๒๘๕

(๓)

ความผิดฐานลักทรัพย์ ฐานวิ่งราวทรัพย์ ฐานชิงทรัพย์ ฐานปล้นทรัพย์ และความผิดฐานรับของโจร ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๓๔ ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง

มาตรา ๘ ผู้ใดกระทำความผิดต่อราชอาณาจักร และ

(ก)

ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่การกระทำผิดได้เกิดขึ้น หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ

(ข)

ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐหรือคนไทยที่เป็นผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้ จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร คือ

(๑)

ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๐ มาตรา ๒๒๑ มาตรา ๒๒๔ ถึงมาตรา ๒๒๗ ทั้งนี้ในกรณีที่เกี่ยวกับมาตรา ๒๒๐ วรรคแรก และมาตรา ๒๒๑ วรรคแรก ให้ถือว่ามาตรา ๒๒๗ มาตรา ๒๒๘ มาตรา ๒๒๙ ถึงมาตรา ๒๓๐ ทั้งนี้เฉพาะแต่ในกรณีเดียวกันตามมาตรา ๒๒๐

(๒)

ความผิดเกี่ยวกับวัตถุอันตราย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๖ มาตรา ๒๒๖/๔ มาตรา ๒๒๖/๕ และ (๒) มาตรา ๒๒๖/๖ ทั้งนี้ในกรณีเดียวกันตามมาตรา ๒๒๖

(๓)

ความผิดเกี่ยวกับวัตถุระเบิดหรืออาวุธเคมี ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๖/๗ ถึงมาตรา ๒๒๖/๑๑

(๔)

ความผิดเกี่ยวกับสินค้าอันตรายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๖/๑๒ ถึงมาตรา ๒๒๖/๑๔ (c) ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗๖ มาตรา ๒๘๐ และมาตรา ๒๘๕ ทั้งนี้เฉพาะที่เกี่ยวกับมาตรา ๒๘๕ (d) ความผิดต่อชีวิต ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ถึงมาตรา ๒๙๐ (e) ความผิดต่อร่างกาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๕ ถึงมาตรา ๒๙๗ (f) ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บหรือคนชรา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๖ ถึงมาตรา ๓๐๗ (g) ความผิดต่อเสรีภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๙ มาตรา ๓๑๐ มาตรา ๓๑๒ ถึงมาตรา ๓๑๔ และมาตรา ๓๑๗ ถึงมาตรา ๓๒๐ (h) ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๓๔ ถึงมาตรา ๓๓๕ (i) ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๓๗ ถึงมาตรา ๓๔๐ (10) ความผิดฐานฉ้อโกง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๔๑ ถึงมาตรา ๓๔๔ มาตรา ๓๔๗ และมาตรา ๓๕๗ (11) ความผิดฐานยักยอก ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๕๒ ถึงมาตรา ๓๕๕ (12) ความผิดฐานรับของโจร ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๕๗ (13) ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๕๘ ถึงมาตรา ๓๖๐

มาตรา ๙ เจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๔๗ ถึงมาตรา ๓๕๕ และมาตรา ๓๖๐ ถึงมาตรา ๒๐๔ นอกจากราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร

มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทำการนอกราชอาณาจักรซึ่งเป็นความผิดตามมาตราต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา ๘ (๒) และ (๓) มาตรา ๙ และมาตรา ๗ ศาลมีอำนาจที่จะลงโทษผู้นั้นในราชอาณาจักรเพราะการกระทำนั้นก็ได้ ถ้า

(a) ได้มีคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศถึงที่สุดให้ปล่อยผู้กระทำผิดนั้น หรือ (b) ศาลในต่างประเทศพิพากษาให้ลงโทษผู้นั้นแล้ว ถ้าผู้กระทำผิดนั้นได้ถูกลงโทษในต่างประเทศแล้ว ศาลในราชอาณาจักรจะลงโทษผู้นั้นอีกก็ได้ แต่เมื่อรวมกับโทษที่ได้ลงในต่างประเทศแล้วจะต้องไม่เกินโทษสูงสุดที่กฎหมายไทยกำหนดไว้ หรือจะไม่ลงโทษเขาก็ได้ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความยุติธรรมแล้ว

มาตรา ๑๑ ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร หรือกระทำความผิดซึ่งประมวลกฎหมายนี้กำหนดว่าได้กระทำในราชอาณาจักร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการกระทำ

เนื้อหาภาพ에서 텍스트를 추출한 결과는 다음과 같습니다: นั้นตามคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศผสมแล้วทั้งหมด หรือแต่บางส่วน ศาลจะลงโทษ น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงโทษที่ผู้นั้นได้รับมาแล้ว ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในราชอาณาจักร หรือกระทำความผิดที่ ประมวลกฎหมายนี้บัญญัติว่าให้กระทำในราชอาณาจักรได้ถูกฟ้องต่อศาลในต่างประเทศโดย รัฐบาลไทยร้องขอ ห้ามมิให้ลงโทษผู้นั้นในราชอาณาจักรเพราะการกระทำนั้นอีก ถ้า

(ก)

ได้สลักพิกากษาของศาลในต่างประเทศอันถึงที่สุดให้ปล่อยตัวผู้นั้น หรือ

(ข)

ศาลในต่างประเทศพิกากาให้ลงโทษ และผู้พ้นโทษนั้นได้พ้นโทษแล้ว

มาตรา ๑๒ วิธีการเพื่อความปลอดภัยจะใช้บังคับแก่บุคคลใดได้ก็ต่อเมื่อ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ใช้บังคับได้เท่านั้น และกฎหมายที่จะใช้บังคับนั้นให้ใช้กฎหมาย ในขณะที่ศาลพิกากา

มาตรา ๑๓ ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติไว้ในภายหลังได้มีการ ยกเลิกวิธีการเพื่อความปลอดภัยใด และศาลที่ได้ถูกใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นอยู่ ก็ให้ศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ ตามความร้ายแรง ของการกระทำ ความประพฤติของผู้ถูกใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นในระหว่างที่ถูกใช้บังคับ วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้น และพฤติการณ์อื่นอันสมควร

มาตรา ๑๔ ในกรณีที่ศาลพิกากาให้ใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยโดยผู้ใด อยู่ ก็ให้ศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่า จะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อ ความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะ เพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความ ปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และ ศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอน วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัย นั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณา ว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อ ความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอน วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัย นั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณา ว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อ ความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอน วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัย นั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณา ว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อ ความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอน วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัย นั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณา ว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อ ความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอน วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัย นั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณา ว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อ ความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอน วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัย นั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณา ว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อ ความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอน วิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัย นั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณา ว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อ ความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่ และศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนวิธีการเพื่อความปลอดภัยนั้นหรือไม่

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ของผู้นั้น ผู้นำชุมชนของผู้นั้นหรือพนักงานอื่นอาการว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับการใช้บังคับนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ศาลจะสั่งพักถอนหรืองดการใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้นั้นไว้ชั่วคราวตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา ๑๗๐๗ นายกฎบัตรในมาตรา ๑ แห่งพระราชกฤษฎีกานี้ ให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดตามกฎหมายอันมีโทษ จำคุกตลอดชีวิต หรือใช้บังคับอยู่ในวันอย่างอื่น

หมวด ๓

โทษและวิธีการเพื่อความปลอดภัย

ส่วนที่ ๑

โทษ

มาตรา ๑๘๘ โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้

(๑)

ประหารชีวิต

(๒)

จำคุก

(๓)

กักขัง

(๔)

ปรับ

(๕)

ริบทรัพย์สิน โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้กระทำความผิดในขณะมีอายุเก้าสิบกว่าปีขึ้นไป ในกรณีผู้กระทำความผิดในขณะมีอายุเก้าสิบกว่าปีลงไปได้กระทำความผิดที่ระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่า ระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี

มาตรา ๑๘๙ ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต ให้ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย

หลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิต ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๒๐ บรรดาความผิดที่กฎหมายกำหนดให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับนั้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะลงโทษจำคุกก็ได้

มาตรา ๒๑ ในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษปรับ ให้ระบุจำนวนค่าปรับในคำพิพากษาด้วย และให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้น

ถ้าผู้กระทำความผิดไม่ชำระค่าปรับภายในเดือน ให้บังคับค่าปรับนั้นแทนหนึ่งเดือน ถ้ากำหนดเป็นปี ให้บังคับค่าปรับแทนหนึ่งปี เมื่อผู้ต้องคำพิพากษาจำคุกครบกำหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวในวันถัดจากวันที่ครบกำหนด

มาตรา 26 โทษจำคุก ให้เริ่มแต่วันที่มีคำพิพากษา แต่ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังด้วยเหตุคำพิพากษา ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา เว้นแต่คำพิพากษานั้นจะกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น

ในกรณีที่คำพิพากษากล่าวไว้เป็นอย่างอื่น โทษจำคุกตามคำพิพากษาเมื่อรวมจำนวนวันที่ถูกคุมขังตามคำพิพากษาในคดีอื่นนั้นแล้วด้วย ต้องไม่เกินอัตราโทษสูงสุดของกฎหมายที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่ได้กระทำลงนั้น ทั้งนี้ ไม่เป็นการกระทบกระเทือนกับบทบัญญัติมาตรา 77

มาตรา 27 ผู้ใดกระทำความผิดต้องโทษจำคุก และในคดีนั้นศาลลงโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นเคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ศาลจะพิพากษาให้ลงโทษกักขังไม่เกินสามเดือนแทนโทษจำคุกก็ได้

มาตรา 28 ผู้ต้องโทษกักขัง ให้กักขังไว้ในสถานที่ที่กำหนดไว้ อันมิใช่เรือนจำ สถานที่ดังกล่าว หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน(18)

ถ้าสถานที่เป็นการสมควร อาจสั่งกักขังผู้ต้องโทษกักขังไว้ที่บ้านของผู้ต้องโทษนั้นเอง หรือของผู้อื่นซึ่งยินยอมรับผู้ต้องโทษนั้นไว้ หรือสถานที่อื่นที่อาจทำได้ เพื่อให้เหมาะสมกับประเภทหรือสภาพของผู้ต้องโทษนั้น ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่า การกักขังผู้ต้องโทษกักขังไว้ในสถานที่ที่กำหนดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง อาจทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ต้องโทษกักขัง หรือทำให้ผู้ต้องโทษกักขังนั้นหลบหนีได้ง่าย หรือทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ศาลจะสั่งให้กักขังผู้ต้องโทษกักขังไว้ในเรือนจำก็ได้ แต่ต้องให้แยกต่างหากจากผู้ต้องขังอื่น และต้องจัดให้ผู้ต้องโทษกักขังนั้นได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมกับฐานะของผู้ต้องโทษกักขัง ในกรณีที่ศาลสั่งให้กักขังผู้ต้องโทษกักขังไว้ในเรือนจำตามวรรคสาม ให้ศาลสั่งเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ซึ่งผู้ต้องโทษกักขังเคยถูกกักขังอยู่เดิม และให้เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลและให้คำสั่งผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา(19)

มาตรา 29 ผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่ที่กำหนด จะได้รับการเยี่ยมจากสถานที่นั้น แต่ภายใต้อำนาจของสถานที่ผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิที่จะรับการรักษาพยาบาลโดยให้ถือหลักเกณฑ์ของเรือนจำ ใช้สิทธิเลือกตั้ง ได้รับการเยี่ยมอย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมง และรับและส่งจดหมายได้

ผู้ต้องโทษกักขังจะต้องทำตามระเบียบ ข้อบังคับและข้อ กำหนดโทษกักขังของสถานที่ที่กำหนดนั้นด้วย ถ้าผู้ต้องโทษกักขังไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับหรือข้อกำหนดดังกล่าว ให้เจ้าพนักงานผู้ควบคุมดูแลมีอำนาจลงโทษผู้ต้องโทษกักขังได้ แต่ต้องไม่ใช่ด้วยการลงโทษทางร่างกาย

มาตรา 30 ถ้าผู้ต้องโทษกักขังซึ่งต้องโทษกักขังตามมาตรา 27 ได้รับโทษกักขังอยู่ตามวรรคสามของมาตรา 28 หรือปรากฏแก่ศาลตามคำแถลงของพนักงานอัยการ

혹은 사용자 요청에 따라 OCR된 텍스트를 제공할 수 있습니다: หรือผู้ควบคุมดูแลสถานที่ที่ขังว่า

(๑)

ผู้ต้องโทษทำขังฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับ หรือวินัยของสถานที่ที่ขัง

(๒)

ผู้ต้องโทษทำขังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด หรือ

(๓)

ผู้ต้องโทษทำขังต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก ศาลอาจเปลี่ยนโทษทำขังเป็นโทษจำคุกก็ได้ตามแต่สถานที่ที่ขังเห็นสมควร แต่ต้องไม่นานเกินกว่าระยะเวลาที่ผู้ต้องโทษซึ่งต้องโทษทำขังต้องโทษทำขังต่อไปอีกเท่าใด ผู้ต้องโทษทำขังนั้นต้องชำระค่าทำขังตามที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาอย่างต่อคล

มาตรา ๒๗[๒๑] ผู้ต้องโทษปรับและไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดทรัพย์สินหรืออสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับนั้นจะตกเป็นค่าปรับ แต่ถ้าค่าปรับที่ต้องชำระมีจำนวนที่เห็นว่าเหมาะสมไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประเมินหรือสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีได้

ความในวรรคสองของมาตรา ๒๖ มิให้นำมาใช้บังคับแก่การทำขังแทนค่าปรับ ปรับ

มาตรา ๒๗/๑[๒๒] ในกรณีที่ผู้ต้องโทษปรับไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง ให้พนักงานอัยการออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับ

ในกรณีที่มีการยึดทรัพย์สิน ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีโดยยึด โดยให้เจ้าพนักงานคลังที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานอัยการเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการบังคับคดีและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่ถือทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับและขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจากพนักงานอัยการ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐยึดกฎหมายธรรมเนียมซึ่งต้องใช้ช่วยจากผู้ดำเนินการบังคับคดี การตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับโดยพนักงานอัยการเพื่อการบังคับคดีตามการตรวจสอบ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของอัยการสูงสุด บทบัญญัติมาตรานี้ให้กระทำต่อการที่ศาลจะมีคำสั่งตามมาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง

มาตรา ๓๐[๒๓] ในกรณีที่ผู้ต้องโทษปรับไม่ชำระค่าปรับ ให้ถือว่าผู้ต้องโทษปรับนั้นได้ชำระค่าปรับแล้วในจำนวนเงินที่เท่ากับจำนวนเงินค่าปรับที่ได้ชำระไปแล้วหรือเท่ากับจำนวนเงินค่าปรับที่ได้ชำระไปแล้วในกรณีที่มีการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้ต้องโทษปรับ

ในการคำนวณระยะเวลาทำขัง ให้วันเริ่มทำขังนับรวมวันด้วยและให้เป็นไปเพื่อให้เสร็จโดยใช้เวลาต่อเนื่องกันจนชั่วโมง ในกรณีที่ผู้ต้องโทษปรับถูกคุมขังชั่วคราวคลายพิษทาง ให้เจ้าพนักงานผู้คุมขังนั้นออกจากการคุมขังชั่วคราว โดยต้องมีคำหรือคำสั่งจากพนักงานอัยการ หรือคำพิพากษาให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับ ในกรณีเช่นนี้ หากต้องคุมขังชั่วคราวนั้นผู้ต้องโทษออกจากการจำคุกตามมาตรา 26 ก็ให้พิจารณาเสียก่อนเพื่อดำเนินการให้พ้นจากเงินค่าปรับ เมื่อผู้ต้องโทษปรับถูกคุมขังแทนค่าปรับครบกำหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวในวันต้องจากนั้นที่ครบกำหนด ถ้าหนี้เงินค่าปรับที่จำจะครบแล้ว ให้พิจารณาให้พ้นจากเงินค่าปรับตามมาตรา 26/1 โดยให้ผู้ต้องโทษปรับที่ถูกคุมขังแทนค่าปรับนั้นมีสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ และไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยหรือสิทธิอื่นใดจากการที่ถูกคุมขังแทนค่าปรับนั้น การจัดจดคำร้องตามวรรคแรก เมื่อศาลได้พิจารณาเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องโทษปรับนั้นมีลักษณะเป็นการกระทำที่เป็นประโยชน์แก่สังคม หรือการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องโทษปรับนั้นทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับก็ได้ การดำเนินการตามวรรคแรก ให้พิจารณาถึงเพศ อายุ ประวัติ การนับถือศาสนา ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษา อาชีพ สุขภาพ การแสดงถึงความสำนึกผิดหรือการสำนึกของผู้ต้องโทษปรับประกอบด้วย และควรจะกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้ต้องโทษปรับปฏิบัติเพื่อแก้ไขฟื้นฟูหรือป้องกันมิให้ผู้ต้องโทษกระทำความผิดซ้ำอีกก็ได้ ถ้าการพิจารณาคำร้องตามวรรคแรกเกี่ยวกับการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ของผู้ต้องโทษปรับได้เปลี่ยนแปลงไป ศาลอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่กำหนดไว้ในคำสั่งได้ ในการกำหนดระยะเวลาการทำงานแทนค่าปรับตามวรรคแรก ให้เทียบกับจำนวนเงินค่าปรับ 300 บาท ให้เป็นหนึ่งวันโดยปัดเศษ และในกรณีที่ศาลได้กำหนดให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ ศาลจะต้องกำหนดระยะเวลาการทำงานให้เหมาะสมกับลักษณะของงานนั้นด้วย เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรานี้ ให้กระทรวงยุติธรรมจัดให้มีหน่วยงานหรือองค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ สำหรับผู้ต้องโทษปรับที่ศาลมีคำสั่งให้ทำงานดังกล่าว และเสนอรายงานให้ศาลทราบตามสมควร

มาตรา 70/2 ถ้าผลของคำสั่งดังกล่าวมีข้อมูลที่ขัดแย้งกับมาตรา 70/1 แล้วความขัดแย้งนั้นจะต้องพิจารณาแก้ไขตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่กำหนดให้เจ้าพนักงานต้องดูแล

โทษปรับเงินซึ่งจะนำมาปรับได้ในเวลาที่มีคำร้องตามมาตรา ๖๐/๑ หรือคำสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเมื่อมีเหตุที่ศาลกำหนด ศาลอาจพิจารณาคำสั่งอนุญาตดังกล่าวและปรับหรือกำหนดแนวทางปรับ โดยให้เจ้าหน้าที่ทำงานแลกออกจากจำนวนเงินค่าปรับได้ ในระหว่างการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับหากผู้ต้องโทษไม่ประสงค์จะทำงานดังกล่าวต่อไป อาจขอเปลี่ยนเป็นโทษปรับเงินหรือโทษจำคุกแทนได้โดยให้ศาลพิจารณาคำสั่งอนุญาตดังกล่าวหรือ โดยให้เจ้าหน้าที่ทำงานแลกออกจากจำนวนเงินค่าปรับ

มาตรา ๖๐/๒๗ คำสั่งศาลตามมาตรา ๖๐/๑ และมาตรา ๖๐/๒ ให้เป็นที่สุด

มาตรา ๓๑ ในกรณีที่ศาลจะพิพากษาให้ปรับผู้กระทำความผิดหลายคนในความผิดเดียวกัน ในกรณีเดียวกันให้ศาลลงโทษปรับเรียงตามรายตัวบุคคล

มาตรา ๓๒ ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทรัพย์หรือได้รับความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิด และมิใช่ผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่

