로고

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. ๒๕๕๑”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“สถาบัน” หมายความว่า สถาบันคุ้มครองเงินฝาก “สถาบันการเงิน” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา “เงินฝาก” หมายความว่า เงินที่สถาบันการเงินรับฝากจากประชาชนหรือบุคคลใด โดยมีความผูกพันที่จะต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อครบกำหนด *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๑๓ ก/หน้า ๑๗/๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑* ``` - ๒ - “คณะกรรมการควบคุม” หมายความว่า คณะกรรมการควบคุมสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน “กองทุน” หมายความว่า กองทุนคุ้มครองเงินฝาก “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก “ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ผู้ซึ่งอำนาจการสถาบันคุ้มครองเงินฝากแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานในกิจการของกองทุน “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔ ธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นธนาคารโดยสมควรจะให้มีการคุ้มครองเงินฝากของธนาคารตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พระราชกฤษฎีกากำหนดให้ธนาคารนั้นเป็นสถาบันการเงิน

มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของสถาบันและรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และเพื่อช่วยในการของกระทรวงและประเทศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงและประกาศที่ออกตามนี้ เมื่อได้รับการตรวจสอบจากนายกแล้วให้บังคับได้

หมวด ๑

สถาบันคุ้มครองเงินฝาก

ส่วนที่ ๑

การจัดตั้งและทุน

มาตรา ๖ ให้จัดตั้งสถาบันขึ้นเรียกว่า “สถาบันคุ้มครองเงินฝาก” มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(ก)

คุ้มครองเงินฝากในสถาบันการเงิน

(ข)

เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน

(ค)

ดำเนินการเกี่ยวกับการเงินที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินและระยะยาวซึ่งสถาบันการเงินที่ถูกฟ้องล้มในอนาคต

มาตรา ๗ ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ ให้สถาบันมีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(ก)

บริหารจัดการกองทุน ทุน และทรัพย์สินของสถาบัน ``` ``` - 3 -

(๒)

เรียกเก็บเงินที่สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนตามมาตรา ๔๘ และจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตามมาตรา ๕๓

(๓)

มีทรัพย์สินต่าง ๆ รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์หรือเทคนิคกรรมใด ๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร

(๔)

ยืมเงินเพื่อการดำเนินการชำระบัญชี ออกตั๋วเงิน พันธบัตร หรือตราสารทางการเงินอื่นใดที่ออกโดยกองทุนตามที่คณะกรรมการกำหนด ทั้งนี้ การออกตราสารดังกล่าวต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดโดยอนุมัติของรัฐมนตรี

(๕)

ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารทางการเงินอื่นใดที่ออกโดยรัฐบาลหรือตกเป็นของกองทุนในตลาดรองตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยอนุมัติของรัฐมนตรี

(๖)

ฝากเงินในสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น เฉพาะเพื่อจัดการตามปกติธุระ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด

(๗)

ทำกิจการทั้งปวงที่เกี่ยวกับหรือเกี่ยวเนื่องในการจัดการให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน

มาตรา ๖ ให้สถาบันตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครหรือจังหวัดใดก็ได้และจะตั้งสำนักงานสาขาเพิ่มเติม ณ ที่ใดในราชอาณาจักรก็ได้

มาตรา ๗ ทุนของสถาบันประกอบด้วย

(๑)

เงินทุนที่รัฐจัดสรรให้

(๒)

เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มอบให้

(๓)

เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีผู้มอบให้

(๔)

ดอกผลของกองทุนที่คณะกรรมการจัดสรรให้ตามมาตรา ๔๘

(๕)

ดอกผลหรือรายได้จากเงินหรือทรัพย์สินของสถาบัน

มาตรา ๘ ให้ทุนของสถาบันประเดิมของสถาบันเป็นเงินไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท

มาตรา ๙ ให้สถาบันเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะและตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ

รายได้ของสถาบันไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน

มาตรา ๑๐ กิจการของสถาบันไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม กฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ทั้งนี้ สถาบันต้องจัดให้มีเงิน หรือระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล พนักงาน และลูกจ้างของสถาบัน ได้รับประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน

มาตรา ๑๑ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐

```

ส่วนที่ 2

การเงิน การบัญชี และการสอบบัญชี

มาตรา 13 สถาบันต้องวางแผนและถือปฏิบัติระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการและให้มีการตรวจสอบภายในเป็นประจำ

มาตรา 14 สถาบันต้องจัดทำงบการเงินส่งผู้สอบบัญชีภายในหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี

ปีบัญชีของสถาบันให้เป็นไปตามปีปฏิทิน

มาตรา 15 ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชี ทำการตรวจสอบรับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของสถาบัน

มาตรา 16 ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบทรัพย์สินดูเอกสารและหลักฐานของสถาบัน และเรียกให้เจ้าหน้าที่ของสถาบัน ผู้ทำการแทน หรือลูกจ้างของสถาบัน

ชี้แจงข้อเท็จจริง หรือจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวกับกิจการของสถาบัน ให้สถาบันประกาศงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความคิดเห็นแล้วตามวรรคหนึ่งในราชกิจจานุเบกษาในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี

มาตรา 17 ให้สถาบันจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อรัฐมนตรีภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี รายงานนั้นให้กล่าวถึงผลงานของสถาบันในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งแผนงานที่เกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการ โครงการ และแผนงานที่จะจัดทำในอนาคต

ส่วนที่ 3

คณะกรรมการ

มาตรา 18 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก” ประกอบด้วย ประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่าสี่คนแต่ไม่เกินหกคน โดยมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในมาตรา 19 และมาตรา 20 ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในด้านการเงิน การธนาคาร การบัญชี เศรษฐศาสตร์ หรือกฎหมาย เป็นกรรมการและแต่งตั้งกรรมการคนหนึ่งเป็นรองประธานกรรมการ

ให้รัฐมนตรีเสนอชื่อประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแต่งตั้ง

มาตรา ๒๐ ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้รัฐมนตรีเสนอชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งแทนในส่วนที่ขาดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากดำรงตำแหน่งแทนไม่ถึงสองปี ให้ถือว่าผู้นั้นดำรงตำแหน่งต่อเนื่องจากตำแหน่งในวาระเดิม และให้อยู่ในวาระต่อไปโดยรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งในวาระเดิมด้วย

ให้ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระของตนดำรงตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระของตนได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้

มาตรา ๒๑ ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา ๒๒ ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (๑) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (๒) เป็นผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินเกินกว่าร้อยละห้า (๓) เป็นหรือเคยเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา หรือเจ้าหน้าที่ในสถาบันการเงิน เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (๔) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงิน เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง (๕) เคยถูกลงโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด แม้จะยังมิได้มีการรอการลงโทษ สำหรับความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๖) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (๗) เป็นหรือเคยเป็นโรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

มาตรา ๒๓ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๒๐ ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - 6 -

(๖)

คณะรัฐมนตรีมีมติให้ออกตามคำแนะนำของรัฐมนตรีเนื่องจากเหตุจำเป็นอันมีความเสียหาย บกพร่องต่อหน้าที่ หรือขัดต่อความสามารถ โดยต้องแสดงเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดแจ้ง

(๗)

ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๒๑ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๒ ในการนี้ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้ผู้เป็นกรรมการแทนในตำแหน่งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิผู้นั้นแทน

มาตรา ๒๔ การประชุมของคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมของคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งที่มาประชุมเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนใดมีส่วนได้เสียในเรื่องที่พิจารณา ห้ามมิให้กรรมการผู้นั้นออกเสียงในเรื่องนั้นอีกเสียงหนึ่ง

มาตรา ๒๕ คณะกรรมการมีอำนาจและหน้าที่กำหนดนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของสำนักงาน ภายในขอบวัตถุประสงค์ของสำนักงาน รวมถึง

(ก)

กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการนำเงินส่งคลังตามมาตรา ๕๐ ตามมาตรา ๕๐

(ข)

ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของสำนักงาน และการบริหารงานในตำแหน่งผู้อำนวยการตามมาตรา ๓๕

(ค)

ออกข้อบังคับให้สถาบันการเงินใช้ข้อความ เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์เพื่อแสดงว่าเป็นสถาบันการเงินที่มีเงินฝากได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ตามมาตรา ๓๗

