로고

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๗ แห่งรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อให้การพิจารณาและวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญมีประสิทธิภาพอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ สอดคล้องกับเงื่อนไขในบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๑"

มาตรา ๒ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิก

คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๐/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาการดําเนินงานของผู้บริหารท้องถิ่นหรือองค์กรอิสระตาม รัฐธรรมนูญ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับคํารัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๓/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ เรื่อง ให้หัวหน้าครูศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดํารงตําแหน่งตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๐/๒๕๕๘

มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้

“ศาล” หมายความว่า ศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี “ตุลาการ” หมายความว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญ หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี “คดี” หมายความว่า กระบวนพิจารณาในชั้นศาลที่เกี่ยวกับคดีหรือหนังสือคดีตาม เพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัย “คําร้อง” หมายความว่า คําร้องที่ยื่นต่อศาลเพื่อขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย “คู่กรณี” หมายความว่า ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้อง และให้รวมถึงผู้มีสิทธิหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดําเนินคดีด้วย “ข้อร้อง” หมายความว่า ผู้มีสิทธิหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดําเนินคดีตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ “ผู้ปฏิบัติงาน” หมายความว่า บุคคลที่ปฏิบัติงานในศาลหรือเกี่ยวข้องกับการดําเนินงานของศาลที่เกี่ยวข้องกับคดีหรือหนังสือคดี “เจ้าหน้าที่ของศาล” หมายความว่า หน่วยงาน คณะบุคคล หรือบุคคลที่ปฏิบัติงานในศาล และพระราชบัญญัตินี้ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับคดีหรือหนังสือคดีโดยตุลาการ หรือโดยศาล หรือตามคําสั่งศาล ไม่ว่าการนั้นจะเป็นโดยตุลาการมีอํานาจหน้าที่ตามคําสั่งศาล หรือคําสั่งต่อไปโดยฝ่ายหนึ่ง หรือการกระทําของตุลาการมีผลโดยฝ่ายหนึ่งหรือทุกฝ่าย รวมถึงการสั่งคําร้องและเอกสารอื่น ๆ การพิจารณาคดี และการลงมติ ตลอดจนการปฏิบัติตามหน้าที่และอํานาจตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น “การพิจารณาคดี” หมายความว่า การดําเนินกระบวนพิจารณาคดี รวมถึงการให้ความ การประชุมในศาลเพื่อพิจารณาคดีและข้อร้อง หรือการเริ่มพิจารณา “การวินิจฉัยคดี” หมายความว่า การที่ศาลออกคําสั่งเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาคดี โดยตุลาการมีมติชี้ขาดอยู่ต่อหน้าศาล

มาตรา ๕ ในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้บัญญัติให้ดําเนินการอื่น ๆ โดยให้ทําหนังสือหรือเอกสารในรูปแบบใดในกระบวนพิจารณา ให้ดําเนินการยื่น หรือส่งหนังสือหรือเอกสารในรูปแบบนั้น ณ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศของศาล หรือที่ศาลกําหนด หรือที่ปรากฏตามหลักฐานการลงทะเบียน ตามกฎหมายว่าด้วยการว่าความในศาลปกครอง ให้ถือว่าได้ยื่น ส่ง หรือส่งโดยชอบด้วยพระราชบัญญัตินี้ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีในศาลรัฐธรรมนูญ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีในศาลรัฐธรรมนูญ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีในศาลรัฐธรรมนูญ

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - ๓ - สารสนเทศ หรือระบบ หรือวิธีการอื่นใดที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก เป็นการดำเนินการโดยขอพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นๆ ในกรณีที่มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้กำหนดให้คณะหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่รับผิดชอบงานธุรการของศาลล้มละลายกลางหรือสิ่งอื่นใดเป็นผู้เกี่ยวกับการพิจารณาคดี ถ้าไม่ได้กำหนดวิธีการไว้เป็นการเฉพาะ ให้คณะหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่รับผิดชอบงานธุรการของศาลกำหนดโดยคำสั่งเป็นรายกรณี ประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ และให้ดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้ถือเป็นการประกาศตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นๆ ทั้งนี้ ถ้าระเบียบ ประเทศ หรือคำสั่งใดมีการกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานไว้ ศาลหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่รับผิดชอบงานธุรการของศาลต้องกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจนด้วย

มาตรา ๖ ให้ประกาศคณะรัฐธรรมนูญรักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และให้อำนาจออกคำสั่งกำหนด ระเบียบ และประกาศของศาล เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้

การออกคำสั่งกำหนด ระเบียบ หรือประกาศของศาล ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการรัฐธรรมนูญ และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑ ศาล

มาตรา ๗ ให้ศาลมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดี ดังต่อไปนี้

คดีเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย

คดีเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ

คดีเกี่ยวกับการร้องขอให้ศาลการตัดสินการกระทำที่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

คดีเกี่ยวกับพระราชบัญญัติหรือข้อบังคับของหน่วยงานของรัฐที่ไม่ได้รับประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ หมวด ๑๐ หน้าที่ของรัฐ

คดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกทางของสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา

คดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกทางของสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญ

คดีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือคณะรัฐมนตรีที่ไม่เป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญ

คดีเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเสนอรัฐธรรมนูญของรัฐสภา หรือข้อเสนอรัฐธรรมนูญของผู้แทนราษฎร ร่างข้อเสนอรัฐธรรมนูญของรัฐสภา และร่างข้อเสนอรัฐธรรมนูญ

๑๐

คดีเกี่ยวกับการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ

๑๑

คดีเกี่ยวกับหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

๑๒

คดีที่ผู้ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ร้องขอการคุ้มครองหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

๑๓

คดีเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม

๑๔

คดีอื่นที่รัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจของศาล

หมวด ๒

องค์ประกอบของศาล

มาตรา ๘ ศาลประกอบด้วยตุลาการจำนวนเก้าคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากบุคคล ดังต่อไปนี้

ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี ซึ่งได้รับการเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวนสามคน

ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตุลาการศาลปกครองสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี ซึ่งได้รับการเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จำนวนสองคน

ผู้ทรงคุณวุฒิทางนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ซึ่งดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวนสองคน

ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีประสบการณ์ทางวิชาการทางรัฐธรรมนูญในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้อำนวยการหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี หรือดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้อำนวยการมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี จำนวนสองคน ในกรณีเมื่อเวลาเลือกผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้ว (๑) ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะเลือกบุคคลตามผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีได้ การบริหารระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นครั้งหนึ่งที่ได้รับการเลือกหรือสมัครเข้ารับการสรรหา แต่ในกรณี ในกรณีเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์แล้ว คณะกรรมการสรรหาจะต้องพิจารณาและเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิตามตำแหน่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแต่งตั้ง

มาตรา ๙ นอกจากคุณสมบัติตามมาตรา ๘ แล้ว ตุลาการต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ด้วย

มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีบริบูรณ์ในวันสมัครเข้ารับการสรรหา

สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรา ๑๑ ตุลาการต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

เป็นโรคเรื้อนในระยะติดต่อหรือในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม

ติดยาเสพติดให้โทษ

เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

เป็นข้าราชการอยู่ในตำแหน่งการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช

อยู่ในระหว่างถูกพักถอนสิทธิเลือกตั้งหรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่

วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

อยู่ในระหว่างกระบวนการใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของ สิทธิแผ่นดินหรือรัฐ

ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและคุณสมบัติยังไม่กลับคืนตามที่กฎหมายกำหนด

๑๐

เคยถูกสั่งให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่าเป็นการกระทำที่ ทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ

๑๑

เคยต้องคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติที่ไม่สามารถ พิสูจน์ได้ว่ามิได้เกิดจากการทุจริต หรือเคยถูกคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะทำให้เกิดความเสียหาย แก่รัฐโดยทุจริต หรือเคยถูกคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติที่ไม่สามารถ พิสูจน์ได้ว่ามิได้เกิดจากการทุจริต

๑๒

เคยต้องคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติที่ไม่สามารถ พิสูจน์ได้ว่ามิได้เกิดจากการทุจริต หรือเคยถูกคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะทำให้เกิดความเสียหาย แก่รัฐโดยทุจริต หรือเคยถูกคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติที่ไม่สามารถ พิสูจน์ได้ว่ามิได้เกิดจากการทุจริต

๑๓

อยู่ในระหว่างต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามที่กฎหมายกำหนด

๑๔

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือเคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๑๕

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๑๖

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๑๗

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๑๘

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๑๙

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๐

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๑

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๒

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๓

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๔

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๕

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๖

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๗

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๘

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๒๙

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๐

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๑

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๒

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๓

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๔

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๕

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๖

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๗

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๘

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓๙

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๐

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๑

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๒

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๓

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๔

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๕

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๖

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๗

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๘

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๔๙

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๕๐

เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลวินิจฉัยว่ากระทำการอันเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๑๕

เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา

๑๖

เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในพรรคการเมืองในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา

๑๗

เป็นเจ้าของหรือผู้มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ

๑๘

เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน หรือกรรมการหรือผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ หรือรัฐพาณิชย์

๑๙

เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในคณะผู้บริหารห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์กรที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด

๒๐

เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ

๒๑

มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ร้ายแรง

มาตรา ๖ เมื่อมีกรณีที่จะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการตามมาตรา ๖ (๓) หรือ (๔) ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วย

ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ

ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นกรรมการ

บุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกจากผู้แทนสาธารณชน เป็นกรรมการ

บุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดเลือกจากผู้แทนสาธารณชน เป็นกรรมการ บุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดเลือกตาม (๓) และ (๔) และไม่เคยเป็นและต้องห้ามมิให้เป็นบุคคลตามมาตรา ๕ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓) (๑๔) (๑๕) (๑๖) (๑๗) (๑๘) (๑๙) (๒๐) และ (๒๑) ให้เลขาธิการศาลยุติธรรมเป็นเลขานุการของคณะกรรมการสรรหา และให้สำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรรมปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา ในการดำเนินการแต่งตั้งบุคคลตาม (๒) ให้องค์กรอิสระดำเนินการเสนอชื่อบุคคลซึ่งองค์กรนั้นแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหาในส่วนอื่นนับแต่วันที่มีการแต่งตั้งบุคคลดังกล่าว โดยให้องค์กรอิสระดังกล่าวมีมติเอกฉันท์ ซึ่งถือว่าผู้ได้รับการแต่งตั้งในกรณีดังกล่าวและผู้จะได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการสรรหาต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ของกรรมการองค์กรอิสระนั้น ให้เสนอชื่อบุคคลโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้เสนอใหม่ในกรณีที่มีผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ถึงจำนวนที่กำหนด ให้คณะกรรมการสรรหาที่มีอยู่ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจไปพลางก่อนได้ โดยในระหว่างนั้นให้ถือว่าคณะกรรมการสรรหาเป็นคณะกรรมการสรรหาที่มีอยู่ ให้กรรมการสรรหาตาม (4) อยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งจำนวนหนึ่งปีกรณีที่ต้องสรรหาคณะกรรมการใหม่ แต่ในกรณีการสรรหาใหม่หรือการสรรหาเพิ่มเติมตามมาตรา (4) วรรคหก วรรคเจ็ด และวรรคสิบ และมาตรา (8) และให้กรรมการสรรหาดำรงตำแหน่งตามที่แต่งตั้งจนกว่าจะครบเมื่อพ้น ตำแหน่ง ออกตามวาระตามที่กำหนดไว้ หรือสิ้นสภาพด้วยเหตุอื่น ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสรรหาตาม (4) แล้ว จะเป็นกรรมการสรรหาในคณะกรรมการสรรหาสำหรับองค์กรอิสระในขณะเดียวกันไม่ได้ ให้ประธานกรรมการสรรหา และกรรมการสรรหาเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 12 ในการสรรหาผู้สมัคร ให้คณะกรรมการสรรหาปรึกษาหารือเพื่อคัดสรรให้ได้บุคคลที่มีความรับผิดชอบสูง มีความสำคัญในภาระปฏิบัติหน้าที่ และมีจริยธรรมทางจริยธรรมเป็นข้อยึดเหนี่ยวที่พึงสง่างาม รวมตลอดถึงมีทัศนคติที่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลสำเร็จ โดยก่อนการประกาศรับสมัคร ให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและสมบัติที่ไปด้วยดีแต่ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลนั้น ทั้งนี้ โดยกำหนดถึงความเหมาะสมของคุณสมบัติและสมบัติของผู้สมัครที่มีความเหมาะสม และเพื่อประโยชน์ในการสรรหา ให้คณะกรรมการสรรหาสามารถใช้วิธีการสัมภาษณ์เพื่อให้เกิดความคิดเห็นในเรื่องที่จำเป็นสำหรับการสรรหาได้ โดยต้องมีการบันทึกเหตุผลในการเลือกไว้ด้วย

ให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 และให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 และมาตรา 12 ให้ความเห็นชอบ โดยผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ในการนี้ผู้สมัครสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ให้ส่งรายชื่อกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา ที่ประธานผู้พิพากษาศาลฎีกา หรือประธานศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี พร้อมด้วยเหตุผลเพื่อให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกใหม่ โดยให้คณะกรรมการสรรหาหรือคัดเลือกดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกเพิ่มเติมให้ครบตามจำนวนที่ต้องสรรหาหรือคัดเลือกต่อไป โดยผู้สมัครไม่ให้ความเห็นชอบจากวุฒิสภาในครั้งแรก จะเข้ารับการสรรหาหรือคัดเลือกในครั้งใหม่ไม่ได้ เมื่อมีผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว หากเป็นกรณีประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ้นจากตำแหน่งด้วย ให้ผู้ได้รับความเห็นชอบประชุมร่วมกับตุลาการศาลปกครองสูงสุด เพื่อเลือกกันเองให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ และส่งผลให้ประธานศาลมีการทำงาน ในกรณีนี้ผู้ที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบจะไม่ได้เข้าร่วมงานที่ต้องสรรหาหรือคัดเลือก แต่ถือรวมกับบุคคลซึ่งยังดำรงตำแหน่งอยู่ อีกสามี สมาชิกที่เหลือ ให้ดำเนินการประชุมเพื่อเลือกประธานศาลรัฐธรรมนูญใหม่ และส่งไปให้ประธานศาลปกครองสูงสุดแต่งตั้ง ให้คณะกรรมการสรรหาหรือคัดเลือกดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกใหม่ต่อไป โดยประธานศาลปกครองสูงสุดแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่อไป

มาตรา ๑๓ ผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้เป็นตุลาการโดยที่ยังมิได้ให้พ้นจากตำแหน่งมาตรา ๑๐ (๒) (๒๐) หรือ (๒๓) ต้องมีอายุวิชาชีพที่กำหนดขึ้นก่อนประชุมวุฒิสภาภายในเวลาที่ประธานวุฒิสภากำหนด ซึ่งต้องเป็นเวลาที่ประธานวุฒิสภาแจ้งให้ความทราบปวงทุต เพื่อเร่งแต่งตั้งตุลาการ ในกรณีนี้ไม่ให้เสนอหลักฐานโดยกำหนดเวลาต่างกว่า ให้ถือว่าผู้สมัครสละสิทธิ และให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกใหม่

