로고

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๗๐ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยความเท่าเทียมระหว่างเพศ

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ

พ.ศ. ๒๕๕๘”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่

วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” หมายความว่า การกระทำหรือไม่ กระทำการใดอันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิโอกาสใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่ แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด “กองทุน” หมายความว่า กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ “กรม” หมายความว่า กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัตินี้ “อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๑๘ ก/หน้า ๑๗/๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘*

มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกระเบียบหรือประกาศ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

ระเบียบหรือประกาศตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด 1

คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ

มาตรา 5 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ” เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ สทพ.” ประกอบด้วย

(ก)

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ

(ข)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองประธานกรรมการ

(ค)

กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวนสิบเจ็ดคน ได้แก่ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และปลัดกระทรวงสาธารณสุข

(ง)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนสิบคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในกรณีที่เกี่ยวกับความเท่าเทียมระหว่างเพศไม่ต่ำกว่าสิบปี จำนวนห้าคน และผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ ด้านสังคมวิทยา ด้านสังคมสงเคราะห์ หรือด้านจิตวิทยา จำนวนสามคน ให้ถือเป็นกรรมการและเลขานุการ และมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการในกรมจำนวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ

มาตรา 6 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้

(ก)

มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด

(ข)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์

(ค)

ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(ง)

ไม่เคยถูกไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ ทบวงการเมือง รัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะกระทำผิดวินัย

(จ)

ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(ฉ)

ไม่เคยต้องคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินัยอย่างร้ายแรงถึงการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศในการดำรงตำแหน่งหรือการปฏิบัติหน้าที่

(๗)

ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ

(๘)

ไม่เคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม กฎหมาย หรือวิศวกรรมโดยวิธีการทุจริตทางเพศ

(๙)

ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน

มาตรา ๖ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสามารถดำรงตำแหน่งได้คราวละสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองคราวไม่ได้

มาตรา ๗ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

(๑)

ตาย

(๒)

ลาออก

(๓)

คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๕ หรือมาตรา ๖

(๔)

พ้นจากราชการหรือพ้นจากการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือพ้นจากตำแหน่งอื่นใดในพรรคการเมือง

(๕)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๖

มาตรา ๘ ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้แต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๕ ขึ้นเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิผู้นั้นต่อไป

ในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้คณะกรรมการ สทท. ประกอบด้วยกรรมการเท่าที่เหลืออยู่

มาตรา ๙ คณะกรรมการ สทท. มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑)

กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการ เพื่อให้การดำเนินงานของ สทท. เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัตินี้

(๒)

เสนอแนะนโยบาย และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือระเบียบต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัตินี้ ``` - 4 - สำนักงานคณะกรรมการการฤาชฎีกา

(ฉ)

กำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ ชดเชยและเยียวยา หรือบรรเทาทุกข์แก่บุคคล ซึ่งถูกเป็นผู้เสียหายจากการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ

(ช)

ตรวจสอบ แนะนำ และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

(ซ)

ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันมิให้การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศเกิดขึ้น

(ฌ)

ส่งเสริมให้มีการเก็บข้อมูลจำแนกเพศ รวมทั้งเสนอรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

(ญ)

วางระเบียบเกี่ยวกับการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้

(ฎ)

ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ สทพ. หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการกำหนดการดำเนินการที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างเพศอย่างแท้จริง

(ฐ)

ส่งเสริมโอกาสในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ๆ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

(ฑ)

ปรับปรุงแบบแผนความประพฤติทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างเพศเพื่อขจัดอคติวิธีปฏิบัติที่อยู่บนพื้นฐานของเพศสภาพ และความรุนแรงที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ รวมทั้งส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ

มาตรา 11 การประชุมคณะกรรมการ สทพ. ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมคณะกรรมการ สทพ. ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา 12 คณะกรรมการ สทพ. มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

การประชุมของคณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่ง ให้นำความในมาตรา 11 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด 2

คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และการจัดการอรรถคดีและค่าใช้จ่ายคดี ```

