มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘"
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา ๓ มาตรา ๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ มาตรา ๔๗ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๔๙ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
"กิจการ" หมายความว่า ทรัพย์สินที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจและสิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจนั้นให้หลักประกันนำมาใช้เป็นประกันการชำระหนี้ ซึ่งผู้ให้หลักประกันอาจโอนหรือจำหน่ายทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายดังกล่าวนั้นแก่บุคคลอื่นและการที่ผู้รับโอนสามารถประกอบธุรกิจดังกล่าวต่อไปได้ทันที
"ทรัพย์สินจดทะเบียน" หมายความว่า ทรัพย์สินที่กฎหมายกำหนดให้มีการจดทะเบียน
"เจ้าพนักงานทะเบียน" หมายความว่า เจ้าพนักงานที่รัฐมนตรีแต่งตั้งให้มีหน้าที่รับจดทะเบียนหลักประกัน
"นายทะเบียน" หมายความว่า ผู้มีอำนาจหน้าที่รับจดทะเบียนหลักประกัน
"ผู้รับหลักประกัน" หมายความว่า บุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือสถาบันการเงินที่ได้รับหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ในการประกอบกิจการหรือหลักประกัน
*ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒/ตอนที่ ๘๔ ก/หน้า ๑/๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘*
"ผู้รับใบอนุญาต" หมายความว่า ผู้รับใบอนุญาตที่ทำการเป็นผู้บังคับหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้
"สถาบันการเงิน" หมายความว่า
(ก) สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
(ข) บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิตและบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
(ค) ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่กฎหมายไทยและกฎหมายของต่างประเทศจัดตั้งขึ้น
"สิทธิเรียกร้อง" หมายความว่า สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้และสิทธิอื่น ๆ แต่ไม่หมายความรวมถึงสิทธิเรียกร้องตามพระราชบัญญัตินี้
"รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๖ ให้รมว.ว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงและระเบียบเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ยกเว้นในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของตน กฎกระทรวงและระเบียบตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ
มาตรา ๗ สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ คือสัญญาซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ให้หลักประกัน ตกทรัพย์สินไปเป็นหลักประกันฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับหลักประกัน เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่จำเป็นต้องมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับหลักประกัน
ผู้ให้หลักประกันอาจตราทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันการชำระหนี้อื่นบุคคลอื่นต้องชำระหนี้ได้
มาตรา ๘ ผู้ให้หลักประกันจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
มาตรา ๙ ผู้รับหลักประกันต้องเป็นสถาบันการเงินหรือนิติบุคคลอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๐ หลักประกันได้แก่ทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้
(ก) กิจการ
(ข) สิทธิเรียกร้อง
(ค) สังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
๔
อสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่มีผู้ให้หลักประกันประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยตรง
๕
ทรัพย์สินทางปัญญา
๖
ทรัพย์สินอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๐ ผู้ให้หลักประกันอาจนำทรัพย์สินที่ตนมีสิทธิอยู่ในปัจจุบันหรือที่จะได้มา ในอนาคตตามสัญญาหลักประกันมาผูกไว้เป็นหลักประกันก็ได้ แต่ทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นวัตถุ แห่งสิทธิเป็นหลักประกันตามสัญญาจะต้องมิใช่สิทธิที่กฎหมายห้ามมิให้โอนสิทธินั้น
มาตรา ๑๑ ผู้ให้หลักประกันมีสิทธิในทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันและมีอำนาจใช้บังคับ เงื่อนไขเช่นใดจะให้ทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันได้ภายใต้บังคับเงื่อนไขเช่นนั้น
มาตรา ๑๒ สัญญาจะต้องตกลงกันบันทึกข้อความที่ตกลงกันไว้ในสัญญา หลักประกันทางธุรกิจเป็นรายการใดก็ได้ แต่ข้อตกลงดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน
มาตรา ๑๓ ในกรณีที่มีการทำสัญญาเป็นหลักประกัน ให้ผู้รับจำนองตกลงกันและผู้รับ ในอนุญาตคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นผู้บังคับหลักประกัน
ผู้รับในอนุญาตต้องมีส่วนอยู่ในสัญญาเป็นหลักประกันด้วยเพื่อแจ้งให้ผู้รับจำนอง พร้อมทั้งระบุเงื่อนไขการบังคับหลักประกันในการบังคับหลักประกันไว้ด้วย
มาตรา ๑๓ สัญญาหลักประกันทางธุรกิจต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้า พนักงานทะเบียนตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๒
ในกรณีที่มีการทำสัญญาเป็นหลักประกัน สัญญาตามวรรคหนึ่งต้องระบุชื่อผู้รับ ในอนุญาตคนหนึ่งหรือหลายคนซึ่งยินยอมเป็นผู้บังคับหลักประกันไว้ด้วย
หมวด ๒
การดำเนินการทางทะเบียน
มาตรา ๑๔ ให้สำนักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจตั้งขึ้นในกรมพัฒนาธุรกิจ การค้า
สำนักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจมีหน้าที่รับจดทะเบียน แก้ไขรายการจด ทะเบียน และเพิกถอนการจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ รวมทั้งการดำเนินการอื่นตามที่ กฎหมายกำหนด
การจดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ และรายการแก้ไขรายการจดทะเบียนหลักประกัน ทางธุรกิจ ให้มีผลต่อบุคคลภายนับแต่เวลาที่สำนักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจได้รับ คำขอจดทะเบียนหรือคำขอแก้ไขรายการจดทะเบียน
มาตรา ๑๖ ให้อนุมัติกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นเจ้าพนักงานทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๑๗ ให้เจ้าพนักงานทะเบียนปรับจดทะเบียน แก้ไขรายการจดทะเบียน หรือยกเลิกรายการจดทะเบียนตามคำสั่งศาลหรือคำพิพากษาศาลที่ถึงที่สุด หรือคำสั่งเจ้าพนักงานทะเบียนตามมาตรา ๑๘ โดยมีหน้าที่ดำเนินการทางทะเบียนเป็นผู้รับผิดชอบความถูกต้องและความครบถ้วนของข้อมูลที่ตนเป็นผู้แจ้ง
ในกรณีข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากผู้มีหน้าที่ดำเนินการทางทะเบียนปรากฏรายการไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๑๗ เจ้าพนักงานทะเบียนต้องไม่รับจดทะเบียน แก้ไขรายการจดทะเบียน หรือยกเลิกรายการจดทะเบียนดังกล่าวหลักประกันธุรกิจ
มาตรา ๑๘ ให้ผู้รับหลักประกันโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ให้หลักประกันเป็นผู้ดำเนินการขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานทะเบียน เมื่อได้รับจดทะเบียนตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่งแล้ว ให้ถือว่าผู้รับหลักประกันเป็นเจ้าหนี้รับประกันตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย
ในกรณีที่ผู้รับหลักประกันเป็นบุคคลธรรมดา ผู้รับหลักประกันต้องยื่นหนังสือของผู้รับในอุปถัมภ์ซึ่งยินยอมเป็นผู้รับหลักประกันในไฟล์รวมกับคำขอจดทะเบียน หากผู้ให้หลักประกันเป็นบุคคลธรรมดาและมีผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ผู้ให้หลักประกันต้องยื่นหนังสือแสดงความยินยอมของผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิในไฟล์รวมกับคำขอจดทะเบียนด้วย
มาตรา ๑๙ การจดทะเบียนอย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้
๑
วัน เดือน ปี และเลขที่การจดทะเบียน
๒
ชื่อและที่อยู่ของผู้ให้หลักประกัน
๓
ชื่อและที่อยู่ของผู้รับหลักประกัน
๔
ชื่อและที่อยู่ของผู้รับในอุปถัมภ์ซึ่งยินยอมเป็นผู้รับหลักประกันและอัตราหรือจำนวนค่าตอบแทนของผู้รับหลักประกัน ในกรณีที่มีการแต่งตั้งผู้รับหลักประกัน
๕
ที่ตั้งที่กำหนดให้มีการประกันการชำระ
๖
รายละเอียดของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน หากเป็นทรัพย์สินที่จดทะเบียนได้ ระบุประเภทและหมายเลขทะเบียน และรายละเอียดอื่นที่เกี่ยวข้อง หากเป็นสิ่งที่ไม่จดทะเบียนได้ให้บรรยายถึง ให้ระบุประเภท ปริมาณ และลักษณะทรัพย์สินดังกล่าวด้วย
๗
ข้อความที่แสดงถึงการที่ผู้ให้หลักประกันการทรัพย์สินที่ระบุในรายการจดทะเบียนไว้แก้ผู้รับหลักประกันเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้
๘
จำนวนเงินสูงสุดที่หลักประกันทรัพย์สินเป็นประกัน
๙
เหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันธุรกิจ
มาตรา ๑๙ ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นทรัพย์สินที่จดทะเบียนให้เจ้าพนักงานทะเบียนแจ้งให้นายทะเบียนและเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจสิทธิในทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเท่าที่ปรากฏรายชื่อในหลักฐานการจดทะเบียนทราบถึงเหตุแห่งการจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เจ้าพนักงานทะเบียนบันทึกการจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ลงในทะเบียนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยเร็วเมื่อได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง
มาตรา ๒๐ คู่สัญญาอาจตกลงแก้ไขรายการจดทะเบียนเป็นประการอื่นก็ได้ ในการนี้ให้ผู้รับหลักประกันโดยได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ให้หลักประกันเป็นผู้ยื่นคำขอแก้ไขรายการจดทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือ
หากรายการจดทะเบียนของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเปลี่ยนแปลงไปจากที่จดทะเบียนตามที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ ผู้ให้หลักประกันต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้ทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีเหตุให้คู่สัญญาตกลงกันแก้ไขรายการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นผู้ผิดสัญญาประกัน แล้วการเปลี่ยนแปลงรายการดังกล่าวจะมีผลต่อคู่สัญญาและบุคคลภายนอกเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น และไม่กระทบกระเทือนสิทธิของผู้รับหลักประกันที่ได้จดทะเบียนไว้ในส่วนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรายการดังกล่าว
ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นทรัพย์สินที่จดทะเบียนในนามของบุคคลอื่น ให้เจ้าพนักงานทะเบียนแจ้งให้บุคคลดังกล่าวทราบถึงเหตุแห่งการจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้บันทึกการจดทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ลงในทะเบียนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยเร็วเมื่อได้รับแจ้งตามวรรคสองด้วย
ผู้ที่หน้าที่ดำเนินการจดแก้ไขรายการจดทะเบียนตามมาตรานี้ซึ่งมิได้ดำเนินการขอแก้ไขรายการจดทะเบียนตามเหตุที่คู่สัญญาตกลงกันเป็นข้อยุติอันถูกกฎหมายโดยคู่สัญญาได้แจ้งให้ทราบบัญญัติตามมาตรา ๑๙ มาใช้บังคับแก่การแก้ไขรายการจดทะเบียนตามมาตรานี้โดยอนุโลม
มาตรา ๒๑ เมื่อทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นไปด้วยเหตุอันใดเหตุอันหนึ่งดังต่อไปนี้ คู่สัญญาอาจตกลงกันเป็นหนังสือให้แก้ไขรายการจดทะเบียนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหรือยกเลิกรายการจดทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทรัพย์สินหรือวันที่ทรัพย์สินสุดสิ้นสิทธิแล้วแต่กรณี
หมวด ๓
สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้หลักประกันและผู้รับหลักประกัน
มาตรา 26 ผู้ให้หลักประกันมีสิทธิจะครอบครอง ใช้สอย แลกเปลี่ยน จำหน่าย จ่ายโอน และนำเอาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน รวมทั้งใช้เป็นหลักประกัน ได้ในกรณีผลิต นำไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่นใช้เป็นสิ่งในโครงการที่ครอบครองเพื่อการใช้สอยเปลี่ยน และได้ดอกผลของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน เว้นแต่คู่สัญญาจะตกลงกันเป็นอย่างอื่น
ผู้ให้หลักประกันจะนำทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้ไปนำไปเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ต่อไปไม่ได้ เว้นแต่จะนำทรัพย์สินที่นำไปนั้นมาทดแทนเป็นประกัน
มาตรา 27 ภายใต้บังคับมาตรา 26 ผู้ให้หลักประกันต้องใช้ความระมัดระวังและใช้สิ่งเพื่อสงวนรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเสมือนเช่นเจริญสุขจะต้องใช้ในการประกอบกิจการและอาชีพของตนและต้องชำระหนี้รายจ่ายที่พอสมควรแก่ทรัพย์สินที่นำไปด้วย
ผู้ให้หลักประกันต้องรับผิดเพื่อความเสียหายในกรณีทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันสูญหายหรือเสื่อมราคาลง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยหรือเนื่องรับผิดชอบ
มาตรา 28 ผู้ให้หลักประกันต้องจัดทำบัญชีทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามวิธีการปฏิบัติทางการค้าหรือทางที่คู่สัญญาได้ตกลงกัน ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายระวางกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 29 ผู้ให้หลักประกันต้องยอมให้ผู้รับหลักประกันหรือผู้แทนตรวจดูทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันและบัญชีทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ผู้รับหลักประกันต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ให้หลักประกันทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือวิธีการอื่นที่แสดงว่าได้รับหนังสือแล้วก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน
การเข้าตรวจดูทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันและบัญชีทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำต่อหน้าผู้ให้หลักประกันหรือผู้ซึ่งผู้ให้หลักประกันมอบหมาย และผู้ให้หลักประกันต้องอำนวยความสะดวกแก่ผู้รับหลักประกันตามสมควร
มาตรา 30 ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันมีหนังสือไปยังผู้รับหลักประกันโดยระบุจำนวนเงินที่ยังไม่ได้ชำระแก่ผู้รับหลักประกัน อันเป็นเงินที่ผู้รับหลักประกันพึงจะได้รับในฐานะหลักประกันรองจากหลักประกันอื่นๆ ผู้รับหลักประกันต้องตอบยืนยันจำนวนเงินที่ยังไม่ได้ชำระแก่ผู้ให้หลักประกันทราบโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือวิธีการอื่นที่แสดงว่าได้รับหนังสือแล้วภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว หากผู้รับหลักประกันไม่ตอบยืนยันตามที่กล่าวมา ให้ถือว่าผู้รับหลักประกันยอมรับจำนวนเงินที่ผู้ให้หลักประกันระบุไว้ในหนังสือดังกล่าว เว้นแต่ผู้รับหลักประกันพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้กระทำการตอบเนื่องจากเหตุอันสุดวิสัย