มาตรา ๑๔ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ผู้ได้รับการคัดเลือกหรือได้รับการสรรหา ให้ดำเนินการส่งคำถามของคณะกรรมการสรรหาไปยังผู้มีอำนาจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาที่เห็นชอบ

การเสนอเรื่องเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาวินิจฉัยตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการสรรหากำหนด การวินิจฉัยให้ถือเป็นที่สุดโดยพลัน ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการสรรหา ให้สอบถามคณะสูงสุดที่มีผู้มีอำนาจเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเป็นผู้ดำเนินการเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ ไม่กระทบต่อการดำเนินการใดที่คณะกรรมการสรรหาดำเนินการไปก่อนแล้วตามข้อวินิจฉัย

มาตรา ๑๕ ให้ประธานกรรมการสรรหาและกรรมการสรรหาได้รับเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนตามที่ประธานวุฒิสภากำหนด แต่สำหรับผู้เป็นประธานให้กำหนดให้ได้รับเป็นกรณีพิเศษ

ที่มาประชุมในอัตราไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของประธานกรรมการหรือกรรมการในคณะกรรมการ ข้าราชการรัฐสภาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภาได้รับในแต่ละเดือน แล้วแต่กรณี

มาตรา ๑๖ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ตุลาการต้องถวายคำปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้ “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายคำปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปพระราชประสงค์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยปราศจากอคติทั้งปวง เพื่อให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมายทุกประการ”

มาตรา ๑๗ ตุลาการมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว ในกรณีที่ตุลาการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้ตุลาการที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติ หน้าที่ต่อไปจนกว่าตุลาการแต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่

มาตรา ๑๘ นอกจากกรณีการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ตุลาการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๗ หรือมาตรา ๙ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐ (๒) ตาย (๓) ลาออก (๔) มีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ (๕) ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้พ้นจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของตุลาการ ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เพราะเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการ (๖) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาอันมีลักษณะ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ประธานรัฐสภาแจ้งให้ศาลทราบเมื่อมีการพ้นจากตำแหน่งตาม (๑) หรือ (๒) หรือ (๓) หรือ (๔) หรือ (๖) ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งตาม (๑) หรือ (๒) หรือ (๓) หรือ (๔) หรือ (๖) ให้เป็น หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นผู้วินิจฉัย ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา หรือประธานรัฐสภาไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะกรรมการเลือกตุลาการทำหน้าที่ประธานรัฐสภา

มาตรา ๑๙ เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้ดำเนินการสรรหา หรือ คัดเลือกตุลาการใหม่ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ผู้ดำรงตำแหน่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ แต่ถ้าตุลาการพ้นจาก ตำแหน่งด้วยเหตุอื่นก่อนครบวาระ ให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกตุลาการ ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง

มาตรา ๒๐ ในกรณีที่มีเหตุการพ้นจากตำแหน่ง และยังไม่มีการแต่งตั้งบุคคลมาดำรงตำแหน่งที่ว่าง ให้บุคคลที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ถ้ามีเหตุการณ์เหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จะนำมาซึ่งการขาดหรือทำให้ขาดอำนาจในกรณีอื่นแห่งกฎหมาย ให้ดำเนินการแก้เหตุขัดข้องนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงของประเทศ ให้คณะรัฐมนตรีออกประกาศกฎกติกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ดำเนินการตามมาตรา ๒๑ เพื่อให้เหตุการณ์ครบถ้วนดีตาม

มาตรา ๒๑ ในกรณีที่มีเหตุการณ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะถูกกล่าวหาและคณะรัฐมนตรีหรือสภาผู้แทนราษฎรต้องอยู่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประพฤติรับผิดชอบ และมีผู้ต้องสงสัยหรืออยู่ไม่ถึงคน ให้ประธานกฎกติกาและประกาศคณะกรรมการสูงสุดราชการแต่งตั้งบุคคลสูงสุดสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับผู้ถูกกล่าวหานั้นเป็นบุคคลรักษาการชั่วคราวให้ครบจำนวนที่จะหยุดปฏิบัติหน้าที่ไม่เกินกึ่งหนึ่ง โดยให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งทำหน้าที่ในฐานะผู้รักษาการได้จนกว่าการดำรงตำแหน่งที่แท้จริงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือจนกว่าจะมีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนในการแต่งตั้งดังกล่าวให้ดำเนินการจัดประชุมตามมาตรา ๘ ด้วย

มาตรา ๒๒ เมื่อมีผู้ร้องขอโดยมีหลักฐานอันควรตามสมควรว่าผู้ใดพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๘ (๖) หรือ (๗) ให้เสนอคำร้องพร้อมเหตุเรื่องต่อประธานกรรมการสรรหาหรือประธานกรรมการสูงสุดราชการ กรรมการที่มีเสียงเท่ากันในประธานกรรมการสรรหาหรือผู้เสียเสียงเห็นเป็นสิ่งสำคัญ

หลักฐานตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๒๓ การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจของศาลต้องเป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม ปราศจากอคติทั้งปวง มีความสง่างาม และปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรฐานทางจริยธรรม ตุลาการต้องปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา การเข้ารับการศึกษาอบรมให้หลักสูตรหรือโครงการใด ๆ ที่มีในเวลาราชการที่พึงเหมาะสมจำกัด ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มเวลา เว้นแต่เป็นหลักสูตรหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตนเองและสำหรับตุลาการ

มาตรา ๒๔ เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของตุลาการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของตุลาการและรายงานให้กับกรรมการตรวจสอบการดำเนินงานด้วยประธานกรรมการ

กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๒๕ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และข้อบังคับที่มีสิทธิได้รับคำตอบแทนเป็นเงินหรือประโยชน์ตอบแทนอื่น ให้พ้นจากตำแหน่งดังต่อไปนี้ ดังต่อไปนี้ (ก) (ข) (ค) ลูกออก

มีอายุครบห้าสิบห้าปี ในการคำนวณอายุงานเพื่อขอรับบำเหน็จบำนาญ ให้ถือว่าครบปีเมื่อครบตามเดือนตามมาตรา ๒๔ คุณด้วยจำนวนปีที่ดำรงตำแหน่ง เศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามหมวดนี้ เป็นสิทธิเฉพาะตัว จะโอนให้ไม่ได้ เว้นแต่กรณีถ่ายให้ตกได้แก่คู่สมรสและทายาทที่ได้แจ้งไว้ และถึงการยกเว้นนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปฏิบัติหน้าที่หรือในการปฏิบัติหน้าที่ ให้ได้รับเป็นของทายาทของเจ้าหน้าที่ตามแบบที่กำหนดไว้ตามระเบียบ

มาตรา ๒๖ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ประกอบรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา

หมวด ๓

การพิจารณา

ส่วนที่ ๑

บททั่วไป

มาตรา ๒๗ การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวนโดยให้ศาลสืบข้อเท็จจริงตามความจริง ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ และในการพิจารณาข้อพิพาทซึ่งมีคู่ขัดแย้งหรือรับฟังพยานหลักฐานให้คำนึงถึงความเท่าเทียมในฐานะของคู่พิพาทซึ่งมีสิทธิได้รับฟังและไม่กระทำให้ขาดพยานหลักฐานนั้นจะมีข้อผิดพลาดตกหล่นไปจากข้อเท็จจริง วิธีการ หรือกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้ ถ้าศาลได้ให้โอกาสแก่คู่กรณีในการนำสืบพยานหลักฐานแล้ว ก็ให้ศาลรับฟังได้ทั้งหมด เพื่อให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความจริงที่เกิดขึ้นในคดีนั้น