มาตรา ๓๓ ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีคำสั่งตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลสั่งริบเฉพาะทรัพย์สินต่อไปนี้อีกด้วย คือ

(๑)

ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือ

(๒)

ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้โดยใช้ในการกระทำความผิด หรือ

(๓)

ทรัพย์สินซึ่งเป็นสิ่งตอบแทนในการกระทำความผิด หรือ

(๔)

ทรัพย์สินซึ่งเป็นสิ่งตอบแทนในการกระทำความผิด หรือ

(๕)

ทรัพย์สินซึ่งเป็นสิ่งตอบแทนในการกระทำความผิด หรือ

มาตรา ๓๔ บรรดาทรัพย์สิน

(๑)

ซึ่งได้ให้ตามความในมาตรา ๑๓๓ มาตรา ๑๔๔ มาตรา ๑๔๕ มาตรา ๑๕๐ มาตรา ๑๖๑ มาตรา ๒๐๙ หรือมาตรา ๒๑๐ หรือ

(๒)

ซึ่งได้เพื่อจูงใจบุคคลให้กระทำความผิด หรือเพื่อเป็นรางวัลในการที่บุคคลได้กระทำความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้ซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด

มาตรา ๓๕ ทรัพย์สินซึ่งศาลพิพากษาให้ริบให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ศาลจะพิพากษาให้ทรัพย์สินนั้นทำลายหรือจัดการทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้

มาตรา ๓๖ ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา ๓๓ หรือมาตรา ๓๔ ในส่วน หากปรากฏในภายหลังว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้ซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือเป็นของผู้ซึ่งได้มาโดยสุจริต ศาลจะพิพากษาให้คืนทรัพย์สินนั้นแก่เจ้าของหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินนั้นก็ได้ แต่ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายหรือโอนไปแล้วหรือได้ใช้ไปแล้ว ให้คืนเงินหรือทรัพย์สินอื่นแทนทรัพย์สินนั้นในส่วนที่ยังคงอยู่ในขณะนั้นจากเจ้าของหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินนั้นต่อไป

มาตรา ๕๗ ถ้าผู้ที่ศาลสั่งให้ส่งทรัพย์สินซึ่งรับไม่ส่งภายในเวลาที่ศาลกำหนด ให้ศาลมีอำนาจสั่งต่อไปนี้

(๑)

ให้ยึดทรัพย์สินนั้น

(๒)

ให้ขายทรัพย์สินหรือสิ่งอื่นของผู้ชั้นนั้นเพื่อชำระความเสียหาย หรือ

(๓)

ในกรณีที่ศาลเห็นว่า ผู้ชั้นของทรัพย์สินดังกล่าวไม่มีให้ยึด ไม่มีให้ขาย หรือชำระจากทรัพย์สินอื่นได้ แต่ไม่ชำระ ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งปี แต่ถ้าการกระทำดังกล่าวเกิดความเสียหาย หรือโดยคำสั่งศาลของผู้ชั้นนั้น ผู้ชั้นไม่สามารถส่งทรัพย์สินดังกล่าวได้ ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๕๘ โทษให้เป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำความผิด

ส่วนที่ ๒

วิธีการเพื่อความปลอดภัย

มาตรา ๕๙ วิธีการเพื่อความปลอดภัย มีดังนี้

(๑)

กักกัน

(๒)

ห้ามเข้าเขตกำหนด

(๓)

เรียกประกันตัวหรือกันชน

(๔)

คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล

(๕)

ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง

มาตรา ๖๐ กักกัน คือ การควบคุมผู้กระทำความผิดอันตรายไว้ภายในเขตกำหนด เพื่อป้องกันการกระทำความผิดอันตรายต่อผู้อื่น และเพื่อฝึกหัดอาชีพ

มาตรา ๖๑ ผู้ใดเคยถูกศาลพิพากษาให้กักกันแล้วหรือเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกเดือนมาแล้วไม่ต้องว่าละล่วงครั้งในความผิดดังต่อไปนี้ คือ

(๑)

ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๕ ถึงมาตรา ๒๙๖

(๒)

ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๗ ถึงมาตรา ๓๐๔

(๓)

ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔๐ ถึงมาตรา ๒๔๖

(๔)

ความผิดเกี่ยวกับไปรษณีย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖๐ ถึงมาตรา ๒๖๒ ``` (5) ความผิดต่อชีวิต ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 288 ถึงมาตรา 290 มาตรา 292 ถึงมาตรา 294 (6) ความผิดต่อร่างกาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 295 ถึงมาตรา 298 (7) ความผิดต่อเสรีภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 309 ถึงมาตรา 312 (8) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 340 มาตรา 357 และมาตรา 358 และภายในเวลาสิบปี นับแต่วันที่ผู้กระทำผิดพ้นจากการกักกัน หรือพ้นโทษแล้วแต่กรณี ผู้นั้นได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดในกรณีที่ระบุให้ถือว่าอาจพิจารณาโทษกักกันไม่ว่ากรณีหนึ่งกรณีใดสำหรับการกระทำความผิดนั้น ศาลอาจสั่งให้ผู้นั้นต้องระวางโทษกักกันต่อไป และจะพิจารณาให้กักกันกำหนดเวลาไม่เกินกว่าสิบปี และไม่น้อยกว่าห้าปีได้ ความผิดซึ่งผู้กระทำได้กระทำในขณะหรือที่สมควรเชื่อว่ากำลังเป็นบ้าหรือมีเหตุเป็นความผิดที่อาจนำมาพิจารณากักกันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 28

มาตรา 31 ในการกำหนดระยะเวลากักกัน ให้บันทึกสภาพจิตภาพเป็นวันเริ่มกักกัน แต่ต้องไม่น้อยกว่าห้าปี ทั้งนี้ ผู้ซึ่งต้องกักกันนั้นจะต้องรับอยู่ให้ทุกข์ทรมานหรือเสียอนามัยและให้บันทึกระยะเวลากักกันนั้นไว้ในคำพิพากษา

ระยะเวลากักกัน และการปล่อยตัวผู้ถูกกักกัน ให้กำหนดบัญญัติมาตรา 22 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 43 การฟ้องขอให้กักกันนั้นอำนาจของพนักงานอัยการโดยเฉพาะ และจะขอรวมกันไปในฟ้องคดีอื่นเป็นมูลให้เกิดอำนาจฟ้องขอให้กักกันหรือจะฟ้องภายหลังก็ได้

มาตรา 44 ห้ามเข้าเขตกักกันหมด คือการห้ามมิให้เข้าไปในท้องที่ หรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา

มาตรา 45 เมื่อศาลพิพากษาให้ลงโทษผู้ใด และคดีเห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ไม่ว่าจะมีคำขอหรือไม่ ศาลอาจสั่งในคำพิพากษานั้นผู้นั้นให้พ้นจากเขตกักกันหมด ห้ามมิให้เข้าไปในเขตกักกันที่ศาลกำหนดเป็นเวลาไม่เกินห้าปี