(ง)

กำหนดรายละเอียดของประเภทเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา ๔๑ (ง/๑) (ยกเลิก) (ข/๑) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตามมาตรา ๕๓ (ข/๒) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเข้าตรวจสอบข้อมูลตามมาตรา ๔๗ (ข/๓) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำขอรับเงินตามมาตรา ๔๗/๒ (ข/๔) พิจารณารายงานข้อมูลการดำเนินการตามมาตรา ๔๗/๔

มาตรา ๒๖ (๑) ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝากตามบัญชี (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๖๐

(๒)

ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝากตามบัญชี (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๖๐

(๓)

(ยกเลิก)

(๔)

(ยกเลิก)

(๕)

(ยกเลิก)

(ข)

อนุมัติรายงานประจำปีของสถาบัน

(ค)

ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี การงบประมาณ และการพัสดุของสถาบัน

(ง)

ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารราชการทั่วไปและการบริหารงานบุคคลของสถาบัน

(จ)

เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเพื่อให้ตรากระทรวงหรือพระราชกฤษฎีกาแล้วแต่กรณี ตามพระราชบัญญัตินี้

(ฉ)

รายงานผลการดำเนินงานของสถาบันต่อรัฐมนตรีเป็นครั้งคราว

(ช)

ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน

มาตรา 26 คณะกรรมการอาจมอบอำนาจตั้งคณะอนุกรรมการ หรือที่ปรึกษา

คณะกรรมการเพื่อดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้ ให้ความตามในมาตรา 20 มาตรา 23 และมาตรา 25 มาใช้บังคับในการแต่งตั้งและ การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม

มาตรา 27 การลงทุนตามมาตรา 21 (4) ต้องลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง

ไม่ว่ากำหนดไว้ด้วยหลักทรัพย์การลงทุนแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง การลงทุนตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการอาจมอบหมายให้บุคคลใดดำเนินการแทน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

ส่วนที่ 4

ผู้อำนวยการ

มาตรา 28 ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้อำนวยการโดยคำแนะนำของรัฐมนตรี

ผู้อำนวยการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่ง ติดต่อกันเกินสองวาระมิได้

มาตรา 29 ผู้อำนวยการต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

(ก)

มีสัญชาติไทย

(ข)

มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ในวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง

(ค)

สามารถทำงานให้แก่สถาบันได้เต็มเวลา

มาตรา 30 ผู้อำนวยการต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 22

มาตรา 31 (ก) (ข) (ค) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560

มาตรา 32 (ฉ) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560

มาตรา ๓๑ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๒๘ ให้ผู้อำนวยการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

(๑)

ตาย

(๒)

ลาออก

(๓)

คณะรัฐมนตรีมีมติให้ออกตามคำเสนอแนะของรัฐมนตรี เนื่องจากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือมีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิอาจดำรงตำแหน่งในการให้ ออกอย่างชัดแจ้ง ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหรือจะมีผลเสียหายร้ายแรงต่อการบริหารงานของสถาบัน การเงิน คณะรัฐมนตรีอาจมีมติให้ออกด้วยตนเองตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตามหลักเกณฑ์และ (๔) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๒๙ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๓๐

มาตรา ๓๒ ผู้อำนวยการมีอำนาจและหน้าที่บริหารกิจการของสถาบันตาม พระราชบัญญัตินี้ ตลอดจนดำเนินการตามนโยบาย ข้อบังคับ หรือระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด และมีอำนาจหน้าที่อื่นซึ่งจำเป็นสำหรับการบริหารกิจการของสถาบัน

มาตรา ๓๓ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้แทนของ สถาบัน เว้นแต่จะได้มอบหมายให้บุคคลอื่นเป็นผู้แทนในกิจการอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ต้อง เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๓๔ ให้สถาบันมีรองผู้อำนวยการและผู้ช่วยผู้อำนวยการตามจำนวนที่ คณะกรรมการกำหนด

รองผู้อำนวยการและผู้ช่วยผู้อำนวยการมีฐานะเป็นพนักงานของสถาบันและมี อำนาจและหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการมอบหมาย

มาตรา ๓๕ เมื่อผู้อำนวยการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้หรือเมื่อดำแหน่งว่างลง ให้รองผู้อำนวยการหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการเป็นผู้รักษาการแทนในตำแหน่งผู้อำนวยการ ถ้าบุคคล ดังกล่าวหรือบุคคลดังกล่าวไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งกรรมการหรือพนักงาน คนใดคนหนึ่งของสถาบันเป็นผู้รักษาการแทนในตำแหน่งผู้อำนวยการ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ตามข้อบังคับ ที่คณะกรรมการกำหนด

ส่วนที่ ๕

ประโยชน์ตอบแทนและความรับผิดของกรรมการผู้บริหาร

มาตรา ๓๖ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ และผู้อำนวยการได้รับประโยชน์ตอบ แทนตามที่รัฐมนตรีกำหนด