การพิจารณาของศาลต้องเป็นไปในครอบครัวตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และข้อกำหนดของศาล ในการปฏิบัติหน้าที่ ศาลมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำต่อศาลจนเห็นว่าเพียงพอสมควร หรือพนักงานสอบสวน ดำเนินการใดเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาคดี

มาตรา ๒๘ นอกจากที่บัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้พระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญนี้อาจออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการพิจารณาคดีให้เหมาะสม หรือแย้งกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ แต่ต้องกำหนดข้อหาต่างด้วยให้สร้างขึ้นก่อน หรือก่อนให้เกิดความล่าช้าโดยไม่จำเป็น

มาตรา ๒๙ การพิจารณาคดีจะต้องกระทำ ณ ที่ทำการศาลในวันทำการปกติของศาล และตามเวลาทำการที่ศาลกำหนดไว้ในคำสั่งของศาล แต่ในกรณีที่เหตุอันควรเชื่อถือเป็นการจำเป็น ศาลจะสั่งให้สืบพยานในการพิจารณาคดี ณ สถานที่อื่น หรือในวัน หรือเวลาใด ๆ ก็ได้

มาตรา 30 การนับระยะเวลาที่มีวันเริ่มต้นและวันสุดท้าย ให้วันเริ่มต้นไม่นับเป็นวันเริ่มต้น และถ้าวันสุดท้ายของระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการหรือวันหยุดทำการของศาล ให้วันถัดจากวันสุดท้ายของระยะเวลา

มาตรา 31 ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น ๆ หรือในข้อกำหนดของศาล หรือคำสั่งตามที่ศาลกำหนด เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อมีคำร้องของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือของโจทก์ตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญจะกำหนดระยะเวลาไว้เป็นการเฉพาะ

มาตรา 32 ลูกหนี้การอาจถูกคำคัดค้านได้ในเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

1

เคยเป็นผู้ถูกฟ้องจากหรือถูกการในคดีอื่นหรือเคยเป็นคู่ความในคดีที่ศาลสั่งเคยพิจารณาในข้อเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกับคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้นมาก่อน

2

เป็นหรือเคยเป็นโจทก์ในคดีหรือจำเลย หรือคู่ความอื่นในคดีที่เกี่ยวข้องโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คือ เป็นบุคคลหรือสิ่งมีลักษณะน่าเชื่อว่าใด ๆ หรือเป็นที่พึ่งของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเป็นญาติทางการสมรสในลำดับที่สอง

3

เคยให้ข้อคิดเห็นหรือคำชี้แจงในคดีนั้นหรือในคดีที่มีเหตุการณ์ในคดีเดียวกัน

4

เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

5

มีหรือเคยมีลักษณะดังกล่าวในข้อ (1) ถึง (4) กับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

มาตรา 33 ในกรณีที่มีการส่วนได้เสียหรือมีเหตุอื่นใดนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 32 ลูกหนี้การอาจถูกคำคัดค้านด้วยเหตุอันสมควรที่จะเร่งรัดให้การพิจารณาหรือวินิจฉัยความยุติธรรมไป

มาตรา 34 ลูกหนี้การจะขอถอนตัวจากการพิจารณาคดี หรือการทำคำวินิจฉัยหรือคำสั่งคดีไม่ได้ เว้นแต่เหตุที่อาจถูกคำคัดค้านตามมาตรา 32 หรือมาตรา 33

เมื่อมีการขอถอนตัวตามวรรคหนึ่งและศาลอนุญาตแล้ว ให้ผู้การซึ่งขอถอนตัวงดการปฏิบัติหน้าที่ในคดีนั้น

มาตรา 35 เมื่อมีเหตุที่ลูกหนี้การอาจถูกคำคัดค้านได้ตามมาตรา 32 หรือมาตรา 33 คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจยื่นคำร้องคำคัดค้านต่อศาลโดยเขียนหรือวาจาให้ศาลสั่งให้ลูกหนี้การงดหรือกำหนดให้ชี้แจง แต่จะต้องยื่นคำร้องในวันเริ่มต้นวันพิจารณาหรือวันนัด

เมื่อมีการยื่นคำร้องคำคัดค้านตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลดำเนินการแจ้งคำคัดค้านโดยเร็ว

มาตรา ๑๖ การยื่นคำร้องคัดค้านบุคคลการตามมาตรา ๑๔ ต้องระบุเหตุที่ขอคัดค้านอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๕๐ พร้อมทั้งข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง การคัดค้านบุคคลการที่พิจารณาร่วมด้วยในเรื่องใดมากกว่าหนึ่งคน ให้ถือว่ามีคำคัดค้านคำร้องแยกเป็นบุคคลการแต่ละราย

มาตรา ๑๗ เมื่อมีการยื่นคำร้องคัดค้านตามมาตรา ๑๖ หรือเมื่อคำร้องคัดค้านตามมาตรา ๑๔ ให้ศาลประชุมปรึกษาหาเหตุอันควรเชื่อถือหรือเหตุอันควรคัดค้าน โดยบุคคลการซึ่งขอถอนตัวหรือถูกคัดค้านจะร่วมพิจารณา หรือออกเสียงลงคะแนนในเรื่องคำคัดค้านของตนเองมิได้ เว้นแต่ปรากฏว่าเป็นไปตามข้อหลักเกณฑ์ ในการพิจารณาเหตุของตัวเองหรือเหตุคัดค้านบุคคลการ ให้ศาลมีคำสั่งชี้แจงของบุคคลการที่ขอถอนตัวหรือถูกคัดค้านประกอบด้วย การชี้แจงเหตุของตัวเองหรือเหตุคัดค้านตามวรรคหนึ่ง ให้ถือความเห็นเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ผู้ที่ประธานออกเสียงเพิ่มเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ในการลงมติการกระทำตามวรรคสาม ให้กระทำโดยวิธีลงคะแนนลับ เมื่อศาลมีคำวินิจฉัยเป็นประการใดแล้ว ให้แจ้งคำวินิจฉัยนั้นต่อผู้คัดค้านหรือถูกคัดค้านและคู่กรณีทราบ การพิจารณาและการวินิจฉัยคำร้องคัดค้าน ให้กระทำโดยเปิดเผย เว้นแต่ศาลเห็นสมควรให้กระทำโดยลับเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันมิให้บุคคลใดหรือบุคคลใดทราบข้อมูลใด ๆ ที่อาจกระทบต่อการพิจารณาคดีที่ดำเนินไปโดยสงบเรียบร้อยและรวดเร็ว

มาตรา ๑๘ ศาลมีอำนาจรักษาความสงบเรียบร้อยของการพิจารณาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลที่เข้ามาหรือชะลอเข้ามาในที่พิจารณาคดี หรือบริเวณที่พิจารณาคดี หรือเกี่ยวกับการไต่สวนของศาล หรือในการมีมติความเห็นเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลอาจสั่งให้บุคคลใดหรือบุคคลใดทราบข้อมูลใด ๆ ที่อาจกระทบต่อการพิจารณาคดีที่ดำเนินไปโดยสงบเรียบร้อยและรวดเร็ว

มาตรา ๑๙ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกำหนดของศาลหรือคำสั่งตามมาตรา ๑๘ ให้ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล และให้ศาลมีอำนาจ ดังต่อไปนี้ (๑) ตักเตือน โดยระงับคำคำนั้นเป็นการลักษณะเกี่ยวกับตัวหรือข้อเท็จจริง (๒) ไล่ออกจากบริเวณที่พิจารณาคดี (๓) สั่งจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การสั่งลงโทษตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลพิจารณาเท่าที่จำเป็นตามพฤติการณ์แห่งกรณี