มาตรา 46 ความปรากฏแก่ศาลตามข้อเสนอของพนักงานอัยการว่าผู้ใดจะก่อเหตุร้ายให้เกิดการเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น หรือของสาธารณะ ให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรงหรือเป็นอันตรายแก่ความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน และผู้นั้นมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าจะกระทำการดังกล่าว ศาลอาจสั่งให้ผู้นั้นต้องอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานตามระยะเวลาที่ศาลกำหนดแต่ไม่เกินหนึ่งปี และจะต่อให้ไม่เกินครั้งละหนึ่งปีได้

``` ถ้าผู้นั้นไม่ยอมทำหนังสือสัญญาประกันไม่ได้ ให้ศาลมีอำนาจสั่งกักขังผู้นั้นจนกว่าจะทำหนังสือสัญญาประกันได้ แต่ไม่ให้กักขังเกินกว่าหนึ่งเดือน หรือจะสั่งห้ามผู้นั้นเข้าในเขตตำบลตามมาตรา ๕๕ ก็ได้ การกระทำของผู้ซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีให้อยู่ในบังคับแห่งบัญญัติตามมาตรานี้

มาตรา ๖๗ ถ้าผู้ทำหนังสือสัญญาประกันตามความในมาตรา ๖๖ กระทำผิดหนังสือสัญญาประกันอย่างใดอย่างหนึ่งหรือมิได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้ในหนังสือสัญญาประกัน ผู้นั้นจะไม่ต้องรับผิดในความเสียหายตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๐ มาใช้บังคับ

มาตรา ๖๘ ศาลอาจสั่งให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย โรคติดต่อหรือคนพิการ ซึ่งไม่ต้องรับโทษหรือได้รับการลดโทษตามมาตรา ๓๒ จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน ศาลอาจสั่งให้ส่งไปอยู่ในสถานพยาบาลก็ได้ และคำสั่งศาลจะเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้

มาตรา ๖๙ ในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก หรือพิพากษาว่ามีความผิดแต่รอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษบุคคลใด ถ้าศาลเห็นว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดเกี่ยวกับอันธพาลหรือสุรุ่ยสุร่ายมั่วสุม หรือการเป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษ ศาลอาจกำหนดให้ผู้นั้นทำการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ หรือการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพนั้นต่อไปจนจะระทำหรือสิ้นสุดอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษา

มาตรา 64 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่ชอบด้วยกฎหมาย ให้คำนึงกำหนดโทษที่ระงับแล้วและเปลี่ยนแปลงแล้ว จึงเพิ่มหรือลด ถ้ามีการเพิ่มและการลดโทษที่รวม ให้เพิ่มก่อนแล้วจึงลดจากผลที่เพิ่มแล้วนั้น ส่วนของการเพิ่มเท่ากับหรือน้อยกว่าส่วนของการลด และผลที่เพิ่มผลควรจะไม่มีผลไม่ได้

มาตรา 65 ถ้าโทษจำคุกที่ศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยนั้นจำกัดด้วยเหตุผลพิเศษ ศาลอาจเปลี่ยนโทษจำคุกให้จำเลยนั้นเป็นโทษที่เหมาะสมตามที่ศาลเห็นสมควร โดยคำนึงถึงความผิดของจำเลย การกระทำความผิดของจำเลยนั้นหนักหนาเพียงใด และเหตุผลพิเศษที่ศาลเห็นสมควรจะเปลี่ยนโทษจำคุกให้เหมาะสมตามที่ศาลเห็นสมควรนั้น

มาตรา 66 [53] ผู้ใดกระทำความผิดจะมีโทษจำคุกหรือปรับ และในกรณีที่ศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินหกปีไม่ว่าจะลงโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือลงโทษปรับ ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น

(ก)

ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือ

(ข)

เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ

(ค)

เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษจำคุกมาแล้วเกินกว่านั้น แล้วมาตราพิจารณาคดี โดยความผิดในครั้งหลังเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และเมื่อศาลได้สั่งแก้ไขหรือจำคุก ประจำตัว ควบประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ การแพ้สิ่งเสพติด นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้กระทำความผิด การรู้สึกสำนึกผิดของผู้กระทำความผิด และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดนั้นแล้ว ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษหรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ไม่ว่าจะเป็นโทษจำคุกหรือปรับอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่าง เพื่อให้โอกาสกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนดแต่ต้องไม่เกินห้าปีเว้นแต่กรณีเป็นผู้ที่ศาลพิพากษาโดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิดด้วยหรือไม่ก็ได้ เงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิดตามมาตราหนึ่ง ศาลอาจกำหนดข้อเดียวหรือหลายข้อจากมาตราหนึ่งได้ ดังต่อไปนี้

(ก)

ให้ไปปรากฏตัวต่อเจ้าพนักงานที่ศาลระบุไว้เป็นครั้งคราว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้สอบถาม แนะนำ และช่วยเหลือ หรือกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติและการประกอบอาชีพ หรือข้อให้เจ้าพนักงานตรวจการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำประการหนึ่ง

(ข)

ให้ทำหรือห้ามทำอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างดังระบุ

(ค)

ให้ละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประกอบอาชีพหรือการกระทำใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก

(ง)

ให้ไปบำเพ็ญประโยชน์การชดใช้การเสียหายให้แก่ผู้เสียหายหรือให้โทษ ความร้ายแรงร่วมจากการกระทำ หรือความเจ็บป่วยอย่างอื่น ณ สถานที่และตามระยะเวลาที่ศาลกำหนด

(จ)

ให้เข้ารับการศึกษาอบรม ณ สถานที่และตามระยะเวลาที่ศาลกำหนด (9) ห้ามออกนอกสถานที่ที่อยู่อาศัย หรือห้ามเข้าในสถานที่ใดในระหว่างเวลาที่ศาลกำหนด ทั้งนี้ จะใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถใช้ตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางด้วยก็ได้ (10) ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเยียวยาความเสียหายโดยวิธีอื่นให้แก่ผู้เสียหายตามที่ผู้กระทำความผิดและผู้เสียหายตกลงกัน (11) ให้แก้ไขฟื้นฟูหรือเยียวยาความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม หรือชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการดังกล่าว (12) ให้ทำหน้าที่บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามที่ศาลเห็นสมควร ทั้งนี้ ศาลจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้กระทำความผิดต้องปฏิบัติตามในระหว่างที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวหรือในระหว่างที่ได้รับการรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษก็ได้

มาตรา 47 เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือพนักงานอัยการ ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 45 ว่าผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้ได้รับการรอการกำหนดโทษมิได้ชำระค่าปรับที่ได้กระทำโดยประมาทหรือกระทำโดยความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกหรือกักขังแทน ให้ศาลที่พิพากษาคดีสั่งคำพิพากษาให้พ้นจากการรอการกำหนดโทษ และให้ลงโทษจำคุกหรือกักขัง หรือปรับ หรือการลงโทษที่รอการกำหนดโทษในคดีนั้นเข้าแทนโทษเดิมดังกล่าว แล้วแต่กรณี

หมวด 4 ความรับผิดในทางอาญา

มาตรา 49 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท

กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่เจตนา กระทำโดยเจตนา ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่จะกระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้ กระทำโดยประมาท ได้แก่การทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะพึงมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอย่างอื่นขึ้นโดยมิต้องเป็นการที่ตัวเองกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

มาตรา 59 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่บุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้นเพราะฐานะของบุคคล หรือสถานที่ของการกระทำ ให้ลงโทษผู้กระทำโดยฐานะของบุคคลหรือสถานที่ของการกระทำที่ผู้กระทำตั้งใจให้เกิดขึ้น

มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดบุคคล ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลที่ได้รับผลร้ายได้ไม่ต่าง

มาตรา 61 ข้อเท็จจริงใด มีอยู่จริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคสาม ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำรับผิดชอบการกระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษเฉพาะการกระทำที่ผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำโดยประมาท

บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น

มาตรา 62 ถ้าผลของการกระทำความผิดมิได้เป็นไปตามที่ผู้กระทำตั้งใจไว้ แต่ได้เกิดผลร้ายขึ้นโดยมิได้คาดหมาย ผู้กระทำจะต้องรับโทษสำหรับผลร้ายที่เกิดขึ้นนั้นด้วย ถ้าผลร้ายที่เกิดขึ้นนั้นมิได้เป็นผลที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับการกระทำความผิดนั้นโดยเฉพาะ

มาตรา ๖๕ ผู้ใดกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น

แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ศาลจะลงโทษผู้นั้นสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา ๖๖ ความมึนเมาเพราะสุราหรือสิ่งเมาอย่างอื่นซึ่งผู้กระทำความผิดเสพเข้าไปโดยไม่สมัครใจจนถึงขาดสติสัมปชัญญะ ไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ ผู้กระทำความผิดจะได้รับยกเว้นโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา ๖๗ ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็น

(๑)

เพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ

(๒)

เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภัยอันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้ เมื่อภัยอันตรายนั้นมิได้เกิดขึ้นจากการกระทำผิดของตน ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา ๖๘ ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่น ให้พ้นภัยอันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และภัยอันตรายนั้นใกล้จะถึง ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา ๖๙ ในกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๗ และมาตรา ๖๘ นั้น ถ้าผู้กระทำได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินขอบเขตของความจำเป็นแห่งกรณีแห่งการที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกัน ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ แต่ถ้าการกระทำเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินขอบเขตของความจำเป็นนั้น ความผิดใด หรือความเสียหายใด ศาลจะไม่ลงโทษสำหรับความผิดนั้น

มาตรา ๗๐ ผู้ใดกระทำการตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน แม้คำสั่งนั้นจะมิชอบด้วยกฎหมาย ถ้าผู้กระทำเชื่อโดยสุจริตว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา ๗๑ ผู้ใดกระทำความผิดเนื่องจากการที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้กระทำการเช่นนั้น ผู้บังคับบัญชานั้นจะต้องรับผิดในความผิดที่ได้กระทำไปนั้นด้วย แต่ถ้าผู้กระทำเชื่อโดยสุจริตว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด

ความผิดอันเกิดจากการกระทำของผู้ซึ่งไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ในขณะกระทำความผิดนั้น จะต้องเป็นความผิดที่ผู้กระทำกระทำลงโดยเจตนา แม้ผู้กระทำจะไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นก็ตาม แต่ถ้าผู้กระทำกระทำความผิดโดยประมาท ผู้กระทำจะต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น และนอกจากนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา ๗๖ ผู้ใดบังคับหรือโดยทุจริตทำให้ผู้อื่นกระทำหรือยินยอมด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้เยาว์ในความผิดนั้น ศาลอาจลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา ๗๗(35) เด็กอายุยังไม่เกินสิบสองปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่มีความรับผิด(36)

ให้พนักงานสอบสวนส่งตัวเด็กตามควรแก่กรณีให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก เพื่อดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

มาตรา ๗๘(37) เด็กอายุเกินสิบสองปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่มีความรับผิด แต่ให้ศาลสั่งดำเนินการ ดังต่อไปนี้

(ก)

ว่ากล่าวตักเตือนเด็กนั้นแล้วปล่อยตัวไป และถ้าศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาว่ากล่าวตักเตือนด้วยก็ได้

(ข)

กำหนดเงื่อนไขว่า บิดา มารดา หรือผู้ปกครองตามควรดูแลเด็กนั้นให้ศาลจะสั่งให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองไปปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้น โดยการยื่นคำขอให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองรับข้อกำหนดคำสั่งของศาลที่บังคับใช้ได้สำหรับบิดา มารดา หรือผู้ปกครองดังกล่าวภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ในคำสั่งนั้น หากบุคคลดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ให้ศาลลงโทษบุคคลนั้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๐๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา

(ค)

ส่งตัวเด็กนั้นไปยังสถานศึกษา หรือสถานฝึกและอบรม หรือสถานแนะนำทางจิต หรือสถานที่ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อฝึกและอบรมเด็ก ตลอดระยะเวลาที่ศาลกำหนด แต่ไม่ให้เกินกว่าที่เด็กนั้นจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ในกรณีที่ศาลลงมือดำเนินการดังที่ได้เห็นบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ อาศัย (ข) ศาลจะกำหนดเงื่อนไขของบุคคลตามที่เห็นสมควรเพื่อให้เด็กนั้นอยู่ในความควบคุมของบุคคลนั้นก็ได้ ในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่มีบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ดูแลเด็กได้ หรือในกรณีที่บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง หรือบุคคลดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง (ข) ศาลจะสั่งให้บุคคลตามที่ศาลเห็นสมควรรับเด็กนั้นไปอยู่ในความควบคุมของบุคคลนั้นก็ได้ โดยกำหนดเงื่อนไขของบุคคลดังกล่าวตามที่ศาลเห็นสมควรด้วยก็ได้ หรือศาลจะสั่งให้เด็กนั้นอยู่ในความดูแลขององค์กรที่มีหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก อบรม และส่งเสริม รวมถึงการจัดการ กำหนดที่อยู่และการจัดให้เด็กมีงานทำความสมควรหรือให้ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นก็ได้ คำสั่งของศาลดังกล่าวใน (ข) (3) วรรคสอง และวรรคสามนั้น ถ้าในขณะใดภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ ความปรากฏแก่ศาลโดยคำร้องหรือคำเสนอของผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานอัยการ หรือบุคคลหรือองค์กรที่ศาลสั่งให้ติดตามเด็กและส่งเสริม หรือเจ้าพนักงานพนักงานพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชนว่าเด็กได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเปลี่ยนแปลงไปหรือกลับไปกระทำผิดซ้ำอีกในลักษณะเดิมหรือมีลักษณะใหม่กล่าวมาในมาตรานี้

มาตรา 77 ผู้ใดอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีแต่ยังไม่เกินสิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ถ้าศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้

มาตรา 81 ในกรณีที่ศาลสั่งการลงโทษให้กับเด็กและเยาวชน ผู้ปกครองหรือบุคคลที่เด็กและเยาวชนอยู่ด้วยหรืออยู่ในความดูแลต้องรับผิดชอบในการกระทำผิด (ข) ถ้าเด็กนั้นทำผิดซ้ำซากหรือกระทำผิดในลักษณะคล้ายคลึงกับข้อหาที่เคยกระทำผิดมาก่อนหรือ (ค) ถ้าศาลเห็นว่าผู้ปกครองหรือบุคคลที่เด็กและเยาวชนอยู่ด้วยหรืออยู่ในความดูแลไม่สามารถควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนได้อย่างเหมาะสม ศาลอาจสั่งให้ผู้ปกครองหรือบุคคลนั้นชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน

ในกรณีที่ศาลได้บังคับให้ชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ปกครองหรือบุคคลที่เด็กและเยาวชนอยู่ด้วยจะเรียกชำระเงินตามข้อกำหนดนั้น ถ้าศาลมิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งที่ได้วางข้อกำหนดนั้นเป็นอย่างอื่นตามความในมาตรา 77 วรรคท้าย ก็ให้ถือว่าคำสั่งนั้นคงใช้บังคับได้ต่อไปจนสิ้นเวลาที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดนั้น

มาตรา 87 เมื่อปรากฏว่ามีเหตุยกเว้นโทษ ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญานี้ หรือกฎหมายอื่นหรือมิใช่ ถ้าศาลเห็นสมควรลดโทษไม่เกินหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งของที่ผู้กระทำความผิดนั้นได้รับ

เหตุยกเว้นโทษนั้นได้แก่การทำความผิดโดยมิได้เจตนาอันเป็นเหตุปัญญาตกอยู่ในความจำเป็นหรือความผิดนั้นเกิดจากการกระทำของผู้กระทำความผิดเองโดยมิได้เจตนา หรือเหตุอื่นใดที่ศาลเห็นสมควรลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดนั้น

มาตรา 88 ในกรณีที่ศาลเห็นสมควรให้ผู้กระทำความผิดนั้นเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพหรือการบำบัดรักษาเพื่อแก้ไขพฤติกรรมหรือการกระทำที่ศาลเห็นสมควร ให้ดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดนั้น

หมวด 5

การพยายามกระทำความผิด

มาตรา 60 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา 61 ผู้ใดกระทำการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่การกระทำนั้นไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ หรือเพราะวัตถุที่การกระทำนั้นมุ่งต่อผล ไม่อาจจะเป็นไปตามความมุ่งหมาย ผู้นั้นไม่เป็นผู้พยายามกระทำความผิด แต่ให้ลงโทษในฐานที่ได้กระทำไปแล้วถ้าข้อความตามบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น

ถ้าการกระทำดังกล่าวในวรรคแรกได้กระทำไปโดยความเชื่ออย่างงมงาย ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้

มาตรา 62 ผู้ใดพยายามกระทำความผิด หากยังมิได้เปลี่ยนใจไม่กระทำการให้ตลอด หรือกลับใจในใจไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับพยายามกระทำความผิดนั้น แต่ถ้าการที่ได้กระทำไปแล้วต้องตามบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ๆ

หมวด 6

ตัวการและผู้สนับสนุน

มาตรา 63 ในกรณีความผิดอันเกิดแต่การกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ใดได้ร่วมกระทำความผิดนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา 64(40) ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าจะด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไปว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือหยุดยั้งไป ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดแล้ว ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ และถ้าผู้ถูกใช้เป็นบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี ผู้ใช้ต้องรับโทษหนักกว่าผู้ถูกใช้ถึงกึ่งหนึ่ง ในกรณีที่ผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดแล้ว ผู้ใช้จะยกเอาข้ออ้างว่าผู้ถูกใช้กระทำความผิดเกินกว่าที่ตนได้ใช้ให้กระทำขึ้นเป็นข้อแก้ตัวมิได้ แต่ถ้าผู้ถูกใช้กระทำความผิดนั้นเป็นความผิดที่หนักกว่าความผิดที่ตนได้ใช้ให้กระทำ ผู้ใช้ต้องรับโทษเพียงเท่าที่ตนได้ใช้ให้กระทำ

มาตรา 65 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นจะกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด ถึงแม้ผู้นั้นจะมิได้อยู่ในที่กระทำความผิดก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุน ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

ถ้าการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นได้กระทำไปในระหว่างที่การกระทำความผิดได้สิ้นสุดลงแล้ว ผู้นั้นไม่เป็นผู้สนับสนุน

มาตรา 65 ทวิ(41) ถ้าผู้ถูกใช้ตามมาตรา 64 หรือผู้ถูกสนับสนุนตามมาตรา 65 ได้กระทำการโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดตามมาตรา 64 หรือมาตรา 65 ผู้นั้นต้องรับโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 64 หรือมาตรา 65 กึ่งหนึ่ง

เป็นการเปิดเผยถึงการทำความผิดของผู้ใช้ให้ทราบว่าทำความผิดหรือผู้ใช้นำเสนอหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้ทราบถึงความผิด และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินคดีแก่บุคคลดังกล่าว ศาลจะลงโทษผู้ชี้เบาะแสข่าวสารหรือทำให้ข่าวนั้นแพร่หลายรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา 66 ผู้ใดทราบด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้ต้องกระทำความผิดหรือกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะได้รับการลงโทษหรือให้หลบหนีการลงโทษ ผู้แจ้งเบาะแสข่าวสารหรือทำให้ข่าวนั้นแพร่หลายรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ศาลจะลงโทษผู้ชี้เบาะแสข่าวสารหรือทำให้ข่าวนั้นแพร่หลายรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา 67 ในกรณีที่มีการกระทำความผิดเพราะมีผู้ใช้ให้กระทำตามมาตรา 64 เพราะมีผู้ใช้เสนอหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดตามมาตรา 64 หรือโดยผู้สนับสนุนตามมาตรา 66 ถ้าความผิดเกิดขึ้นนั้น ผู้กระทำได้กระทำไปเกินขอบเขตที่ได้รับหรือที่เสนอหรือประกาศ หรือเกินไปจากเจตนาของผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้เสนอหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดต้องรับผิดตามความผิดที่ผู้กระทำกระทำความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดที่อยู่ในขอบเขตที่ให้หรือที่เสนอหรือประกาศ หรืออยู่ในขอบเขตแห่งเจตนาของผู้สนับสนุนการกระทำความผิดเท่านั้น แต่ถ้าด้วยเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ความผิดที่ผู้กระทำกระทำเกินที่ได้รับการใช้ การเสนอหรือประกาศ หรือเกินจากเจตนาของผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ผู้ใช้ให้กระทำหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้นด้วย ถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำความผิดที่ผู้กระทำกระทำตามการใช้ การเสนอหรือประกาศ หรือการสนับสนุนการกระทำความผิดนั้น

ในกรณีนี้ผู้ใช้ ผู้เสนอหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้นด้วย แต่ถ้าโดยลักษณะของความผิด ผู้กระทำต้องรับผิดทางอาญาเพียงแต่โทษสูงขึ้นเพียงแต่ผู้กระทำต้องรับโทษสูงขึ้นเพียงผู้เดียว หรือความผิดนั้นได้อาจจะเกิดผลลัพธ์นั้นขึ้น ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้เสนอหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้นด้วย แต่ถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้นได้อาจจะเกิดผลลัพธ์นั้นขึ้น ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้เสนอหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้นด้วย

มาตรา 68 ถ้าความผิดที่ได้ใช้ ที่ได้เสนอหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปไปให้กระทำ หรือที่ได้สนับสนุนให้กระทำ ได้กระทำซึ่งมีผลอันจะกระทบความผิด แต่เนื่องจากการที่เกี่ยวข้องของผู้ใช้ ผู้เสนอหรือประกาศ หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้นต้องรับผิดทางอาญาไปตลอดด้วยหรือไม่ไปตลอดแล้วแต่กรณี แต่การกระทำความผิดนั้นต้องรับผิดทางอาญา ครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 64 หรือมาตรา 66 แล้วแต่กรณี สนับสนุนการกระทำความผิดนั้นต้องรับผิด

มาตรา 69 ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความเป็นโมฆะต่อกฎหมายในการกระทำความผิดในใจ จะนำมาเป็นเหตุให้ผู้กระทำความผิดนั้นพ้นจากความผิดนั้นด้วยไม่ได้ แต่ถ้าด้วยความเป็นโมฆะ จึงโทษนั้นต้องเป็นโทษที่เบาลงในสถานที่ผิดครั้งนี้ให้แก่ผู้กระทำความผิดในการกระทำความผิดนั้นด้วยอันทุกคน

หมวด 7

การกระทำความผิดหลายบทหรือหลายกระทง

มาตรา ๗๐ เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด

มาตรา ๗๑[42] เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ในกรณีเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือคงลงอัตราโทษอย่างใดอย่างหนึ่งตาม มาตรา ๗๐ ทวิ หากศาลจะเพิ่ม ลด หรือคงลงอัตราโทษอย่างใดอย่างหนึ่งตาม มาตรา ๗๐ ทวิ ศาลต้องกำหนดเหตุผลด้วย

(ก)

สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี

(ข)

ยี่สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี

(ค)

ห้าสิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต

หมวด ๘

การกระทำความผิดอีก

มาตรา ๗๗ ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ถ้าและได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดที่ระบุในอนุมาตราต่อไปนี้ซึ่งในอนุมาตราเดียวกันอีกในระหว่างที่ยังต้องรับโทษอยู่ที่คุก ภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่พ้นโทษหรือภายในเวลาสามปีนับแต่วันที่พ้นโทษครั้งแรกเป็นความผิดซึ่งศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่รอการกำหนดโทษ หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังจำคุก ก็ให้เพิ่มโทษที่ลงแก่ผู้นั้นหนึ่งในห้าของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลัง

(ก)

ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๘ ถึงมาตรา ๑๑๘

(ข)

ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๖ ถึงมาตรา ๑๖๖

(ค)

ความผิดต่อเจ้าพนักงานที่รักษาความสงบเรียบร้อย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖๖ ถึงมาตรา ๑๗๐

(ง)

ความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙๐ ถึงมาตรา ๒๐๐ และมาตรา ๒๐๒

(จ)

ความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐๐ ถึงมาตรา ๒๐๒ (b) ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 208 ถึงมาตรา 216 (c) ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 217 ถึงมาตรา 236 มาตรา 238 ถึงมาตรา 240 และมาตรา 242 ถึงมาตรา 248 (d) ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 240 ถึงมาตรา 249 ความผิดเกี่ยวกับตราแผ่นดินและดวงตรา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 250 ถึงมาตรา 256 และความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 264 ถึงมาตรา 275 (e) ความผิดเกี่ยวกับการค้า ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 270 ถึงมาตรา 275 (10) ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 ถึงมาตรา 287 (11) ความผิดต่อชีวิต ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 288 ถึงมาตรา 290 และมาตรา 292 ความผิดต่อร่างกาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 295 ถึงมาตรา 298 ความผิดฐานทำให้แท้งลูก ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 301 ถึงมาตรา 305 และความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วย เจ็บหรือคนชรา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 306 ถึงมาตรา 308 (12) ความผิดต่อเสรีภาพ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 309 มาตรา 310 และมาตรา 312 ถึงมาตรา 320 (13) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 336

มาตรา 97(43) ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดซึ่งผู้กระทำได้กระทำในขณะที่มีอายุต่ำกว่าห้าปีบริบูรณ์ ไม่ว่าจะได้กระทำในครั้งก่อนหรือครั้งหลัง ไม่ถือว่าเป็นความผิดเพื่อการเพิ่มโทษตามความในหมวดนี้

หมวด 7

อายุความ

มาตรา 98 ในคดีอาญา ถ้าไม่ได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายในกำหนดดังต่อไปนี้ นับแต่วันกระทำความผิด ถือว่าคดีนั้นขาดอายุความ

(1) สิบห้าปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกยาวกว่ายี่สิบปี (2) ยี่สิบปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกยี่สิบปี (3) สิบปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าสามปีถึงสิบปี (4) ห้าปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษจำคุกกว่าหนึ่งเดือนถึงสามปี

(๔)

ทั้งนี้ สำหรับความผิดอันระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งเดือนลงมาหรือโทษระหว่างโทษอย่างอื่น ถ้าได้ฟ้องและได้อุทธรณ์หรือทำความผิดมาภายหลังศาลแล้ว ผู้กระทำความผิดหลบหนีหรือจำคุกจริง และศาลสั่งลงโทษจำคุกระหว่างโทษเกินกำหนดตั้งแต่วันหนึ่งเดือนขึ้นไปหรือวันหนึ่งเดือนขึ้นไปหลังจากการพิจารณา ก็ให้ถือว่าเป็นวันขาดอายุความนับเดือนกำหนดตามมาตรา ๙๘ วรรคหนึ่ง และถ้าผู้กระทำความผิดหลบหนีหรือจำคุกจริงในระหว่างการพิจารณา ก็ให้ถือว่าเป็นวันขาดอายุความนับเดือนกำหนดตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง

มาตรา ๙๗ ในการฟ้องขอให้ศาล ถ้าจะฟ้องภายหลังการฟ้องตอนเป็นมูลให้ถือว่าเป็นการฟ้องขอให้ทำคำฟ้องภายในกำหนดเดือนนั้นแต่วันที่ฟ้องคดีนั้น มิฉะนั้นเป็นอันขาดอายุความ

มาตรา ๙๘ เมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้ใด ผู้ที่ยังมิได้รับโทษก็ให้ได้รับโทษแต่ยังไม่ครบจำนวนโดยหมายศาลก็ได้ ถ้ายังไม่ได้รับโทษในหมายศาลหรือวันหนึ่งเดือนหลังจากคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันหนึ่งเดือนหลังจากหมายศาลตอนท้าย แล้วแต่กรณี เกินกำหนดเวลาดังต่อไปนี้ เป็นอันสิ้นอายุความโทษ ของผู้ที่ยังมิได้รับโทษนั้น

(๑)

สี่สิบปี สำหรับโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกสี่สิบปี

(๒)

สามสิบปี สำหรับโทษจำคุกกว่าสิบปีแต่ยังไม่ถึงสามสิบปี

(๓)

สิบปี สำหรับโทษจำคุกกว่าหนึ่งปีถึงสิบปี

(๔)

ห้าปี สำหรับโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งเดือนถึงหนึ่งปีหรือโทษอย่างอื่น

มาตรา ๙๙(๔๔) การยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับถือการทำชำระแทนค่าปรับ ถ้าไม่ได้ทำภายในกำหนดดังนั้นแต่วันที่ได้คำพิพากษาถึงที่สุด จะยึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สิน หรือทำชำระไม่ได้

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในกรณีการทำชำระแทนค่าปรับที่ทำต่อเนื่องกับการลงโทษจำคุก

มาตรา ๑๐๐ เมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้ใด ถ้ายังมิได้รับการทำชำระค่าปรับ ก็ให้การทำชำระค่าปรับโดยหมายศาลก็ได้ ถ้าหมายศาลตอนท้ายแต่วันหนึ่งเดือนหลังจากคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันหนึ่งเดือนหลังจากหมายศาลตอนท้าย แล้วแต่กรณี เกินกำหนดเวลาดังต่อไปนี้ เป็นอันสิ้นอายุความโทษปรับของผู้ที่ยังมิได้รับการทำชำระค่าปรับนั้น

มาตรา ๑๐๑ เมื่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้ใด ถ้ายังมิได้รับการชำระค่าปรับ ก็ให้การชำระค่าปรับโดยหมายศาลก็ได้ ถ้าหมายศาลตอนท้ายแต่วันหนึ่งเดือนหลังจากคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันหนึ่งเดือนหลังจากหมายศาลตอนท้าย แล้วแต่กรณี เกินกำหนดเวลาดังต่อไปนี้ เป็นอันสิ้นอายุความโทษปรับของผู้ที่ยังมิได้รับการชำระค่าปรับนั้น

ลักษณะ ๒

บทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดลหุโทษ

มาตรา ๑๐๖[45] ความผิดลหุโทษ คือ ความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๐๗ บทบัญญัติลหุโทษลักษณะ ๑ ให้ใช้ในกรณีแห่งความผิดลหุโทษด้วย เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในลักษณะมาตราต่อไปนี้

มาตรา ๑๐๘ การกระทำความผิดลหุโทษตามพระราชบัญญัตินี้ แม้กระทำโดยไม่สมบูรณ์เป็นความผิด เช่นเดียวกับบทบัญญัติความผิดหรือความรับผิดให้เห็นเป็นอย่างอื่น

มาตรา ๑๐๙ ผู้ใดพยายามกระทำความผิดลหุโทษ ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา ๑๑๐ ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดลหุโทษไม่ต้องรับโทษ

ภาค ๒ ความผิด

ลักษณะ ๑

ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

หมวด ๑

ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดปลอมพระปรมาภิไธย ต้องระวางโทษประหารชีวิต

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน ผู้ใดกระทำการโดยเป็นการเตรียมเพื่อปลอมพระปรมาภิไธย หรือรู้ว่าผู้อื่นจะปลอมพระปรมาภิไธย กระทำการโดยเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๑๑๓ ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน ถ้าการกระทำที่แท้จริงนั้นจะเป็นอันตรายแก่พระมหากษัตริย์ ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต ผู้ใดกระทำการโดยเป็นการเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี ผู้ใดกระทำการโดยเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 109 ผู้ใดปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต

ผู้ใดยามากระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน ผู้ใดกระทำการโดยเป็นการระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือเพื่อให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือผู้ปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการโดยเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือสิบห้าปี

มาตรา 110 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

ผู้ใดยามากระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าวิตกเป็นอันตรายแก่พระชนม์ชีพ ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ผู้ใดกระทำการโดยเป็นการระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่าผู้ประทุษร้ายต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการโดยเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี

มาตรา 111 ผู้ใดสนับสนุนในทางใดทางหนึ่งให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามมาตรา 109 ถึงมาตรา 110 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น

มาตรา 112[46] ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

หมวด 2

ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร

มาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อ

(ก)

ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ

(ข)

ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวไม่ได้ หรือ

(ค)

แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้กระทำความผิดฐานนี้ในกรณีปกติ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๑๐๙ ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใด ๆ อันเป็นส่วนของแผนการ เพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่าผู้อื่นเป็นกบฏ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

มาตรา ๑๑๐ ผู้ใดยุยงทหารหรือตำรวจให้กระทำการ ให้ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่ หรือให้กระทำการใด อันอาจทำให้ราชการเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี

ถ้าการลงมือกระทำนั้นได้กระทำลงโดยผู้ร่วมกระทำการตั้งแต่สามคนและสมรรถภาพของการยกเว้นทหารหรือตำรวจเสื่อมทรามลง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี

มาตรา ๑๑๑ ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นโดยมุ่งเป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์โดยสุจริต

(ก)

เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนหรือใช้กำลังประทุษร้าย

(ข)

เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ

(ค)

เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดแสดงหรือจัดให้มีการแสดงใด ๆ อันอาจจะเป็นการดูหมิ่น ป้องงานองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดกระทำความผิดต่อความมั่นคงแห่งอาณาจักรด้วยการร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงานงดจ้างหรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจกับบุคคลใด ๆ นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดกระทำความผิดต่อความมั่นคงดังกล่าว และใช้กำลังประทุษร้าย ผู้มีบุญจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือทำให้เกิดการกลัวว่าจะประทุษร้ายใด ๆ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑๓ ผู้ใดกระทำการใด ๆ ต่อราชอาณาจักรด้วยเจตนาที่จะมีความมุ่งหมายดังนี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ ต้องระวางโทษ[49]จำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หมวด ๓

ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร

มาตรา ๑๑๙ ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๑๒๐ ผู้ใดสมคบกับบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศ ด้วยการปลงพระชนม์หรือทำร้ายพระมหากษัตริย์หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น หรือด้วยการทำลายเอกราชของรัฐ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๑๒๑ คนไทยคนใดกระทำการช่วยเหลือรัฐต่างประเทศในการรบกับรัฐไทย ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๑๒๒ ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่ออุปกรณ์แก่การดำเนินการรบหรือการเตรียมการรบของข้าศึก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี

ถ้าการอุปกรณ์นั้นเป็นการ

(ก)

ทำให้พ้อม ค่าย สนามบิน ยานรบ ยานพาหนะ ทางคมนาคม สิ่งที่ใช้ในการสื่อสาร ยุทธภัณฑ์ เสบียงอาหาร อาวุธ อาคาร หรือสิ่งอื่นใดสำหรับใช้เพื่อการสงคราม ใช้การไม่ได้หรือเสื่อมไปอยู่ในสภาพของซึ่งสึก

(ข)

ยุยงทหารให้ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่ ต่อการรบกับข้าศึก หรือสมคบคิดกัน

(ค)

กระทำการจารกรรม นำหรือแพร่ข่าวให้ข้าศึก หรือ

(ง)

กระทำโดยประการอื่นใดให้ข้าศึกได้เปรียบในการรบ ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๑๒๓ ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อความ เอกสารหรือสิ่งใด ๆ อันเป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี

มาตรา ๑๒๔ ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ผู้อื่นล่วงรู้หรือได้ไปซึ่งข้อความ เอกสารหรือสิ่งใด ๆ อันเป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี

ถ้าความลับนั้นได้กระทำในระหว่างประเทศอยู่ในการรบหรือการสงคราม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี ถ้าความลับนั้นได้กระทำในระหว่างประเทศอยู่ในการรบหรือการสงคราม และเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของข้าศึก ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๑๒๕ ผู้ใดล่วงรู้ข้อความ เอกสารหรือสิ่งใด ๆ ซึ่งเป็นความลับสำหรับความปลอดภัยของประเทศ แล้วเปิดเผยข้อความ เอกสารหรือสิ่งนั้นในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ หรือทำให้ได้เปรียบแก่ต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๒๖ ผู้ใดได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เจรจาในเรื่องใด ๆ กับรัฐบาลต่างประเทศ ทำและโดยเจตนาไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญานั้น ต้องระวางโทษ...

โทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี

มาตรา ๑๐๗ ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้เกิดเหตุร้ายแก่ประเทศภายนอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี

ถ้าเหตุร้ายนั้นถึงขั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี

มาตรา ๑๐๘ ผู้ใดเตรียมการ หรือพยายามกระทำความผิดใด ๆ ในหมวดนี้ ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา ๑๐๙ ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดใด ๆ ในหมวดนี้ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น

หมวด ๔

ความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ

มาตรา ๑๑๐ ผู้ใดทำร้ายร่างกายหรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของราชอัครราชทูต ราชทูต หรือหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐต่างประเทศ ซึ่งมีสัมพันธไมตรี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

มาตรา ๑๑๑ ผู้ใดทำร้ายร่างกาย หรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของผู้แทนรัฐต่างประเทศ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาปฏิบัติราชการในประเทศไทย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี

ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดฆ่าหรือพยายามฆ่าบุคคลที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๑๐ หรือมาตรา ๑๑๑ ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๑๑๓ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชอัครราชทูต ราชทูต หรือหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑๔ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศที่ได้รับแต่งตั้งให้มาปฏิบัติราชการในประเทศไทย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑๕ ผู้ใดกระทำการอันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ลักษณะ ๑/๑

ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย

มาตรา ๑๑๖/๑ ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดตามมาตราใดต่อไปนี้

(๑)

ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันอาจให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือบังคับรายอย่างใดรายอย่างร้ายแรง หรือเสรีภาพของบุคคลใด ๆ

(๒)

กระทำการใดอันอาจให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ

(๓)

กระทำการใดอันอาจให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือของบุคคลใดหรือสิ่งแวดล้อม อันนำให้เกิดหรืออาจนำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันอาจให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้กระทำการตามความผิดฐานการก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหกล้านบาท การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานการก่อการร้าย

มาตรา ๑๓๔/๒[๕๘] ผู้ใด

(๑)

รู้เห็นว่าอาจจะมีการทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการดังกล่าวขึ้นจริง หรือ

(๒)

สงเคราะห์หรืออุปการะ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกัน เพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใด ๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือชุมนุมประชาชนให้เกิดส่วนในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะทำการก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๑๓๔/๓[๕๙] ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๓๔/๑ หรือมาตรา ๑๓๔/๒ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับการในความผิดนั้น ๆ

มาตรา ๑๓๔/๔[๖๐] เพื่อเป็นหลักฐานของเหตุผลอันสมควรหรือประกาศคำเตือนและเตรียมความพร้อมของประชาชนในกรณีที่มีการกระทำการก่อการร้ายหรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการกระทำการก่อการร้าย ให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องประกาศเตือนภัยด้วยเสียง ผู้ที่แจ้งหรือให้ข้อมูลเท็จแก่เจ้าพนักงานเพื่อเป็นเหตุให้เกิดการประกาศเตือนภัยดังกล่าวนั้น ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

ลักษณะ ๒

ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง

หมวด ๑

ความผิดเกี่ยวกับเจ้าพนักงาน

มาตรา ๑๖๑(๖๑) ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษ(๖๒)จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๒(๖๓) ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๓(๖๔) ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งช่วยเหลือเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติตามหน้าที่ ต้องระวางโทษ(๖๕)จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๔(๖๖) ผู้ใดแจ้งให้เจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กลอุบายหลอกลวง หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินแปดหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๕(๖๗) ถ้าความผิดตามมาตรา ๑๖๓ วรรคสอง หรือมาตรา ๑๖๔ ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษ(๖๘)จำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ถ้ากระทำโดยวางอุบายกู้ยืม หรืออย่างใด ไม่ว่าอย่างยืมหรือช่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ในสองวรรคก่อนหนึ่ง

มาตรา ๑๖๖(๖๙) ผู้ใดออก ทำให้เสียหาย ทำลายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ตราหรือเครื่องหมายอันเจ้าพนักงานได้แสดงไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐาน ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือเพื่อให้เป็นหลักฐานในการยึด อายัดหรือรักษาทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๗(๗๐) ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้ไร้ประโยชน์ หรือไร้เสียซึ่งทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานได้ยึดหรืออายัดไว้ หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด หรือที่เจ้าพนักงานสั่งให้ส่งมอบเพื่อยึดหรืออายัด

สถานะเป็นบัญชีเงินฝากรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาลโดยวิธีอื่นๆจงใจหรือผิด กฎหมายมารยาทโดยอ้างสิทธิของตนให้กระทำการ หรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นเหตุหรือประโยชน์แก่บุคคลใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๔[72] ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่ของ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการหรือประวิงการกระทำการในหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๕[73] ผู้ใดแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เจ้าพนักงานผู้ใดได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการตามลักษณะหน้าที่ต่อไปแล้ว ยังฝ่าฝืนกระทำการใด ๆ ในลักษณะหน้าที่นั้น ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้ในวรรคแรกอุกฉกรรจ์

มาตรา ๑๖๖[74] ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะครอบครองเครื่องแบบหรือประดับ เครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล หรือไม่สิทธิใช้ยศ ตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือเหรียญราชอิสริยาภรณ์ กระทำการเช่นนั้นเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หมวด ๒

ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

มาตรา ๑๖๗[75] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน รับหน้าที่ซื้อ หัก จัดการหรือรักษา ทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตของให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษ[76]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

มาตรา ๑๖๘[77] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษ[78]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

มาตรา ๑๖๙[79] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ[80]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

มาตรา ๑๗๐[81] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๔๘[๘๓] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ หน่วยงาน สุจริตชน หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษ[๘๔]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท

มาตรา ๑๔๙[๘๕] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าหาผลได้เสียเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ หน่วยงาน สุจริตชน หรือเจ้าของกิจการนั้น ต้องระวางโทษ[๘๖]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๑๕๐[๘๗] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ขายหรือย้ายทรัพย์ เกินกว่าค่าครองชีพของประชาชนหรือผลประโยชน์ส่วนรวม ต้องระวางโทษ[๘๘]จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๑๕๑[๘๙] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่หรือแสดงว่าตนมีหน้าที่เรียกเก็บหรือออกใบอากร ค่าธรรมเนียมหรือเงินอื่นใด โดยทุจริตเรียกเก็บหรือละเว้นไม่เรียกเก็บการอากร ค่าธรรมเนียมหรือเงินนั้น หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นอันมิชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษ[๙๐]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๑๕๒[๙๑] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่กำหนดราคาทรัพย์สินหรือสินค้าใด ๆ เพื่อเรียกเก็บภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมตามกฎหมาย โดยทุจริตหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรค่าธรรมเนียมหรือเงินอื่นใด หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นอันมิชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษ[๙๒]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๑๕๓[๙๓] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีตามกฎหมาย โดยทุจริต แนะนำ หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้การลงบัญชีการลงรายการในบัญชีหรือรายการอื่นในบัญชี เท็จในบัญชี หรือยอมให้ หรือทำหลักฐานในการลงบัญชีชี้ชวนเป็นผลให้การเสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมอันมิชอบด้วยกฎหมายก่อให้เกิดเสีย ต้องระวางโทษ[๙๔]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๑๕๔[๙๕] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ[๙๖]จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๕๕[๙๗] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ให้เอกสารหรือหนังสือ เอาไปเสียหรือทำลายเสีย หรือทำให้เสียหาย ทำให้สูญหาย ทำลายหรือทำให้เอกสารหรือหนังสือโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ในการซื้อหรือรักษาลังนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๑[99] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่รักษาหรือใช้สอยทรัพย์ของราชการหรือของผู้อื่น กระทำการอันเป็นการยักยอกทรัพย์ โดยใช้อำนาจหรืออุบายหรือโดยมีเจตนาเพื่อบรรลุผลนั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นสูญเสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๒[100] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

มาตรา ๑๖๒[101] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการดังต่อไปนี้ในการปฏิบัติราชการงานหน้าที่

(๑)

รับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรืออาการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ

(๒)

รับรองเป็นหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งข้อความอันได้มีการแจ้ง

(๓)

ละเว้นไม่ลงข้อความที่ตนมีหน้าที่ต้องรับจดหรือเปลี่ยนแปลงข้อความเช่นว่านั้น หรือ

(๔)

รับรองเป็นหลักฐานอันเป็นเท็จด้วยเอกสารนั้นเพื่อมุ่งจุดอันอาจจะเป็นความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๒[102] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ในการไปรษณีย์ โทรเลข หรือโทรศัพท์ กระทำการอันชอบด้วยหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑)

เปิด หรือยอมให้ผู้อื่นเปิด จดหมายหรือสิ่งอื่นที่ส่งทางไปรษณีย์หรือโทรเลข

(๒)

ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้สูญหาย หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้เสียหาย ทำลายหรือทำให้สูญหาย จดหมายหรือสิ่งอื่นที่ส่งทางไปรษณีย์หรือโทรเลข

(๓)

กัก ส่งให้ผิดทาง หรือส่งให้แก่บุคคลซึ่งรู้ว่าใช้เป็นผู้ควรรับซึ่งจดหมายหรือสิ่งอื่นที่ส่งทางไปรษณีย์หรือโทรเลข หรือ

(๔)

เปิดเผยข้อความที่ส่งทางไปรษณีย์หรือโทรเลข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๒[103] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน หรือราชการผู้ควบคุมในการพิจารณากระทำโดยประการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๔[๑๐๔] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งซึ่งได้สั่งหรือมีคำสั่งให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๕[๑๐๕] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ละทิ้งหน้าที่หรือกระทำการอย่างใด ๆ เพื่อให้หน้าที่ซึ่งตนจะต้องปฏิบัติการนั้นโดยธรรมชาติหรือโดยคำสั่งที่ได้สั่งให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าความผิดนั้นได้กระทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน เพื่อบังคับรัฐบาลหรือเพื่อข่มขู่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

ลักษณะ ๓

ความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม

หมวด ๑

ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม

มาตรา ๑๖๖[๑๐๖] ผู้ใดให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด แก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือไม่กระทำการในตำแหน่งโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๗[๑๐๗] ผู้ใดขัดขืนคำสั่งตามกฎหมายของพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน ซึ่งให้แสดงหรือให้ออกคำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๘[๑๐๘] ผู้ใดขัดขืนคำสั่งตามกฎหมายของพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน ซึ่งให้ส่งหรือเรียกทรัพย์สินหรือเอกสารใด ให้สอบสวน ให้ปฏิบัติการหรือให้แสดงคำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖๙[๑๐๙] ผู้ใดขัดขืนหมายหรือคำสั่งของศาล ให้มาให้ถ้อยคำ ให้มาเบิกความหรือให้ส่งหรือเรียกทรัพย์สินหรือเอกสารใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๗๐[๑๑๐] ผู้ใดขัดขืนคำสั่งของศาลให้กระทำการ ให้ละเว้นกระทำการ หรือให้ส่งหรือเรียกทรัพย์สินหรือเอกสารใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๗๑[๑๑๑] ผู้ใดขัดขืนคำสั่งของศาลที่เกี่ยวกับการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดอาญา พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑๒[112] ผู้ใดรู้ว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้วแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

มาตรา ๑๑๓[113] ถ้าการแจ้งข้อความตามมาตรา ๑๑๒ หรือมาตรา ๑๑๑ เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จบุคคลใดต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐหรือบุคคลอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

ถ้าการแจ้งข้อความความในวรรคแรกเป็นการแจ้งข้อความเพื่อจะให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

มาตรา ๑๑๔[114] ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๑๑๕ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๑๑๔ แล้วลบโทษต่อศาล และขอถอนฟ้องหรือแก้ฟ้องก่อนมีคำพิพากษา ให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือศาลจะไม่ลงโทษเลยก็ได้

มาตรา ๑๑๖[115] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในหน้าที่ในการพิจารณาคดีอาญา ถ้าความผิดนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในหน้าที่ในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑๗[116] ผู้ใดสั่งเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน ให้แสดงข้อความหรือความหมายใด แปลงข้อความหรือความหมายนั้นให้ผิดไปในข้อสำคัญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑๘[117] ผู้ใดทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๑๙[118] ผู้ใดนำสิ่งหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ถ้ากระทำเพื่อให้ศาลเชื่อว่ามีความผิดอาญาเกิดขึ้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๒๐[119] ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๑๑๘ หรือมาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๑๘ และมาตรา ๑๑๙

(ก)

เป็นการกระทำในการแต่งข้อความว่า ผู้ใดกระทำความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เกือบหนึ่งถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

(ข)

เป็นการกระทำในการแต่งข้อความว่า ผู้ใดกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เกือบถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๑๘๔ ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๑๘๑ หรือมาตรา ๑๘๒ แล้วลุแก่อำนาจ หรือข่มขืนใจความจริงต่อศาลหรือเจ้าพนักงานก่อนมีคำพิพากษา และก่อนถูกฟ้องในความผิดที่ได้กระทำ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา ๑๘๕ ผู้ใดเพื่อช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๘๖[121] ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินที่ได้มาจากผู้กระทำความผิดหรือการพยายามกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๘๗[122] ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินที่ได้มาจากผู้กระทำความผิดหรือการพยายามกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๘๘[123] ผู้ใดเพื่อจะให้ทรัพย์สินไปมอบคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ศาลหรือเจ้าพนักงานสั่งให้ยึดหรืออายัด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๘๙[124] ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินที่ต้องการโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อการพิสูจน์ความเสียหายที่ผู้มีส่วนได้เสียจะได้รับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๙๐[125] ผู้ใดแสดงเป็นประจักษ์ว่าถูกล่วงล้ำอำนาจของศาลของพนักงานอัยการ ของพนักงานสอบสวน หรือของเจ้าพนักงานอื่นตามกฎหมาย

ตลาดของเจ้าพนักงานเนื่องจากคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๙๕[135] ผู้ใดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี หรือกระทำด้วยการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล ต้องระวางโทษ[136]จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๙๖[137] ผู้ใดลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตายหรือเหตุแห่งการตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หมวด ๒

ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

มาตรา ๒๐๐[138] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือสั่งการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งนั้นในการสืบสวนเพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใดให้พ้นโทษหรือให้รับโทษน้อยลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท

ถ้าการกระทำหรือไม่กระทำนั้นเป็นการเพื่อจะกลั่นแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือได้รับโทษโดยปราศจากเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

มาตรา ๒๐๑[139] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ พนักงานผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ[140]จำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต

มาตรา ๒๐๒[141] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้ว่าคดีการ พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ในตำแหน่งนั้นโดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนแล้วเพื่อช่วยให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้พ้นโทษหรือให้รับโทษน้อยลง ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท

มาตรา ๒๐๓[143] ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้ว่าคดีการ พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ในตำแหน่งนั้นโดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับไว้ก่อนแล้วเพื่อกลั่นแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือได้รับโทษโดยปราศจากเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท

ถ้าผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังไปแล้วเป็นบุคคลซึ่งต้องคำพิพากษาของศาลหนึ่งศาลใดให้ลงโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไป หรือมีจำนวนตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สิบหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๒๐๒(145) ถ้าการกระทำดังกล่าวในมาตรา ๒๐๑ เป็นการกระทำโดยประมาท ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังไปแล้วกระทำโดยประมาทเป็นบุคคลซึ่งต้องคำพิพากษาของศาลหนึ่งศาลใดให้ลงโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไป หรือมีจำนวนตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำความผิดดังได้โดยผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังคืนมาภายในสามเดือน ให้ลดการลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดนั้น

ลักษณะ ๔

ความผิดเกี่ยวกับศาสนา

มาตรา ๒๐๓(146) ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานที่อันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชน อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษ(147) จำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๐๔(148) ผู้ใดได้เกิดการประชุมขึ้นในที่ประชุมสาธารณะในเวลาประชุมกัน นมัสการหรือการพิธีกรรมทางศาสนาใด ๆ โดยเจตนาด้วยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๐๕(149) ผู้ใดเผยแพร่หรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นศักดิ์สิทธิ์ สามแถว ห้าพระหรือในลักษณะใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่า ตนเป็นบุคคลเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ลักษณะ ๕

ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน

มาตรา ๒๐๖(150) ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการกระทำความผิดอาญา หรือสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อการกระทำความผิดอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๐๗(151) ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติในมาตรา ๒๐๖ และความผิดนั้นได้กระทำลงไป ต้องระวางโทษจำคุกอย่างต่ำ

ผู้ซึ่งมีตำแหน่งดังนี้ไป ผู้ซึ่งกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษจำคุกประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกสูงสุดซึ่งเกินสิบปีขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี สิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๐๑ ผู้ใดในระหว่างในที่ประชุมซ่องโจรหรือซ่องโจร ผู้เห็นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจรหรือซ่องโจร เว้นแต่ผู้เห็นจะแสดงได้ว่าได้กระทำไปโดยไม่รู้ว่าเป็นการประชุมของซ่องโจรหรือซ่องโจร

มาตรา ๒๐๒ ผู้ใด

(๑)

จัดหาให้ประชุมหรือที่พักนักให้แก่ซ่องโจรหรือซ่องโจร

(๒)

ชักชวนบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิกซ่องโจรหรือพรรคพวกซ่องโจร

(๓)

อุปการะซ่องโจรหรือซ่องโจรโดยให้ทรัพย์หรือโดยประการอื่น หรือ

(๔)

ช่วยจำหน่ายทรัพย์หรือซ่องโจรได้มาโดยการกระทำความผิด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจรหรือซ่องโจร แล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๐๓ ห้ามมิให้ซ่องโจรหรือพรรคพวกของโจรพยายามที่มีคนใดได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของซ่องโจร สมาชิกซ่องโจรหรือพรรคพวกของซ่องโจรที่อยู่ภายในเขตของการกระทำความผิด หรืออยู่ภายในเขตที่ใกล้เคียงกับในการกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของซ่องโจร สมาชิกซ่องโจรหรือพรรคพวกของซ่องโจรนั้น ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นทุกคน

มาตรา ๒๐๔[152] ผู้ใดประพฤติตนเป็นปกติธุระในซ่องโจรหรือซ่องโจร ที่ซ่อนเร้นหรือที่ประชุมบุคคลซึ่งรวมกันเป็นซ่องโจรตามความผิดที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย นี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำความผิดนั้น เป็นการกระทำเพื่อช่วยบอก มาตรา บุคคล หรือรายงานของผู้กระทำ ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้

มาตรา ๒๐๕[153] ผู้ใดมีความรู้แต่ไม่แจ้งแก่เจ้าพนักงาน ให้ล่วงรู้ว่ามีผู้สมรู้ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีความมุ่งหมายจะเป็นโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดอาวุธ บรรดาผู้กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าผู้กระทำความผิดนั้นทำ หรือเป็นผู้ที่มีส่วนที่สำคัญในการกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๖[๑๕๔] เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ซึ่งมีวุฒิสมบูรณ์เพื่อกระทำความผิดตามมาตรา ๒๖๕ ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ลักษณะ ๖

ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน

มาตรา ๒๖๗[๑๕๕] ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาท ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๖๘[๑๕๖] ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้

(๑)

โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยู่อาศัย

(๒)

โรงเรือน เรือหรือแพอันเป็นที่เก็บหรือที่ทำสินค้า

(๓)

โรงมหรสพหรือสถานที่ประชุม

(๔)

โรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นสาธารณสถาน หรือเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

(๕)

สถานีรถไฟ ท่าอากาศยานหรือยวดยานหรือเรือสาธารณะ

(๖)

เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ อันใช้ในการเดินทะเล หรือรถไฟที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะ ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่หกปีถึงยี่สิบปี

มาตรา ๒๖๙ ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา ๒๖๗ หรือมาตรา ๒๖๘ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทำความผิดนั้น ๆ

มาตรา ๒๗๐[๑๕๗] ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเอง จนเหตุอันเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้อื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖๗

มาตรา ๒๗๑[๑๕๘] ผู้ใดกระทำโดยประมาทให้เกิดเพลิงไหม้แก่โรงเรือน เรือ หรือทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

มาตรา ๒๗๒ ผู้ใดกระทำให้เกิดระเบิดแก่โรงเรือน เรือ หรือแพ หรือทรัพย์อื่นดังกล่าวในมาตรา ๒๖๗ หรือมาตรา ๒๖๘ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทำความผิดนั้น ๆ

มาตรา ๒๗๓[๑๕๙] ความผิดดังกล่าวในมาตรา ๒๖๗ มาตรา ๒๖๘ มาตรา ๒๗๐ มาตรา ๒๗๒ หรือมาตรา ๒๗๒ นั้น ถ้าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือที่ตนเป็นเจ้าของร่วม