มาตรา 31 ผู้ให้หลักประกันมีสิทธิไถ่ถอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันในเวลาใดๆ ที่ได้ตกลงมีการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหรือถอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันอันเป็นสิทธิในกรณีทรัพย์สิน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
- 7 -
แก่ผู้รับหลักประกัน โดยชำระหนี้ตามจำนวนที่กำหนดให้ในการประกันการชำระ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ค่าใช้จ่ายตามสมควร และค่าธรรมเนียมอื่นอันเกิดจากการบังคับหลักประกัน
มาตรา 28 เมื่อทรัพย์ที่ประกันนั้นไม่อาจเป็นไปด้วยเหตุอันใดเหตุหนึ่งในเหตุอันควร หรือเมื่อคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งโดยหนังสือให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งทราบถึงการกระทำ หรือการใช้ดุลยพินิจอันไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในการประกันการชำระหนี้ หรือเมื่อมีการโอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้ผู้รับหลักประกันประกอบตามหนังสือยอมให้แก่กิจการจดทะเบียนแก่ผู้ให้หลักประกันนั้น มีผลบังคับเกิดความเสียหายต่อผู้รับหลักประกันต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ให้หลักประกัน
หมวด 4
สิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ให้หลักประกันและผู้รับหลักประกันกับบุคคลภายนอก
มาตรา 29 ผู้รับหลักประกันมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันก่อนเจ้าหนี้บุคคลอื่นในทรัพย์สินของโจทก์ไปยังบุคคลภายนอกหรือไม่
มาตรา 30 ถ้าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันรวมเข้ากับทรัพย์สินของบุคคลอื่นจนเป็นส่วนควบรวมอย่างแยกไม่ได้ ผู้รับหลักประกันมีสิทธิตามมาตรา 29 เหนือทรัพย์สินรวมเข้ากับทรัพย์สินของบุคคลอื่นหรือเป็นหลักประกันรวมอยู่ด้วย
มาตรา 31 ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันได้ทรัพย์สินมาจากการจำหน่ายจ่ายโอน แลกเปลี่ยน หรือได้มาแทนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหรือที่มีทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันรวมอยู่ด้วย รวมทั้งค่าเสียหายทดแทนที่ได้มาเองจากทรัพย์สินดังกล่าวสูญหายหรือเสียหาย ให้ถือว่าทรัพย์สินที่ได้มาเป็นหลักประกันด้วย
ผู้รับหลักประกันมีสิทธิตามมาตรา 29 เหนือทรัพย์สินที่ได้มาแทนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามความประสงค์ของผู้ให้หลักประกันและผู้รับหลักประกันที่ได้ลงทะเบียนหลักประกันการชำระหนี้ไว้แล้ว และในกรณีที่ทรัพย์สินที่ได้มาแทนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันดังกล่าว ผู้รับหลักประกันจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ให้หลักประกันต่อไปยังบุคคลภายนอกหรือไม่ก็ได้
บทบัญญัติในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ได้ทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา 30 ด้วย
มาตรา 32 ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันกลับคืนมา หรือมีทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันของคู่สัญญาอื่นที่ได้มาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา 31 เป็นทรัพย์สินที่ผู้ให้หลักประกันได้ในการประกันการชำระหนี้และได้ลงทะเบียนต่อยอดตลอดเวลา บุคคลภายนอกที่ได้ทรัพย์สินนั้นไปโดยความสุจริตและเสียค่าตอบแทนแล้วจะต้องคืนทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับหลักประกัน
หากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันหรือที่มีทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันรวมอยู่ด้วยหรือที่ได้แทนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา ๓๗ มีไว้ทรัพย์สินตามมาตรฐานนี้ บุคคลภายนอกซึ่งได้ทรัพย์สินนั้นไปโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือโดยความยินยอมของผู้รับหลักประกัน ย่อมได้ทรัพย์สินนั้นโดยปลอดภาระหลักประกัน
มาตรา ๔๓ ในกรณีการใช้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้ไปจำนำประกัน พระราชบัญญัตินี้ให้ผู้รับหลักประกันหลายราย ได้ถือสิทธิผู้รับหลักประกันร่วมตามวันและเวลาที่ได้รับการจดทะเบียน โดยผู้รับหลักประกันได้รับการจดทะเบียนก่อนย่อมมีสิทธิก่อนผู้รับหลักประกันที่ได้รับการจดทะเบียนภายหลัง
หากการใช้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้ไปจำนำประกัน การชำระหนี้จะให้ถือว่าผู้รับหลักประกันและผู้รับจำนองเรียงตามวันและเวลาที่ได้รับการจดทะเบียน โดยผู้รับหลักประกันที่ได้รับจำนองที่ได้รับการจดทะเบียนก่อนย่อมมีสิทธิก่อนผู้รับหลักประกันที่ได้รับจำนองที่ได้รับการจดทะเบียนภายหลัง
มาตรา ๔๔ เมื่อมีผู้รับสิทธิเดียวกับสิทธิตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจให้ถือสิทธิเป็นสิทธิเดียวกัน
หากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นทรัพย์ ให้ผู้รับหลักประกันมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกับผู้รับจำนองตามมาตรา ๒๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากมีการจดทะเบียนสิทธิในทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้ไว้แล้ว ให้ถือว่าผู้รับหลักประกันมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกับผู้รับจำนองตามมาตรา ๒๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หมวด ๕ การบังคับหลักประกันที่เป็นทรัพย์สิน
มาตรา ๔๕ ในกรณีที่มีการให้ทรัพย์สินที่มีการจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ตามกฎหมายอื่นมาจดทะเบียนเป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย หรือมีการนำทรัพย์สินที่จดทะเบียนเป็นหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้ไปจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ตามกฎหมายอื่นด้วย ให้ผู้รับจำนองจะบังคับหลักประกันโดยวิธีการบังคับหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้
ในระหว่างที่ผู้รับจำนองบังคับหลักประกันตามกฎหมายอื่น หากปรากฏว่ามีผู้บังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจที่ได้จดทะเบียนหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ ผู้รับจำนองต้องดำเนินการบังคับจำนองโดยวิธีการบังคับหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีที่เหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจเกิดขึ้นระหว่างที่ดี บังคับจำนองของผู้จำนองหรือทรัพย์สินของผู้จำนอง ให้ผู้รับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจยื่นคำร้องต่อศาลในระหว่างคดีขาด เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้บังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ โดยวิธีการบังคับหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้แทนการบังคับจำนองตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลในคดีนั้น
จริง ให้ศาลสั่งงดการพิจารณาไปในเท่าที่ไม่มีเหตุขัดข้อง หรือเหตุบังคับหลักประกันตามสัญญา หลักประกันทางธุรกิจขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้ศาลสั่งเพิกถอน หรือแก้ไขการบังคับหลักประกันตามสัญญาได้ ทั้งนี้บรรดาข้อกำหนดการบังคับของวิธีการบังคับ หลักประกันทางพระราชบัญญัตินี้และข้อบังคับในการเสริมสิทธิผู้รับหลักประกันและคู่สัญญา แต่หากเหตุ บังคับหลักประกันตามสัญญาตกเป็นหลักประกันทางธุรกิจเกิดขึ้นโดยระหว่างการบังคับคดีตามคำพิพากษาของ ศาล ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับหลักประกันตามคำพิพากษาของศาลต่อไป