มาตรา 13 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ วลพ.” ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกจำนวนไม่น้อยกว่าสามคนแต่ไม่เกินเจ็ดคน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยการสรรหาจากผู้ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ คุณวุฒิในคณะกรรมการ สทพ. ที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ หรือด้านกฎหมาย และรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการจากผู้แทนองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ อย่างน้อยจำนวนหนึ่งคน

ให้ถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีในการแต่งตั้งกรรมการตามวรรคหนึ่ง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการ สทพ. กำหนด

มาตรา 14 คณะกรรมการ วลพ. มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) วินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวกับคำร้องว่ามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศตามมาตรา 18 (2) กำหนดมาตรการหรือวิธีการอย่างอื่นที่จำเป็นและสมควรเพื่อให้บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายดำเนินการตามมาตรา 18

มาตรา 15 องค์ประกอบของคณะกรรมการ วลพ.

(1) ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 20 (2) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนี้ วลพ.

มาตรา 16 ให้นำบทบัญญัติมาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 11 และมาตรา 12 มาใช้บังคับกับคณะกรรมการ วลพ. โดยอนุโลม

มาตรา 17 ให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ สทพ. และคณะกรรมการ วลพ. และมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) รับคำร้องว่ามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ พร้อมทั้งพิจารณาเห็นสมควรเสนอคณะกรรมการ สทพ. หรือคณะกรรมการ วลพ. แล้วแต่กรณี (2) ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการ สทพ. หรือคณะกรรมการ วลพ. แล้วแต่กรณี และประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันมิให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (3) จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการ สทพ. และคณะกรรมการ วลพ. เสนอคณะกรรมการ สทพ. หรือคณะกรรมการ วลพ. แล้วแต่กรณี (4) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนี้ หรือตามที่รัฐมนตรี คณะกรรมการ สทพ. คณะกรรมการ วลพ. หรือคณะกรรมการอื่นมอบหมาย

หมวด 3

การตรวจสอบการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ

มาตรา 17 การกำหนดนโยบาย กฎ ระเบียบ ประกาศ มาตรการ โครงการ หรือวิธีปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือบุคคลใดให้ลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศหรือละเลยก็ได้

การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เพื่อขอข้อมูลสารหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน หรือเพื่อจัดสวัสดิการ สวัสดิภาพ หรือการคุ้มครองบุคคลตามหลักการทางศาสนา หรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ

มาตรา 18 บุคคลใดเห็นว่าตนได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทำในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และมิใช่เป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาลหรือคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดตามกฎหมาย ให้แจ้งเรื่องต่อคณะกรรมการ สทพ. เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นคำร้อง การพิจารณา และการวินิจฉัยให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ สทพ.

การร้องเรียนตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นการตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ฐานะต่อคณะกรรมการ สทพ. ให้ถือว่าการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศนั้นเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ศาลจะกำหนดค่าเสียหายในลักษณะใดให้แก่บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศไม่เกินสิทธิเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงจะตกได้ การใช้สิทธิตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศอาจขอให้องค์กรที่เกี่ยวข้องเป็นผู้สนับสนุนหรือฟ้องคดีแทนได้ การฟ้องคดีตามวรรคสอง ให้ต้องยื่นเรื่องขอรับการช่วยเหลือจากคณะกรรมการ สทพ. มีกำหนดข้อหรือเป็นคำสั่งศาลปกครองที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี

มาตรา 19 ในกรณีที่คณะกรรมการ สทพ. วินิจฉัยว่า เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ให้มีอำนาจสั่ง ดังต่อไปนี้

(1) ให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามกฎหมายหน้าที่หรือวิธีแก้ไขเพื่อแก้ไขการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศให้เป็นไปตามที่กำหนดในหมวด 4 (2) ให้การชดเชยและเยียวยาความเสียหายตามความเหมาะสม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - 7 - คำสั่งของคณะกรรมการ วลพ. ตามวรรคหนึ่ง จะต้องแสดงเหตุผลอย่างชัดเจนและอาจกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ไว้เท่าที่จำเป็น รวมทั้งระยะเวลาดำเนินการต่อคณะกรรมการ วลพ. เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้บรรลุตามเงื่อนไขที่เห็นสมควรได้