``` เป็นทรัพย์ที่มีราคาน้อย และการกระทำนั้นไม่น่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๒๕[160] ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา ๒๒๑ มาตรา ๒๒๒ มาตรา ๒๒๓ หรือมาตรา ๒๒๔ เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ถ้ากระทำให้บุคคลอื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี

มาตรา ๒๒๖[161] ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยทุจริต และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือการกระทำโดยประการที่น่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๒๖/๑[162] ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่โรงเรือน ยุ้งฉาง ที่จอดรถหรืออาคารอื่น ทุ่นหรือลอยลำ สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร เครื่องกล สายไฟฟ้าหรือสิ่งที่ทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ จนก่อให้เกิดเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตหรือร่างกายของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๒๖/๒[163] ผู้ใดเป็นผู้มีหน้าที่ในการออกแบบควบคุม หรือทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ และได้กระทำโดยวิธีการหรือพฤติการณ์ที่มิชอบ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตหรือร่างกายของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๒๖/๓[164] ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้เกิดอุทกภัย หรือไฟไหม้ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำดังกล่าวในวรรคแรกเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

มาตรา ๒๒๖/๔[165] ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ทางสาธารณะ ประตูน้ำ ท่าน้ำ เขื่อน อันเป็นส่วนของทางสาธารณะ หรือที่เป็นส่วนของอาคารบ้านเรือนอันเป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๒๖/๕[166] ผู้ใดลักลอบใด ๆ ซึ่งอาจทำอันตรายหรือทำให้ทรัพย์ของโรงงานอุตสาหกรรมสูญหาย หลอมละลายหรือเสียหาย หรือกระทำด้วยวิธีการใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันอันตราย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