การสั่งลงโทษตาม (๓) ต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ในการดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งศาลตาม (๔) ให้ดำเนินการตามกฎหมายหรือวิธีการตามความจำเป็นภายในขอบเขตที่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา ๔๐ การยกเลิกหรือการเพิกถอนคำสั่งทางการ และคำสั่งที่เจ้าพนักงานปฏิบัติการเรียกมาในการไต่สวน ตลอดจนคำสั่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินการใดเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาคดีของศาลให้เป็นไปตามประกาศของศาล

ส่วนที่ ๒

การยื่นคำร้องและการยื่นหนังสือ ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย

มาตรา ๔๑ ผู้ที่จะขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคดีตามมาตรา ๓๙ จะต้องเป็นบุคคล คณะบุคคล หรือองค์กรตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การยื่นคำร้องหรือการยื่นหนังสือขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยต้องทำเป็นหนังสือส่งไปให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย

(ก) ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ส่งความเห็นของสมาชิกในสภาเสนอต่อศาล หรือยกคำร้องขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย (ข) ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง หรือศาลทหาร ขอให้ศาลพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย (ค) ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานวุฒิสภาขอให้ศาลพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชกำหนด (ง) สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจ (จ) ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานวุฒิสภาขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีลักษณะต้องห้ามเชื่อมกันหรือเกี่ยวกันกับการของร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ (ฉ) ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ส่งความเห็นของสมาชิกในสภาเสนอต่อศาล หรือยกคำร้องขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ร่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และร่างข้อบังคับการประชุมรัฐสภา (ช) คณะรัฐมนตรีหรือให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภาแสดงความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภาตาม (๔) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามข้อยอมรับของรัฐธรรมนูญของรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม

การขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา ๗ (๔) ที่ข้อกำหนดของศาลกำหนดให้เป็นหนังสือ การดำเนินการตาม (๖) ให้ส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งของคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปยังสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลปกครอง หรือกรมพระธรรมนูญ แล้วแต่กรณี เพื่อส่งให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย

มาตรา ๔๘ คำร้องต้องทำเป็นหนังสือใช้ข้อความ มีรายการในส่วนตามแบบที่กำหนดในข้อกำหนดของศาล ซึ่งอย่างน้อยต้องระบุ

(ก) ชื่อและที่อยู่ของผู้ร้อง (ข) เรื่องหรือกระบวนการที่ทำหลายอันเป็นเหตุให้ต้องขอให้ศาลวินิจฉัยพร้อมทั้งข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้อง (ค) มาตราของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุในคำร้อง (ง) คำขอที่ระบุความประสงค์ที่จะให้ศาลดำเนินการอย่างใดพร้อมทั้งเหตุผลสนับสนุนโดยย่อดังนี้ การยื่นคำร้องตามวรรคแรก ให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดวันกำหนดในข้อกำหนดของศาลด้วย ในกรณีที่เป็นการระงับพิธีกรรม ผู้ร้องจะดำเนินการทั้งปวงด้วยตนเองหรือจะมอบอำนาจให้ทนายความหรือบุคคลอื่นดำเนินการแทนผู้ร้องได้ ผู้ร้องเองจะต้องทราบข้อเท็จจริงแล้วและมีความรู้ความสามารถที่จำเป็นในการแก้คดีแทนผู้ร้องเองเท่านั้น

มาตรา ๔๙ หนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา ๔๘ วรรคสอง ให้ทำเป็นหนังสือการโดยอย่างน้อยต้องระบุรายละเอียดในหนังสือที่จำเป็นซึ่งเกี่ยวข้อง ความประสงค์ที่จะให้ศาลดำเนินการ และมาตราของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ๕๐ กรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา ๗ (๔) ต้องเป็นปัญหาซึ่งมีการขัดกันในข้อเท็จจริงที่สำคัญ โดยในกรณีที่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่สำคัญ ให้หน่วยงานที่เป็นผู้ส่งหนังสือขอความเห็นต่อศาลให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย ในกรณีที่เป็นปัญหาให้มีระยะทางหมายเหตุให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีสิทธิยื่นหนังสือคำคัดค้านต่อศาลให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย

มาตรา ๕๑ บุคคลผู้ซึ่งเสียหายหรือผู้ซึ่งได้รับประโยชน์โดยตรงจากการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ หมวด ๔ หรือหน้าที่ของรัฐ และได้รับความเสียหายจากการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ หรือ

การปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนหรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยคดีตามมาตรา ๗๗ (๔) ได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้

บุคคลหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง และบุคคลหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติในการหรือไม่ดำเนินการในกำหนดวันนั้นจนถึงวันที่ได้รับทราบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้คนหรือชุมชนได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๔๗ การใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา ๔๖ ต้องเป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพอันเกิดจากการกระทำของหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ และต้องมิใช่เป็นการยื่นคำร้องอย่างใด ดังต่อไปนี้

การกระทำของรัฐสภา

รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมิได้ให้หมายถึงการร้อง หรือมิให้สิทธิเพื่อให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้ในการเฉพาะแล้ว

กฎหมายบัญญัติขั้นตอนและวิธีการไว้ในการพิจารณา และมิได้กำหนดไว้ตามขั้นตอนหรือวิธีการที่ครบถ้วน

เรื่องที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาของศาลอื่น หรือเรื่องที่ศาลอื่นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่สุดแล้ว

การกระทำของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙

การกระทำเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของคณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการตุลาการปกครอง คณะกรรมการตุลาการทหาร รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร

มาตรา ๔๘ ภายใต้บังคับมาตรา ๔๗ ผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพอันได้รับการคุ้มครอง ถ้าผู้เห็นว่าการกระทำนั้นเป็นการขัดหรือแย้งกับกฎหมายหรือบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วนโดยไม่ล่าช้าในกำหนดเวลาอันสมควร และให้ส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแนบผลการพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะไปพร้อมกัน

ในกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง หรือไม่ยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ผู้ถูกละเมิดสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลได้ ให้คำวินิจฉัยในวรรคหนึ่งและวรรคสองนำไปใช้บังคับกับการยื่นคำร้องเพื่อขอให้เสรีภาพประชาสังคมที่เกี่ยวข้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งการหรือวินิจฉัยในเรื่องนั้นด้วยโดยอนุโลม ให้บทความในมาตรา ๔๘ วรรคสองและวรรคสามนำไปใช้บังคับกับการยื่นและการพิจารณาคำร้องตามมาตรา ๔๖ ด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๔๙ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำร้องเท่านั้น ทั้งนี้ จะต้องไม่กระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัย ให้พ้นไปจากขอบเขตของการอุทธรณ์คำสั่งรับหรือไม่รับคำร้อง

ในการพิจารณาวินิจฉัย ให้ศาลมีอำนาจสั่งการหรือวินิจฉัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำร้องภายในขอบเขตที่จำเป็นเท่านั้นตามที่ปรากฏในคำร้องและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง และให้คณะกรรมการดำเนินการตามคำสั่งหรือคำวินิจฉัยของศาล คำสั่งหรือคำวินิจฉัยนั้นถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันทุกองค์กร ในกรณีที่คณะตุลาการตามวรรคหนึ่งมีความเห็นควรหรือไม่รับคำร้องไว้พิจารณา วินิจฉัย ให้เสนอคำพิพากษาแก้ไขทบทวนคำวินิจฉัยของตน และให้คำพิพากษานั้นเป็นที่สุด ภายในกำหนดวันเดียวกันที่ได้รับเรื่องจากคณะตุลาการดังกล่าว หากคณะเห็นพ้องด้วยกับความเห็นนั้น ให้จดทำเป็นคำสั่งของศาล หากคณะไม่เห็นพ้องด้วย ให้ดำเนินการตามความเห็นของศาล คำสั่งของคณะตุลาการตามวรรคสองให้ถือเป็นที่สุด ในกรณีที่ไม่มีกรณีแห่งผู้พิพากษาและตุลาการตามวรรคหนึ่ง ให้คำพิพากษาและคำสั่งศาล จะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ภายในกำหนดวันหนึ่งนับแต่วันที่มีเหตุอันพึงรับคำร้องตามที่ระบุไว้ในคำร้อง

มาตรา ๕๐ เมื่อมีผู้ยื่นฟ้องร้องต่อให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย และศาลเห็นว่าเป็นกรณีที่ต้องด้วยมาตรา ๔๙ วรรคสอง (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) หรือ (๘) ให้ศาลรับไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป

มาตรา ๕๑ คำร้องที่ได้ยื่นต่อศาลไว้แล้ว ก่อนศาลจะมีคำวินิจฉัยหรือมีคำสั่ง ถ้าผู้ร้องตาย หรือมีการถอนคำร้อง หรือไม่มีเหตุที่ต้องวินิจฉัยอีกต่อไป ศาลจะพิจารณาสั่งจำหน่ายคดีนั้นก็ได้ เว้นแต่การพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

ส่วนที่ ๖ องค์คณะและการพิจารณาคดี

มาตรา ๕๒ ในการนั่งพิจารณาและทำคำวินิจฉัย ตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะทุกคน ต้องร่วมพิจารณาคดีและร่วมทำคำวินิจฉัย ไม่น้อยกว่าหนึ่งเหตุทุกกรณีตาม หรือเหตุจำเป็นอื่นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หรือเป็นกรณีตามวรรคสาม

องค์คณะของศาลในการพิจารณาคดีและในการทำคำวินิจฉัย ต้องประกอบด้วยตุลาการไม่น้อยกว่าห้าคน ตุลาการซึ่งมีไว้ว่าในการพิจารณาในประเด็นสำคัญแห่งคดี ย่อมไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดีนั้น เว้นแต่เป็นปัญหาของใครจะเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาคดีนั้น หรือในกรณีที่ตุลาการผู้นั้นได้ให้ความเห็นไว้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นในฐานะผู้ตรวจคดีไปแล้ว ทั้งนี้ ในแต่ละกรณีจะต้องมีคำวินิจฉัยว่าให้มีหรือให้ยกเลิกและไม่ถือเป็นเด็ดขาด

มาตรา ๕๓ ศาลอาจมีคำสั่งให้มีการพิจารณาคดีในที่ลับได้ในกรณีที่เห็นว่าการพิจารณาคดีในที่เปิดเผยอาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจกระทบต่อความปลอดภัยของบุคคล หรืออาจกระทบต่อความลับของทางราชการ หรือในกรณีอื่นตามที่ศาลเห็นสมควร

ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้มีการพิจารณาคดีในที่ลับ ให้ศาลแจ้งเหตุผลแห่งคำสั่งนั้นให้ผู้ร้องทราบ ให้ผู้ร้องหรือผู้ร้องใดมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้าน และให้ศาลดำเนินการพิจารณา

มาตรา ๔๕ เมื่อศาลสั่งคำสั่งรับคำร้องที่มีผู้ถูกร้องมีให้พิจารณาวินิจฉัย ให้ส่งสำเนาคำร้องแก่ผู้ถูกร้อง หรือมีคำสั่งแจ้งให้ผู้ถูกร้องรับสำเนาคำร้องภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด

เมื่อผู้ถูกร้องได้รับสำเนาคำร้องนั้นแล้วให้ยื่นแก้ข้อกล่าวหาเป็นหนังสือต่อศาลนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด และให้ดำเนินการในมาตรา ๔๕ มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม การยื่นคำร้องเปลี่ยนคำร้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขคำร้องภายในระยะเวลาตามวรรคหนึ่งต้องได้รับอนุญาตจากศาลตามความเหมาะสม ทั้งนี้หากผู้ถูกร้องไม่ยื่นคำให้แก้ข้อกล่าวหาภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

มาตรา ๔๖ ผู้ร้องจะเปลี่ยนเพิ่มเติมคำร้อง หรือผู้ถูกร้องจะเปลี่ยนเพิ่มเติมคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอย่างใดให้โดยต้องยื่นคำขอเสียก่อนวันที่ศาลกำหนดพิจารณาวินิจฉัยในข้อเท็จจริง แต่ในกรณีที่มีการยื่นคำขอภายหลังวันที่ศาลกำหนดพิจารณาวินิจฉัยในข้อเท็จจริงแล้ว หากการเปลี่ยนเพิ่มเติมนั้นทำให้ประเด็นแห่งคดีหรือข้อพิพาทเปลี่ยนไป ศาลจะไม่รับพิจารณาก็ได้ แต่ในกรณีที่ศาลสั่งให้รับคำขอเปลี่ยนเพิ่มเติมคำร้องหรือคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ให้ดำเนินการตามมาตรา ๔๕ โดยอนุโลม

มาตรา ๔๗ การส่งสำเนาคำร้อง สำเนาคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา หรือเอกสารอื่นใดระหว่างผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ศาล และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือสำนักงานที่ติดต่อแห่งอื่นในหน่วยงานที่ผู้ถูกร้องรับผิดชอบ ให้กระทำโดยวิธีการที่ศาลกำหนด

วิธีการดังกล่าวจะกำหนดให้รวมถึงการส่งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้

มาตรา ๔๘ เมื่อศาลสั่งคำสั่งให้พิจารณาวินิจฉัย ให้ศาลกำหนดประเด็นแห่งข้อพิพาทหรือประเด็นที่จะพิจารณาวินิจฉัย แต่ไม่ต้องกำหนดคำที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมประเด็นที่ได้กำหนดหรือข้อเดิม

ตุลาการทุกคน ในแต่ละตุลาการที่ได้รับอนุญาตให้แสดงหรือสอบตัดพยานคู่ความ ต้องทำความเห็นส่วนตนในประเด็นและข้อเท็จจริงที่ศาลได้กำหนดหรือข้อเดิมไว้ เมื่อศาลรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ตุลาการผู้เดียวจะไม่รับไว้พิจารณาเรื่องนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลได้

มาตรา ๔๙ หากศาลเห็นว่าคดีใดเป็นปัญหาข้อกฎหมาย หรือมีเหตุผลหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ ศาลอาจประชุมปรึกษาเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยโดยไม่ต้องทำการไต่สวนหรือมีคำสั่งใดๆก็ได้

เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีใดที่ไม่ชัดเจน หรือมีได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทหรือประเด็นที่จะพิจารณาวินิจฉัย หรือจะทำให้คดีล่าช้าโดยไม่สมควร ศาลอาจสั่งงดการสืบหรือไม่รับพยานหลักฐานนั้นก็ได้ ตุลาการหรือพยานจะไม่ต้องรับผิดในเรื่องใดที่เป็นผลมาจากการพิจารณาหรือมีอยู่จริงแล้วให้ถือเอาสาระสำคัญของหลักฐานที่มีอยู่ในสำนวนของศาลหรือพยานที่ได้แสดงไว้ในคดีนั้น

มาตรา ๕๙ การนั่งพิจารณาของศาลให้กระทำโดยเปิดเผย เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรเพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณที่ทำการศาล หรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ศาลอาจนั่งพิจารณาคดีทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการลับได้

เมื่อศาลประกาศกำหนดวันนัดไต่สวนครั้งแรก ให้ส่งสำเนาประกาศให้แก่คู่กรณีไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันนัด ส่วนกำหนดวันนัดไต่สวนครั้งต่อไป ให้เป็นไปตามที่ศาลกำหนด และให้เป็นประกาศกำหนดดังกล่าวไว้ ณ ที่ทำการศาลด้วย

มาตรา ๖๐ คู่กรณีจะอ้างเอกสาร บุคคล และหลักฐานอื่นเป็นพยานหลักฐานได้ และมีสิทธิตรวจพยานหลักฐานและขอสำเนาพยานหลักฐานของตนเองหรือของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งในเวลาทำการของศาลหรือระยะเวลาที่กำหนดในข้อกำหนดของศาล

การอ้างพยานหลักฐานตามความวรรคหนึ่ง ให้คู่กรณียื่นบัญชีพยานหลักฐาน และวิธีการที่จะได้มาซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าว เว้นแต่ในกรณีตามมาตรา ๕๔ ที่ศาลมีสิทธิวินิจฉัย คู่กรณีอาจยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ แต่ต้องยื่นก่อนที่ศาลกำหนดวันนัดไต่สวนในข้อกล่าวหานั้น

มาตรา ๖๑ เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม ศาลอาจสั่งให้คู่กรณีแถลงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทก่อนกำหนดวันนัดไต่สวนพยานหลักฐาน

มาตรา ๖๒ ในการไต่สวนพยานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นพยานที่ฝ่ายใดอ้างหรือศาลสั่งเรียกเอง ให้ศาลสอบถามพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี และไม่จำเป็นต้องยึดข้อบังคับกฎหมาย

เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจอนุญาตให้คู่กรณีถามพยานเพิ่มเติมตามประเด็นและข้อเท็จจริงที่ศาลกำหนดได้โดยให้พยานที่เบิกความแล้วไม่อยู่ในศาลก่อนหลังจากที่ศาลเบิกความพยานตามวรรคสองแล้ว ศาลไม่ให้คู่กรณีไปถามพยานอีก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

มาตรา ๖๓ ศาลอาจอนุญาตให้มีการไต่สวนพยานที่อยู่นอกที่ทำการศาลตามที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายร้องขอ การไต่สวนพยานเช่นนั้นต้องใช้ระบบการประชุมทางจอภาพตามที่ศาลของศาลได้

การไต่สวนพยานตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการทำในห้องพิจารณาของศาล

มาตรา ๖๔ ในกรณีที่ศาลเห็นสมควร หรือเมื่อมีคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดร้องขอและศาลอนุญาต ศาลอาจกำหนดให้พยานที่อาจทราบข้อเท็จจริงซึ่งต้องนำไปสืบข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่น ๆ เบิกความต่อศาลในวันนัดไต่สวนข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐาน โดยให้ศาลกำหนดข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่จะให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดซักถามหรือซักค้านข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานนั้นล่วงหน้า

ต่อศาล และสำนวณผู้คุ้มครองอื่นเพื่อทราบก่อนวันนัดไต่สวนพยานบุคคลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญนั้น ไม่ช้ากว่าเจ็ดวัน คู่กรณีที่ติดใจคัดค้านข้อเท็จจริงหรือความเห็นในบันทึกข้อความนั้น ต้องทำคำคัดค้านในประเด็นใด ให้ทำคำคัดค้านเป็นหนังสือยื่นต่อศาลก่อนวันนัดไต่สวนพยานบุคคล หรือพยานผู้เชี่ยวชาญไม่น้อยกว่าสามวัน มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจคัดค้าน ในบันทึกข้อความตามวรรคหนึ่ง ให้พยานรับรองบันทึกข้อความนั้นว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือความเห็น แล้วตอบปัญหาซักถามเพิ่มเติมของศาลและคู่กรณีที่เป็นผู้ถามปัญหาซักถามตามวรรคสอง และศาลอนุญาต หากพยานไม่สามารถ หรือศาลเห็นว่าไม่สมควรซักถาม ให้ศาลมีอำนาจรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม ศาลจะรับฟังบันทึกข้อความนั้นต่อไปเว้นแต่จะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบันทึกข้อความนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรม

มาตรา ๒๘ คู่กรณี พยานในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ถ้อยคำของตน หรือบุคคลอื่นอาจยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งโดยชอบด้วยเหตุผลอันสมควร สิทธิของตนเอง หรือของส่วนรวมที่ได้รับรองตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องเอกสารในอำนาจได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของศาล ซึ่งจะกำหนดให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วยก็ได้

มาตรา ๒๙ ให้ศาลแจ้งผู้ฟ้องคดีทราบรายการการพิจารณาคดี

มาตรา ๓๐ ให้ตุลาการคนหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายจากศาลเป็นผู้ลงลายมือชื่อในประกาศ คำสั่ง รายงานการพิจารณาคดี หรือหนังสืออื่นโดยอนุศาล

มาตรา ๓๑ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่อาจแก้ไขภายหลัง หรือเพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้จะมีและถ้าฝ่ายของผู้ร้องมีเหตุอันเชื่อได้ว่าศาลจะมีวิธีเยียวยาให้เป็นไปตามคำร้องได้ แม้ศาลจะมีมติเสนอการหรือวิธีการใดให้ศาลสั่งบังคับตามมาตรการหรือวิธีการที่ ๑ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย และอาจกำหนดให้ฝ่ายที่ร้องขอหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของศาล

การกำหนดมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวดังกล่าว ศาลต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงความเหมาะสมควรแก่กรณี ให้ศาลไม่ใช้อำนาจนั้นในกรณีที่ไม่จำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ ไม่เป็นการลิดรอนสิทธิในวันหนึ่งวันใดที่ศาลมีเหตุผลตามมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวนั้น

หมวด ๔ การพิจารณาและคำสั่งศาล

มาตรา ๓๒ คำวินิจฉัยของศาลให้ถือเสียยิ่งกว่า บังคับใช้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ในกรณีที่แสดงแสงแห่งกัน ให้ศาลปรึกษาการวินิจฉัยตามวรรคสองให้แล้วเสร็จ ตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะทุกคนจะลงลายมือชื่อในคำวินิจฉัยที่ศาลได้กำหนดไว้แล้ว เว้นแต่เหตุตามมาตรา ๔๕ วรรคสาม

มาตรา ๓๓ คำวินิจฉัยของศาลอย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริงและคำขอความที่ปรากฏในคำร้องหรือหนังสือที่ฝ่ายการพิจารณาคดี ย่อได้แต่ในกรณีข้อเท็จจริงอันมาก ประเด็นแห่งคดี สรุปข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณา เหตุผลในการวินิจฉัยในแต่ละประเด็น และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

คำวินิจฉัยของศาลต้องลงลายมือชื่อของตุลาการที่วินิจฉัย ถ้าคำวินิจฉัยโดยเหตุจำเป็นมิได้ลงลายมือชื่อได้ไม่สามารถทำได้ ให้ตุลาการที่ลงลายมือชื่อคนหนึ่งลงลายมือชื่อกำกับไว้แทน ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายหรือความไม่เหมาะสมอันอาจเกิดขึ้น

มาตรา ๓๔ ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาล หากมีความจำเป็นจะต้องบังคับให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย ให้ศาลสั่งการกำหนดคำบังคับให้เป็นไปตาม

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คำวินิจฉัยของศาลไว้ในคำวินิจฉัยนั้น โดยศาลอาจกำหนดให้มีผลไปในอนาคตจนถึงขณะใดขณะหนึ่ง หลังวันอ่านคำวินิจฉัย หรือออกคำสั่งเพิกถอนหรือยกเลิกการกระทำของหน่วยงานที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามความจำเป็นหรือสมควร ตามความเป็นธรรมแก่กรณี และให้องค์กร หน่วยงานของรัฐ หรือบุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบังคับตามผลการปฏิบัติหรือข้อสั่งการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาล ที่มีผลกระทบในลักษณะเป็นการบังคับตามข้อสั่งการดังกล่าว หรือภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ศาลกำหนดในคำวินิจฉัยตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๕๔ ในการวินิจฉัยคดี องค์คณะตุลาการมีอำนาจทุกคนต้องทำความเห็นส่วนตนเป็นหนังสือ พร้อมทั้งแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุม และให้ที่ประชุมปรึกษาหารือรวมกันก่อนแล้วจึงลงมติ

ความเห็นส่วนตนตามวรรคหนึ่ง ให้ทำโดยลับและต้องเผยแพร่ต่อสาธารณะตามข้อกำหนดของศาล การทำคำวินิจฉัยของศาล องค์คณะอาจมอบหมายให้ตุลาการคนหนึ่งเป็นผู้จัดทำคำวินิจฉัยตามมติที่ได้ คำวินิจฉัยของศาล ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปตามสิ่งบังคับแห่งบทบัญญัติที่มีกำหนดไว้

มาตรา ๕๕ คำวินิจฉัยของศาลให้มีผลในวันอ่าน

ในกรณีที่ศาลมีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนหรือยกเลิกการกระทำของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้หลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าว และให้ถือว่าวันที่ศาลลงมติเป็นวันที่ปรากฏในคำวินิจฉัยเป็นวันอ่าน ในกรณีที่ศาลมีคำวินิจฉัยขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๗ มาตรา ๒๒๐ มาตรา ๒๒๓ หรือมาตรา ๒๒๔ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบงานธุรการของศาลจัดทำประกาศเผยแพร่คำวินิจฉัยของศาลในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็ว การแจ้งให้คู่กรณีมาฟังคำวินิจฉัยและการอ่านคำวินิจฉัยของศาลตามวรรคสอง และการแจ้งคำวินิจฉัยตามวรรคสาม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามข้อกำหนดของศาล

มาตรา ๕๖ คำสั่งไม่รับหรือให้รับพิจารณาคำร้องขอวินิจฉัยคดี ต้องประกอบด้วยความเป็นมาโดยย่อของคดี เหตุผลในการมีคำสั่ง ความเห็นประกอบ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ให้ทำความในมาตรา ๕๔ วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การทำคำสั่งด้วยโดยอนุโลม เมื่อข้อกำหนดดังกล่าวมีผลแล้วให้แจ้งคู่กรณีทราบ พร้อมประกาศในราชกิจจานุเบกษา คำสั่งของศาลตามมาตรา ๕๖ วรรคสอง ให้มีผลในวันที่ศาลลงมติถึงแม้ในวันที่ปรากฏในคำสั่ง ปรากฏในคำสั่ง

มาตรา ๗๗ ในกรณีที่คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของศาลมีข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย เมื่อศาลเห็นเอง หรือเมื่อคู่กรณีร้องขอและศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเช่นว่านั้นให้ถูกต้องก็ได้

การคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมตามวรรคหนึ่งจะต้องไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยหรือคำสั่งเดิม เมื่อได้ทำคำสั่งเช่นว่านั้นแล้ว ให้แจ้งคู่กรณีทราบ และให้บันทึกลงในสำนวนคดี วรรคสามและวรรคสี่ มาใช้บังคับแก่คำสั่งโดยอนุโลม หลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการจัดทำคำสั่งตามวรรคสามและวรรคสี่ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาล บทเฉพาะกาล

มาตรา ๗๘ ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งดำรงตำแหน่งยังไม่ครบวาระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใช้ยังคงดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ หรือพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๖ วรรคสอง แล้วแต่กรณี และให้ถือว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัตินี้

ในกรณีที่ไม่มีประธานศาลรัฐธรรมนูญหรือประธานศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่ง ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเลือกกันเองเพื่อทำหน้าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๗๙ การสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งแทนประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๗๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งมีเหตุพ้นจากตำแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุใด และในกรณีประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา ๗๘ วรรคสอง ให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งหรือวันที่มีการประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในกรณีตามมาตรา ๗๘ วรรคสอง

ภายในสิบวันนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง ให้องค์กรที่มีหน้าที่สรรหาแต่งตั้งและส่งชื่อบุคคลที่ได้รับการสรรหาแต่งตั้งภายในระยะเวลาที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ให้คณะกรรมการสรรหาฯ หรือในกรณีที่ไม่มีผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรนั้น ให้คณะกรรมการสรรหาฯ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยให้ถือว่าคณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยกรรมการสรรหาฯ ที่เหลืออยู่ แต่ไม่ตัดสิทธิองค์กรอื่นๆ ที่จะแต่งตั้งขึ้นแทนในภายหลัง การแต่งตั้งดังกล่าวไม่ส่งผลให้การดำเนินการของคณะกรรมการสรรหา ที่ได้ดำเนินการไปแล้วต้องเสียไป ภายในสิบวันนับแต่วันที่พ้นจากระยะเวลาตามวรรคสอง ให้คณะกรรมการสรรหา พิจารณาและวินิจฉัยว่าบุคคลที่คณะรัฐมนตรีมอบและคณะกรรมาธิการสรรหาผู้ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ อยู่ในตำแหน่งวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับตามมาตรา ๙๗ วรรคสอง ถือว่า เป็นผู้ซึ่งจะต้องได้รับการสรรหาต่อเนื่องไปจนกว่าจะครบวาระตามมาตรา ๔๘ (๒) และ (๓) คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด

มาตรา ๕๐ ให้คณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๔๘ ดำเนินการสรรหาผู้สมควร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนี้ โดยให้คณะกรรมการสรรหาทำวินิจฉัยตามมาตรา ๔๘ วรรคสี่ ภายในกำหนดสิบวันนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัยตามมาตรา ๔๙

มาตรา ๕๑ ในกรณีที่ต้องมีการคัดเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้ดำเนินการในวาระหนึ่งตามที่บัญญัติในกระบวนการคัดเลือกผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาล รัฐธรรมนูญของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี ด้วยโดยฉับไว

ในกรณีที่ไม่มีประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดให้มีการสรรหาหรือคัดเลือกแล้ว ให้ผู้ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังอยู่ในตำแหน่งตามมาตรา ๙๗ วรรคสี่ ประชุมร่วมกันเพื่อเลือกกันเองให้หนึ่งเป็นประธาน ศาลรัฐธรรมนูญ และแจ้งให้ประธานวุฒิสภาทราบเพื่อดำเนินการต่อไป

มาตรา ๕๒ บรรดาข้อกำหนด ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติของศาลที่ออกตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ให้มีผลใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งนี้ ตามความจำเป็นต้องแก้ไขข้อกำหนด ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติ ของศาลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๕๓ การดำเนินการใดๆ ที่ได้กระทำไปแล้ว หรือการดำเนินการอื่นใดตามคำสั่งของศาล ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่า การดำเนินการ นั้นเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และให้ดำเนินการต่อไปให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้

ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และยังไม่มีบัญญัติไว้ ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด และให้ถือเป็นที่สุด

ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมวดเหตุ :: เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้คณะกรรมการและการดำเนินการที่พ้นจากตำแหน่งของศาลรัฐธรรมนูญ การพิจารณาวินิจฉัยเรื่องตามหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และการดำเนินงานของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พัชราภรณ์/จัดทำ ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ พจมาน/ตรวจ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