로고

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๓๙ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๗

โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. ๒๕๒๗”

มาตรา ๒[1] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นใดในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้

“วิชาชีพเภสัชกรรม” หมายความว่า วิชาชีพที่เกี่ยวกับการกระทำในการเตรียมยา การผลิตยา การประดิษฐ์ยา การเลือกสรรยา การวิเคราะห์ยา การควบคุมและการประกันคุณภาพยา การปรุง และการจ่ายยาในลักษณะผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมชั้นหนึ่ง การขายยา การเก็บรักษายา การแบ่งบรรจุยา การขยายยา และการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยยาและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยา “ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ “ใบอนุญาต” หมายความว่า ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมจากสภาเภสัชกรรม “สมาชิก” หมายความว่า สมาชิกสภาเภสัชกรรม “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการสภาเภสัชกรรม "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการสภาเภสัชกรรม "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ "เลขาธิการ" หมายความว่า เลขาธิการสภาเภสัชกรรม "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 5 ในกรณีที่มีปัญหาซึ่งเห็นว่ามีความปลอดภัยต่อสังคมหรือการป้องกันโรค ศิลปะแห่งปัจจุบันสาขาเภสัชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพศิลปะแห่งปัจจุบัน สาขาเภสัชกรรม ให้แพทยสภา สภาการพยาบาล วิชาชีพสาขาเภสัชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพสาขาเภสัชกรรมเสนอพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวงกำหนดคำธรรมเนียมไม่เกินอัตราที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งออกกฎกระทรวงและระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงและระเบียบนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด 1

สภาเภสัชกรรม

มาตรา 7 ให้มีสภาเภสัชกรรม มีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ให้สภาเภสัชกรรมเป็นนิติบุคคล

มาตรา 8 สภาเภสัชกรรมมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(ก)

ส่งเสริมการศึกษา การวิจัยและการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม

(ข)

ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก

(ค)

ผดุงไว้ซึ่งสิทธิ ความเป็นธรรมและส่งเสริมสวัสดิการให้แก่สมาชิก

(ง)

ควบคุมความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม

(จ)

ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้การศึกษาแก่ประชาชนและองค์กรอื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับการสาธารณสุขและการสาธารณสุข

(ฉ)

ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับการสาธารณสุขและการสาธารณสุข

(ช)

เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมในประเทศไทย

มาตรา 9 สภาเภสัชกรรมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

กิจกรรม

(๑)

รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเกล้าสัตวกรรม

(๒)

วิจัยวิชาชีพตามมาตรา ๗๒ วรรคสาม

(๓)

รับรองปริญญา ประกาศนียบัตรในวิชาเกล้าสัตวศาสตร์ หรือวุฒิบัตรในวิชาชีพเกล้าสัตวกรรมของสถาบันต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการสมัครเป็นสมาชิก

(๔)

รับรองหลักสูตรต่าง ๆ สำหรับการฝึกอบรมเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญการในสาขาต่าง ๆ ของวิชาชีพเกล้าสัตวกรรมของสถาบันต่าง ๆ ที่ทำการฝึกอบรมเป็นผู้ชำนาญการในสาขาต่าง ๆ ของวิชาชีพเกล้าสัตวกรรม

(๕)

รับรองวิทยฐานะของสถาบันที่ทำการฝึกอบรมใน (๔)

(๖)

ออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในวิชาชีพในการประกอบวิชาชีพเกล้าสัตวกรรมจากต่าง ๆ และออกหนังสือแสดงวุฒิบัตรในวิชาชีพเกล้าสัตวกรรม

(๗)

ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาเกล้าสัตวกรรมมาตรา ๑๐ สภาเกล้าสัตวกรรมอาจดำเนินการได้ดังต่อไปนี้

(ก)

เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน

(ข)

ค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ

(ค)

ผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินและกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในมาตรา ๘

(ง)

เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่สภาเกล้าสัตวกรรม

(จ)

ดอกผลของเงินและทรัพย์สินตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔)

มาตรา ๑๑ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมวด ๒

สมาชิก

มาตรา ๑๒ ผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาเกล้าสัตวกรรมต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

(๑)

มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์

(๒)

มีความรู้ในวิชาชีพเกล้าสัตวกรรมโดยได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรในวิชาเกล้าสัตวศาสตร์จากสถาบันการศึกษาที่ทางมหาวิทยาลัยรับรองหรือที่สภาเกล้าสัตวกรรมรับรอง

(๓)

ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดร้ายแรงซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ (c) ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกในคดีที่คณะกรรมการเห็นว่าอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ

(ซ)

ไม่เป็นผู้มีชื่อขึ้นทะเบียนไม่สมประกอบ หรือไม่เป็นโรคที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

มาตรา 13 สิทธิและหน้าที่ของสมาชิกมีดังต่อไปนี้

(1) ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ขอหนังสืออนุมัติหรืออนุมัติบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ หรือขอหนังสือแสดงวุฒิบัตรในสาขาแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม โดยปฏิบัติตามข้อบังคับสภาเภสัชกรรมว่าด้วยการนั้น

(ข)

แสดงความเห็นเป็นหนังสือเกี่ยวกับกิจการของสภาเภสัชกรรมส่งไปยังคณะกรรมการเพื่อพิจารณา และในการที่สภาเภสัชกรรมมีมติแจ้งให้สมาชิกทราบ คณะกรรมการพิจารณาเรื่องใดที่เกี่ยวกับกิจการของสภาเภสัชกรรม คณะกรรมการต้องพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้เสนอทราบโดยไม่ชักช้า

(ค)

เลือก รีเลือก หรือรับเลือกตั้งเป็นกรรมการ

(ง)

ผดุงไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพและปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 14 สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง เมื่อ

(1) ตาย (2) ลาออก (3) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 12 (1) (2) หรือ (4) (4) คณะกรรมการมีมติให้พ้นจากสมาชิกภาพ เพราะเห็นว่าเป็นผู้บำนาญซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพตามมาตรา 12 (2) หรือ (4)

หมวด 3

คณะกรรมการ

มาตรา 15 ให้มีคณะกรรมการสภาเภสัชกรรม ประกอบด้วย

(1) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ในสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับความเห็นชอบหรือได้รับอนุญาตจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์ให้จัดตั้งเมื่อมีจำนวนมากกว่าหนึ่งแห่งให้เลือกตั้งกันเองให้เหลือจำนวนหนึ่งคน (2) กรรมการที่ได้รับเลือกตั้งโดยที่ประชุมใหญ่ของเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวนหนึ่งคน (3) กรรมการที่ได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาเภสัชกรรมแทนกันจำนวนกรรมการใน (1) และ (2) รวมกันในแต่ละเลือกตั้งแต่ละคราว ให้เลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ

มาตรา ๑๖ คณะกรรมการอาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาได้

ให้มีที่ปรึกษาสำหรับดำเนินต่อความทรรศของกรรมการที่ได้รับเลือกตั้ง

มาตรา ๑๗ ให้คณะกรรมการเลือกกรรมการภายในสามสิบวัน นับจากวันเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา ๑๕ (๓) เพื่อดำรงตำแหน่งนายกสภาสัตวกรรม อุปนายกสภาสัตวกรรมคนที่หนึ่งและอุปนายกสภาสัตวกรรมคนที่สอง ดำเนินต่อแต่ละตำแหน่ง

ให้นายกสภาสัตวกรรมเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามวาระของกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งอื่นได้ตามความจำเป็น ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ให้นายกสภาสัตวกรรมมีอำนาจถอดถอนเลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามวาระของกรรมการออกจากตำแหน่งได้ ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ให้นายกสภาสัตวกรรม อุปนายกสภาสัตวกรรมคนที่หนึ่งและอุปนายกสภาสัตวกรรมคนที่สอง ดำรงตำแหน่งตามวาระของกรรมการที่ได้รับเลือกตั้ง เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสัตวกรรมพ้นจากตำแหน่ง ให้เลขาธิการ รองเลขาธิการ ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก และผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามวาระต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย

มาตรา ๑๘ การเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา ๑๕ การแต่งตั้งที่ปรึกษาตามมาตรา ๑๖ การเลือกตั้งนายกสภาสัตวกรรม อุปนายกสภาสัตวกรรม หรือการเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา ๑๗ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

(๑)

เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสัตวกรรม

(๒)

เป็นผู้ไม่เคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือพักถอนใบอนุญาต

(๓)

เป็นผู้ไม่เคยถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย ความใน (๑) มิให้นำมาใช้บังคับกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข

มาตรา ๑๙ กรรมการตามมาตรา ๑๕ (๓) มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี และอาจได้รับเลือกตั้งใหม่ได้ แต่การดำรงตำแหน่งรวมกันต้องไม่เกินสองวาระติดต่อกัน

ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งกรรมการขึ้นใหม่

มาตรา ๒๐ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้ง ได้รับเลือกตั้ง หรือได้รับเลือกตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

(๑)

ลาออกจากตำแหน่งด้วยความสมัครใจ

(๒)

ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๑๘ (c) ลาออก

มาตรา 26 เมื่อมีตำแหน่งกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งตามมาตรา 15 (3) ว่างลงไม่ว่าด้วยกรณีใดจำนวนกรรมการดังกล่าวทั้งหมดก่อนครบวาระ ให้คณะกรรมการเลือกสมาชิกผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 16 เป็นกรรมการแทนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งกรรมการนั้นว่างลง

ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการตามมาตราดังกล่าวว่างลงรวมกันเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้ง ให้มีการเลือกตั้งกรรมการโดยสมาชิกแทนภายในกำหนดสิบวันนับแต่วันที่จำนวนกรรมการดังกล่าวได้ว่างลงเกินกึ่งหนึ่ง ถ้ากระบวนการกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง คณะกรรมการจะให้มีการเลือกตั้งกรรมการแทนหรือไม่ก็ได้ ให้ผู้ซึ่งเป็นกรรมการแทนนั้นอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน

มาตรา 27 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(1) บริหารและดำเนินกิจการสภาสัตวแพทยสภาให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดในมาตรา 4 (2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการรวบรวม คณะอนุกรรมการสอบสวน และคณะอนุกรรมการอื่น เพื่อทำกิจการหรือพิจารณาเรื่องต่าง ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของสภาสัตวแพทยสภา (3) กำหนดงบประมาณของสภาสัตวแพทยสภา (4) ออกข้อบังคับสภาสัตวแพทยสภาด้วย

(ก)

การเป็นสมาชิก

(ข)

การกำหนดโรคตามมาตรา 16 (5)

(ค)

การกำหนดค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมอื่น นอกจากที่กำหนดไว้ในอัตราค่าธรรมเนียมที่พพระราชบัญญัตินี้

(ง)

การเลือกและการเลือกตั้งกรรมการ และการแต่งตั้งที่ปรึกษา

(จ)

การประชุมคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะที่ปรึกษา

(ฉ)

การกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการสำนักงานตามมาตรา 16

(ช)

การกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการดำเนินงานอื่นตามมาตรา 17 วรรคสอง

(ข)

คุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพสัตวแพทย์ตามมาตรา 31

(ค)

หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต แบบและรายการในใบอนุญาต อนุญาต

(ญ)

การกำหนดหลักเกณฑ์การพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต

(ฎ)

หลักเกณฑ์การออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพแสตักรรมสาขาต่าง ๆ และหนังสือแสดงคุณวุฒิอื่นในวิชาชีพแสตักรรม

(ฏ)

จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพแสตักรรม

(ฐ)

การจัดตั้ง การดำเนินการ และการเลิกสถานพยาบาลที่ทำการฝึกอบรมเป็นผู้ชำนาญการในสาขาต่าง ๆ ของวิชาชีพแสตักรรม

(ฑ)

หลักเกณฑ์ว่าด้วยการสอบความรู้ตามอำนาจหน้าที่ของสภาแสตักรรม

(ฒ)

หลักเกณฑ์ว่าด้วยการสืบสวนหรือสอบสวนในกรณีที่มีการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพแสตักรรม

(ณ)

ข้อจำกัดและเงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพแสตักรรม

(ด)

เรื่องอื่น ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของสภาแสตักรรมหรืออยู่ในอำนาจหน้าที่ของสภาแสตักรรมตามกฎหมายอื่น ใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพแสตักรรม เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

มาตรา 27 นายกสภาแสตักรรม อุปนายกสภาแสตักรรมที่หนึ่ง อุปนายกสภาแสตักรรมที่สอง เลขาธิการ รองเลขาธิการ ปรึกษาสมทบ เหรัญญิก ที่ปรึกษาและผู้ดำรงตำแหน่งอื่นมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑)

นายกสภาแสตักรรม มีอำนาจหน้าที่

(ก)

บริหารและดำเนินกิจการของสภาแสตักรรมให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้หรือมติสมัชชาของคณะกรรมการ

(ข)

เป็นผู้แทนสภาแสตักรรมในกิจการต่าง ๆ

(ค)

เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ นายกสภาแสตักรรมอาจมอบหมายเป็นหนังสือให้กระทำการอื่น ๆ อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ที่เห็นสมควรได้

(๒)

อุปนายกสภาแสตักรรมคนที่หนึ่ง เป็นผู้ช่วยนายกสภาแสตักรรมในกิจการอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายกสภาแสตักรรมตามที่นายกสภาแสตักรรมมอบหมาย และเป็นผู้ทำการแทนนายกสภาแสตักรรมเมื่อนายกสภาแสตักรรมไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้

(๓)

อุปนายกสภาแสตักรรมคนที่สอง เป็นผู้ช่วยนายกสภาแสตักรรมในกิจการอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายกสภาแสตักรรมตามที่นายกสภาแสตักรรมมอบหมาย หมายเลขเป็นผู้ที่ทำการแทนผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์สัตว์กรรมเมื่อผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์สัตว์กรรมและอุปนายกสถานสงเคราะห์สัตว์กรรมที่หนึ่งไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

(ด)

เลขาธิการ มีอำนาจหน้าที่

(ก)

ควบคุมบังคับบัญชาข้าราชการที่สถานสงเคราะห์สัตว์กรรมทุกระดับ

(ข)

ควบคุมรับผิดชอบในงานธุรการทั่วไปของสถานสงเคราะห์สัตว์กรรม

(ค)

รับผิดชอบในการดูแลรักษาทะเบียนสมาชิก ทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพสัตว์กรรม และทะเบียนอื่น ๆ ของสถานสงเคราะห์สัตว์กรรม

(ง)

ควบคุมดูแลทรัพย์สินของสถานสงเคราะห์สัตว์กรรม

(จ)

เป็นเลขานุการคณะกรรมการ

(ฉ)

รองเลขาธิการ เป็นผู้ช่วยเลขาธิการในกิจการอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเลขาธิการตามที่เลขาธิการมอบหมาย และเป็นผู้ทำการแทนเลขาธิการเมื่อเลขาธิการไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

(ช)

ประชาสัมพันธ์ มีอำนาจหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ แนะนำและเผยแพร่กิจการของสถานสงเคราะห์สัตว์กรรมแก่ประชาชนและองค์กรอื่น

(ซ)

เหรัญญิก มีอำนาจหน้าที่ควบคุม ดูแล รับผิดชอบการบัญชี การเงิน และการงบประมาณของสถานสงเคราะห์สัตว์กรรม

(ฌ)

ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาตามมาตรา ๑๖ ให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะกรรมการกำหนด

(ญ)

ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามมาตรา ๑๗ วรรคสอง ให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะกรรมการกำหนด

หมวด ๔

การดำเนินการของคณะกรรมการ

มาตรา ๒๕ การประชุมคณะกรรมการกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม

มติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในที่ประชุมคณะกรรมการแต่ละแผนก ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเมื่อเสียงข้างมากเป็นเสียงเท่ากัน มติของที่ประชุมในกรณีที่เกี่ยวกับการพิจารณาสมาชิกภาพตามมาตรา ๑๔ (๔) หรือให้พักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา ๔๕ วรรคสอง (๔) หรือ (๕) ให้ถือคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่มาประชุม การประชุมคณะอนุกรรมการ ให้ดำเนินการในกรณีและวิธีการตามที่คณะกรรมการกำหนด การประชุมคณะที่ปรึกษา ให้เป็นไปตามข้อบังคับสถานสงเคราะห์สัตว์กรรม

มาตรา 26 สภานายกพิเศษจะนำทั้งมติการประชุมและข้อแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการ หรือข้อส่งความเห็นเป็นหนังสือไปยังสภาสถาปนิกกรรมในเรื่องใด ๆ ก็ได้

มาตรา 27 มติของที่ประชุมคณะกรรมการในเรื่องดังต่อไปนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภานายกพิเศษก่อน จึงจะดำเนินการตามมตินั้นได้

(ก)

การออกข้อบังคับ

(ข)

การกำหนดงบประมาณของสภาสถาปนิกกรรม

(ค)

การให้สมาชิกพ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา 18 (4)

(ง)

การวินิจฉัยชี้ขาดให้พักใช้ใบอนุญาตหรือให้เพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา 22 วรรคสาม (4) หรือ (5) ให้เลขาธิการสภาสถาปนิกกรรมเสนอข้อคิดเห็นจากสภานายกพิเศษโดยไม่ชักช้า สภานายกพิเศษอาจส่งข้อยับยั้งมตินั้นได้ ในกรณีที่ส่งข้อยับยั้งมานั้นให้บันทึกแต่บันทึกไว้ในระเบียบที่นายกสภาสถาปนิกกรรมเสนอ ให้ถือว่ามตินั้นเป็นอันตกไปตามข้อยับยั้งนั้น ถ้าสภานายกพิเศษยังมิได้ให้ข้อยับยั้ง ให้คณะกรรมการประชุมพิจารณาอีกครั้งหนึ่งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานมติ ในกรณีประชุมพิจารณาแล้วมีมติยืนยันไม่ต้องการข้อยับยั้งตามข้อเสนอของกรรมการพิเศษ ให้ถือว่ามตินั้นเป็นอันตกไป

หมวด 5

การควบคุมการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม

มาตรา 28 ห้ามมิให้ผู้ใดตั้งตนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมทำการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมหรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพดังกล่าว โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต เว้นแต่ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(ก)

การประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมที่กระทำต่อตนเอง

(ข)

นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการศึกษาในสถาบันที่ทำการศึกษา หรือฝึกอบรมในความควบคุมของสถาบันการศึกษาสถาปัตยกรรมซึ่งได้รับอนุญาตจากการกระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาในประเทศหรือในต่างประเทศ โดยกระทำภายใต้การควบคุมของผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ได้รับการยกเว้นตามกฎหมายนี้

(ค)

บุคคลซึ่งมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมจากกรุงเทพมหานคร หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมในประเทศไทย และได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม หรือได้รับการยกเว้นจากการควบคุมของสภาสถาปัตยกรรม

(๔)

การประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญของทางราชการหรือผู้สอนในสถาบันการศึกษาของรัฐ ซึ่งมิใช่บุคคลในบังคับของบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรมของต่างประเทศ ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

มาตรา ๒๙ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้คำหรือข้อความต่อท้ายชื่อว่าเภสัชกรไทยหรืออักษรย่อว่า ประเทศว่า เภสัชกรหญิง แพทย์ปฐมยา นักปฐมยา หรือใช้ถ้อยคำหรือข้อความอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือใช้สัญลักษณ์บ่งบอกถึงการศึกษา ทางเภสัชศาสตร์ หรือใช้ถ้อยคำหรือข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งบ่งบอกถึงการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของผู้นั้น หรือใช้ถ้อยคำหรือข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในทางเภสัชกรรมของผู้นั้น ซึ่งทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ รวมถึงการใช้ถ้อยคำ วาจา หรือข้อความให้ผู้อื่นเข้าใจผิดกล่าวให้แตก เช่นแสดงตนเป็นผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรด้านเภสัชกรรม หรือเทียบเท่า

มาตรา ๓๐ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้คำหรือข้อความที่แสดงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ ทั้งนี้ รวมถึงการใช้ถ้อยคำ วาจา หรือข้อความให้ผู้อื่นกระทำผิดกล่าวให้แตก เช่นแสดงตนเป็นผู้ได้รับหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรด้านเภสัชกรรมหรือความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่าง ๆ จากสภาเภสัชกรรมหรือสถาบันการศึกษาของรัฐหรือผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาปฏิบัติงานที่กำหนดในชื่อบังคับสภาเภสัชกรรม

มาตรา ๓๑(๔) การขอขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม และหนังสือแสดงคุณสมบัติในวิชาชีพเภสัชกรรม ให้เป็นไปตามข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

ใบอนุญาตให้มีอายุห้าปีนับตั้งแต่วันเดือนปีที่ออกใบอนุญาต

มาตรา ๓๒ ผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตต้องเป็นสมาชิกแห่งสภาเภสัชกรรมและมีคุณสมบัติอย่างที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมผู้ใดขาดจากสมาชิกภาพ ให้ใบอนุญาตของผู้นั้นสิ้นสุดลง ให้ผู้ซึ่งขาดจากสมาชิกภาพตามวรรคสองส่งคืนใบอนุญาตต่อเลขาธิการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบการขาดจากสมาชิกภาพ

มาตรา ๓๓ ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต้องรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมที่สภาเภสัชกรรมกำหนด

มาตรา ๓๔ การพิจารณาและการลงโทษทางจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมให้เป็นไปตามข้อบังคับสภาเภสัชกรรม

กรรมการหรือบุคคลอื่นที่สภาเภสัชกรรมให้อำนาจประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมว่าประพฤติผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม โดยมิชอบหรือผิดข้อบังคับสภาเภสัชกรรม สิทธิการอุทธรณ์คำวินิจฉัยหรือการลงโทษทางจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมให้เป็นไปตามข้อบังคับสภาเภสัชกรรม สุดลงเมื่อพ้นห้าปีนับแต่วันที่ผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้กล่าวโทษรู้ถึงการกระทำผิด การบรรยายพฤติการณ์ลักษณะดังกล่าว และรู้ตัวผู้ประพฤติผิด ทั้งนี้ ไม่เกินสามปีนับแต่วันที่มีการประพฤติผิดอันถือธรรมวินัย การถอนเรื่องการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษที่ได้ยื่นหรือแจ้งไว้แล้วนั้นไม่เป็นเหตุให้ระงับการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 59 เมื่อคณะสงฆ์สังฆกรรมได้รับเรื่องการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษตามมาตรา 57 หรือได้รับผลการพิจารณาเบื้องต้นจากพนักงานสอบสวนให้มีการพิจารณาดำเนินการกับบรรพชิตตามแนววิธีพิจารณาของวิธีพิจารณาสงฆ์ ให้เสนอคณะกรรมการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อประธานอนุกรรมการตรวจสอบโดยไม่ชักช้า

มาตรา 60 ภายใต้บังคับมาตรา 23 (6) ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบจากสมาชิกประชายโดยประธานคนหนึ่ง และอนุกรรมการมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าสามคนมีผู้นำส่วนงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่ได้รับตามมาตรา 57 แล้วทำรายงานพร้อมทั้งความเห็นเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณา

คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบในกรณีตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา 61 เมื่อคณะกรรมการได้รับรายงานและความเห็นของคณะอนุกรรมการตรวจสอบแล้ว ให้คณะกรรมการพิจารณารายงานและความเห็นดังกล่าวแล้วมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก)

ให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบรวบรวมส่วนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อเสนอให้คณะกรรมการพิจารณา

(ข)

ให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนในกรณีที่เห็นว่าข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษนั้นมีมูล

(ค)

ให้ยกข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษในกรณีที่เห็นว่าข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษนั้นไม่มีมูล

มาตรา 62 ภายใต้บังคับมาตรา 23 (6) ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนจากสมาชิกประชายโดยประธานคนหนึ่ง และอนุกรรมการมีจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าสามคนมีผู้นำส่วนงานที่เกี่ยวข้องสรุปผลการสอบสวนและเสนอส่วนความการสอบสวนพร้อมทั้งความเห็นต่อคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด

คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนในกรณีตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา 63 ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและของคณะอนุกรรมการสอบสวนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้นำกรรมการมีอำนาจเรียกบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำและแสดงพยานหลักฐานได้ รวมถึงการร้องขอข้อมูลหรือเอกสารจากหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนใด ๆ อันอาจมีความจำเป็นหรือเป็นประโยชน์แก่การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดังกล่าว

มาตรา 64 ให้ประธานอนุกรรมการสอบสวนมีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษพร้อมทั้งส่งสำเนาเอกสารที่กล่าวหา หรือกล่าวโทษ ให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่เริ่มทำการสอบสวน

ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษมีสิทธิทำคำชี้แจงหรือนำพยานหลักฐานใด ๆ มาให้คณะอนุกรรมการสอบสวน คำสั่งแจ้งข้อกล่าวหาหลักฐานให้ยื่นต่อประธานอนุกรรมการสอบสวน ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานอนุกรรมการสอบสวน หรือภายในกำหนดเวลาที่คณะอนุกรรมการสอบสวนขยายให้

มาตรา ๓๑ เมื่อคณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ให้เสนอรายงานการสอบสวนพร้อมทั้งความเห็นต่อคณะกรรมการโดยไม่ชักช้าเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด

มาตรา ๓๒ เมื่อคณะกรรมการได้รับสำนวนการสอบสวนและความเห็นของคณะอนุกรรมการสอบสวนแล้ว ให้คณะกรรมการพิจารณาสำนวนการสอบสวนและความเห็นดังกล่าวโดยไม่ชักช้า

คณะกรรมการอาจให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมก่อนวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้ คณะกรรมการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(๑)

ยกข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ

(๒)

ว่ากล่าวตักเตือน

(๓)

ภาคทัณฑ์

(๔)

ห้ามใช้ใบอนุญาตมีกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควรแต่ไม่เกินสองปี

(๕)

เพิกถอนใบอนุญาต ภายใต้บังคับมาตรา ๒๗ คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามมาตรานี้ให้ทำเป็นคำสั่งสภาสถาปนิกพร้อมด้วยเหตุผลของการวินิจฉัยชี้ขาด และให้ถือเป็นที่สุด

มาตรา ๓๓ ให้เลขาธิการแจ้งคำสั่งสภาสถาปนิกตามมาตรา ๓๒ ไปยังผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษโดยไม่ชักช้า และให้บันทึกข้อความตามคำสั่งนั้นไว้ในทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุม

มาตรา ๓๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๗ ห้ามมิให้ผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมซึ่งใบอนุญาตถูกสั่งห้ามใช้หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามมาตรา ๓๒ ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมในสาขาที่ถูกสั่งห้ามใช้หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตนั้น

มาตรา ๓๕ ในกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมซึ่งใบอนุญาตถูกสั่งห้ามใช้หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมตามมาตรา ๓๒ ยังคงประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมในสาขาที่ถูกสั่งห้ามใช้หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมในสาขาอื่นที่ผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมผู้นั้นได้รับอนุญาตไว้ด้วย

มาตรา ๓๖ ผู้ประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุมซึ่งถูกถอนใบอนุญาตอาจขอรับใบอนุญาตอีกได้เมื่อพ้นห้าปีนับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต แต่เมื่อคณะ

การขอใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาตและปฏิเสธการออกใบอนุญาต ผู้ขอรับคำขอรับใบอนุญาตได้อีกต่อเมื่อสิ้นระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการปฏิเสธการออกใบอนุญาต คำคณะกรรมการปฏิเสธการออกใบอนุญาตเป็นครั้งหลังสุดแล้ว ผู้เป็นเจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ขอรับใบอนุญาตอีกต่อไป ผู้ประกอบโรคศิลปะในแผนปัจจุบันสามารถสมัครกรรมการสมาคมผู้ประกอบโรคศิลปะตามพระราชบัญญัตินี้

หมวด ๖

หน้าที่ของเจ้าหน้าที่

มาตรา ๔๗ ในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้มีเหตุผลสมควรเชื่อว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในระหว่างเวลาที่ทำการอยู่หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าทำการอยู่เพื่อตรวจใบอนุญาต ค้นหรือยึดเอกสารหลักฐานหรือสิ่งของที่อาจใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร

มาตรา ๔๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัว

บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๔๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

หมวด ๗

บทกำหนดโทษ

มาตรา ๕๐ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๔๔ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๕๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๕๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๗ วรรคแรก หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

มาตรา ๕๓ เพิ่มพระราชบัญญัตินี้ต่อการปรับเป็นพันธบัตร พ.ศ. ๒๕๒๕ บัญญัติให้เปลี่ยนความผิดบางกรณีที่มีความผิดเป็นความผิดลหุโทษ และให้ถือว่าการลงโทษปรับตามนี้เป็นอัตราค่าปรับเป็นที่สุด

มาตรา ๕๓ ผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสารหรือวัตถุใด ๆ ตามที่เรียกหรือแจ้งให้ส่งตามมาตรา ๓๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๕๔ ผู้ใดได้รับทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน สาขาเภสัชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ถือว่าผู้นั้นได้รับทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสาขาเภสัชกรรมตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว

มาตรา ๕๕ ในระยะแรกที่ยังไม่ได้เลือกตั้งสมาชิกสภาเภสัชกรรมแห่งแรก ให้คณะกรรมการประกอบด้วยปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานกรรมการ และผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งตามมาตรา ๑๕ (๑) และ (๒) เป็นกรรมการ ให้กรรมการดังกล่าวต้องกระทำให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ให้เลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภาเภสัชกรรมตามมาตรา ๑๕ (๓) หรือ (๔) ทำหน้าที่ในสภาเภสัชกรรม จนกว่าจะมีการเลือกตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการเลือกตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ การเลือกตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในกรรมการตามมาตรา ๑๕ (๓) ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๕๖ ในระหว่างที่ยังไม่ได้ออกกฎกระทรวง ระเบียบ หรือข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับวิชาชีพสาขาเภสัชกรรมใช้บังคับไปพลางก่อน แต่ทั้งนี้ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๕๗ ให้ถือว่าการกระทำผิดพระราชบัญญัติหรือข้อกำหนดเงื่อนไขในการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนเกี่ยวกับวิชาชีพสาขาเภสัชกรรมที่ได้กระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและยังมิได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับวิชาชีพสาขาเภสัชกรรม ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ถือว่าการกระทำผิดดังกล่าวได้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้

ในกรณีที่การกระทำผิดดังกล่าวมีผลกระทบหรือข้อจำกัดและเงื่อนไขในการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับวิชาชีพสาขาเภสัชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะในส่วนที่เกี่ยวกับวิชาชีพสาขาเภสัชกรรม ให้ถือว่าการกระทำผิดดังกล่าวได้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี อัตราค่าธรรมเนียมวิชาชีพเภสัชกรรม

(๑)

ค่าขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ฉบับละ ๕,๐๐๐ บาท (๑/๑)(๕) ค่าต่ออายุใบอนุญาต ฉบับละ ๒,๕๐๐ บาท

(๒)

ค่าหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียน เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ฉบับละ ๕๐๐ บาท

(๓)

ค่าหนังสืออนุมัติ หรือวุฒิบัตรแสดง ความรู้ความชำนาญในการประกอบ วิชาชีพเภสัชกรรม ฉบับละ ๒,๐๐๐ บาท

(๔)

ค่าใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ ๕๐๐ บาท หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันด้านเภสัชกรรมอยู่ในความควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ และคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะเห็นว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมมีจำนวนเพิ่มขึ้น และแต่ในปัจจุบัน ในปัจจุบันวิชาการและเทคโนโลยีทางเภสัชกรรมได้พัฒนาไปไกลเพื่อให้มีวิชาชีพเภสัชกรรมที่มีคุณภาพ ประกอบกับจำนวนผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาเภสัชกรรมมีจำนวนมากขึ้น สมควรมีการควบคุมการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ออกกฎหมายกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ โดยยังคงมีมาตรการที่เหมาะสมและความชัดเจนควบคุมการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมได้โดยอิสระ เหมาะสมและเป็นประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๗(๖)

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๗ ให้ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน สาขาเภสัชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ และใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งยังมีผลใช้บังคับในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ และเมื่อใบอนุญาตดังกล่าวหมดอายุลง ให้ต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าวเมื่อชำระค่าธรรมเนียมตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๘ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันบทนิยามคำว่า “วิชาชีพเกษตรกรรม” ยังไม่สอดคล้องกับการดำเนินกิจการเกษตรปฏิบัติ และเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “วิชาชีพเกษตรกรรม” และกำหนดอายุใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาต รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๒[7] จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑๖ บรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง และมติของคณะรัฐมนตรีใดที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ อ้างถึง “กระทรวงศึกษาธิการ” “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” “ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ” หรือผู้ดำรงตำแหน่งหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงศึกษาธิการ หากเกี่ยวกับการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม ให้หมายความรวมถึงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ถือว่าบทบัญญัตินั้นอ้างถึง “กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” “ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” หรือชื่อเรียกตำแหน่งหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แล้วแต่กรณี

เมื่อมีแผนและองค์ประกอบของสภานโยบายอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม การโอนบังคับบัญชา ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ และภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จากกระทรวงศึกษาธิการไปเป็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแล้ว ให้ถือว่าบทบัญญัติที่อ้างถึงกระทรวงศึกษาธิการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมตามวรรคหนึ่ง หมายถึงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ความในวรรคหนึ่งและวรรคสองไม่ใช้บังคับแก่สถานบันการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษา

มาตรา ๑๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นกลไกในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต สมควรจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ การบริหารจัดการศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมของประเทศมีความเป็นเอกภาพ มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และนโยบายของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัตินี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖ ตอนที่ ๖๔ ก วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒[8]

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่บทบัญญัติในมาตรา ๑๗ และ

```

มาตรา ๓๗ วรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๔ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

มาตรา ๗ เมื่อพ้นกำหนดสามร้อยหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลยกเลิกความผิดอาญาที่เป็นโทษสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี ๑ ท้ายพระราชบัญญัตินี้ เป็นความผิดทางปกครองที่มีบทกำหนดโทษปรับดังกล่าว และให้ถือว่าอัตราโทษปรับอาญาที่บัญญัติไว้ในกฎหมายดังกล่าว เป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติให้รัฐพึงกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง ประกอบกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายได้กำหนดให้มีการปรับปรุงกฎหมายในการกำหนดโทษอาญาให้เหมาะสมกับสภาพความผิดหรือกำหนดมาตรการลงโทษโดยหลีกเลี่ยงการจำคุกความผิด และฐานะของผู้กระทำความผิดเพื่อให้บุคคลต้องรับโทษเท่าที่สมควร หรือสอดรับกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและการพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เนื่องจากการที่มีความผิดอาญาที่มีโทษปรับ ผู้มีฐานะเศรษฐกิจย่อมสามารถชำระค่าปรับได้ แต่ผู้มีฐานะยากจนย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จะชำระค่าปรับได้โดยง่ายทำให้ต้องถูกลงโทษจำคุกแทนค่าปรับซึ่งไม่เป็นไปตามหลักการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และไม่สอดคล้องกับหลักการที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐในการบริหารจัดการผู้ต้องขังในเรือนจำ และยังเป็นการเพิ่มภาระให้แก่รัฐใ