มาตรา ๒๒๖/๖[167] ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้โรงเรือน ทุ่น สัญญาณ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งจำเป็นสำหรับความปลอดภัยในการจราจรทางบก การเดินเรือหรือการเดินอากาศ อยู่ในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งอันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่การจราจร

``` ทางบก การเดินเรือหรือการเดินอากาศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๒๖๘[168] ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ยานพาหนะดังต่อไปนี้อยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคล

(๑)

รถโดยสาร อากาศยาน รถไฟหรือรถราง

(๒)

รถยนต์ที่ใช้สำหรับบรรทุกคนส่งสารธารณะ หรือ

(๓)

เรือกลไฟ หรือเรือยนต์อันมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ที่ใช้สำหรับบรรทุกคนส่งสารธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๒๖๙[169] ผู้ใดใช้ยานพาหนะรับจ้างงานส่งคนโดยสาร เมื่อยานพาหนะนั้นลักษณะหรือมีการบรรทุกจนก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๗๐[170] ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่สิ่งที่ใช้ในการผลิต ในการส่งพลังงานไฟฟ้าหรือในการส่งน้ำ จนเป็นเหตุให้ประชาชนขาดความสะดวก หรือก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชาชนโดยประการอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๗๑[171] ผู้ใดกระทำการด้วยประการใด ๆ ให้การสื่อสารสารธารณะไปปราศจาก หรือโทรเลข หรือโทรศัพท์ หรือทางวิทยุ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๗๒[172] ผู้ใดปลอมปนอาหาร ยา หรือเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นใดเพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพ หรือจำหน่าย หรือเสนอขาย สิ่งนั้นหากนั้นเพื่อบุคคลเสพหรือใช้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๗๓[173] ผู้ใดขายหรือมีสิ่งที่ขายสิ่งนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพของผู้อื่นในอาหาร หรือในยา หรือในเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นใด และมิได้แสดงข้อความหรือเครื่องหมายอย่างชัดแจ้งเพื่อระวังอันตรายไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๒๗๔[174] ผู้ใดกระทำการด้วยประการใด ๆ แก่สิ่งที่ใช้ในการผลิต ในการส่งพลังงานไฟฟ้าหรือในการส่งน้ำ จนเป็นเหตุให้ประชาชนขาดความสะดวก หรือก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชาชนโดยประการอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๗๕[175] ถ้าการกระทำดังกล่าวในมาตรา ๒๖๘ ถึงมาตรา ๒๗๔ เป็นการกระทำโดยประมาท ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ลักษณะ ๗

ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง

หมวด ๑

ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา

มาตรา ๒๔๐(๑๗๖) ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลสั่งให้ใช้เป็นเงินตรา ให้จำคุกตลอดชีวิต หรือทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตราธนบัตรหรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลสั่งให้ใช้เป็นเงินตรา ผู้ที่กระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท

มาตรา ๒๔๑(๑๗๗) ผู้ใดทำปลอมเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกให้หรือสั่งให้ใช้ตามคำหนดให้ หรือเป็นพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ ให้ลดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้รับเชื่อว่ามีมูลค่าลดจากจริง ผู้กระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๒๔๒(๑๗๘) ผู้ใดกระทำโดยจริงให้เหรียญกษาปณ์หรือธนบัตรซึ่งรัฐบาลออกใช้เป็นเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

ผู้ใดนำเงินตราปลอมเข้ามาในราชอาณาจักร นำออกไปนอกราชอาณาจักร หรือทำให้เงินตราปลอมแพร่หลายโดยรู้ว่าเป็นเงินตราปลอมตามมาตรา ๒๔๐ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

มาตรา ๒๔๓ ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสิ่งใด ๆ อันเป็นของปลอมตามมาตรา ๒๔๐ หรือของแปลงตามมาตรา ๒๔๒ ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

มาตรา ๒๔๔(๑๗๙) ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใด ๆ อันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา ๒๔๐ หรือของแปลงตามมาตรา ๒๔๒ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๒๔๕(๑๘๐) ผู้ใดได้มาซึ่งสิ่งใด ๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา ๒๔๐ หรือของแปลงตามมาตรา ๒๔๒ แต่ภายหลังรู้ว่าเป็นของปลอมเช่นว่านั้น ยังนำออกใช้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๔๖(๑๘๑) ผู้ใดทำเครื่องสำหรับทำเงินตราปลอมขึ้นหรือมีไว้เพื่อใช้ทำเงินตราปลอม ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลสั่งให้ใช้เป็นเงินตรา หรือทำเครื่องสำหรับทำของปลอมตามมาตรา ๒๔๐ หรือมีไว้เพื่อใช้ทำของปลอมเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๒๔๗ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลสั่งให้ใช้เป็นเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ให้อำนาจให้ออกใช้ หรือเกี่ยวกับพันธบัตรรัฐบาลสําหรับประเทศไทยหรือไปค้ําประกันสําหรับ ออกพันธบัตรเช่นนั้น ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปีในมาตราอื่น ๆ

มาตรา ๒๗ ผู้ใดกระทําความผิดตามมาตรา ๒๖ อนุมาตรา ๒๖ (๑) หรือ

มาตรา ๒๖ (๒) ให้กระทําความผิดตามมาตรานั้นที่บัญญัติไว้ในวรรคสองนั้นเกี่ยวกับสิ่งที่ตน

ปลอมขึ้นเองแล้วด้วย ให้ลงโทษผู้กระทําตามมาตรา ๒๖ อนุมาตรา ๒๖ (๑) หรือมาตรา ๒๖ (๒) แต่กระทงเดียว

มาตรา ๒๘[182] ผู้ใดทําบัตรหรือโลหะตราอยู่ภายในใจ ให้มีลักษณะและ

ขนาดคล้ายคลึงกับบัตร ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรหรือโลหะตราเช่นนั้น ๆ ซึ่งรัฐจะออก ใช้หรือให้มีไว้ หรือทําบัตรหรือโลหะตราเช่นนั้น หรือจําหน่ายบัตรหรือโลหะตราเช่นนั้น นั้น ๆ หรือจําหน่ายบัตรหรือโลหะตราเช่นนั้น ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ ไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ถ้าการจําหน่ายบัตร หรือโลหะตราดังกล่าวในวรรคแรกเป็นการจําหน่าย โดยการจําหน่ายออกใช้ซึ่งบัตรเช่นใด ๆ ที่กล่าวในวรรคแรก ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

หมวด ๒

ความผิดเกี่ยวกับตรา ตราสมเด็จและสัตว์

มาตรา ๒๙[183] ผู้ใดปลอมขึ้นซึ่งตราสมเด็จแห่งสยามแลนเด้น รอยตราแผ่นดิน

หรือพระราชลัญจกร ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงสี่หมื่นบาท

มาตรา ๓๐[184] ผู้ใดปลอมขึ้นซึ่งตราสมเด็จแห่งสยามหรือรอยตราของบาง

การเมือง ขององค์การสาธารณะ หรือของเจ้าพนักงาน ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

มาตรา ๓๑ ผู้ใดได้ตราสมเด็จ รอยตราหรือพระปรมาภิไธย ดังกล่าวมาใน

มาตรา ๒๙ หรือมาตรา ๓๐ อันเป็นของตรา รอยตราหรือพระปรมาภิไธยที่ทําไปลอมขึ้น

ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

มาตรา ๓๒ ผู้ใดได้สิ่งตราสมเด็จหรือรอยตราดังกล่าวมาในมาตรา ๒๙

หรือมาตรา ๓๐ ซึ่งเป็นของตราหรือรอยตราแท้จริง และได้ตราหรือรอยตราเช่นนั้น โดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือมิได้มีอํานาจหน้าที่ที่จะมีไว้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี

ส่วนของแท้ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙ หรือมาตรา ๓๐ นั้น

มาตรา ๓๓[185] ผู้ใดปลอมขึ้นซึ่งตราสมเด็จแห่งสยามแลนเด้น รอยตราแผ่นดิน

หรือพระราชลัญจกร หรือรอยตราแห่งสยามแลนเด้น หรือรอยตราแผ่นดิน หรือพระราช ลัญจกร หรือรอยตราแห่งสยามแลนเด้น หรือรอยตราแผ่นดิน หรือพระราชลัญจกร ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท

มาตรา ๓๔[186] ผู้ใดมีในครอบครองซึ่งตราสมเด็จแห่งสยามแลนเด้น รอย

ตราแผ่นดิน พระปรมาภิไธย ตราสมเด็จหรือรอยตราแห่งสยามแลนเด้น ขององค์การ สาธารณะ หรือของเจ้าพนักงาน หรือแสดงซึ่งรูปในมาตรา ๒๙ อนุมาตรา ๒๙ (๑) หรือ

มาตรา ๒๘๕ ดินเป็นของปลอม หรือของแปลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท

มาตรา ๒๘๖(๑๘๗) ผู้ใดลบ ถอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ แก่เลขตบแต่งรัฐนาวาสำรวจไว้ในมาตรา ๒๘๕ และเป็นเครื่องหมายหรือการกระทำอย่างใดแสดงว่าใช้ไม่ได้แล้ว เพื่อให้ได้มา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๘๗(๑๘๘) ผู้ใดใช้ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยนหรือเสนอแลกเปลี่ยน ซึ่งเลขตบแต่งในลักษณะดังกล่าวในมาตรา ๒๘๕ หรือมาตรา ๒๘๖ โดยไม่ทราบว่ากระทำด้วยการลบ ถอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ แก่ตัวเลขตบแต่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๘๘(๑๘๙) ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งตัวโดยสารซึ่งใช้ในการขนส่งสารระหว่าง หรือปลอมลักษณะตัวโดยสารซึ่งใช้ในการขนส่งสารระหว่างให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีลักษณะคู่ควร หรือลบ ถอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ แก่ตัวโดยสารนั้นเพื่อเพิ่มเครื่องหมายหรือการกระทำอย่างใด แสดงว่าใช้ไม่ได้แล้วเพื่อให้ได้มา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๘๙(๑๙๐) ถ้าการกระทำตามมาตรา ๒๘๕ มีการกระทำเกี่ยวกับตัวที่ทำหน้าที่แทนประชาชนเพื่อแสดงลักษณะตัวใด ๆ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๙๐(๑๙๑) ผู้ใดใช้ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยนหรือเสนอแลกเปลี่ยน ซึ่งตัวที่ทำหน้าที่แทนประชาชนในลักษณะดังกล่าวในมาตรา ๒๘๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๙๑(๑๙๒) ผู้ใดทำเครื่องมือหรือวัสดุสำหรับปลอมหรือแปลงสิ่งใด ๆ ซึ่งระบุไว้ในมาตรา ๒๘๕ มาตรา ๒๘๖ หรือมาตรา ๒๘๗ หรือมีเครื่องมือหรือวัสดุเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๙๒ ถ้าการกระทำดังกล่าวในมาตรา ๒๘๕ มาตรา ๒๘๖ มาตรา ๒๘๗ หรือมาตรา ๒๙๑ เป็นการกระทำเกี่ยวกับปริญญาลักษณะใด ๆ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๙๓ ผู้กระทำการตามความตามมาตรา ๒๘๕ มาตรา ๒๘๖ มาตรา ๒๘๗ มาตรา ๒๘๘ มาตรา ๒๘๙ มาตรา ๒๙๐ หรือมาตรา ๒๙๑ ได้กระทำความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้ในเวลาเดียวกัน หรือกระทำการใด ๆ ตามมาตรา ๒๘๕ มาตรา ๒๘๖ มาตรา ๒๘๗ มาตรา ๒๘๘ มาตรา ๒๘๙ มาตรา ๒๙๐ หรือมาตรา ๒๙๑ ได้กระทำความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้ในเวลาเดียวกัน

หมวด ๓ ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

มาตรา ๒๙๔(๑๙๓) ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้น ซึ่งบันทึกเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด เสริมต่อหรือต่อท้ายข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตรา

ปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้อื่นหรือผู้ดูแลผลเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้กระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดกระทำข้อความปลอมหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จในสิ่งซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้มีอำนาจสั่งเช่นนั้น ถ้าได้กระทำเพื่อให้เอกสารนั้นไปใช้เป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็นหลักฐานเพื่อให้ผู้อื่นหรือประชาชน ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้ปลอมเอกสาร

มาตรา ๒๖๕(194) ผู้ปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๒๖๖(195) ผู้ใดปลอมเอกสารดังต่อไปนี้

(๑)

เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ

(๒)

พินัยกรรม

(๓)

ในหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือใบสำคัญของใบหุ้นหรือใบหุ้นกู้

(๔)

ตั๋วเงิน หรือ

(๕)

บัตรเงินฝาก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท สองแสนบาท

มาตรา ๒๖๗(196) ผู้ใดแจ้งให้เจ้าพนักงาน ผู้กระทำการตามหน้าที่ต่อข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีลักษณะประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๘ ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา ๒๖๕ มาตรา ๒๖๖ มาตรา ๒๖๗ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรานั้น ๆ

ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้เป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานลงข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารนั้น ให้ถือว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารนั้นด้วย

มาตรา ๒๖๙(197) ผู้ใดโดยทุจริตหรือด้วยการหลอกลวงอันเกิดจากการกระทำความผิดตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

หมวด ๔

ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์[198]

มาตรา ๒๖๗/๑[199] ผู้ใดทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมหรือแปลงขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ ส่วนหนึ่งส่วนใด เต็มหรือดัดแปลงข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในบัตร อิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นของแท้หรือใช้ได้ กระทำเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดทำขึ้นหรือมีไว้โดยชอบด้วย กฎหมายอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

มาตรา ๒๖๗/๒[200] ผู้ใดทำให้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมหรือแปลง หรือคล้ายคลึงให้ใช้บัตรปลอมหรือแปลงได้จริง ซึ่งระบุในมาตรา ๒๖๗/๑ หรือมี เครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ เพื่อใช้หรือให้ได้ข้อมูลในการปลอมหรือแปลง ต้องระวาง โทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๒๖๗/๓[201] ผู้ใดนำเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรสิ่งใด ๆ ตามมาตรา ๒๖๗/๑ หรือมาตรา ๒๖๗/๒ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๒๖๗/๔[202] ผู้ใดให้หรือโอนให้ใช้สิ่งใด ๆ ตามมาตรา ๒๖๗/๑ อันได้มาโดยรู้ว่าเป็นของที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดจำหน่ายหรือโฆษณาหรือมีสิ่งใด ๆ ที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้นตาม มาตรา ๒๖๗/๑ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึง สองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับบทลงโทษที่ศาลวินิจฉัยกรณีการกระทำความผิดเกี่ยวกับบัตร อิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา ๒๖๗/๑ ให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว

มาตรา ๒๖๗/๕[203] ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ใน ประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๗/๖[204] ผู้ใดใช้ให้ผู้ออกบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบตามมาตรา ๒๖๗/๕ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือ ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๗/๗[205] ถ้าการกระทำดังกล่าวในมาตรานี้ เกี่ยวกับการกระทำ เพื่อบันทึกข้อมูลในบัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้กระทำต้อง รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น

หมวด ๕

ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง[206]

มาตรา ๒๖๘/๑[207] ผู้ใดทำหนังสือเดินทางปลอมหรือแปลงขึ้นทั้งฉบับหรือส่วน หนึ่งส่วนใด เต็มหรือดัดแปลงข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในหนังสือเดินทางที่แท้ จริง หรือประทับตราหรือลงลายมือชื่อปลอมในหนังสือเดินทาง โดยประการที่ทำให้

เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นหนังสือเดินทางที่แท้จริง ผู้กระทำความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๒๖๘/๘[208] ผู้ใดใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา ๒๖๘/๗ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา ๒๖๘/๘ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสองแสนบาท การมีหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา ๒๖๘/๘ จำหน่ายแต่ละฉบับขึ้นไป ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าไว้เพื่อจำหน่าย ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตราหนึ่งหรือธรรมดาเป็นผู้ปลอมซึ่งหนังสือเดินทาง ตามมาตรา ๒๖๘/๘ ให้ลงโทษตามมาตรานั้นแต่กระทงเดียว

มาตรา ๒๖๘/๑๐[209] ผู้ใดนำเข้าในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา ๒๖๘/๘ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทำไปเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๒๖๘/๑๑[210] ผู้ใดทำหนังสือเดินทางปลอมขึ้นเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามถึงสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

ผู้ใดจัดทำหนังสือเดินทางให้ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

มาตรา ๒๖๘/๑๒[211] ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งตราดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นประตรวจลงตราซึ่งใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๒๖๘/๑๓[212] ผู้ใดใช้ตราดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นประตรวจลงตราซึ่งปลอมขึ้นตามมาตรา ๒๖๘/๑๒ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตราหนึ่งเป็นผู้ปลอมซึ่งตราดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นประตรวจลงตรา ต้องลงโทษตามมาตรานั้นแต่กระทงเดียว

มาตรา ๒๖๘/๑๔[213] ผู้ใดนำเข้าในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งตราดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นประตรวจลงตราซึ่งปลอมขึ้นตามมาตรา ๒๖๘/๑๒ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๒๖๘/๑๕[214] ผู้ใดใช้ตราดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นประตรวจลงตราอันเป็นของแท้ซึ่งใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศโดยมิชอบ ในประการ

ที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖๘/๑๑

ลักษณะ ๔

ความผิดเกี่ยวกับการค้า

มาตรา ๒๖๙[215] ผู้ใดใช้หรือให้ใช้เพื่อใช้หรือเครื่องซึ่ง เครื่องอาวุธ หรือเครื่องวัด ที่ผลิตอัตราหรือมาตรฐานในการค้า หรือสินค้าซึ่งชำรุดไม่ใช้งาน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๙/๑[216] ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วยการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ[217]จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๙/๒[218] ผู้ใด

(๑)

เอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้ หรือทำให้ปรากฏที่สินค้า หีบ ห่อ หีบห่อที่บรรจุสินค้า หรือฉลาก รายการแสดงราคา ตามลักษณะเกี่ยวกับการค้าหรือสิ่งอื่นอันเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้า หรือการค้าของผู้อื่น

(๒)

เลียนแบบหรือทำให้คล้ายคลึงกับเครื่องหมายของผู้อื่นอันเกี่ยวกับการค้าของผู้อื่นเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้า หรือการค้าของผู้อื่น หรือ

(๓)

ใช้ข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความเพื่อให้เสียความเชื่อถือในสถานที่การค้า สินค้าอุตสาหกรรมหรือพาณิชยการของผู้อื่นผู้ใด โดยมุ่งประโยชน์แก่การค้าของตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดอันยอมความได้

มาตรา ๒๖๙/๓[219] ผู้ใดออกใบรับหรือหมายการค้าของผู้อื่นซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว ไม่ว่าจะได้ออกใบรับหรือหมายการค้าอันกระทำด้วยการ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๙/๔[220] ผู้ใดผลิตเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว ไม่ว่าจะได้ออกใบรับหรือหมายการค้าอันกระทำด้วยการ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๙/๕ ผู้ใดในการออกใบรับการค้า จัดทำหรือเตรียมเครื่องหมายการค้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่มีลักษณะ (๑) หรือสินค้าเป็นสินค้าที่ผลิตโดยการกระทำความผิดอันมีลักษณะดังกล่าวในมาตรา ๒๖๙

ยินดีตามความในมาตรา 227 หรือมาตรา 225 ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

ลักษณะ 9

ความผิดเกี่ยวกับเพศ

มาตรา 276[221] ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้อวัยวะเพศของตนโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำโดยทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าใจว่าผู้กระทำเป็นหรือสัตว์ร้ายชนิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำโดยมีอาวุธเป็นหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทำชำเราชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำความผิดระหว่างคู่สมรส และผู้สมรสฝ่ายหนึ่งประสงค์จะดำเนินคดีตามลักษณะนี้ ศาลอาจพิจารณาให้คู่สมรสฝ่ายที่กระทำความผิดให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นแก่คู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด หรือบุตรของคู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำความผิด ของเด็กผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแทนการลงโทษได้ ในกรณีการกระทำของตน ให้คำนึงถึงวัย ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ สิ่งแวดล้อมของผู้กระทำความผิดและเด็กผู้ถูกกระทำ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำความผิดกับเด็กผู้ถูกกระทำ หรือเหตุอื่นอันควรเพื่อประโยชน์ของเด็กผู้ถูกกระทำด้วย ในกรณีที่ได้มีการดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทำหรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแล้วและเด็กผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้าการกระทำของเด็กผู้กระทำผิดนั้นเป็นความผิดร้ายแรงหรือเป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นภัยต่อสังคมจนไม่อาจให้โอกาสเด็กผู้กระทำผิดกลับตัวเป็นคนดีได้ ให้ดำเนินการตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง โดยไม่ต้องมีเหตุอันควรดังกล่าว

มาตรา ๒๗๖ ทวิ (223) ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ

(ก)

รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต

(ข)

ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๒๗๖ ตรี (224) ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสาม หรือมาตรา ๒๗๖ วรรคสี่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ

(ก)

รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

(ข)

ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต

มาตรา ๒๗๖ จัตวา (225) ผู้ใดกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยผู้เยาว์ด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศสอดใส่อวัยวะเพศหรือทวารหนักของบุคคลนั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสอง ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือในลักษณะเป็นการทรมานร่างกายหรือจิตใจของบุคคลนั้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต ระหว่างที่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๗๖ จัตวา วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีหรือระหว่างการรับโทษ ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้บุคคลนั้นเข้ารับการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ หรืออบรมในสถานพยาบาลหรือสถานที่อื่นตามที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา ๒๗๖ เบญจ (226) ผู้ใดกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บาน หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราหนึ่ง เป็นการกระทำแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราหนึ่งหรือวรรคสอง ผู้กระทำได้กระทำโดยผู้มีอำนาจปกครองใด ๆ โดยให้ลักษณะประมาทร้าย โดยเป็นผู้มีปัญญาที่ไม่สามารถชัดเจนได้ หรือโดยทำให้เด็กเสียใจโดยการล่วงเกินส่วนตัว ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราหนึ่งหรือวรรคสาม เป็นการกระทำโดยใช้วัตถุหรือวัสดุอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศส่วนล่างของเพศหรืออวัยวะเพศส่วนอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราหนึ่ง เป็นการกระทำแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราสี่วรรคห้า ได้กระทำโดยทำให้ผู้ถูกกระทำเข้าใจว่าตนจะต้องมีชีวิตอยู่ในอันตราย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราสี่วรรคห้า ได้กระทำโดยมีการข่มขู่หรือรังแก หรือโดยใช้กำลัง หรือโดยใช้วิธีการใด ๆ ที่ทำให้ผู้ถูกกระทำต้องอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี หรือปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 280(231) ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 267 หรือมาตรา 267 เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ

(1) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต (2) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 280/1(232) ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา 267 มาตรา 267 และมาตรา 267 หรือมาตรา 267 ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในการกระทำหน้าที่หรือการกระทำอันมิชอบ เพื่อสนองประโยชน์ใดอันมิชอบหรือรับสินบนหรือรางวัล ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม

ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้ เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งภาพหรือเสียงการกระทำอันร้ายแรงหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมใด ๆ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม

มาตรา 280/2(233) ความผิดตามมาตรานี้ต่อไปนี้ เป็นความผิดยอมความได้

(๑)

มาตรา ๒๖๒ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๒๖๗ วรรคสอง ซึ่งเป็นการกระทำระหว่างคู่สมรส ถ้าได้เกิดต่อหน้าการกระทำนั้น หรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย

(๒)

มาตรา ๒๖๒ วรรคหนึ่ง ถ้าได้เกิดต่อหน้าการกระทำนั้น ไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย หรือมิได้เป็นการกระทำแก่บุคคลซึ่งอยู่ในมาตรา ๒๖๔ และมาตรา ๒๖๕/๒

มาตรา ๒๖๔[234] ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่แสนบาทถึงห้าแสนบาท ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น รับจ้างบุคคลซึ่งมีผู้จัดหา ล่อไป หรือพาไปการอนาจาร วรรคสอง การกระทำความผิด หรือสนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว ต้องระวางโทษตามบัญญัติในวรรคแรก หรือวรรคสองของการกระทำความผิดนั้น

มาตรา ๒๖๕[236] ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งบุคคลอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่บุคคลอายุยังไม่เกินสิบปี ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๕ ทวิ[238] ผู้ใดพาบุคคลอายุเกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้พ้นอายุย่อมยินยอม ต้องระวางโทษ[239]จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดชักชวนบุคคลซึ่งถูกพาไปตามวรรคแรกหรือวรรคสอง ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติในวรรคแรกหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี ความผิดตามวรรคแรกและวรรคสองเฉพาะกรณีที่กระทำกับบุคคลอายุเกินสิบห้าปี เป็นความผิดอันยอมความได้

มาตรา ๒๔๓ (๒๔๐) ผู้ใดพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้ขู่เข็ญหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้อำนาจผิดทำนองคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่น ต้องระวางโทษ (๒๔๑) จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ผู้ใดชักชวนบุคคลซึ่งถูกพาไปตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พาไปนั้น ความผิดตามมาตรานี้ เป็นความผิดอันยอมความได้

มาตรา ๒๔๔ (๒๔๒) ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๒๔๐ มาตรา ๒๔๒ มาตรา ๒๔๓ มาตรา ๒๔๔ ตรี มาตรา ๒๔๔ หรือมาตรา ๒๔๔ ตรี เป็นการกระทำหรือการกระทำใด ๆ เป็นการกระทำกับบุคคลซึ่งไม่สามารถปกป้องตนเองอันเนื่องมาจากเป็นผู้พิพากษา ผู้จัดการทรัพย์สิน หรืออิทธิพลอื่น ๆ ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม

มาตรา ๒๔๕ (๒๔๓) ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี และปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต

(๑)

ช่วยเหลือ ให้ความสะดวก หรืออุปการะการกลับประเทศของผู้อื่น

(๒)

รับประโยชน์ไม่ว่ารูปแบบใดจากการกลับประเทศของผู้อื่นซึ่งต้องระวางโทษในกรณีนี้

(๓)

บังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือใช้อำนาจผิดทำนองคลองธรรมเพื่อบังคับผู้อื่นให้ทำงานเพื่อการกลับประเทศ

(๔)

จัดให้มีการกลับประเทศระหว่างผู้ที่กลับประเทศด้วยกัน

(๕)

ปกปิดหรืออำพรางแหล่งที่มาของรายได้ทรัพย์สินที่ได้มาจากการกลับประเทศ อยู่ร่วมกับผู้ซึ่งลำบากประณีตหรือสมาคมกับผู้ซึ่งลำบากประณีตคนเดียวหรือหลายคนเป็นอาจินต์ และไม่สามารถแสดงที่มาของรายได้ในการดำรงชีพของตน

(ข)

ขัดขวางการดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีป้องกัน ควบคุม ช่วยเหลือ หรือให้การศึกษาแก่ผู้ลำบากประณีต ผู้ซึ่งจะเข้าร่วมในการลำบากประณีต หรือผู้ซึ่งอาจได้รับอันตรายจากการลำบากประณีต ความในวรรคหนึ่ง (ก) และ (ข) มิให้ใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งเป็นประโยชน์ไม่ว่ารูปแบบใดซึ่งพึงได้รับตามกฎหมายหรือจารีตประเพณี

มาตรา ๒๖๗[246] ผู้ใด

(ก)

เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงต่อคนในประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือมิให้นำเข้าในกรณีการออกจากจักร ส่งออกหรือมิให้ออกไปนอกราชอาณาจักร ทำไปหรือมิให้นำไปหรือมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยประการใด ๆ ซึ่งแสดงการ ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ แบบบันทึกเสียง แบบบันทึกภาพหรือสิ่งอื่นใดอันลามก

(ข)

ประกอบการค้า หรือมีส่วนร่วมในการซื้อขายในทางลามกอนาจาร หรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว จำหน่ายแจกหรือแสดงต่อคนในประชาชน หรือให้เช่าหรือให้เช่าวัสดุเช่นนั้น

(ค)

เพื่อช่วยการทำให้แพร่หลาย หรือการค้าจัดจำหน่ายหรือแสดงลามกดังกล่าวแล้ว โดยจงใจทำโดยประการใด ๆ ว่ามีลักษณะลามกอนาจาร หรือเพื่อการโฆษณาลามกอนาจารโดยประการใด ๆ วัสดุสิ่งของลามกดังกล่าวแล้วตามที่ได้ความว่าได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใด ต้องระวางโทษ[247]จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๘/๑[248] ผู้ใดครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งส่งต่อสื่อลามกอนาจารเด็กผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๖๘/๒[249] ผู้ใด

(ก)

เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงต่อคนในประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือมิให้นำเข้าในกรณีการออกจากจักร ส่งออกหรือมิให้ออกไปนอกราชอาณาจักร ทำไปหรือมิให้นำไปหรือมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยประการใด ๆ ซึ่งสื่อถึงลามกอนาจารเด็ก

(ข)

ประกอบการค้า หรือมีส่วนร่วมในการซื้อขายในทางลามกอนาจารเด็ก หรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว จำหน่ายแจกหรือแสดงต่อคนในประชาชน หรือให้เช่าหรือให้เช่าวัสดุเช่นนั้น

(ค)

เพื่อช่วยการทำให้แพร่หลาย หรือการค้าจัดจำหน่ายหรือแสดงลามกอนาจารเด็กดังกล่าวแล้ว โดยจงใจทำโดยประการใด ๆ ว่ามีลักษณะลามกอนาจารเด็ก หรือเพื่อการโฆษณาลามกอนาจารเด็กโดยประการใด ๆ วัสดุสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว หรือโฆษณาหรือไขข่าวว่าสื่อกลางบอกบางกรณีเด็กดังกล่าวแล้วจะหาได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ลักษณะ 10

ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย

หมวด 1

ความผิดต่อชีวิต

มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 289 ผู้ใด

(1) ฆ่าบุพการี (2) ฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่ต้องกระทำหรือได้กระทำการตามหน้าที่ (3) ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่บุคคลนั้นจะช่วยหรือได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวมาแล้ว (4) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (5) ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย (6) ฆ่าผู้อื่นเพื่อเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น หรือ (7) ฆ่าผู้อื่นเพื่อเอาอวัยวะหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา ในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ต้องระวางโทษประหารชีวิต

มาตรา 290 ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

ถ้าการทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นความผิดลหุโทษ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี

มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 292 ผู้ใดช่วยหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าตัวตาย โดยการยุยงส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใด เพื่อให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายสำเร็จ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ตนเอง ถ้าการชำระหนี้นั้นได้เกิดขึ้นหรือได้มีการพยายามชำระหนี้ตนเอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

มาตรา 252 ผู้ใดช่วยหรือยอมเด็กอายุยังไม่เกินสิบแปดปี หรือผู้ซึ่งไม่สามารถเข้าใจว่าการกระทำของตนมีสภาพหรือสาระสำคัญอย่างไรหรือไม่สามารถบังคับการกระทำของตนได้ ให้หลบหนีออกจากที่คุมขังตามคำสั่งศาลหรือให้ออกจากพยาบาลตามคำสั่งศาล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 253 ผู้ใดเข้าร่วมในชุมนุมอันมิชอบด้วยกฎหมายซึ่งรู้หรือควรจะรู้ว่ามีบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลดังกล่าวได้ไม่ชอบด้วยกฎหมายในกรณีใด ๆ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุมนุมอันมิชอบด้วยกฎหมายแสดงได้ว่า ได้กระทำไป เพื่อห้ามการชุมนุมอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

หมวด 2

ความผิดต่อร่างกาย

มาตรา 254 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 255 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ถ้าความผิดนั้น มีลักษณะกระทำไปโดยการใช้วัตถุระเบิดหรืออาวุธปืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 256 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

อันตรายสาหัสนั้น คือ

(ก)

ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียความประสาท

(ข)

เสียอวัยวะสืบพันธุ์หรือความสามารถสืบพันธุ์

(ค)

เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรืออวัยวะอื่นใด

(ง)

หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว

(จ)

แท้งลูก

(ฉ)

จิตพิการอย่างติดตัว

(ช)

ทุกข์ทรมาน หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต (5) พุพองภาพหรือป่วยเป็นด้วยอาการทุกขเวทนากินกว่าสิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่าสิบวัน

มาตรา 297[257] ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 295 ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 289 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงสิบปี และประหารชีวิตแต่ในที่สุดศาลจะลดหย่อนโทษให้ก็ได้

มาตรา 298[258] ผู้ใดกระทำในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งสามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนหรือไม่ถึงแก่ความตายโดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่า ได้กระทำไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น หรือเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา 299[259] ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หมวด 3

ความผิดฐานทำให้แท้งลูก

มาตรา 300[260] หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้แท้งลูกจนถึงอายุครรภ์เกินสิบสองสัปดาห์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 301[261] ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำนั้นแสดงให้หญิงรู้รับอันตรายสาหัสด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

มาตรา 302[262] ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำนั้นแสดงให้หญิงรู้รับอันตรายสาหัสด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับไม่เกินสี่แสนบาท

มาตรา 303 ผู้ใดเผยแพร่ข่าวสารความผิดตามมาตรา 300 หรือมาตรา 301 วรรคแรก ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา 304[263] ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 300 หรือมาตรา 301 เป็นการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและตามหลักเกณฑ์ใน

กรณีดังต่อไปนี้ ผู้กระทำไม่มีความผิด

(๑)

จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทางกายหรือจิตใจของหญิงนั้น

(๒)

จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากมีความเสี่ยงอย่างมากหรือเหตุผลทางการแพทย์บ่งชี้ว่า หากการคลอดออกมาจะส่งผลให้บุตรมีสภาพทุพพลภาพอย่างร้ายแรง

(๓)

หญิงยืนยันต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมว่ามีความตั้งครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ

(๔)

หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกินสิบสองสัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์

(๕)

หญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกินสิบสองสัปดาห์ แต่ไม่เกินยี่สิบสัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์หลังจากการรับการปรึกษาทางเลือกจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ประกอบวิชาชีพอื่นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามคำแนะนำของแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

หมวด ๔

ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บหรือคนชรา

มาตรา ๓๐๖[๒๖๔] ผู้ใดทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี ไว้ ณ ที่ใด เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยปราศจากเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๐๗[๒๖๕] ผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือความสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้ เพราะอายุ ความป่วยเจ็บ ภาวะทุพพลภาพหรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เช่นว่านั้นโดยปราศจากเหตุอันสมควรแก่การดำรงชีวิต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๐๘ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๐๖ หรือมาตรา ๓๐๗ เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตายหรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๐ หรือ มาตรา ๒๙๗ แล้วแต่กรณี

ลักษณะ ๑๑

ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง

หมวด ๑๑

ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ

มาตรา ๓๐๙[๒๖๖] ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดตามมาตราแรกได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกบังคับเข้าใจผิด ถอย ทำให้เสียหาย หรือทำลายเอกสารสิทธิอย่างใด ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการทำโดยอ้างว่ากำลังตั้งหรือยังมีหรือยังโง่ ไม่ว่าอ้างสิ่งซึ่งยังโง่หรือยังโง่เป็นอยู่หรือไม่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท

มาตรา 300[267] ผู้ใดข่มเหงหรือทารุณผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 มาตรา 297 หรือมาตรา 300

มาตรา 300 ทวิ[268] ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้เยาว์ หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้เยาว์ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และได้ผู้เยาว์นั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา 301[270] ผู้ใดกระทำโดยประมาทและเป็นเหตุให้ผู้อื่นซึ่งถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขังหรือปราศจากเสรีภาพในร่างกายถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขัง หรือปราศจากเสรีภาพในร่างกายถึงแก่ความตายหรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 หรือมาตรา 300

มาตรา 302[271] ผู้ใดเพื่อเจตนาฉลอมเป็นทาส หรือให้ผู้อื่นแสดงลักษณะนำเข้าในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ทางกลางทางใด ซื้อ ขาย จำหน่าย รับหรือหน่วงเหนี่ยวซึ่งบุคคลหนึ่งบุคคลใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท

มาตรา 302 ทวิ[272] ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 300 ทวิ หรือมาตรา 302 เป็นการกระทำต่อเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ผู้กระทำต้องระวางโทษ[273] จำคุกตั้งแต่สามถึงสิบปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท

ถ้าการกระทำความผิดตามมาตราแรก หรือมาตรา 300 ทวิ หรือมาตรา 302 เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ

(ก)

รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับไม่เกินสามแสนบาท

(ข)

รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี

(ค)

ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี

มาตรา 307 ตรี[274] ผู้ใดโดยทุจริตรับไว้ จำหน่าย เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปซึ่งบุคคลอายุกเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ต้องระวางโทษ[275]จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 307 จัตวา[276] ผู้ใดผลิตให้ได้มาซึ่งสิ่งต่างใด

(ก)

เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีไป

(ข)

เอาตัวบุคคลอายุเกินสิบแปดปีไป โดยใช้จูงบทยหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หรือ

(ค)

หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด ต้องระวางโทษ[277]จำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายไป ผู้ถูกกระทำเหนื่อย หรือผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย หรือเป็นการกระทำที่มีลักษณะทารุณโหดร้าย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย หรือถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายไป ผู้ถูกกระทำเหนื่อย หรือผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย หรือเป็นการกระทำที่มีลักษณะทารุณโหดร้าย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย หรือถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต

มาตรา 307 เบญจ ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามมาตรา 307 จัตวา ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในการกระทำผิดนั้น

มาตรา 307 ฉ ผู้ใดกระทำการเป็นนายกลาง โดยเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าได้จากผู้กระทำความผิดตามมาตรา 307 หรือจากผู้ถูกกระทำ ให้ผู้นั้น ต้องระวางโทษ[278]จำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 307 ซ้ำ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 307 มาตรา 307 หรือมาตรา 307 ฉ เป็นการกระทำที่มีลักษณะทารุณโหดร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษ[279]จำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา 308[280] ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษ[281]จำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวเด็กอายุห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น ถ้าภาพถ่าย 문서의 텍스트를 OCR로 추출한 결과는 다음과 같습니다: ถ้าความผิดตามมาตรา ๓๗๙ นี้ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๓๘๐ (๒๘๒) ผู้ใดพาผู้อยู่ในอายุจำสั้นหัว แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้ถูกพาไปนั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับซื้อผู้เยาว์ซึ่งถูกพาออกจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษเช่นเดียวกันกับผู้พาผู้นั้น ถ้าความผิดตามมาตรา ๓๘๐ นี้ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษ (๒๘๓) จำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๓๘๑ (๒๘๔) ผู้ใดพาผู้อยู่ในอายุจำสั้นหัว แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้ถูกพาไปนั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษ (๒๘๕) จำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับซื้อผู้เยาว์ซึ่งถูกพาออกจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษเช่นเดียวกันกับผู้พาผู้นั้น

มาตรา ๓๘๒ (๒๘๖) ผู้ใดใช้จ่ายหนี้กองกลาง ชุมนุม ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจข่มขู่คุกคามหรือรังแก หรือใช้วิธีอื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ผู้เยาว์ซึ่งถูกพาออกจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลไปนั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกพา หรือส่งไปนั้นตกอยู่ในอำนาจของผู้ใช้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือเพื่อจะให้เป็นคนอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๓๘๓ ความผิดตามมาตรา ๓๘๐ วรรคแรก มาตรา ๓๘๑ วรรคแรก และมาตรา ๓๘๒ วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้

มาตรา ๓๘๔ (๒๘๘) การกระทำความผิดตามมาตรา ๓๘๐ ตรี วรรคสอง และมาตรา ๓๘๒ วรรคสอง หากเป็นการกระทำที่มิใช่เป็นการล่วงล้ำ ห้ามอัยการไม่รู้ความของเด็กเพื่อให้พ้นจากความผิดนั้น

หมวด ๒

ความผิดฐานเปิดเผยความลับ

มาตรา ๓๘๕ (๒๘๙) ผู้ใดเปิดเผยหรือเอาความลับของผู้อื่น โทษเพราะเพื่อการใด ๆ ซึ่งเป็นความลับซึ่งผู้ปกปิดไว้ เพื่อกันมิให้ผู้อื่นล่วงรู้ในสถานะที่ตนพึงจะต้องปกปิดไว้ตามหน้าที่หรือเพราะเหตุอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