มาตรา 23 ผู้รับหลักประกันอาจบังคับหลักประกันเพื่อให้ทรัพย์สินที่เป็น หลักประกันตกอยู่ในสิทธิหรือโดยฐานทายาทหรือพินัยกรรมที่เป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้
มาตรา 24 ห้ามมิให้ผู้รับหลักประกันบังคับหลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็น หลักประกันหลุดเป็นสิทธิ เว้นแต่คู่สัญญาได้ทำสัญญากันไว้เป็นหนังสือเป็นต้นเงินเท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าทรัพย์สิน ที่เป็นหลักประกันและลูกหนี้ได้ขาดชำระหนี้แล้วเป็นเวลาเก้าสิบวัน โดยไม่มีหลักประกันรายอื่น หรือข้อตกลงอื่นอันขยายไปในตัวทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน
มาตรา 25 เมื่อมีเหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ และผู้รับ หลักประกันได้แจ้งหนังสือแจ้งเหตุบังคับหลักประกันแล้ว หากผู้ให้หลักประกันหรือคู่สัญญาซึ่งมีทรัพย์สินที่ เป็นหลักประกันเกี่ยวข้องและบอกการครอบครองทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันแก่ผู้รับหลักประกันและยังไม่ ส่งมอบให้แก่ผู้รับหลักประกันในเวลาที่กำหนด ห้ามมิให้ผู้รับหลักประกันบังคับหลักประกันอันเกี่ยวข้องต่อไป เว้นแต่ผู้ให้หลักประกันหรือคู่สัญญาซึ่งมีทรัพย์สินหรือเป็นหลักประกันเกี่ยวข้องตกลงกันเป็นหนังสือ
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ผู้ครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้รับหลักประกันแจ้งหนังสือแจ้งให้ผู้ให้หลักประกันและผู้ให้หลักประกันซึ่งเกี่ยวข้องในเวลานั้นบังคับหลักประกัน ในทรัพย์สินอันเกี่ยวข้องตกลงกันเป็นหนังสือแจ้งให้ผู้รับหลักประกันในระยะเวลานั้น ผู้รับหลักประกันมีสิทธิแจ้งหนังสือแจ้งให้ผู้ให้หลักประกันและผู้ให้หลักประกันซึ่งเกี่ยวข้องในเวลานั้นบังคับหลักประกัน ในทรัพย์สินอันเกี่ยวข้องตกลงกันเป็นหนังสือแจ้งให้ผู้รับหลักประกันในระยะเวลานั้น และให้ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้ให้หลักประกันและผู้ให้หลักประกันซึ่งเกี่ยวข้องในเวลานั้นบังคับหลักประกันในทรัพย์สินอันเกี่ยวข้องตกลงกันเป็นหนังสือแจ้งให้ผู้รับหลักประกันในระยะเวลานั้นด้วย
ถ้าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตกเป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ได้ หรือหากตกเป็นหลักประกัน การเสียหายต่อความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาจะตกเป็นภาระของผู้รับหลักประกัน ผู้รับ
หลักประกันอาจจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยวิธีที่เห็นสมควรเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องดำเนินการตรวจสอบ
ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นสิทธิเรียกร้องเมื่อผู้รับหลักประกันแจ้งหนังสือแจ้งเหตุบังคับหลักประกันไปยังลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้อง ห้ามมิให้ลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องนั้นชำระหนี้ให้หลักประกันจนกว่าผู้รับหลักประกันจะมีหนังสือสั่งการ เมื่อหนังสือสั่งการดังกล่าวมาถึงลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องแล้วให้ชำระหนี้แก่ผู้รับหลักประกัน
การห้ามมิให้ชำระหนี้ตามมาตรานี้ให้ใช้โดยอนุโลมถึงกรณีที่มีการขายหรือโอนสิทธิเรียกร้องอื่นที่แสดงว่าผู้รับได้รับชำระแล้ว
มาตรา ๔๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๔๔ ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือตามมาตรา ๓๙ วรรคสอง และผู้รับหลักประกันจะบังคับหลักประกันโดยการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้ ให้ผู้รับหลักประกันดำเนินการจำหน่ายหลักประกันโดยวิธีการขายโดยเปิดเผย ในกรณีที่ผู้รับหลักประกันต้องแจ้งวัน เวลา สถานที่ และวิธีการจำหน่ายหลักประกันให้ผู้ให้หลักประกันทราบล่วงหน้าเป็นการล่วงหน้า ซึ่งผู้รับหลักประกันต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าในระยะเวลาที่เหมาะสม และหากเป็นการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันที่มีการจดทะเบียนทรัพย์สินส่วนที่ไม่อาจบอกเลิกสัญญาได้ตามกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจหรือโดยวิธีการอื่นที่แสดงว่าผู้รับได้รับชำระหนี้แล้ว
มาตรา ๔๖ ในการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา ๔๕ วรรคสาม และมาตรา ๔๕ ผู้รับหลักประกันต้องใช้ความระมัดระวังในการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยพฤติการณ์ดังเช่น
ให้นำงานบัญชีวิชาชีพด้วยการคัดค้านการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไปใช้บังคับในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม
มาตรา ๔๗ ผู้ซื้อทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันจากการจำหน่ายตามมาตรา ๔๕ วรรคสามและมาตรา ๔๖ ย่อมได้รับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยปลอดจากภาระประกันและจำนอง
มาตรา ๔๘ ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นสิทธิในเงินฝากในสถาบันการเงินและผู้รับหลักประกันแจ้งหนังสือแก่สถาบันการเงินนั้นในเวลาที่ผู้ให้หลักประกันผิดนัดชำระหนี้ ผู้รับหลักประกันย่อมมีสิทธิได้รับเงินฝากนั้นเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้โดยไม่ต้องมีคำสั่งศาลหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
หากผู้ให้หลักประกันและผู้รับหลักประกันตกลงกันให้ใช้การเงินที่อยู่ในเงินฝากเป็นค่าผ่อนชำระหนี้ตามสัญญา ผู้รับหลักประกันต้องแจ้งหนังสือแก่สถาบันการเงินนั้นเพื่อให้สถาบันการเงินดำเนินการตามที่ตกลงกันไว้ทันทีเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้โดยไม่ต้องมีคำสั่งศาลหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๕๗ มาใช้บังคับแก่การนำเงินฝากมาหักชำระหนี้ตามมาตรานี้ด้วยกู้อุโลม
มาตรา ๔๔ ถ้าผู้รับหลักประกันจะบังคับหลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเหตุเป็นสิทธิ และผู้ให้หลักประกันไม่โต้แย้งหลักประกันประเภทต่างๆ ที่ได้ในหนังสือความตกลงตามมาตรา ๓๗ โดยไม่มีหนังสือคำทักท้วงเกี่ยวกับการบังคับหลักประกันภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตกลงกลายเป็นสิทธิในวันนั้นของผู้รับหลักประกันโดยสิทธิขาด ให้ครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันนั้นต่อไปถึงผู้รับหลักประกัน แต่หากผู้ให้หลักประกันได้รับหนังสือคำคัดค้านภายในระยะเวลาตามกล่าว ให้ผู้รับหลักประกันขายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันนั้นโดยวิธีการประมูลโดยเปิดเผยและให้นำบทบัญญัติมาตรา ๔๐ และมาตรา ๔๑ มาใช้บังคับแก่การจำหน่ายหลักประกันตามมาตรานี้โดยอุโลม
การส่งหนังสือคำคัดค้านตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าได้ทราบไปยังผู้รับหลักประกันแล้วโดยวิธีการอื่นที่แสดงว่าผู้รับได้รับหนังสือนั้นแล้ว
มาตรา ๔๕ กองทุนที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา ๓๙ วรรคสาม
มาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๔ หรืออำนาจที่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันจะตกเป็นสิทธิแก่ผู้รับหลักประกันตามมาตรา ๔๔ ผู้รับหลักประกันต้องแจ้งให้ผู้ให้หลักประกันทราบถึงการครอบครองของตนเพื่อแสดงความพร้อมของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันนั้นมิฉะนั้นอำนาจของผู้รับหลักประกันจะหมดไป
หากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันนั้นอยู่ในความครอบครองของผู้รับหลักประกันผู้รับหลักประกันต้องดูแลทรัพย์สินนั้นให้คงอยู่ในสภาพเดิมและต้องไม่ทำให้เกิดอันตรายหรือทำให้มูลค่าของทรัพย์สินนั้นลดลงจากจำนวนที่ผู้ให้หลักประกันต้องรับผิดตามสัญญาที่ทำการธุรกิจ
มาตรา ๔๖ เมื่อมีเหตุบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ หากผู้ให้หลักประกันหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันไม่ยินยอมส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันผู้รับหลักประกันอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งบังคับหลักประกัน โดยให้ระบุในคำร้องด้วยว่าจะบังคับหลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเป็นสิทธิ หรือโดยจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันนั้นเพื่อชำระหนี้ตามสัญญานี้ด้วยหรือหนี้
มาตรา ๔๗ เมื่อได้รับคำร้องตามมาตรา ๔๖ ให้ศาลดำเนินการนัดพิจารณาโดยเร็วและออกหมายเรียกไปยังผู้ให้หลักประกัน หรือผู้ครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ไปแถลงให้แจ้งเหตุที่ผู้รับหลักประกันจะต้องขอคำสั่งศาลเพื่อบังคับหลักประกันนั้น และหากผู้ให้หลักประกันหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันไม่แถลงเหตุในวันนัดพิจารณา หรือไม่แสดงเหตุที่สมควรแก่ศาล ศาลอาจมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของผู้รับหลักประกันในวันนัดพิจารณานั้นเอง
ให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งตามคำร้องขอของผู้รับหลักประกันและมีอำนาจสั่งการจัดการทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน หรือดำเนินการอื่นตามที่เห็นสมควรเพื่อให้การบังคับหลักประกันนั้นสำเร็จได้
ให้คู่ความอาจอุทธรณ์ในคำสั่งของศาลภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง
บทบัญญัติมาตรา ๒๐๑ มาตรา ๒๐๒ มาตรา ๒๐๓ มาตรา ๒๐๔ มาตรา ๒๐๕ มาตรา ๒๐๖ และ
มาตรา ๒๖๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับในการพิจารณาคดีของศาลตามมาตรานี้โดยอนุโลม
มาตรา ๔๘ ในกรณีที่ศาลเห็นว่ามีเหตุอันควรยกเว้นหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจและข้อตกลงเกี่ยวกับเหตุอันควรยกเว้นหลักประกันที่ผู้รับหลักประกันตกลงขึ้นเป็นเหตุยกเว้นหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือไม่ควรยกเว้นหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ ให้ศาลพิจารณาโดยคำนึงถึงความสมบูรณ์ของสิทธิของผู้รับหลักประกันหรือของประชาชน ให้ศาลสั่งให้ยกเว้นหลักประกันตามวิธีการที่ผู้รับหลักประกันร้องขอ เช่นเดียวกับหลักประกันหรือร้องขอไม่ให้ยกเว้นหลักประกันก็เหตุอันไม่สมควร แต่กรณีไม่ใช่เหตุอันไม่สมควรนั้น ให้ศาลพิจารณาให้พนักงานหรือพนักงานผู้รับหลักประกันโดยการขายทอดตลาดเพื่อจ่ายเงินตามมูลหนี้
หากศาลเห็นว่าไม่เป็นเหตุอันควรยกเว้นหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือข้อตกลงเกี่ยวกับเหตุอันควรยกเว้นหลักประกันที่ผู้รับหลักประกันตกลงขึ้นเป็นเหตุอันควรยกเว้นหลักประกันทางธุรกิจด้วยความสมบูรณ์ของสิทธิของผู้รับหลักประกันหรือของประชาชน ให้ศาลสั่งให้ยกเว้นหลักประกันตามวิธีการที่ผู้รับหลักประกันร้องขอ
คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าเป็นที่สุด
แต่ในกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล และให้บันทึกบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่การพิจารณาคดีตามมาตรานี้โดยอนุโลม
คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
มาตรา ๔๙ ในกรณีทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจหรือมีจำนวนลดลงจนไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ
มาตรา ๕๕ เงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา ๔๗ วรรคสาม มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๔ และดอกผลที่เกิดขึ้นบนเงินดังกล่าวให้บรรจุเป็นสิทธิเข้า ครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้ชำระหนี้ตามลำดับ ดังต่อไปนี้
๑
ค่าใช้จ่ายในการรักษาและขายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา ๔๘
๒
ค่าใช้จ่ายตามสมควรเกี่ยวกับการตรวจประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน
๓
ดอกเบี้ยที่เป็นผู้ให้หลักประกันค้างชำระ และเงินต้นซึ่งมีมูลหนี้ที่เป็นทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันที่ปรากฏระหว่างในหลักการตามพระราชบัญญัตินี้
๔
ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอย่างสูงสุดเฉลี่ยทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สินตามมาตรา ๔๗
๕
เงินที่เหลือพอการให้ชำระคืนแก่ผู้ให้หลักประกัน
ให้บันทึกบัญชีตามมาตรา ๔๗ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่การชำระหนี้ในลำดับที่เป็นสิทธิในมูลหนี้ตาม (๔) โดยอนุโลม
ถ้าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันไม่เพียงพอชำระหนี้ในมูลหนี้ที่เป็นหลักประกัน ผู้ชำระเงินยังคงมีความรับผิดในส่วนที่ขาดอยู่ต่อผู้ให้หลักประกันตามกฎหมายว่าด้วยการชำระหนี้ แต่ถ้าผู้ให้หลักประกันได้รับเงินชำระหนี้เกินกว่ามูลหนี้ที่เป็นหลักประกัน ให้คืนเงินส่วนที่เกินนั้นแก่ผู้ชำระหนี้
การโต้แย้งต่างจากความในมาตรานี้ตกเป็นโมฆะ
มาตรา ๕๖ หากผู้รับหลักประกันกับผู้ให้หลักประกันโดยให้ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันแก่บุคคลอื่น ให้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
การโต้แย้งต่างจากความในมาตรานี้ตกเป็นโมฆะ
หมวด ๖
การรับหลักประกันที่เป็นกิจการ
ส่วนที่ ๓
ผู้รับหลักประกัน
มาตรา ๕๗ ผู้ใดจะทำการเป็นผู้รับหลักประกันต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานทะเบียน
มาตรา ๕๘ ผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้รับหลักประกันต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย บัญชี เศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ หรือการประเมินราคาทรัพย์สิน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
๑
เป็นนิติบุคคลที่เป็นนิติบุคคลเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นบุคคลเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งที่มาจากการเป็นบุคคลเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเท่านั้น
(ข) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือความผิดตามมาตรา 145 หรือมาตรา 157
(ค) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต เว้นแต่ได้รับยกเว้นตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้รับมอบหมายกำหนด
(ง) เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ให้หลักประกันหรือผู้รับหลักประกัน
(จ) เคยถูกถอดถอนจากการเป็นประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้จัดการตามมาตรา 44 หรือมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือตามกฎหมายบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น
(ฉ) เป็นเจ้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง
(ช) เป็นเจ้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ
(ซ) มีลักษณะต้องห้ามอย่างอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา 43 การขอรับใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกันให้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานทะเบียนตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ในการขอรับใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกัน ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 45 และให้เจ้าพนักงานทะเบียนออกใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกันให้
ให้เจ้าพนักงานทะเบียนแจ้งให้ผู้ขอรับใบอนุญาตทราบถึงการอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามวรรคหนึ่งภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ในกรณีที่เจ้าพนักงานทะเบียนไม่ออกใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกัน ผู้ขอมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการไม่อนุญาต โดยให้ผู้ขอมีอุทธรณ์ยื่นต่อเจ้าพนักงานทะเบียน
ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในกําหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ และให้คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีเป็นที่สุด
มาตรา 44 ใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกันมีอายุสามปีนับแต่วันออกใบอนุญาต
การขอต่ออายุใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ให้เจ้าพนักงานทะเบียนพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกันภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ยื่นคำขอต่ออายุ โดยให้ผู้ขอมีสิทธิประกอบธุรกิจต่อไปได้จนกว่าจะมีคำสั่งไม่ต่ออายุใบอนุญาต
ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในกําหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ และให้คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีเป็นที่สุด
มาตรา 45 ในกรณีที่ใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกันถูกเพิกถอนหรือสิ้นสุดไป สาระสำคัญให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตต่อเจ้าพนักงานทะเบียน
การขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มาตรา 55 หากปรากฏว่าผู้รับใบอนุญาตถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดให้ผู้รับใบอนุญาตเป็นบุคคลล้มละลาย หรือศาลมีคำพิพากษาให้ผู้รับใบอนุญาตล้มละลาย ให้เจ้าพนักงานทะเบียนเพิกถอนใบอนุญาตนั้นและแจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตทราบโดยเร็ว
ผู้รับใบอนุญาตที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง มีสิทธิเข้าร้องขอต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการเพิกถอนใบอนุญาต โดยให้รัฐมนตรีวินิจฉัยและแจ้งคำวินิจฉัยให้เจ้าพนักงานทะเบียนทราบ
ให้รวบรวมชีวิตข้อมูลธุรกิจที่ได้เลิกกิจการไปจากสำนักงานนั้นนับแต่วันที่ใบอนุญาตสิ้นสุดและให้จ้าวิจฉัยของรัฐมนตรีเป็นที่สุด
ในระหว่างที่ยังไม่ได้ข้อวินิจฉัย ให้รวบรวมธุรกิจนำกลังข้อมูลที่ใบอนุญาตให้ทำการไปพิจารณาก่อนให้มีผู้อยู่ในธุรกิจระยะร้อย
มาตรา 56 คำขอใบแทนใบอนุญาตประกันให้เป็นไปตามอัตราหรือจำนวนที่ปรากฏในรายการจดทะเบียนตามมาตรา 48 (4) หรือตามที่ศาลสั่ง แล้วแต่กรณี
ส่วนที่ 2 กระบวนการรับค้ำประกันที่เป็นกิจการ
มาตรา 57 ในกรณีที่มีกิจการงานเป็นหลักประกัน การรับค้ำประกันให้เป็นไปตามบทบัญญัติในหมวดนี้
มาตรา 58 ให้นำบทบัญญัติมาตรา 45 มาตรา 46 และมาตรา 47 รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับกับการรับค้ำประกันที่เป็นกิจการตามหมวดนี้โดยอนุโลม
มาตรา 59 การให้ผู้รับค้ำประกันประกันตามสัญญาค้ำประกันการทำธุรกิจ ให้ระบุหลักประกันเป็นสิ่งอื่นซึ่งผู้รับค้ำประกันประกันโดยการไปประกาศในรายการจดทะเบียนของรับรองโดยวิธีการอื่นที่แสดงว่าผู้รับค้ำประกันประกันได้รับการแจ้งแล้ว
ในกรณีที่ผู้รับค้ำประกันประกันไม่สามารถแสดงหลักฐาน และสถานที่ได้อย่างชัดเจนจริงๆ ซึ่งต้องไม่เกินร้อยละสิบของที่ได้รับแจ้งแล้วในรายการจดทะเบียนของรับรองโดยวิธีการอื่นที่แสดงว่าผู้รับค้ำประกันประกันได้รับการแจ้งแล้ว ในกรณีให้แจ้งแก่ผู้รับค้ำประกันประกันทราบโดยเร็วเพื่อให้สามารถดำเนินการพิสูจน์ รวมทั้งมีสิทธิเข้าร้องขอต่อรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ในกรณีที่ผู้รับค้ำประกันประกันทราบแล้วและไม่สามารถดำเนินการตามที่ได้แจ้งไว้ตามคุณสมบัติหรือสิทธิของผู้รับค้ำประกันตามมาตรา 45 ก่อนคำสั่งศาลตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้รับค้ำประกันประกันร้องขอต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยตามมาตรา 12 วรรคสอง มาใช้บังคับแทนการค้ำประกันที่เป็นกิจการตามมาตรานี้โดยอนุโลม
ในกรณีที่ผู้สัญญาไม่สามารถตกลงกันเลือกผู้รับใบอนุญาตอื่นเป็นผู้บังคับหลักประกันแทนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เหตุสุดวิสัยระงับ ผู้สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อมีคำสั่งแต่งตั้งผู้รับใบอนุญาตคนหนึ่งหรือหลายคนตามที่ศาลเห็นสมควรเป็นผู้บังคับหลักประกันแทน
มาตรา 25 ผู้ให้หลักประกันต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับกิจการที่เป็นหลักประกันในหนังสือความมาตรา 23 วรรคสอง ต่อผู้รับบังคับหลักประกันภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือความมาตรา 23 วรรคสอง และเตรียมให้ผู้รับบังคับหลักประกันขายอยู่ได้ตามที่เหมาะสมด้วย หากผู้ให้หลักประกันไม่แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับกิจการที่เป็นหลักประกันภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าในวันที่ผู้รับบังคับได้รับหนังสือความมาตรา 23 วรรคสองนั้น กิจการที่เป็นหลักประกันยังคงมีปรากฏในรายการจดทะเบียนในวันที่ผู้รับบังคับได้รับหนังสือดังกล่าว
มาตรา 26 เมื่อได้รับหนังสือความมาตรา 23 วรรคสอง ทันทีให้ผู้รับบังคับหลักประกันจำหน่ายโดยกิจการที่เป็นหลักประกันนั้นแต่ (1) กิจการที่เป็นหลักประกันที่เป็นทรัพย์สินที่มีลักษณะอาจเสื่อมสภาพหรือเสื่อมราคาหรือมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสูงเกินควรหรือมีเหตุผลความจำเป็นต้องจำหน่ายอย่างอื่นนอกจากทรัพย์สินดังกล่าว ประเภท และปริมาณของทรัพย์สินนั้น วัน เวลา สถานที่ วิธีการจำหน่ายและราคาที่ขายในท้องตลาดของทรัพย์สินนั้นในวันที่หนังสือแจ้ง และราคาที่จะจำหน่ายให้เป็นไปตามสภาพของราคาที่ขายในท้องตลาดของทรัพย์สินนั้น หรืออันเกิดจากการจำหน่ายโดยกิจการที่เป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้บังคับหลักประกันตามกำหนด ซึ่งต้องไม่ยอมทำร้อยละยี่สิบของจำนวนเงินสูงสุดที่ตกลงให้ผู้บังคับหลักประกัน
มาตรา 27 ในการไต่สวนข้อเท็จจริง ผู้ให้หลักประกันหรือผู้รับบังคับหลักประกันจะดำเนินการด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหลายคน ให้เป็นผู้ดำเนินการแทนตนก็ได้ หลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงให้เป็นไปตามที่กำหนด
มาตรา 28 เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดของจริงเสร็จ ให้ผู้บังคับหลักประกันรับผิดชอบว่ามีเหตุบังคับกลับกระทำหรือไม่ ในกรณีที่มีความจำเป็นเหตุบังคับหลักประกัน ให้ระบุจำนวนที่ต้องชำระไว้ด้วย หากผู้สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติหน้าที่หลักประกันตาม การลงมติวินิจฉัยให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก
ในกรณีที่มีเหตุบังคับหลักประกัน และผู้รับหลักประกันประสงค์ที่จะบังคับหลักประกันที่ให้แก่ผู้รับหลักประกันนั้นจำต้องมีคำวินิจฉัยรับรองบังคับหลักประกัน แต่หากผู้รับหลักประกันยื่นขอผ่อนผันให้แก่หลักประกันนั้นเป็นพิเศษโดยให้ถือว่าอย่างน้อยไม่เคยมีเหตุบังคับหลักประกันดังกล่าวเกิดขึ้น ไห้ข้อยกเว้นว่าไม่มีเหตุบังคับหลักประกันและให้บันทึกคำยอมของผู้รับหลักประกันไว้ในคำวินิจฉัย
ในกรณีที่ไม่มีเหตุบังคับหลักประกัน ให้ผู้รับหลักประกันมีคำวินิจฉัยว่าไม่มีเหตุบังคับหลักประกัน
คำวินิจฉัยต้องทำเป็นหนังสือและต้องประกอบด้วยสรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเหตุผลในการวินิจฉัย ลายมือชื่อของผู้รับหลักประกัน และวันเวลาวินิจฉัย
มาตรา ๒๘ ผู้รับหลักประกันต้องคำวินิจฉัยคำร้องของผู้บังคับหลักประกันให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องดังกล่าวจริงวันแรก
มาตรา ๒๙ ให้ผู้บังคับหลักประกันเป็นผู้แจ้งคำวินิจฉัยตามมาตรา ๒๘ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ให้หลักประกัน ผู้รับหลักประกัน และเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันนั้นที่ปรากฏรายชื่อในสำเนารายการทะเบียนทรัพย์โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือโดยวิธีการอื่นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้มีการแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ให้ผู้บังคับหลักประกันแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลที่มีเขตอำนาจให้ทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้แจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าวให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ให้หลักประกัน หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจเหนือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว
เมื่อได้รับคำวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ผู้ให้หลักประกัน นายทะเบียน หรือ นายทะเบียนเป็นผู้บังคับหลักประกันดำเนินการตามคำวินิจฉัยดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับคำวินิจฉัยดังกล่าว
มาตรา ๓๐ ห้ามมิให้หลักคำวินิจฉัยตามมาตรา ๒๙ วันเดียวการได้มาซึ่งถึงจริงเพื่อคำวินิจฉัยนั้นไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามมาตรา ๒๘ หรือคำวินิจฉัยนั้นบกพร่องในข้อเท็จจริงหรือกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญ ให้ผู้คัดค้านคำวินิจฉัยตามวรรคหนึ่ง ยื่นคำร้องขอศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัย
การร้องคัดค้านตามมาตรานี้ไม่เป็นเหตุให้การบังคับหลักประกันตามคำวินิจฉัยบังคับหลักประกัน
เมื่อได้รับคำร้องตามวรรคสอง ศาลอาจกำหนดให้ผู้ยื่นคำร้องวางประกันหรือให้หลักประกันตามที่ศาลเห็นสมควรก่อนก็ได้ หากผู้ยื่นคำร้องไม่วางประกันหรือให้หลักประกันตามที่ศาลกำหนดให้ศาลสั่งยกคำร้องนั้น
ให้ศาลกำหนดวันนัดพิจารณาคำร้องตามวรรคสองโดยเร็ว และให้แจ้งวันเวลานัดพิจารณาต่อคู่กรณีทุกฝ่ายภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อการบังคับหลักประกัน
ในกรณีที่ศาลเห็นว่ามีเหตุบังคับตามวรรคสาม ให้ศาลสั่งพักการพิจารณาคำวินิจฉัยตามมาตรา ๒๙ ไว้ยกเว้นในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่ามีผลกระทบต่อการบังคับหลักประกันให้ศาลสั่งยกคำร้องนั้นโดยให้บันทึกเหตุผลไว้
มาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๙ มาใช้บังคับแก่การพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการผู้กำกับภายใต้บทของกฎหมายนี้โดยอนุโลม หรือคณะกรรมการผู้กำกับอาจพิจารณาในจำนวนเพียงพอแก่การพิจารณาอุทธรณ์ ศาลอาจพิพากษาให้แยกหรือกลับคำพิพากษาที่เห็นสมควรก็ได้
ในการอุทธรณ์กรณีที่ไม่มีเหตุอันควรระงับหนึ่ง ให้ศาลสั่งคดีสิ้นสุดคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด
มาตรา ๓๐ ในกรณีที่ผู้บังคับหลักประกันมีสิทธิที่จะบังคับหลักประกันให้อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการที่เป็นหลักประกันประการหนึ่งให้แก่ผู้บังคับหลักประกัน และกำหนดหน้าที่ดังกล่าวตามบทแห่งราชการกฎหมายของรัฐอุตสาหกรรมอยู่ในหมวดของผู้บังคับหลักประกันกิจการที่เป็นหลักประกันในสิทธิหรือได้รับเงินผลตอบแทนจากผู้บังคับหลักประกัน และกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาช่วยอำนวยการจัดการที่เป็นหลักประกัน แต่ให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวทั้งสิ้นยังคงผู้บังคับหลักประกันเพื่อขอเสียทรัพย์สินหรือเงินได้ในการจัดการทำงานอย่างนั้น
มาตรา ๓๑ ภายในเจ็ดวันนับตั้งแต่วันที่ได้รับคำวินิจฉัยบังคับหลักประกัน ผู้ให้หลักประกันต้องส่งมอบกิจการที่เป็นหลักประกัน ทรัพย์สิน สมุดบัญชี และเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือสิทธิตลอดจนสิทธิการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการที่เป็นหลักประกันให้แก่ผู้บังคับหลักประกัน เว้นแต่ผู้ให้หลักประกันจะได้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกันหรือคำวินิจฉัยของศาลในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกัน
มาตรา ๔๘ เงินที่ได้จากการดำเนินกิจการที่เป็นหลักประกันให้จัดสรรชำระตามลำดับ ดังต่อไปนี้
๑
ค่าธรรมเนียมในการยึดหรืออายัดตามมาตรา ๔๗ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา จัดการและดำเนินการของผู้บังคับหลักประกันตามมาตรา ๔๕
๒
ค่าตอบแทนของผู้บังคับหลักประกัน ค่าใช้จ่ายตามสมควรอันเกิดจากการบังคับ หลักประกันค่าภาษีอากรหรือเบี้ยประกันภัยเกี่ยวกับหลักประกัน และค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนที่เป็นหลักประกัน
๓
ชำระหนี้ให้แก่ผู้รับหลักประกัน และเจ้าหนี้อื่นซึ่งมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ เป็นหลักประกันแทนที่การบังคับหลักประกันตามพระราชบัญญัตินี้
๔
ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีชอบเฉลี่ยทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการ จำหน่ายกิจการนั้นตามมาตรา ๔๗
๕
เงินที่เหลือจาก (๑) ให้กระจายแก่ผู้ให้หลักประกัน ให้แก่ทายาทของผู้มอบหลักประกัน หรือวรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บังคับแก่การ จัดสรรชำระตามมาตรา ๔๗ อยู่โดยโสภา
ส่วนที่ ๓
การคัดค้านผู้บังคับหลักประกัน
มาตรา ๔๙ ในกรณีปฏิบัติหน้าที่ ผู้บังคับหลักประกันต้องเป็นกลางและเป็น อิสระจากคู่สัญญาในหลักประกันและต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและ ระมัดระวังเช่นเดียวกับที่บุคคลในตำแหน่งเดียวกันพึงปฏิบัติในสถานการณ์เดียวกัน และจะบังคับหลักประกันตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจได้ ต่อเมื่อผู้บังคับหลักประกันต้องเป็นคนซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรที่จะเชื่อว่าผู้ให้หลักประกันไม่สามารถชำระหนี้ได้
มาตรา ๕๐ ในกรณีที่ผู้บังคับหลักประกันปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจหรือประมาท เลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ให้หลักประกันหรือผู้รับ หลักประกันหรือบุคคลอื่นซึ่งมีส่วนได้เสียที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ให้หลัก ประกันหรือผู้รับหลักประกันหรือบุคคลอื่นซึ่งมีส่วนได้เสียที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ผู้ให้หลักประกันหรือผู้รับหลักประกันหรือบุคคลอื่นซึ่งมีส่วนได้เสียที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอาจร้องขอให้ศาลสั่งการให้ผู้บังคับหลักประกันชดใช้ค่าเสียหายได้