มาตรา 21 ในกรณีที่คณะกรรมการ วลพ. มีข้อสงสัยว่า การเลือกปฏิบัตินั้นไม่เป็นธรรมธรรมาภิบาลโดยเหตุที่ไม่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานหรือเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้คณะกรรมการ วลพ. มีอำนาจสอบถามหรือขอให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัตินั้นเพื่อพิจารณาว่ามีการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่

มาตรา 22 เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการ วลพ. อนุกรรมการพร้อมพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งคณะกรรมการ วลพ. มอบหมาย มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(ก)

เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องโดยมีหมายค้น

(ข)

มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งหรือมอบหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องแก่ประกอบการพิจารณา ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ตอบหนังสือสอบถาม หรือส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อกรรมการ วลพ. อนุกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 23 ให้กรรมการ วลพ. อนุกรรมการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกครั้ง บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

หมวด 4

การชดเชยและเยียวยาผู้เสียหาย

มาตรา 24 เมื่อคณะกรรมการ วลพ. มีคำวินิจฉัยว่ามีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมธรรมาภิบาล ให้ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับการชดเชยและเยียวยาอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมตามความจริงอันปรากฏที่คณะกรรมการ วลพ. พิจารณาเห็นสมควร โดยให้คำนึงถึงสิทธิของผู้เสียหายที่จะได้รับการชดเชยและเยียวยา รวมถึงสิทธิของผู้เสียหายที่จะได้รับการชดเชยและเยียวยาตามกรอบระยะเวลา เป็นสิทธิที่เฉพาะตัวไม่อาจโอนให้และไม่ตกทอดทางมรดก

มาตรา 25 ในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือคนไร้ความสามารถ หรือในกรณีผู้เสียหายมีสถานะอื่นซึ่งอาจขัดขวางการชดเชยและเยียวยาเองได้

ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อุปการะ สามีหรือภริยา ผู้ดูแลหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย แล้วแต่กรณี จะยื่นคำขอแทนก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 26 การชดเชยและเยียวยาผู้เสียหายให้กระทำโดยให้ความช่วยเหลือ ประการหนึ่งประการใด หรือให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ดังต่อไปนี้

(ก)

ค่าใช้จ่ายในการประสานงาน การเดินทาง การจัดการศพหรือการประกอบพิธีทางศาสนา

(ข)

ค่าครองชีพโอกาสที่เป็นค่าเสียหายในเชิงพาณิชย์ซึ่งสามารถคำนวณเป็นเงินได้

(ค)

ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการรักษาพยาบาล รวมทั้งค่าฟื้นฟูสภาพทางร่างกายและจิตใจ

(ง)

การชดเชยและเยียวยาในรูปแบบหรือลักษณะอื่น หลักเกณฑ์ วิธีการ และจำนวนเงินในการชดเชยและเยียวยาผู้เสียหายตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการ สทพ. กำหนด

มาตรา 27 การได้รับการชดเชยและเยียวยาตามมาตรา 26 ไม่เป็นการตัดสิทธิ ผู้เสียหายในเรื่องที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดต่อศาลที่มีเขตอำนาจ ทั้งนี้ ไม่ขัดกับบัญญัติ มาตรา 18 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด 5

กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ

มาตรา 28 ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกรม เรียกว่า “กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ” เพื่อเป็นทุนใช้จ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศตาม พระราชบัญญัตินี้

มาตรา 29 กองทุน ประกอบด้วย

(ก)

เงินอุดหนุนที่รัฐจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี

(ข)

เงินหรือทรัพย์สินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ

(ค)

เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้กองทุน

(ง)

เงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากการจัดกิจกรรมหารายได้หรือการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของกองทุน

(จ)

ดอกผลหรือรายได้ที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน เงินและทรัพย์สินของกองทุน ให้ส่งเข้ากองทุนโดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

มาตรา 30 เงินในกองทุนนี้ให้ใช้จ่ายเพื่อการจัดประสงค์ ดังต่อไปนี้

(ก)

เพื่อกิจกรรมหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ

(ข)

เพื่อคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ```

(ฉ)

เพื่อช่วยเหลือ ขจัดและเยียวยา หรือบรรเทาทุกข์แก่บุคคลซึ่งตกเป็นผู้เสียหายจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามเหตุผลมาตรา ๒๖

(ฌ)

เพื่อการสอดส่องดูแลและให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

(ญ)

เพื่อส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามเหตุผลที่ระบุในพระราชบัญญัตินี้

(ฎ)

เพื่อการติดต่อและประสานงานกับบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

(ฏ)

เพื่อการอำนวยให้คณะกรรมการ สทพ. เห็นสมควร

มาตรา ๓๑ ให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนคณะหนึ่ง ประกอบด้วย อธิบดีเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนกรมบัญชีกลาง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะกรรมการ สทพ. แต่งตั้งจำนวนสี่คน ในจำนวนนี้จะต้องเป็นผู้แทนจากกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนหรือพระพุทธศาสนา จำนวนสองคน และต้องมีกรรมการบริหารกองทุน จำนวนหนึ่งคน เป็นกรรมการ

ให้รองอธิบดีซึ่งรับผิดชอบงานเกี่ยวกับการบริหารและเลขานุการ เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการเท่าที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุนตามที่ประธานกรรมการมอบหมาย

มาตรา ๓๒ ให้บังคับใช้บทบัญญัติตามมาตรา ๗ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ กับการดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุนโดยอนุโลม

มาตรา ๓๓ คณะกรรมการบริหารกองทุนมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(ก)

บริหารกองทุน การรับ การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินกองทุน รวมทั้งดำเนินการเกี่ยวกับการระดมทุน การลงทุน การจัดหาผลประโยชน์ และการจัดการกองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการ สทพ. กำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

(ข)

พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินช่วยเหลือและเยียวยาแก่บุคคลซึ่งตกเป็นผู้เสียหายเนื่องจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามเหตุผลที่ระบุในพระราชบัญญัตินี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการ สทพ. กำหนด

(ค)

รายงานสถานะทางการเงินและการบริหารกองทุนต่อคณะกรรมการ สทพ.

หมวด ๒ บทกำหนดโทษ

มาตรา ๓๔ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการ สทพ. ตามมาตรา ๒๖ (ฉ) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกรรมการ สทพ. ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

```

มาตรา ๑๒ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้กระทำผิดหรือผู้เกี่ยวข้องในคดีนั้นเห็นว่า ผู้ต้องหาไม่ได้รับโทษจำคุกหรือไม่ควรถูกฟ้องร้อง ให้มีอำนาจเปรียบเทียบ ดังต่อไปนี้

(๑)

อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย สำหรับความผิดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร

(๒)

ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย สำหรับความผิดที่เกิดขึ้นในจังหวัดอื่น ในกรณีที่มีการสอบสวน ถ้าพนักงานสอบสวนพบว่าบุคคลใดกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัตินี้และบุคคลนั้นยอมให้เปรียบเทียบ ให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่องไปยังผู้มีอำนาจ เปรียบเทียบตาม (๑) หรือ (๒) แล้วแต่กรณี ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่บุคคลนั้นแสดงความยินยอมให้ เปรียบเทียบ เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวันแล้วให้ ถือว่าคดีเลิกกันตามบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ``` - 13 - หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันไม่มีมาตรการป้องกันการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศที่ชัดเจนส่งผลให้บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร สมควรกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และป้องกันมิให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ทั้งสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากลตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปริยานุช/ผู้จัดทำ 16 มีนาคม 2558 วิริยา/ผู้ตรวจ 16 มีนาคม 2558 ```