```

มาตรา ๒๙๐[290] ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่นโดยเหตุที่ตนเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ โดยเหตุที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ เภสัชกร คนรับจ้างทำของ ทนายความ ผู้พิพากษา นักจิต หมอความ หมายความหรือผู้สอบบัญชี หรือโดยเหตุที่เป็นผู้ช่วยในการประกอบอาชีพนั้น แล้วเปิดเผยความลับนั้นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้รับการศึกษาอบรมในอาชีพดังกล่าวในวรรคแรก เปิดเผยความลับของผู้อื่น อันตนได้ล่วงรู้หรือได้มาจากการศึกษาอบรมนั้น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

มาตรา ๒๙๑[291] ผู้ใดโดยเหตุที่ตนมีตำแหน่งหน้าที่ วิชาชีพหรืออาชีพอื่นเป็นที่ไว้วางใจ ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่นเกี่ยวกับอุตสาหกรรม การค้นพบ หรือการผลิตในวิทยาศาสตร์ เปิดเผยหรือใช้ความลับนั้นเพื่อประโยชน์ของตนหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๙๒ ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้

หมวด ๓

ความผิดฐานหมิ่นประมาท

มาตรา ๒๙๓[292] ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้กระทำต้องระวางโทษฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๙๔ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามและการใส่ความนั้นน่าจะเป็นเหตุให้ ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๒ นั้น

มาตรา ๒๙๓[293] ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือสิ่งอื่นที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แผ่นเสียงหรือสิ่งบันทึกเสียงอย่างอื่น กระทำโดยการกระจายเสียงหรือกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

มาตรา ๒๙๔ ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต

(๑)

เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับสิ่งที่ตามคลองธรรม

(๒)

ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่

(๓)

ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลสาธารณะเปิดเผยในวิจารณญาณของตน หรือ

(๔)

ในการชุมนุมด้วยความเป็นธรรมเพื่อการดำเนินการอันเป็นไปโดยเปิดเผย ศาลหรือในการประชุม ``` ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

มาตรา ๓๓๐ ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหมิ่นประมาททำความผิด ผู้พูดรู้ได้ว่าข้อความที่ว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่มีต้องรับโทษ

แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่ว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

มาตรา ๓๓๑ ดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทด้วยความตาย ซึ่งแสดงความผิดเห็นหรือข้อความในระบอบการปกครองคดีในศาล เทียบประโยชน์เกิดข้อยอม ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

มาตรา ๓๓๒ ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด

ศาลอาจสั่ง

(๑)

ให้ยึด และทำลายวัตถุหรือส่วนของวัตถุที่มีข้อความหมิ่นประมาทนั้น

(๒)

ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา

มาตรา ๓๓๓ ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้

ถ้าผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทตายสิทธิที่จะร้องทุกข์ ให้บิดามารดา ผู้สืบสันดาน ผู้เป็นสามีหรือภริยาของผู้ตายร้องทุกข์แทนได้

มาตรา คู่สมรสหรือบุตรของผู้ตายที่ได้ร้องทุกข์แล้ว และให้ถอนคำร้องทุกข์ได้

ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

หมวด ๑

ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์

มาตรา ๓๓๔(294) ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพันบาท

มาตรา ๓๓๕(295) ผู้ใดลักทรัพย์

(๑)

ในเวลากลางคืน

(๒)

ในที่หรือบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด อุทกภัย หรือในที่หรือบริเวณที่มีอุบัติเหตุ เหตุทุกขภัยหรือในที่หรือบริเวณที่ชุมนุมเพื่อช่วยเหลือโดยสาร หรือที่พนักงานมีอำนาจสั่งการ หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน หรือขัดขวางโอกาสที่ประชาชนกำลังลำบากอันเนื่องด้วยภัยใด ๆ

(๓)

โดยทำด้วยการทำลายสิ่งกีดขวางหรือกระทำด้วยความรุนแรงต่อทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งกีดขวางด้วยประการใด ๆ

(๔)

โดยทำด้วยการทำลายสิ่งที่ได้ทำขึ้นโดยได้ตั้งขึ้นให้เป็นทางคนเดิน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจได้ปิดไว้ให้เข้า

(๘)

โดยแสดงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น มอบหน้าที่หรือทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้

(๙)

โดยอ้างว่าเป็นเจ้าพนักงาน

(๑๐)

โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป

(๑๑)

ในเหตุการณ์ สถานที่หรือการจัดงานซึ่งมีลักษณะให้ต้องให้บริการสาธารณะที่มิใช่ในโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือข้อห้ามอย่างอื่นที่บัญญัติขึ้น

(๑๒)

ในสถานที่ซึ่งสารธารณะ สถานที่ใดๆ ท่ออากาศยานที่จอดรถหรือเรือสารธารณะ สารธารณะสถานสำหรับขนถ่ายสินค้า หรือในขณะยาสารธารณะ

(๑๓)

ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสารธารณประโยชน์

(๑๔)

ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง

(๑๕)

ที่เป็นของผู้มีอาชีพกิจกรรม บรรดาที่เป็นผลิตภัณฑ์ พืชพันธุ์ สัตว์ หรือเครื่องมืออื่นที่ใช้สำหรับประกอบกิจกรรมหรือได้รับจากการทำกิจกรรมนั้น ต้องระวางโทษ[๒๙๖] จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท ถ้าความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำที่ปรากฏข้อเท็จจริงและตั้งบัญญัติอย่างชัดเจนว่ามีการกระทำโดยเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของราชอาณาจักรไทยหรือจำหน่ายในราชอาณาจักรไทย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ผู้มีอาชีพกิจกรรมใช้สำหรับประกอบกิจกรรม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท[๒๙๗] ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคนี้ เป็นการกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทาน และทรัพย์นั้นมีราคาน้อย ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๓๗ ก็ได้

มาตรา ๓๓๕ ทวิ[๒๙๘] ผู้ใดลักทรัพย์ที่เป็นพระพุทธรูปหรือวัตถุในทางศาสนา ถ้าทรัพย์นั้นที่มีลักษณะทางศาสนาของชาวพุทธ หรือเป็นทรัพย์สินของชาติ หรือสถานที่ที่มีในครอบครองของรัฐหรือของเอกชน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ถ้าความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำโดยเจตนา ได้ทรัพย์สินของชาติ หรือสถานที่ที่มีในครอบครองของรัฐหรือของเอกชน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๓๓๖[๓๐๐] ผู้ใดลักทรัพย์โดยออกของเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

ถ้าความผิดตามวรรคแรกเป็นการกระทำโดยเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของราชอาณาจักรไทยหรือจำหน่ายในราชอาณาจักรไทย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงห้าหมื่นบาท ถ้าการจึงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้รับจึงรับทรัพย์มอบสิทธิ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าการจึงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้รับจึงเสียความสามารถ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสามแสนบาท

มาตรา ๓๐๑ [301] ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๓๙๕ มาตรา ๓๙๖ มาตรา ๓๙๗ หรือ มาตรา ๓๙๘ โดยมีเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น หรือเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นการพิจารณาจำคุกหรือปรับ หรือเพื่อให้ผู้อื่นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเพื่อให้ผู้อื่นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หมวด ๒

ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์

มาตรา ๓๐๒[302] ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือมอบให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมให้ ผู้กระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย

(ก)

ขู่เข็ญว่า จะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือของบุคคลที่สาม หรือขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือ

(ข)

มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

มาตรา ๓๐๓[303] ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือมอบให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยผู้ถูกข่มขืนใจจะต้องเสียผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำให้ผู้อื่นถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย ผู้ถูกข่มขืนใจยอมทำเช่นนั้น ผู้กระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา ๓๐๔[304] ผู้ใดลักทรัพย์โดยให้กลัวประทุษร้าย หรือผู้ถูกข่มขืนใจนั้นได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

(๑)

ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(๒)

ให้ยินยอมให้ทรัพย์นั้น

(๓)

ถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(๔)

ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(๕)

ให้พ้นจากการจับกุม ผู้ที่กระทำความผิดฐานลิขสิทธิ์ ต้องระวางโทษ[305]จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสี่ปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงแปดแสนบาท ถ้าการลิขสิทธิ์เป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังบัญญัติไว้ในอนุมาตราหนึ่งมาตราใดแห่งมาตรา ๓๗๕ หรือเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็น เรือ เครื่องยนต์หรือเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการเดินเรือหรือการบิน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสองล้านบาท[306] ถ้าการลิขสิทธิ์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าการลิขสิทธิ์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต

มาตรา ๓๗๖ ทวิ[307] ถ้าการลิขสิทธิ์ได้กระทำต่อทรัพย์ตามมาตรา ๓๗๕ หรือ วรรคแรก ผู้กระทำต้องระวางโทษ[308]จำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสามแสนบาท[309]

ถ้าการลิขสิทธิ์เป็นการกระทำในลักษณะดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๓๗๕ วรรคสอง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสามแสนบาท ถ้าการลิขสิทธิ์เป็นการกระทำที่มีลักษณะดังบัญญัติไว้ในเหตุให้ผู้อื่นรับอันตราย การกระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าการลิขสิทธิ์มีความรุนแรงหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี ถ้าการลิขสิทธิ์มีความรุนแรงหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต

มาตรา ๓๗๖ ตรี[310] ผู้ใดจำหน่ายโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำความผิดฐานลิขสิทธิ์ ต้องระวางโทษ[311]จำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสามแสนบาท

ถ้าในการลิขสิทธิ์ ผู้กระทำมีลักษณะเป็นส่วนบุคคลโดยมีความรู้ความคิดใดๆ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าการลิขสิทธิ์เป็นการกระทำที่มีลักษณะดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๓๗๕ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี ถ้าการปล้นทรัพย์หรือชิงทรัพย์โดยมีผลความรุนแรงเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายถึงแก่ชีวิต ใดๆ ในการกระทำดังกล่าว ผู้กระทำการกระทำตาม ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต

มาตรา ๓๑๐ ทวิ(312) ถ้าการปล้นทรัพย์ได้กระทำต่อทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคแรก ผู้กระทำต้องระวางโทษ(313)จำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท

ถ้าการปล้นทรัพย์นั้นเป็นการกระทำในสถานที่ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคสองด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสอง ผู้กระทำงานแต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองได้กระทำโดยแสดงความทารุณจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสถึงตาย ใช้ยานพาหนะ หรือมีอาวุธปืนหรือกระทำทรมาน ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต

มาตรา ๓๑๐ ตรี(314) ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคแรก มาตรา ๓๑๐ หรือมาตรา ๓๑๐ ทวิ โดยมีเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน หรือโดยเข้าใจว่าเป็นทรัพย์หรืออาวุธโดยมิชอบหรือใช้อาวุธเป็นหรือวัสดุระเบิด หรือโดยใช้อำนาจหน่วยทหารพลิกผิด หรือพาพรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง

หมวด ๓

ความผิดฐานฉ้อโกง

มาตรา ๓๑๗(315) ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปิดบังข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ หรือเอกสารอื่นใดซึ่งเป็นหลักฐานแห่งสิทธิ หรือทำให้เสียหายแก่ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๑๘(316) ถ้าการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงมีลักษณะดังต่อไปนี้

(ก)

แสดงเป็นคนอื่น หรือ

(ข)

อาศัยความเท็จปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรือคนที่มีความอ่อนแอแห่งตัวของผู้ถูกหลอกลวง ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 317(317) ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 317 ได้กระทำด้วย การแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปิดบังความจริง ซึ่งควรบอกให้ แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ต้องโทษจำคุกแล้วแต่ กรณีตามวรรคสองของมาตรา 317 ด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เดือน หนึ่งถึงปีหนึ่ง และปรับเงินเพิ่มหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือนที่กระทำความผิด

มาตรา 318(318) ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ ประกอบการงานอย่างใด ๆ ให้แก่ตนหรือให้แก่นายจ้างของตน โดยจะไม่ให้ค่าจ้างงานหรือค่า จ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าจ้างงานหรือค่าจ้างที่บุคคลเหล่านั้นทำสัญญาไว้ต่อกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 319(319) ผู้ใดตั้งชื่อและบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือเข้าอยู่ ในโรงแรม โดยรู้ว่าไม่สามารถจะจ่ายเงินค่าจ้างชื่อหรือค่าชื่อ หรือค่าอยู่ในโรงแรมนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 320(320) ผู้ใดโดยทุจริตหลอกลวงบุคคลให้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ บุคคลที่สาม ชักจูงผู้ถูกหลอกให้ทำพินัยกรรมโดยเสียเปรียบแก่ตน โดยการหลอกลวงนั้น ชักจูงผู้เสียหายก่อนหรือระหว่างการทำพินัยกรรม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 321(321) ผู้ใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการ ประกันวินาศภัย แกล้งทำให้เกิดเสียหายแก่ทรัพย์สินอันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 324 ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา 317 เป็น ความผิดอันยอมความได้

หมวด 4

ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

มาตรา 322(322) ผู้ใดเอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไม่ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินของตนหรือของผู้อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ หรือเพื่อให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 323(323) ผู้ใดโดยทุจริตโอนทรัพย์สินของตนหรือของผู้อื่นให้เจ้าหนี้ หรือบุคคลที่สาม โดยให้เจ้าหนี้หรือบุคคลที่สามนั้นได้ประโยชน์มากกว่าที่ตนหรือบุคคลที่สามนั้นมีสิทธิจะได้รับ หรือโดยให้เจ้าหนี้หรือบุคคลที่สามนั้นได้รับประโยชน์ที่ตนหรือบุคคลที่สามนั้นไม่มีสิทธิจะได้รับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 324 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้

หมวด 5

ความผิดฐานยักยอก

มาตรา 324(324) ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดในข้อประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เบากว่าที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง

มาตรา 325(325) ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริต โดยยักย้ายทรัพย์สินนั้นให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้มีส่วนได้เสีย ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 326(326) ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 324 หรือมาตรา 325 ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำมีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย โดยได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 327(327) ผู้ใดได้รับสิ่งทรัพย์หรือสิ่งอื่นใด อันซ่อนหรือฝังไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่สมควรเชื่อว่าผู้นั้นมีสิทธิในสิ่งนั้นด้วยตนเองหรือในฐานะตัวแทนของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 328 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้

หมวด 6

ความผิดฐานรับของโจร

มาตรา 328(328) ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด หรือโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำเพราะเหตุที่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ หรือมาตรา 335 ตรี ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินที่มีมูลค่าถึงสองแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ หรือการชิงทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๖ หรือการปล้นทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๙ ทวี ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาททั้งสามมาตรา[329]

หมวด ๗

ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์

มาตรา ๓๕๐[330] ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นผู้ครอบครองอยู่ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๑[331] ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๕๐ ได้กระทำต่อ

(ก)

เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกิจการหรืออุตสาหกรรม

(ข)

ปศุสัตว์

(ค)

ยอดยางหรือสิ่งทำนองนี้ที่ใช้ในการขนส่งสาระหรือในการประกอบกิจการหรืออุตสาหกรรม หรือ

(ง)

พืชหรือพืชผลของสิทธิ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๒[332] ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๓ หรือ[333] ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๗ หรือ วรรคหนึ่ง ที่ประดิษฐานอยู่ในสถานที่ตามมาตรา ๓๓๗ วรรคสอง ต้องระวางโทษ[334]จำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๔ ความผิดตามมาตรา ๓๕๐ และมาตรา ๓๕๒ เป็นความผิดอันยอมความได้

หมวด ๘

ความผิดฐานบุกรุก

มาตรา ๓๕๕[335] ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นหรือเพื่อแสดงการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๓๖[๓๓๖] ผู้ใดเพื่อเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตน หรือของบุคคลที่สาม ย้ายหรือทำลายเครื่องหมายแสดงสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมด หรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๓๗[๓๓๗] ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปหรือเข้าอยู่ในเคหสถาน อาคารหรือสถานที่อันมีรั้วกั้นสำหรับคนใดครอบครองอยู่ หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่นั้นเมื่อผู้มีสิทธิ์ขับไล่หรือสั่งให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๓๘[๓๓๘] ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๓๖ มาตรา ๓๓๗ หรือมาตรา ๓๓๗ ได้กระทำ

(ก)

โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย

(ข)

โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือ

(ค)

ในเวลากลางคืน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๓๙ ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา ๓๓๖ เป็นความผิดอันยอมความได้

ลักษณะ ๑๓

ความผิดเกี่ยวกับศพ[๓๓๙]

มาตรา ๓๔๐[๓๔๐] ผู้ใดกระทำเพื่อส่งความใคร่ของตน โดยการใช้ อวัยวะเพศของตนล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๑[๓๔๑] ผู้ใดกระทำอนาจารแก่ศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๒[๓๔๒] ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งศพ หรือส่วนของศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๓[๓๔๓] ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔๒ อันเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยามศพ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภาค ๓ ลหุโทษ

มาตรา 344 ผู้ใดเชื่อเจ้าพนักงานตามชื่อหรือที่อยู่เพื่อปฏิบัติการตามกฎหมาย ไม่ยอมบอกหรือแกล้งบอกชื่อหรือที่อยู่เป็นเท็จ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

มาตรา 345 ผู้ใดทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานที่สั่งการตามอำนาจที่มีตามกฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการสั่งนั้นชอบแก่กฎหมาย เป็นคำสั่งให้ช่วยทำการในหน้าที่ของเจ้าพนักงาน หรือให้ช่วยตามกำลังและความสามารถ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 346 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ประกาศภาพโฆษณาหรือเอกสารใดที่เจ้าพนักงานรัฐหากรดหมายที่เกี่ยวข้องแสดงไว้ หรือฉ้อฉลให้ปิด หรือแสดงไว้ หยุดกิจหรือใช้ประโยชน์ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา 347 ผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

มาตรา 348 ผู้ใดพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร หรือพาไปในชุมชนที่ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อมีการจัดการ การชุมนุมหรือกิจกรรม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท และให้ศาลสั่งอาวุธนั้นให้ริบอาวุธนั้น

มาตรา 349 ผู้ใดแสดงนัยอย่างชัดเจนถึงการกระทำอันเป็นการทำลายสารธารณะ หรือกระทำโดยประการอื่นใดให้เสียความสงบเรียบร้อยในทางสารธารณะหรืออารมณ์สถาน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา 350 ผู้ใดควบคุมดูแลบุคคลวิกลจริต ปล่อยปลละเลยให้บุคคลวิกลจริตนั้นออกเที่ยวไปโดยลำพัง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา 351 ผู้ใดเห็นบุคคลอยู่ในสภาพที่แสดงถึงชีวิตสัตว์ที่ต้องการช่วยได้โดยไม่ควรละทิ้งสถานการณ์และพึงช่วยเหลือแต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 352 ผู้ใดทำให้ทรัพย์ธรณีหรือทรัพย์อื่นใดในลักษณะของโคโลรา อินเป็นสารธารณะเกิดข้อขัดข้องหรือชำรุด ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา 353 ผู้ใดปล่อยสัตว์หรือสัตว์มีชีวิตโดยโดยให้สัตว์นั้นอยู่ในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสารธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 354 ผู้ใดปล่อยสัตว์หรือสัตว์มีชีวิต ปล่อยปลละเลยให้สัตว์นั้นเที่ยวไปโดยลำพัง ในประเทศที่กฎหมายเกี่ยวกับบุคคลวิจิตร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๕ ผู้ใดเพราะสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น จนเป็นเหตุให้ตนมาประพฤติวุ่นวายหรือครองสติไม่ได้ขณะอยู่ในสถานสาธารณะ หรืออาคารสถานที่ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา ๓๕๖ ผู้ใดทำหรือแสดงอาการในทางที่จะทำให้ผู้อื่นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๗ ผู้ใดทำให้เกิดเสียงอื้ออึงจนเกินไป อันจะรบกวนหรือทำให้ผู้อื่นไม่สะดวก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๘ ผู้ใดกระทำการกุศลต่อสัตว์ หรือฆ่าสัตว์โดยให้ได้รับทุกขเวทนาเกินไม่จำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๙ ผู้ใดใช้ให้สัตว์ทำงานจนเกินสมควรหรือใช้ให้ทำงานจนไม่สมควร เพราะเหตุที่สัตว์นั้นป่วยเจ็บ ชรา หรืออ่อนอายุ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๐ ผู้ใดปล่อยให้สัตว์ในพันธะหรือการครอบครองนั้น และเจ้าพนักงานเรียกให้ช่วยระงับ ขับไล่ หรือจับ แต่ไม่ช่วย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๑ ผู้ใดล้มขอบกางเกงหรือกางเกงในของผู้อื่นในที่สาธารณะประพฤติลามก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๒ ผู้ใดโดยไม่ได้รับอนุญาตอันชอบด้วยกฎหมาย ตัดขวางทางสาธารณะ จนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โดยวาง หรือทอดทิ้งสิ่งของ หรือโดยกระทำด้วยประการอื่นใด ถ้าการกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยไม่จำเป็น ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา ๓๖๓ ผู้ใดขุดหลุมหรือราง หรือปลูกปักหรือวางสิ่งของกีดขวางไว้ในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตอันชอบด้วยกฎหมาย หรือที่ได้โดยละเมิดกฎหมาย แต่ละเลยไม่ลงลักษณะตามสมควร เพื่อมิให้เป็นอันตราย ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา ๓๖๔ ผู้ใดขุด ตัดหรือทำลายวัสดุใดให้เสียไปโดยปรากฏว่าที่นั้นอาจพังลง ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๕ ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือโดยประการอื่นอัน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา ๓๖๖ ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ของใช้ในอาคาร หรือที่ใด ๆ โดยปรากฏว่าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บุคคล หรือทรัพย์ หรือแสดงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นเชื้ออันตราย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๗[367] ผู้ใดกระทำโดยประการใด ๆ และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับเอาโรคมาด้วยเหตุหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๘[368] ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควรเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๙[369] ผู้ใดทำผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๗๐[370] ผู้ใดดูหมิ่นซึ่งหน้า หรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๗๑[371] ผู้ใดได้ อาวุธหรือทำให้สัตว์ใด ๆ ที่ไม่ใช่สวน ไว้หรือของผู้อื่นที่ได้แต่เดิมไว้ เฉพาะเพื่อประโยชน์หรือผลอันควรต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๗๒[372] ผู้ใดบุกรุกสถานที่ใด ๆ ปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นเข้าในสวน ไร่หรือที่ของผู้อื่นที่ได้แต่เดิมไว้ หรือที่พืชพันธุ์หรือสิ่งที่ติดอยู่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน

มาตรา ๓๗๓[373] ผู้ใดทำลายสิ่งที่อาจเห็น ในที่หรือในสารธารณะ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

มาตรา ๓๗๔[374] ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรับแก้แค้น ดูถูกคน หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำในที่สารธารณะสถาน หรือต่อหน้าธารกำนัล หรือเป็นการกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นการกระทำโดยเจตนาหรือผู้กระทำกระทำความผิดอยู่ในอาการมึนเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

มาตรา ๓๗๕[375] ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการรับแก้แค้น ดูถูกคน หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

สายสัมพันธ์ / Maker 7 สิงหาคม 2566 ภิมุขพร / Checker 10 สิงหาคม 2566 ภิมุขพร / Authorizer 10 สิงหาคม 2566 (1) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 71/ตอนที่ 55/ฉบับพิเศษ หน้า 1/94 พฤศจิกายน 2497 (2) ภาค 2 ลักษณะ 1/ ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 (3) ภาค 2 ลักษณะ 7 หมวด 4 ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (4) ภาค 2 ลักษณะ 7 หมวด 6 ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2550 (5) ภาค 2 ลักษณะ 8 ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2562 (6) มาตรา 9 (6) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (7) มาตรา 9 (9) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2550 (8) มาตรา 9 (10) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2562 (9) มาตรา 9 (11) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (10) มาตรา 9 (12) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2550 (11) มาตรา 7 (9) เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 (12) มาตรา 9 (12 ทวิ) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 (13) มาตรา 9 (12 ตรี) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2551 (14) มาตรา 9 (12 จัตวา) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2562 [15] มาตรา 18 วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2506 [16] มาตรา 18 วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 [17] มาตรา 20 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2499 [18] มาตรา 20 วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2506 [19] มาตรา 20 วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2522 [20] มาตรา 20/1 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2516 [21] มาตรา 20/2 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2548 [22] มาตรา 20/3 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2548 [23] มาตรา 30 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2545 [24] มาตรา 30/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2545 [25] มาตรา 30/1 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2548 [26] มาตรา 30/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2545 [27] มาตรา 30/3 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2545 [28] มาตรา 31 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2546 [29] มาตรา 32 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2522 [30] มาตรา 33 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2499 (31) มาตรา 57 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (32) มาตรา 57 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (33) มาตรา 60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2495 (34) มาตรา 62 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 (35) มาตรา 62 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2530 (36) มาตรา 62 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2550 (37) มาตรา 74 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2526 (38) มาตรา 74 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2535 (39) มาตรา 76 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2535 (40) มาตรา 84 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2548 (41) มาตรา 84/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2550 (42) มาตรา 87 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2526 (43) มาตรา 88 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2535 (44) มาตรา 92 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2535 (45) มาตรา 93 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2535 (46) มาตรา 98 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (47) ข้อร่างโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (48) มาตรา 137/1 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (49) ข้อร่างโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (50) มาตรา 137/1 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (51) ข้อร่างโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (52) มาตรา 137/1 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (53) ข้อร่างโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (54) มาตรา 137/1 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (55) ข้อร่างโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (56) ลักษณะ 1/1 ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย มาตรา 135/1 ถึงมาตรา 135/4 เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 (57) มาตรา 135/1 เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 (58) มาตรา 135/2 เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 (59) มาตรา 135/3 เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 (60) มาตรา 135/4 เพิ่มโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 (61) มาตรา 136 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (62) ข้อร่างโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (63) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (64) มาตรา 137 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 45 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (65) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (66) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (67) มาตรา 180 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (68) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (69) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (70) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (71) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (72) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (73) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (74) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (75) มาตรา 195 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2560 (76) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (77) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2560 (78) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560

มาตรา ๑๔๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๐)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๑)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๒)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๓)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๔)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๕)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๖)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๗)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๘)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๘๙)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๕๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๙๐)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๖๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๙๑)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๖๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๙๒)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๖๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๙๓)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๖๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐

(๙๔)

อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (95) มาตรา ๑๙๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐ (96) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (97) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (98) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (99) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (100) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (101) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (102) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (103) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (104) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (105) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (106) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (107) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (108) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (109) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (110) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ (111) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (112) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (113) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (114) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (115) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (116) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (117) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (118) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (119) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (120) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (121) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (122) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (123) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (124) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (125) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (126) ข้อราชโองการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 (127) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (128) มาตรา 157 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (129) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (130) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (131) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (132) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (133) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (134) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (135) มาตรา 144 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 49 ลงวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (136) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (137) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (138) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (139) มาตรา 200 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2560 (140) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (141) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (142) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (143) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (144) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (145) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (146) มาตรา 206 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (147) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (148) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (149) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (150) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (151) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (152) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (153) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (154) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (155) มาตรา 206 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2519 (156) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (157) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (158) ชื่อตราไท แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (159) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (160) มาตรา 226 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (161) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (162) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (163) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (164) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (165) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (166) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (167) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (168) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (169) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (170) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (171) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (172) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (173) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (174) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (175) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (176) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (177) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (178) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (179) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (180) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (181) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (182) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (183) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (184) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (185) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (186) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (187) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (188) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (189) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (190) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (191) ข้อธอโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (192) ข้อธอโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (193) ข้อธอโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (194) ข้อธอโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (195) มาตรา 226 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2495 (196) ข้อธอโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (197) ข้อธอโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (198) มาตรา 4 ความผิดเกี่ยวกับการเช็คธนาคาร มาตรา 269/4 ถึงมาตรา 269/7 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (199) มาตรา 269/4 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (200) มาตรา 269/5 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (201) มาตรา 269/6 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (202) มาตรา 269/7 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (203) มาตรา 269/4 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (204) มาตรา 269/5 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (205) มาตรา 269/6 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 (206) มาตรา 4 ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง มาตรา 269/4 ถึงมาตรา 269/7 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2547 [207] มาตรา ๒๖๕/๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [208] มาตรา ๒๖๕/๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [209] มาตรา ๒๖๕/๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [210] มาตรา ๒๖๕/๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [211] มาตรา ๒๖๕/๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [212] มาตรา ๒๖๕/๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [213] มาตรา ๒๖๕/๑๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [214] มาตรา ๒๖๕/๑๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [215] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ [216] มาตรา ๒๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๒ [217] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ [218] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ [219] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ [220] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ [221] มาตรา ๒๖๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [222] มาตรา ๒๖๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ [223] มาตรา 287 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [224] มาตรา 287 ตรี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [225] มาตรา 287 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2506 [226] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2506 [227] มาตรา 287 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2506 [228] มาตรา 287 วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [229] มาตรา 287 วรรคสี่ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [230] มาตรา 287 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [231] มาตรา 60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2506 [232] มาตรา 60/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [233] มาตรา 60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [234] มาตรา 60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2506 [235] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2506 [236] มาตรา 60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [237] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2562 [238] มาตรา 60 ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2506 [239] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 [240] มาตรา 245 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2526 [241] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 [242] มาตรา 245 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2526 [243] มาตรา 245/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2559 [244] มาตรา 245/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2559 [245] มาตรา 246 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2526 [246] มาตรา 247 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2526 [247] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 [248] มาตรา 247/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2559 [249] มาตรา 247/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2559 [250] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 [251] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 [252] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 [253] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 [254] อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (255) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (256) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (257) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (258) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (259) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (260) มาตรา 310 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ. 2564 (261) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (262) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (263) มาตรา 308 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (264) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (265) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (266) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (267) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (268) มาตรา 308 เพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2544 (269) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (270) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (277) ข้อราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (278) มาตรา 307 ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2527 (275) ข้อราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (276) มาตรา 307 ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2500 (277) ข้อราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (278) มาตรา 307 ตรี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2522 (279) ข้อราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (280) มาตรา 307 ตรี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2500 (281) ข้อราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (282) มาตรา 307 ตรี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2500 (283) ข้อราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (284) มาตรา 307 ตรี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2500 (285) ข้อราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (286) มาตรา 307 ตรี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2500 (287) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (288) มาตรา 210/9 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับ ที่ 27) พ.ศ. 2559 (289) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (290) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (291) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (292) มาตรา 206 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2559 (293) มาตรา 207 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2559 (294) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (295) มาตรา 208 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2560 (296) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (297) มาตรา 209 วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2560 (298) มาตรา 209 วรรค 3 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย อาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2560 (299) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (300) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (301) มาตรา 206 ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 9) ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 (302) ข้อราไทย แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (303) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (304) มาตรา 337 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (305) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (306) มาตรา 337 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (307) มาตรา 337 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (308) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (309) มาตรา 337 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 (310) มาตรา 340 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (311) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (312) มาตรา 340 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (313) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (314) มาตรา 340 ตรี เพิ่มโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (315) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (316) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (317) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (318) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (319) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (320) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (321) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (322) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (323) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (324) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (325) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (326) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (327) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (328) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (329) มาตรา 357 วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (330) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (331) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (332) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 (333) มาตรา 4/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2499 (334) อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 16 แห