ให้อำนาจกรรมการและที่ปรึกษาคณะกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่ คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๑๓๗ ให้กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ ที่ปรึกษา คณะกรรมการ ผู้ช่วยเลขานุการ พนักงาน และลูกจ้างของสถาบัน

หมวด ๒

การดำเนินการเกี่ยวกับสถาบันการเงิน

มาตรา ๑๓๘ คณะกรรมการมีอำนาจออกข้อบังคับกำหนดให้สถาบันการเงินใช้ข้อความ เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ เพื่อแสดงว่าเป็นสถาบันการเงินที่เงินฝากได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๓๙ เพื่อประโยชน์ในการติดตามฐานะและการดำเนินงานของสถาบันการเงิน ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือหน่วยงานอื่นที่กำกับดูแลสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินที่ส่งรายงานการตรวจสอบหรือข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันการเงินให้แก่กันและกันตามที่ได้รับการร้องขอ

มาตรา ๑๔๐ ในกรณีที่เป็นเพื่อประโยชน์ในการติดตามฐานะหรือการดำเนินงานของสถาบันการเงิน สถาบันการเงินต้องให้สถาบันการเงินอื่นซึ่งเกี่ยวข้อง โดยการขอความยินยอมจากลูกค้า หรือมิฉะนั้น ให้มีเอกสารหรือหลักฐานอื่นที่แสดงว่าได้รับความยินยอมจากลูกค้า อธิบายหรือรายงานการเงินหรือทรัพย์หรือคำชี้แจงตามวรรคหนึ่ง สถาบันการเงินต้องทำให้ครบถ้วนและตรงต่อความเป็นจริง

มาตรา ๑๔๑ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า สถาบันการเงินในปัจจุบันหรือการดำเนินงานที่มีลักษณะอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน คณะกรรมการอาจร้องขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือหน่วยงานอื่นที่กำกับดูแลสถาบันการเงินทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสัมพันธ์ หรือ พันธะฐานะหรือการดำเนินงานของสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องก็ได้

ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือหน่วยงานอื่นที่กำกับดูแลสถาบันการเงินดำเนินการตามที่สถาบันร้องขอ และในการนี้สถาบันอาจเข้าร่วมการตรวจสอบด้วยก็ได้

มาตรา ๑๔๒ ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อว่า สถาบันการเงินในปัจจุบันหรือการดำเนินงานอยู่ในลักษณะอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน ให้ดำเนินการแจ้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือหน่วยงานอื่นที่กำกับดูแลสถาบันการเงินเข้าทำการตรวจสอบดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สถาบันมีอำนาจจัดส่งผู้แทนเข้าร่วมปรึกษาหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวกับดูแลด้านการเงิน และรับทราบรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้วหรือจะดำเนินการหลังดำเนินการเงินต่อไป

มาตรา 13 ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจขอข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวกับการดำเนินงานหรือการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงิน และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของสถาบันการเงินดังกล่าวจากหน่วยงานอื่นหรือด้วยวิธีการอื่นใด ตลอดจนบุคคลผู้ครอบครองหรือผู้ดูแลข้อมูลหรือเอกสารดังกล่าว และมีอำนาจส่งคำสั่งให้แสดงข้อมูล เอกสาร หรือหลักฐานอันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์ และหนี้สินของสถาบันการเงินที่อยู่ในครอบครองของบุคคลดังกล่าว

ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเนื่องจากไม่สามารถหาข้อมูลได้โดยทางอื่น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าสู่ที่บุคคลดังกล่าวหรือหน่วยงานหรือสถานที่ที่ข้อมูลหรือเอกสารดังกล่าวหรือการดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้เพื่อขอให้แสดงข้อมูล เอกสาร หรือหลักฐานอันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์ และหนี้สินของสถาบันการเงินที่อยู่ในครอบครองของบุคคลดังกล่าว

มาตรา 14 ให้สถาบันเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานและการควบคุมดูแลตามที่คณะกรรมการกำหนด รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 15 ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินงานเกี่ยวกับการฝากเงิน และการชำระเงินของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน และได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้สถาบันทราบแล้วให้สถาบันเสนอรายชื่อบุคคลต่อธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการควบคุมตามที่กฎหมายว่าด้วยธุรกิจธนาคารพาณิชย์กำหนดไว้

ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการชำระเงินแก่ผู้ฝากเงิน และการชำระเงินของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน ให้คณะกรรมการควบคุมดูแลสถานบันที่เกี่ยวข้องร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันการเงินนั้นที่ถูกควบคุมระหว่างกันได้

มาตรา 16 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

ประกาศ ณ วันที่ การคุ้มครองเงินฝาก

ส่วนที่ 1

มาตรา 15 วรรคสอง เพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กองทุนคุ้มครองเงินฝาก

มาตรา ๔๙ ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นในสถาบันกองทุนแห่งนี้ เรียกว่า “กองทุนคุ้มครองเงินฝาก”

กองทุนประกอบด้วย

(๑)

เงินที่สถาบันการเงินส่งเข้ามาตามมาตรา ๔๕ และเงินเพิ่มตามมาตรา ๕๐

(๒)

ดอกผลของกองทุน

(๓)

เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการชำระบัญชีตามหมวด ๔

(๔)

เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีผู้มอบให้

(๕)

เงินที่สถาบันการเงินยืมเพื่อการจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงิน เงินกองทุนจะนำออกใช้ได้เพียงเพื่อ

(ก)

การจัดการให้แก่สถาบันตามมาตรา ๔๕

(ข)

การจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตามมาตรา ๔๕

(ค)

การจ่ายเงินค่าบริหารจัดการกองทุนตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด

(ง)

การจ่ายคืนเงินกู้และดอกเบี้ย

มาตรา ๕๐ ในแต่ละปี ให้คณะกรรมการจัดสรรเงินไม่เกินกึ่งหนึ่งของดอกผลของกองทุนหลักที่คำนวณบริหารจัดการกองทุนตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม (ข) แล้ว ให้แก่สถาบันได้ตามความจำเป็น

มาตรา ๕๑ ให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา แต่ต้องไม่เกินร้อยละหนึ่งต่อปีของยอดเงินฝากคงเหลือของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง

หลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดยอดเงินฝากคงเหลือตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ในการกำหนดอัตรานำส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงความจำเป็นในการดำเนินการของกองทุนรวมทั้งการพัฒนาระบบการเงินของประเทศด้วย สำหรับครั้งต่อไปอัตรานำส่งเงินเข้ากองทุนจะกำหนดให้แตกต่างกันระหว่างสถาบันการเงินประเภทหรือกลุ่มใดก็ได้ มิให้นำเงินที่สถาบันการเงินส่งเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งไปใช้เพื่อการอื่นนอกจากการจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตามมาตรา ๔๕ สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการรับฝากเงิน

มาตรา ๕๒ ให้คณะกรรมการกำหนดให้อัตรานำส่งเงินเข้ากองทุนที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งเพิ่มตามวรรคสาม ให้สถาบันนำส่งเงินตามคำสั่งเรียกให้ดำเนินการดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ถือว่าเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนและเงินเพิ่มเป็นหนี้อื่นที่มีสิทธิบังคับก่อนตามที่ภาษีอากรของสถาบันการเงินนั้น

ส่วนที่ ๒

เงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง

มาตรา ๔๕ เงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง ได้แก่ เงินฝากทุกประเภทของสถาบันการเงินที่นำมาคำนวณยอดเงินฝากคงเหลือ และดอกเบี้ยค้างจ่ายตามจำนวนเงินฝากของผู้ฝากเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(ก)

ต้องเป็นเงินฝากและดอกเบี้ยที่เป็นเงินบาท และ

(ข)

ต้องเป็นเงินฝากในบัญชีเงินฝากภายในประเทศ และไม่ใช่เงินฝากในบัญชีประเภทบัญชีเงินฝากของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ให้คณะกรรมการประกาศรายละเอียดประเภทเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองตามวรรคหนึ่งในราชกิจจานุเบกษา

ส่วนที่ ๓

การจ่ายเงินแก่ผู้ฝากเงิน

มาตรา ๕๒ เมื่อสถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินแล้ว ให้คณะกรรมการควบคุมหรือผู้แทนซึ่งบุคคลของสถาบันการเงินนั้น แล้วแต่กรณี ส่งมอบเงินและทรัพย์สินตลอดจนเอกสารที่จำเป็นให้แก่สถาบันในฐานะผู้ชำระบัญชีภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต

(ยกเลิก) (ยกเลิก) (ยกเลิก)

มาตรา ๕๓ ภายในระยะเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต ให้สถาบันจ่ายเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินที่มีสิทธิได้รับการคุ้มครอง

มาตรา ๕๔ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕

มาตรา ๕๕ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕

ใบอนุญาตตามจำนวนเงินฝากที่ปรากฏในบัญชีของผู้ฝากเงินทุกบัญชีรวมกัน หากเงินฝากทุกบัญชี รวมกันมีจำนวนเกินกว่าห้าหมื่นบาท ให้จ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งล้านบาท ทั้งนี้ ในการจ่ายเงินให้แก่ ผู้ฝากเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับเงินที่ปรากฏในชื่อในบัญชีผู้ฝากเงินรวมกันด้วย ในการจ่ายเงินตามวรรคหนึ่ง หากผู้ฝากเงินที่มีสิทธิได้รับเงินตามวรรคหนึ่งถึงแก่ความตายก่อนที่ สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาตเงินฝากเงินในจำนวนเงินที่ปรากฏในชื่อในบัญชีของผู้ฝากเงิน รวมกันในขณะถึงแก่ความตาย ให้จ่ายเงินให้แก่ทายาทของผู้ฝากเงินดังกล่าวตามจำนวนเงินที่ปรากฏในชื่อ ในบัญชีของผู้ฝากเงินในขณะถึงแก่ความตาย การจ่ายเงินตามวรรคหนึ่งและการจ่ายเงินตามวรรคสอง ให้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก และหน่วยผู้ดูแลเงินเสนอจำนวนการจ่ายเงินทุกครั้งก่อนอนุญาต ให้สถาบันจ่ายเงินส่วนที่เกินให้แก่ผู้ฝากเงินผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีหรือทายาทแห่งนั้น ในกรณี มีผู้อื่นคงค้างร่วมกันเป็นเจ้าของบัญชี ให้สถาบันจ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีและคน ตามส่วนที่บุคคลนั้นมีสิทธิในบัญชีเงินฝากตามหลักฐานการฝากเงินที่มีชื่อในบัญชีอย่างชัดเจน หากไม่อาจทราบจำนวนเงินส่วนที่แต่ละคนมีส่วนในบัญชีนั้น ให้สถาบันจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้แก่ผู้มีชื่อในบัญชีเงินฝากนั้น การจ่ายเงินตามวรรคสาม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด กำหนด

มาตรา ๔๕/๑ ให้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๕/๑ แห่งพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้มีข้อความดังต่อไปนี้

“มาตรา ๔๕/๑ วรรคหนึ่ง ให้ผู้ฝากเงินยื่นคำขอรับเงินต่อสถาบันภายในสองร้อยเจ็ดสิบวันนับแต่วันที่ พ้นกำหนดระยะเวลาตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง แต่ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะเวลา ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด”

มาตรา ๔๕/๒ ในกรณีที่ผู้ฝากเงินรายใดมิได้รับเงินภายในกำหนดระยะเวลาตาม มาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง ให้ผู้ฝากเงินยื่นคำขอรับเงินต่อสถาบันภายในสองร้อยเจ็ดสิบวันนับแต่วันที่พ้น กำหนดระยะเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๔๕/๓ ให้สถาบันบังคับการตามคำขอของมาตรา ๔๕/๑ และมาตรา ๔๕/๒ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ วันนับแต่เหตุจำเป็นหรืออุปสรรคให้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด

ในกรณีที่สถาบันพิจารณาคำขอแล้วและมีมติไม่จ่ายเงินในระยะเวลาที่กำหนด ให้แจ้งคำขอ ให้ถือว่าสถาบันเห็นด้วยกับคำขอนั้น

มาตรา ๔๕/๔ ให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ มาตรา ๔๕/๕ ให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔๕/๖ ให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๔๓/๔ ในกรณีที่ผู้ฝากเงินรายใดไม่ยื่นคำขอรับเงินภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา ๔๓/๒ ให้สถาบันจำนวนเงินแทนจำนวนเงินที่ผู้ฝากเงินมีสิทธิได้รับตามมาตรา ๔๓ ต่อสำนักงานกองทุนฯ และให้ถือว่าการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตามมาตรา ๔๓ ให้สถาบันประกาศโฆษณาไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ สำนักงานใหญ่ของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต และในสื่อในระบบอิเล็กทรอนิกส์ของสถาบันฯ หรือในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งที่แพร่หลายทั่วไปในท้องที่ที่สถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตนั้นตั้งสำนักงานใหญ่ ให้ดำเนินการจ่ายทรัพย์สินของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต การจงแจ้งต่อสำนักงานกองทุนฯทรัพย์สินที่ยังไม่ได้แบ่งปันให้แก่เจ้าหนี้ตามคำสั่งของคณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๔๓/๕ ในกรณีที่ผู้ฝากเงินรายใดไม่เห็นด้วยกับผลการตรวจสอบข้อมูลตามมาตรา ๔๓/๓ หรือผลการพิจารณาคำขอรับเงินตามมาตรา ๔๓/๒ หรือจำนวนเงินที่จ่ายไว้ต่อสำนักงานกองทุนทรัพย์สินตามมาตรา ๔๓/๔ ให้ผู้ฝากเงินมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลดังกล่าว หรือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการจ่ายเงินแล้วแต่กรณี และให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ดังกล่าว

คำวินิจฉัยของคณะกรรมการถือเป็นที่สุด

มาตรา ๔๔ การกำหนดจำนวนเงินที่จ่ายให้แก่ผู้ฝากเงินให้สูงกว่าที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง เป็นกรณีจำเป็น หรือให้แก่ผู้ฝากเงินประเภทใดประเภทหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม ให้กระทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

มาตรา ๔๕ ให้ถอนคืนบรรดาสิทธิของผู้ฝากเงินที่ได้รับจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปแล้ว และมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในจำนวนเงินนั้นจากเจ้าหนี้บางประเภทของทรัพย์สิน หรือผู้ชำระหนี้ แล้วแต่กรณี โดยบังคับสิทธิเมื่อเจ้าหนี้บางประเภทชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งหมด

หมวด ๔ การชำระบัญชีสถาบันการเงิน

มาตรา ๔๖ เพิ่มเติมจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔๖ เพิ่มเติมจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา 56 เมื่อสถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว ให้สถาบันเป็นผู้ชำระบัญชีสถาบันการเงิน และการใดที่เป็นอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสถาบัน

เพื่อประโยชน์แก่การชำระบัญชี ให้ถือว่าลำดับของทรัพย์สินที่จะนำมาใช้หนี้ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินเป็นกฎหมายเฉพาะกฎหมายไทย

มาตรา 57 ในกรณีที่สถาบันเห็นว่า ในฝ่ายของสถาบันการเงินที่มีการชำระบัญชีมีการชำระบัญชีเสร็จสมบูรณ์และไม่มีทรัพย์สิน สถาบันโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมตามมาตรา 46 ทวิ ต้องประกาศเหตุปิดการชำระบัญชาก่อน และจะเริ่มปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมตั้งแต่พ้นระยะเวลาเจ็ดวันนับแต่วันประกาศ

มาตรา 58 ในกรณีที่สถาบันเห็นว่า ความมุ่งหมายสัญญาของสถาบันการเงินที่มีการชำระบัญชีระบุไม่ได้สามารถก่อประโยชน์อันจะพึงได้ สถาบันโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอาจทำความตกลงกับเจ้าของทรัพย์สิน ผู้ต้องถูก หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อการชำระค่าใช้จ่าย

มาตรา 59 ในกรณีที่สถาบันเห็นว่า สัญญาซึ่งผู้บริหารของสถาบันการเงินที่มีการชำระบัญชีได้ทำไว้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสถาบันการเงิน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือสถาบันการเงินมิได้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขการบริหารกิจการและไม่เป็นไปตามหน้าที่ที่พึงมี สถาบันโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอาจบอกเลิกสัญญานั้น หรือเรียกร้องให้ผู้บริหารหรือผู้เกี่ยวข้องชดใช้ค่าเสียหาย หรือเรียกร้องให้ผู้บริหารหรือผู้เกี่ยวข้องรับผิดชอบในเรื่องนั้นได้

มาตรา 60 เมื่อรัฐมนตรีสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของสถาบันการเงินใดหากสถาบันในฐานะผู้ชำระบัญชีได้ขายหรือโอนสินทรัพย์ ที่มีสิทธิ หรือกระจุกพันของสถาบันการเงินนั้นไปให้บุคคลอื่นไม่เกินมาตรา 29 และมาตรา 30 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมาตรา 1124 และมาตรา 1125 แห่งพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 4) แก้ไขเพิ่มเติม

ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของบุคคลใดให้ตกบังคับการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต และบุคคลที่ได้รับหรือรับโอนสินทรัพย์ ที่มีสิทธิ หรือกระจุกพันร่วมกันรับผิดชอบต่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องนั้น

มาตรา 61 ในการขายหรือโอนสินทรัพย์ของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต หรือหากมีการขายหรือโอนสินทรัพย์ที่มีสิทธิหรือกระจุกพันของสถาบันการเงินนั้นไปให้บุคคลอื่น ให้ถือว่าเป็นการขายหรือโอนสินทรัพย์ที่มีสิทธิหรือกระจุกพันนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 62 ในกรณีการขายหรือโอนสินทรัพย์ ที่มีสิทธิ หรือกระจุกพันตามมาตรา 60 ถ้ามีการฟ้องร้องสิทธิเรียกร้องในศาล ให้บุคคลที่ซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ ที่มีสิทธิ หรือกระจุกพันนั้นเป็นผู้รับผิดชอบต่อข้อพิพาทนั้น

มาตรา 63 วรรคสอง เพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2560

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา การชดใช้เงินเข้ามาเป็นค่าชดเชยในคดีดังกล่าว และอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดง ตัดทานเอกสารที่ยื่นไว้แล้ว ตามคำพยานที่มีมาแล้ว และคำพยานหลักฐานที่ได้ส่งไปแล้วได้ แต่การกระทำดังกล่าวหรือการนำพยานหลักฐานดังกล่าวไปแสดงต้องไม่เป็นการลดจำนวนค่าความเสียหายที่ อนุญาตให้ได้ และในกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วเรียกร้องสิทธิใด ๆ ที่เห็นว่าเงินสิทธิเป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นได้

มาตรา 23 ในกรณีที่ได้มีการแจ้งให้แก่ศาลในเขต สถานนั้นและผู้ซึ่งจะมีฐานะเป็นผู้ชำระบัญชี

อำนาจจัดการทรัพย์สินตาม ๆ เพื่อชำระหนี้สินตามบัญชีทรัพย์สินที่ได้แจ้งไว้แล้วนั้น อันมีผู้มีมูลสิทธิในลำดับก่อนมาขอจำนอง และหากมอบเงินเหลือ จะขอให้แถลงการชำระบัญชีตามสัดส่วนกับ ธรรมและข้อความปฏิเสธของเจ้าหนี้ดังกล่าว ก่อนที่จะมีคำร้องขอต่อศาลขอให้ส่งให้แก่เจ้าหนี้ การเงินนั้นล้มละลายได้ เมื่อศาลมีคำสั่งพักทรัพย์หรือเด็ดขาด ให้สอบบัญชอบเงินและทรัพย์สินตลอดจน เอกสารทั้งปวงให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ทรัพย์สิน และให้สอบบัญชีต่อเจ้าพนักงานและนำไปเก็บในฐานะผู้ชำระ บัญชีสินเชื่อเงินต้นนั้น ๆ และกระบวนการชำระบัญชีต่อไปเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย

มาตรา 24 ในกรณีที่มีสถานการณ์เงินถูกยึดอายัด บุคคลที่ศาลมีคำสั่งให้

พักทรัพย์หรือยึดทรัพย์ตามคำสั่งศาลต้องดำเนินการดังนี้

(ก)

ห้ามมิให้โอนหรือถอนการเงินนั้น

(ข)

ให้ดำเนินการจัดการทรัพย์สินของตนในการเงินนั้น

หมวด 5

บทกำหนดโทษ

มาตรา 25 ผู้ใดออกจากสถานะบังคับการเงิน ใช้ข้อความ เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์

เพื่อแสดงการกระทำอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการเงินในลำได้นำการเงินที่มีการควบคุมตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกิน วันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของ นิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือโดยการละเลยไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำ และละเลยไม่ให้มีการจัดให้มีการควบคุมภายในที่เหมาะสมในนิติบุคคลนั้นด้วย ผู้ต้องรับโทษ ตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย

มาตรา 26 ให้เพิ่มเงินเดือนในพระราชบัญญัตินี้เพื่อเพิ่มค่าชดเชยในบัญชีเงินฝากสำหรับ

ความรับผิดในกฎหมายอาญาของบุคคล พ.ศ. 2560

มาตรา ๒๖ สถาบันการเงินใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าสิบบาท และปรับไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน

ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง

มาตรา ๒๗ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓ หรือไม่อำนวยความสะดวกแสดงข้อมูลบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นตามที่บัญญัติในบทบัญญัติลักษณะใดเป็นเหตุ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน

มาตรา ๒๘ คณะกรรมการควบคุมหรือผู้แทนที่คณะกรรมการควบคุมแต่งตั้งให้ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน

มาตรา ๒๙ ผู้ใดดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ในสถาบันการเงินโดยมิชอบจากการปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในพระราชบัญญัตินี้ หรือมิชอบจากการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน

ความในวรรคหนึ่ง มิให้นำมาใช้บังคับแก่การเปิดเผยในกรณีดังต่อไปนี้

(ก)

การเปิดเผยตามอำนาจหน้าที่

(ข)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือการพิจารณาคดี

(ค)

การเปิดเผยเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

(ง)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาและการดำเนินการของสถาบันการเงินนั้นหรือสถาบันการเงินโดยรวม

(จ)

การเปิดเผยแก่ผู้สอบบัญชีของสถาบันการเงิน

(ฉ)

การเปิดเผยแก่หน่วยงานหรือองค์กรในประเทศและต่างประเทศที่ดำเนินการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงินนั้น

(ช)

การเปิดเผยตามที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล

มาตรา ๓๐ ความในมาตรา ๑๘ หากมิได้พิจารณาโดยคณะกรรมการเปรียบเทียบตามมาตรา ๓๐ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่เจ้าพนักงานหรือข้อร้องขอการกระทำความผิด หรือภายในวันนั้นเป็นต้นไปจนถึงวันที่มีการฟ้องร้องคดีตามกฎหมาย

มาตรา ๑๗๕ ความผิดตามมาตรา ๑๕๔ มาตรา ๑๕๖ มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๕๘ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญหรือเจ้าพนักงานเปรียบเทียบได้

คณะกรรมการเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญแต่ละคณะกรรมการหนึ่ง ให้มีจำนวนสามคนซึ่งคนหนึ่งต้องเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อคณะกรรมการเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญได้เปรียบเทียบแล้ว ผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามจำนวนและในระยะเวลาที่คณะกรรมการเปรียบเทียบกำหนดแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา บทเฉพาะกาล

มาตรา ๑๗๖ เมื่อมีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้นแล้ว ให้ยกเลิกการประกันผู้ฝากเงินของสถาบันการเงินโดยรัฐตามที่มีอยู่ก่อนการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก และในปีแรกของการรับเงินให้ชำระเข้ากองทุน ให้จ่ายเงินแก่ผู้ฝากเงิน ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๓ โดยกำหนดจำนวนเงินที่ให้ความคุ้มครองไม่เกินจำนวน ดังนี้

(๑)

ปีที่สอง แต่ไม่เกินหนึ่งล้านบาทต่อบัญชี

(๒)

ปีที่สาม หนึ่งล้านบาท

(๓)

ปีที่สี่ ห้าแสนบาท

(๔)

ปีที่ห้า สองแสนบาท ทั้งนี้ ให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากแจ้งให้ผู้ฝากเงินทราบถึงขอบเขตของการคุ้มครองเงินฝาก ระบบการเงินเปลี่ยนแปลงอย่างมั่นคงยิ่งขึ้นเป็นเหตุให้ต้องกำหนดจำนวนเงินให้ความคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดในวรรคหนึ่งให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การฝากเงินกับธนาคารเงิน เป็นประโยชน์ในการออมเงินแก่ประชาชนผู้ฝากเงินไปมากหลาย และเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในปัจจุบันการคุ้มครองเงินฝากในบัญชีเงินฝากของแต่ละธนาคารที่กระทรวงการคลังหรือธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้มีการคุ้มครองเงินฝากในสถาบันการเงินเต็มจำนวน ซึ่งมีหลักการคุ้มครองเงินฝากโดยให้การคุ้มครองเงินฝากจากเงินทุนของรัฐเป็นหลัก อีกทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์ในการที่เหมาะสม ดังนั้น เพื่อคุ้มครองทรัพยากรทางการคลังของรัฐที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพื่อให้การคุ้มครองเงินฝากในบัญชีเงินฝากของแต่ละธนาคารเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สมควรกำหนดให้มีการคุ้มครองเงินฝากอย่างมีขอบเขตและมีระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบสถาบันการเงินในภาพรวม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัตินี้ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๗๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้กฎหมายมีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๗ วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ และมาตรา ๔๕ วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น สมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๗ วรรคสอง เป็นฉบับบังคับใช้ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕ และต้องมาตรา ๔๕ วรรคสอง ได้มีคำวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวข้างต้นของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว คือ พระราชบัญญัติสิทธิ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๑๔ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๓๔ พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๔๕ และพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๔๕ ดังที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๗ วรรคสอง เป็นฉบับบังคับใช้ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติสถานคุ้มครองเงินฝาก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายนเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากกำหนดกระบวนการจ่ายเงินฝากคืนให้แก่ผู้ฝากเงิน โดยให้ผู้ฝากเงินที่ฝากเงินที่สาขาของสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนหลักฐานเพื่อขอรับเงิน ยื่นคำขอให้คณะกรรมการผู้ชำระบัญชีพิจารณาให้จ่ายเงินฝากคืนมีความล่าช้า ประกอบกับยังไม่มีความชัดเจนว่าอำนาจหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีในการชี้แจงเพื่อประโยชน์ของผู้ฝากเงินหรือการส่งมอบให้แก่ผู้ฝากเงินและการดำเนินงานของสถาบันคุ้มครองเงินฝากจึงไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นไปตามวัตถุประ