ในระหว่างพิจารณาคดี ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้บังคับหลักประกันหยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือให้บุคคลอื่นปฏิบัติหน้าที่แทนก็ได้ หากศาลมีคำสั่งดังกล่าว ให้ศาลแต่งตั้งผู้รับโอนบุคคล
หนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควรปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับหลักประกันชั่วคราว เว้นแต่กรณีที่ไม่มีผู้บังคับปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวให้ผู้บังคับหลักประกันตามมาตรา ๔๕ ในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้บังคับหลักประกันบังคับทรัพย์สินตามหน้าที่แทนผู้บังคับหลักประกันชั่วคราว
ให้ผู้เกี่ยวข้องตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ชำระค่าตอบแทนแก่ผู้บังคับหลักประกันชั่วคราวตามอัตราที่ระบุจำนวนที่ศาลกำหนด แต่กรณีที่มีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการของผู้บังคับหลักประกันชั่วคราวที่เกิดขึ้นจากการบังคับหลักประกันตามมาตรา ๔๕ (๒) และให้ถือค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวของศาลด้วย
มาตรา ๗๗ หากคล้ายเหตุสุดวิสัยที่ผู้บังคับหลักประกันตามมาตรา ๗๖ วรรคหนึ่งไม่สามารถบังคับหลักประกันจากทรัพย์สินจากตำแหน่ง แต่หากคล้ายว่าเป็นเหตุสุดวิสัยกราวให้ศาลสั่งยกคำร้อง
คำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรานี้ให้ถือว่าเป็นคำสั่งของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาในลักษณะบังคับ แต่เป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาในลักษณะไม่เป็นที่สุด
ในกรณีที่ไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกาหรือคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา ๗๖ วรรคสอง หรือเมื่อคำอุทธรณ์หรือคำพิพากษาหรือคำสั่งสิ้นสุดแล้ว และกรณีที่ศาลสั่งยกคำร้องหรือสั่งให้ผู้บังคับหลักประกันหรือหลักประกันต่อศาลตามมาตรา ๗๖ วรรคสอง
มาตรา ๗๘ ในกรณีที่ศาลสั่งให้ผู้บังคับหลักประกันคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้บังคับหลักประกันตามมาตรา ๗๖ และยังมีความเสียหายเกิดขึ้น ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้บังคับหลักประกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้บังคับหลักประกันตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
ความเสียหายดังกล่าวให้รวมถึงดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยและระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรด้วย
ให้บังคับบัญญัติในหมวดนี้ที่เกี่ยวกับผู้บังคับหลักประกันมาใช้บังคับแก่ผู้บังคับหลักประกันแทนตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม
มาตรา ๗๙ คำพิพากษาของศาลที่ให้ผู้บังคับหลักประกันพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๗๗ ไม่กระทบต่อการได้ผู้บังคับหลักประกันได้กระทำไปแล้วก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาเช่นว่านั้น
หมวด ๗
ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ
มาตรา ๘๐ สัญญาหลักประกันทางธุรกิจระงับสิ้นไปเมื่อ (๑) หลักประกันระงับสิ้นไปด้วยเหตุระงับหรือโดยสิ้นเหตุอุทธรณ์ (๒) ผู้บังคับหลักประกันและผู้ให้หลักประกันตกลงกันให้ระงับสิ้นไปหรือเลิกสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ
๓
มีการโอนทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน (๔) มีการใช้สิทธิในหลักประกันเป็นผลสำเร็จในการบังคับหลักประกันหรือเมื่อทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตกเป็นสิทธิของผู้บังคับหลักประกัน
มาตรา ๒๗ ผู้รับหลักประกันจะจับหลักประกันแม้เมื่อทรัพย์ที่รับประกันนั้น ขาดสูญ ความเสียหายไป แต่จะรับเอาความเสียหายที่จำทำระหว่างสัญญาหลักประกันทางธุรกิจเป็นการค้าทำไม่ได้
หมวด ๔
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๒๘ ผู้ให้หลักประกันหรือผู้รับหลักประกันผู้ใดแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงในการดำเนินการทะเบียนตามมาตรา ๑๒ หรือการขอจดทะเบียนตามมาตรา ๑๓ หรือการขอแก้ไขรายการจดทะเบียนตามมาตรา ๒๐ หรือการขอยกเลิกรายการจดทะเบียนตามมาตรา ๒๑ หรือการขอเพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๙ ผู้รับหลักประกันผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา ๒๑ วรรคสอง มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ผู้รับหลักประกันผู้ใดกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งโดยเจตนา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๐ ผู้ให้หลักประกันผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๐ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๓๑ ผู้ให้หลักประกันผู้ใดเอาเปรียบ ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ หรือทำให้สูญหายซึ่งทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๒ ผู้รับหลักประกันผู้ใดแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงในการร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้บังคับหลักประกันตามมาตรา ๒๖ หรือในการแจ้งผู้รับหลักประกันเพื่อดำเนินการบังคับหลักประกันตามมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๘ ผู้ให้หลักประกันผู้ใดส่งมอบทรัพย์แสดงดวงตรา สมุดบัญชี และเอกสารอื่นเป็นหลักเกี่ยวกับทรัพย์สิน ที่ดิน ตลอดจนสิทธิทั้งหลาย ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันต่อผู้รับหลักประกันหรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับหลักประกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๔๙ ผู้รับหลักประกันหรือผู้รับมอบหมายจากผู้รับหลักประกันผู้ใดจงใจทำลาย ทำให้สูญหาย หรือความลับในการประกอบธุรกิจหรือข้อมูลอื่นใดของผู้ให้หลักประกันซึ่งได้รับความลับที่ตามปกติวิสัยของผู้ให้หลักประกันพึงสงวนไว้เป็นพิเศษ และเปิดเผยหรือใช้ข้อมูลนั้นเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่เป็นการเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือเพื่อประโยชน์ในการสอบสวนพิจารณาคดี หรือเป็นการเปิดเผยโดยผู้ให้หลักประกันได้ให้ความยินยอมแล้ว
ผู้ใดตรวจหรือได้ทรัพย์ข้อมูลหรือความลับตามมาตรานี้จากบุคคลตามมาตรานี้แล้วในการปฏิบัติราชการหรือการสอบสวนตามวิธีการพิจารณาคดี แล้วเปิดเผยข้อมูลหรือความลับนั้นในกระทำที่ก่อให้เสียหายแก่ผู้ที่มีผู้ใดต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
มาตรา ๕๐ ผู้รับหลักประกันหรือผู้รับมอบหมายจากผู้รับหลักประกันผู้ใดกระทำการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือกระทำการใดที่มิชอบ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้จนเป็นเหตุให้ผู้ให้หลักประกันต้องเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๕๑ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง ให้มีจำนวนสามคนและคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานอัยการส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อผู้ต้องหาไม่ใช่ชำระเงินค่าปรับตามที่เปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ไม่เกินสามสิบวันแล้ว ให้ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา