로고

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๕๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒"

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด พ.ศ. ๒๕๒๒

มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้

“ธุรกิจ” หมายความว่า กิจการในทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การบริการ หรือกิจการอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน “สินค้า” หมายความว่า สิ่งของที่อาจใช้ในการอุปโภคหรือบริโภค รวมทั้งเอกสารแสดงสิทธิในสิ่งของ “บริการ” หมายความว่า การรับจัดทำการงาน การให้สิทธิใด ๆ การให้ใช้หรือให้ประโยชน์ในทรัพย์สินหรือกิจการใด ๆ โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงิน หรือผลประโยชน์อื่น “จำหน่าย” หมายความว่า ขาย แลกเปลี่ยน ให้ จำหน่าย โอนสิทธิการครอบครองสินค้าให้แก่บุคคลอื่น หรือให้บริการ “ผลิต” หมายความว่า ทำ ผลิต ปรุง ประกอบ ประดิษฐ์ แปรสภาพ เปลี่ยนรูป คัดแยก คัดเลือก แบ่งบรรจุ รวมบรรจุ หรือทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีขึ้นซึ่งสินค้าไม่ว่าจะด้วยวิธีใด รวมทั้งการทำให้มีขึ้นซึ่งสิ่งของการค้าหรือเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้านั้นไม่ว่าจะทำเองหรือให้ผู้อื่นทำให้ก็ได้ “ราคา” หมายความรวมถึง ค่าตอบแทนสำหรับการจำหน่ายด้วย “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือสำนักงานคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ “เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ข้าราชการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 5 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

หมวด 1

คณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ

มาตรา 7 ให้มีคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรียกโดยย่อว่า “กกร.” ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงพาณิชย์และ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นรองประธานกรรมการ และผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่าสี่คน แต่ไม่เกินแปดคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยต้องแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นกรรมการ และให้ปลัดกระทรวงที่เป็นกรรมการและเลขานุการ กกร. ทำหน้าที่คณะกรรมการส่วนหัวว่าด้วยราคาสินค้าและบริการสำหรับกรุงเทพมหานครด้วย

มาตรา 8 ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการต้องไม่เป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่มีลักษณะต้องห้ามในการบริหารพรรคการเมือง

มาตรา 9 ให้ กกร. มีอำนาจหน้าที่ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ดังต่อไปนี้

(1) ประกาศกำหนดให้สินค้าหรือบริการใดเป็นสินค้าหรือบริการควบคุมตามมาตรา 25 (2) กำหนดมาตรการที่ใช้สำหรับสินค้าหรือบริการควบคุมตามมาตรา 26 (3) สั่งให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าสินค้าหรือบริการควบคุมแจ้งข้อเท็จจริงตามมาตรา 28 (4) ให้ความเห็นชอบประกาศที่ออกตามมาตรา 29 (5) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแสดงราคาสินค้าหรือบริการตามมาตรา 28 (6) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ถือว่าเป็นการทำให้ราคาสินค้าเกินควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนในราคาของสินค้าหรือบริการควบคุมตามมาตรา 28 วรรคสอง (7) กำหนดระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลตามมาตรา 31 (8) เข้ากำกับดูแลและสั่งการเจ้าหน้าที่เพื่อให้การผลิต หรือการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ความถูกต้องเหมาะสมเกี่ยวกับการของประชาชน ในกรณี กกร. ตามอำนาจมอบให้ กกร. เลขาธิการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่กระทำการแทนก็ได้ (9) พิจารณาเรื่องที่มีการร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย เมื่อมีเหตุการณ์กระทำอันมีผลกระทบกระเทือนต่อราคา (10) เชิญบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย คำแนะนำ หรือความเห็น (11) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกร.

มาตรา ๑๐ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๗ มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังไม่ได้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้น อยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระจะได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้

มาตรา ๑๑ ให้นำความในมาตรา ๕๒ มาตรา ๕๖ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ มาตรา ๖๐ มาตรา ๖๒ มาตรา ๖๔ และมาตรา ๖๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาใช้บังคับกับการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและการประชุมของคณะกรรมการโดยอนุโลม และให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๗ ด้วย

มาตรา ๑๒ ในจังหวัดที่มีนายกจากกรุงเทพมหานคร ให้มีคณะกรรมการร่วมจังหวัดด้วย ราชกิจจานุเบกษา เลือกโดยย่อมให้ “กกร.” ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ และผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่าสามคนแต่ไม่เกินห้าคนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามเป็นกรรมการ และพาณิชย์จังหวัดเป็นกรรมการและเลขานุการ การคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นไปตามระเบียบที่ กกร. กำหนด ให้ กกร. มีอำนาจหน้าที่ที่ตามพระราชบัญญัตินี้บังคับว่าด้วยจังหวัดนั้น

มาตรา ๑๓ ให้ กกร. มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑)

ปฏิบัติการตามมาตรา ๒๕ มาตรา ๒๖ วรรคสอง มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ วรรคสอง และมาตรา ๓๑

(๒)

พิจารณาเรื่องที่มีการร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนหรือความเสียหายเนื่องจากการกระทำอันมีผลกระทบกระเทือนต่อสาธารณะ

(๓)

เชิญบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ข้อเท็จจริง หรือชี้แจง ทำแนะนำ หรือออกความเห็น

(๔)

ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งหรือคำสั่งของ กกร. และปฏิบัติการอื่นๆ อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ กกร. กำหนดหมาย การใช้อำนาจตามวรรคหนึ่งของ กกร. จะจัดทำข้อยกเว้นกับกรณีที่ กกร. กำหนดตามมาตรา ๘ ไม่ได้ หน้า 27 เล่ม 116 ตอนที่ 22 ก ราชกิจจานุเบกษา 31 มีนาคม 2542

มาตรา 14 ให้นำความในมาตรา 10 และมาตรา 11 มาใช้บังคับกับ กกร. โดยอนุโลม

มาตรา 15 คณะกรรมการอุทธรณ์แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาสอบสวนหรือศึกษา และเสนอความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือปฏิบัติการอย่างอื่นแทนได้ และให้นำความในมาตรา 11 มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม

หมวด 2

สำนักงานคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ

มาตรา 16 ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรียกโดยย่อว่า "สำนักงาน กกร." ขึ้นในกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ มีอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นเลขาธิการ เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักงาน และมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(ก)

ดำเนินงานธุรการของ กกร. และคณะอนุกรรมการ และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานงานกับ กกร.

(ข)

ศึกษา วิเคราะห์และวิจัยเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ราคาและการประกอบธุรกิจ รวมทั้งเสนอโครงการ แผนงานหรือมาตรการเกี่ยวกับการกำหนดราคาสินค้าและบริการต่อ กกร.

(ค)

ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าหรือบริการควบคุม และสอดส่องพฤติการณ์ของผู้ประกอบธุรกิจ แล้วรายงานต่อ กกร.

(ง)

รับเรื่องที่มีการร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายเนื่องจากการกระทำอันมีผลกระทบกระเทือนต่อราคา

(จ)

กำหนดระเบียบเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของสำนักงาน กกร.

(ฉ)

ปฏิบัติการตามประกาศ ระเบียบ และมติของ กกร. และปฏิบัติการอื่นตามที่ กกร. มอบหมาย

มาตรา 17 ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการจังหวัด เรียกโดยย่อว่า "สำนักงาน กกร." ขึ้นในทุกจังหวัด มีพาณิชย์จังหวัดเป็นหัวหน้าสำนักงาน เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักงาน และมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(ก)

ดำเนินงานธุรการของ กกร. และคณะอนุกรรมการที่รัฐ กกร. แต่งตั้ง และทำหน้าที่ประสานงานกับ กกร. เล่ม ๑๓๙ ตอนที่ ๒๒ ก หน้า ๒๔ ราชกิจจานุเบกษา ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕

(๒)

ปฏิบัติการตามมาตรา ๑๖ (๒) (๓) และ (๔) ในเขตจังหวัดนั้นแล้วเสนอต่อ กกร.

(๓)

กำหนดระเบียบเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของสำนักงาน กกร.

(๔)

ปฏิบัติการตามประกาศ ระเบียบ และมติของ กกร. และ กกร. และปฏิบัติการอื่น ตามที่ กกร. มอบหมาย

มาตรา ๑๘ ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดังต่อไปนี้

(๑)

มีหนังสือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ แจ้งข้อเท็จจริง หรือทำคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือ ให้ส่งบัญชี รายการ เอกสารหรือหลักฐานใดเพื่อตรวจสอบหรือเพื่อประกอบการพิจารณา แต่ในกรณีที่ ให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานเกี่ยวกับต้นทุน สูตร หรือส่วนประกอบของสินค้า หรือบริการอื่นที่มีใช้สินค้า หรือบริการควบคุมต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเลขาธิการหรือประธาน กกร. ก่อน

(๒)

เข้าไปในสถานที่ทำการ สถานที่ผลิต สถานที่จำหน่าย สถานที่เก็บหรือ สถานที่เก็บสินค้า ของผู้ประกอบธุรกิจหรือของบุคคลใด หรือสถานที่อื่นที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการฝ่าฝืนบทบัญญัติ แห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือเข้าไปในพาหนะของบุคคลใด หรือสั่งให้หยุดพาหนะของบุคคลใดเพื่อ ให้หยุด หรือขอตรวจสอบให้กระทำในทางพระราชบัญญัตินี้ หรือเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หรือทรัพย์สินที่อาจจำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์

มาตรา ๓๑ หรือมาตรา ๓๒ โดยไม่ต้องมีหมายค้นในกรณีดังต่อไปนี้

(ก)

เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้าเกิดขึ้นในสถานที่ หรือบนพาหนะ

(ข)

บุคคลที่ได้กระทำความผิดซึ่งหน้า จะหลบหนีไปยังบนที่จับไปหรือมีเหตุอันแน่นแฟ้น ควรสงสัยว่าได้ซุกซ่อนอยู่ในสถานที่ หรือบนพาหนะ

(ค)

เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าพยานหลักฐานหรือทรัพย์สินที่อาจจำเป็นต้องใช้ตามพระราชบัญญัตินี้ อยู่ในสถานที่หรือบนพาหนะ ประกอบทั้งต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่า เนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอา หมายค้นมาได้ พยานหลักฐานหรือทรัพย์สินจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทำลาย หรือทำให้เสียสภาพ ไปจากเดิม

(๓)

เมื่อผู้จะต้องถูกจับเป็นผู้เข้าอยู่ในสถานที่ หรือบนพาหนะและการจับนั้นมิอาจกระทำได้ โดยไม่ต้องมีหมาย ในการนี้พนักงานเจ้าหน้าที่อาจขอให้เจ้าของ หรือผู้ครอบครองบัญชี รายการ เอกสาร หรือหลักฐานอื่น ของผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของหรือผู้ควบคุมพาหนะ หรือบุคคลอื่นที่อยู่ในสถานที่หรือบนพาหนะนั้นแสดง บุคคลดังกล่าวซึ่งอยู่ในสถานที่หรือบนพาหนะนั้นแสดงปฏิบัติการที่กระทำขึ้น ในกรณีที่มีหลักฐานชัดเจนเป็นที่เชื่อได้ว่ามีการฝ่าฝืนมาตรา 30 หรือมาตรา 31 ให้มีอำนาจพัก อายัด หรือยึดสินค้า ขายพาหนะ เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่การยึดสินค้า ขายพาหนะ เอกสารหรือหลักฐานต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากประธานคณะกรรมการก่อน

มาตรา 19 ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร

มาตรา 20 ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง

บัตรประจำตัวให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา 21 หนังสือเรียกตามมาตรา 18 (1) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่ง ณ ภูมิลำเนา หรือสถานที่ทำการของบุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียก ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของบุคคลนั้น หรือจะส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับก็ได้

ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่นำส่งตามมาตราหนึ่งแห่งหรือวรรคหนึ่งแล้ว แต่บุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียกปฏิเสธไม่ยอมรับหนังสือเรียกโดยปราศจากเหตุอันสมควร ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งหนังสือเรียก หรือคำร้องไปเป็นพยาน เพื่อวางหนังสือเรียกไว้ ณ ที่นั้น แต่ถ้าไม่มีบุคคลดังระบุไว้ในหนังสือเรียก ณ ภูมิลำเนาหรือสถานที่ทำการของบุคคลนั้น จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือนหรือสถานที่ทำการนั้นก็ได้ และถ้าไม่มีบุคคลใดหรือพบแต่ไม่มีบุคคลใดตอบรับให้วางหนังสือเรียกนั้นไว้ในที่ที่เห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสถานที่ทำการนั้นต่อหน้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจไปเป็นพยาน เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้วให้ถือว่าบุคคลซึ่งระบุไว้ในหนังสือเรียกได้รับหนังสือเรียกนั้นแล้ว ถ้ามีการปิดหนังสือเรียก ให้ถือว่าได้รับหนังสือเรียกเมื่อครบกำหนดห้าวันนับแต่วันปิดหนังสือเรียก แต่ถ้ามีการส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ให้ถือว่าได้รับหนังสือเรียกนั้นเมื่อครบกำหนดห้าวันนับแต่วันรับ

มาตรา 22 ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการกลาง กรรมการจังหวัดหรืออนุกรรมการ เลขานุการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 23 เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจขอให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรของเอกชนประกาศข่าวด้วยวิธีการเหมาะสมตามความจำเป็น

การเชิญบุคคลซึ่งกระทำความผิดให้กระทำได้โดยไม่ต้องมีหมายจับเมื่อปรากฏว่ามีการกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุอื่นที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ

หมวด 3

การกำหนดราคาสินค้าและบริการ

มาตรา 25 เพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่ายหรือการกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติการทางค้าอันไม่เป็นธรรม กกร. ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศกำหนดให้สินค้าหรือบริการใดเป็นสินค้าหรือบริการควบคุมได้

ให้ กกร. พิจารณาทบทวนการใช้อำนาจตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หากเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจหรือข้อเท็จจริงที่อาศัยเป็นหลักในการพิจารณาใช้อำนาจของ กกร. เปลี่ยนแปลงไปหรือสิ้นสุดลง ให้ กกร. ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีประกาศเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการใช้อำนาจนั้นโดยไม่ชักช้า ประกาศ กกร. ให้มีผลบังคับตามกำหนด และจะกำหนดเกินหนึ่งปีไม่ได้ เว้นแต่จะมีการออกประกาศใหม่ ประกาศ กกร. ตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้มีผลบังคับได้

มาตรา 26 เมื่อได้มีการประกาศกำหนดสินค้าหรือบริการควบคุมตามมาตรา 25 แล้ว ให้คณะกรรมการมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) กำหนดราคาซื้อหรือราคาต่ำกว่าของสินค้าหรือบริการควบคุม ให้ผู้ซื้ออยู่ในราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาที่กำหนด หรือให้ผู้จำหน่ายจำหน่ายในราคาที่ไม่สูงกว่าราคาที่กำหนด หรือจัดให้ราคาไว้ในราคาต่ำราคาหนึ่ง (2) กำหนดอัตรากำไรสูงสุดต่อหน่วยของสินค้าหรือบริการควบคุมที่ผู้จำหน่ายจะได้รับจากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุม หรือกำหนดอัตราส่วนเฉลี่ยแห่งการจำหน่ายหรือการขายสินค้าหรือบริการควบคุมในแต่ละช่วงการค้า (3) กำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ และเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการผลิต การนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การซื้อ การจำหน่าย หรือการเก็บรักษาสินค้าหรือบริการควบคุม

(๔)

กำหนดห้องที่หรือระยะเวลาในการใช้บังคับประกาศของคณะกรรมการ

(๕)

กำหนดให้แจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย แผนการผลิต แผนการนำวัตถุมา ในราชอาณาจักร แผนการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร แผนการซื้อ แผนการจำหน่าย แผนการ เปลี่ยนแปลงราคาหรือรายการอื่นหรือข้อสนเทศอื่นเกี่ยวกับ กระบวนการผลิต และวิธีการจำหน่าย สินค้าหรือบริการควบคุมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

(๖)

กำหนดให้มีการเก็บหรือเพิ่มปริมาณการเก็บสำรองสินค้าควบคุมและกำหนดห้องที่และ สถานที่ให้เก็บสำรองสินค้าควบคุม

(๗)

ห้ามหรืออนุญาตให้มีการส่งออกไปนอกหรือนำเข้ามาในห้องที่ที่นั้นซึ่งสินค้า ควบคุม

(๘)

สั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต การนำเข้ามาในราชอาณาจักร การซื้อ การจำหน่าย หรือการเก็บรักษาสินค้าหรือบริการควบคุม รวมทั้งให้ระงับหรือลดค่าใช้จ่าย ที่กำหนดไว้เกินสมควร

(๙)

จัดให้มีการปันส่วนในการซื้อและการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุม รวมทั้งกำหนด หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการปันส่วนดังกล่าว หรือกำหนดเงื่อนไขไม่ให้ขายหรือ และการจำหน่ายสินค้า หรือบริการควบคุม

(๑๐)

สั่งให้จำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุมตามปริมาณและราคาที่กำหนด ตลอดจนสั่งให้ จำหน่ายแต่ส่วนราชการหรือบุคคลใดตามที่คณะกรรมการกำหนด

(๑๑)

ห้ามจำหน่าย ให้ ใช้เอง ยักย้าย หรือเปลี่ยนสภาพซึ่งสินค้าหรือบริการควบคุมเกิน ปริมาณที่กำหนด

(๑๒)

กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้าควบคุมหรือการครอบครองสินค้าควบคุม เกินปริมาณที่กำหนด การใช้อำนาจของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำที่เป็นไปตามประกาศความจำเป็นแก่ พฤติการณ์แห่งกรณี โดยกำหนดระยะเวลาของผู้ปฏิบัติ โดยต้องระบุถึงเหตุผล และผู้ซึ่งต้องปฏิบัติตาม ประกาศให้ชัด ประกาศดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ระบุไว้ในประกาศตาม (๔) และ เมื่อได้มีประกาศแล้วให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย ให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนการใช้อำนาจตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เพื่อให้ สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการผลิต การนำเข้ามาในราชอาณาจักร การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร การซื้อ การจำหน่าย และข้อกำหนดอื่นใดที่เหมาะสม รวมทั้งผลกระทบ ต่อการลงทุนในการขยายกำลังการผลิตในระยะต่อไปด้วย และเมื่อเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจหรือข้อเท็จจริงที่อาศัยเป็นหลักในการพิจารณาใช้อำนาจของคณะกรรมการเปลี่ยนแปลงไปหรือสิ้นสุดลง ให้คณะกรรมการประกาศเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการใช้อำนาจนั้นในราชกิจจานุเบกษาโดยไม่ชักช้า ประกาศของคณะกรรมการการที่มีอายุตามที่กำหนด แต่จะกำหนดเกินหนึ่งปีไม่ได้ เว้นแต่จะได้มีการออกประกาศใหม่

มาตรา 26 ให้ กกร. มีอำนาจประกาศให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ส่งเพื่อจำหน่ายหรือผู้นำเข้าเพื่อจำหน่ายสินค้า หรือบริการควบคุมแจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจำหน่าย มาตรฐาน คุณภาพ ขนาด ปริมาณ น้ำหนักต่อหน่วย รวมทั้งเงื่อนไขและปริมาณวัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบของสินค้าหรือบริการนั้น และลักษณะอย่างอื่นของสินค้าหรือบริการควบคุมตามที่เป็นอยู่ในวันที่ กกร. กำหนดโดยเลขาธิการ

เมื่อได้แจ้งรายการตามวรรคหนึ่งแล้ว กกร. อาจห้ามมิให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ส่งเพื่อจำหน่าย หรือผู้นำเข้าเพื่อจำหน่ายนั้นเปลี่ยนแปลงสินค้า หรือบริการในลักษณะที่แตกต่างไปจากรายการตามที่ได้แจ้งไว้ หรือจำหน่ายในราคาที่สูงหรือต่ำกว่าราคาตามที่ได้แจ้งไว้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเลขาธิการตามเงื่อนไขที่ กกร. กำหนด การใช้อำนาจตามวรรคหนึ่ง ให้บังคับตามในมาตรา 25 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 27 ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนและลับจำต้องใช้อำนาจตามมาตรา 25 หรือมาตรา 26 และจะเรียกประชุมคณะกรรมการให้ทันเวลาไม่ได้ ให้ประธานกรรมการมีอำนาจใช้อำนาจของคณะกรรมการตามมาตรา 25 หรือมาตรา 26 ไปพลางก่อนได้ และในการใช้อำนาจดังกล่าวให้ถือความในมาตรา 25 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม

เมื่อได้ประกาศตามวรรคหนึ่งแล้ว ต้องนำเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาในคราวประชุมถัดไปนับแต่วันที่ออกประกาศ ถ้าคณะกรรมการให้ความเห็นชอบประกาศนั้น ให้คณะกรรมการประกาศนั้นให้มีผลใช้บังคับต่อไป แต่ถ้าคณะกรรมการไม่ให้ความเห็นชอบ ให้คณะกรรมการประกาศยกเลิกประกาศนั้น แต่ทั้งนี้ให้มีผลกระทบเฉพาะต่อคำสั่งหรือกระทำในคราวหน้าที่ได้กระทำไปก่อนการยกเลิกประกาศ ประกาศตามวรรคสอง ให้คณะผู้ได้รับคำสั่งที่เกี่ยวข้อง และยังมิได้ปฏิบัติประกาศนั้นในราชกิจจานุเบกษาด้วย

มาตรา 28 ให้คณะกรรมการมีอำนาจกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ส่งเพื่อจำหน่ายหรือผู้นำเข้าเพื่อจำหน่ายสินค้า หรือบริการแสดงรายการสินค้า หรือบริการ ในกรณี คณะกรรมการอาจกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแสดงรายการสินค้า หรือบริการไว้ด้วยก็ได้

การใช้อำนาจตามวรรคหนึ่ง ให้กำหนดในมาตรา ๒๕ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับ โดยอนุโลม

มาตรา ๒๙ ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการใด ๆ โดยจงใจที่จะทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการใด ๆ คณะกรรมการอาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ถือว่าเป็นการทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้ปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการใดก็ได้ หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๓๐ ห้ามมิให้บุคคลใดกักตุนสินค้าควบคุม โดยมีสินค้าควบคุมไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะกรรมการตามมาตรา ๒๕ (๒) หรือเก็บสินค้าควบคุมไว้ ณ สถานที่อื่นนอกจากสถานที่เก็บตามที่ได้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๒๕ (๕) หรือไม่จำหน่ายสินค้าควบคุมที่มีไว้เพื่อจำหน่ายออกจำหน่าย หรือแบ่งขายตามปกติ หรือปฏิเสธการจำหน่ายหรือประวิงการจำหน่ายหรือการส่งมอบสินค้าควบคุม โดยไม่มีเหตุอันสมควร

มาตรา ๓๑ ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการควบคุมหลีกเลี่ยงการให้บริการตามปกติ หรือปฏิเสธการให้บริการ หรือประวิงการให้บริการ โดยไม่มีเหตุอันสมควร

หมวด ๔ เบ็ดเสร็จ

มาตรา ๓๒ สินค้าที่ต้องได้ตามมาตรา ๒๔ (๓) ถ้าไม่ปรากฏเจ้าของ หรือผู้ครอบครอง หรือพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือศาลสั่งพิพากษาถึงที่สุดไม่ให้รับ และเจ้าของหรือผู้ครอบครองมิได้ร้องขอรับคืนภายในกำหนดวันหนึ่งนับแต่วันที่คดีหรือพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไม่ให้รับ แล้วแต่กรณี ให้ถือว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่มีเจ้าของและให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ถ้าสินค้าที่ต้องได้วันนั้นเป็นของเสียหาย หรือถ้าหมดระยะที่จะเป็นการเสี่ยงความเสียหาย หรือจะเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาเกินราคาของสินค้านั้น เลขาธิการกรุงเทพมหานคร หรือประธาน กจร. สำหรับจังหวัดอื่น หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเลขาธิการ หรือประธาน กจร. จะสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ขายทอดตลาดสินค้านั้น หรือขายโดยวิธีอื่นที่เห็นสมควรก่อนพ้นวันดังกล่าวเป็นของแผ่นดินได้ เงินค่าขายสินค้านั้นเมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการจัดเก็บที่พ้นวันแล้ว ให้ถือเป็นเงินแผ่นดิน

มาตรา ๓๓ ในกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิด เมื่อพนักงานอัยการร้องขอ ให้กล่องจ่ายเงินสินบนแก่ผู้จับกุมหรือร้อยละสิบห้าและเงินรางวัลแก่ผู้ชี้ช่องร้อยละสามสิบของจำนวนเงินสุทธิค่าปรับของกลางที่ศาลสั่งให้ริบ หรือในกรณีที่มิได้รับของกลางหรือของกลางไม่อาจขายได้ ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาลตามอัตราดังกล่าว

ในกรณีที่ไม่มีผู้จับกุม ให้จ่ายเงินรางวัลแก่ผู้ชี้ช่องร้อยละสามสิบของจำนวนเงินสุทธิค่าปรับของกลางที่ศาลสั่งให้ริบ หรือในกรณีที่มิได้รับของกลางหรือของกลางไม่อาจขายได้ ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาลตามอัตราดังกล่าว ในกรณีที่ผู้จับกุมหรือผู้ชี้ช่องไปตายฝ่ายหนึ่งมีหลายคน ให้จ่ายเงินสินบนหรือเงินรางวัลแก่บุคคลในฝ่ายนั้นคนละเท่ากัน ในกรณีที่ชี้ช่องของกลางได้แต่ไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิด ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลจากจำนวนเงินสุทธิค่าปรับของกลางที่ศาลสั่งให้ริบตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด แต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดตามมาตรานี้ ในกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิดและได้มีการเปรียบเทียบตามมาตรา ๓๑ ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลจากจำนวนเงินค่าปรับตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด แต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดตามมาตรานี้

หมวด ๕

บทกำหนดโทษ

มาตรา ๓๔ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือเรียกของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๑) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕ ผู้ใดขัดขวางการปฏิบัติงานที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๒) หรือมาตรา ๒๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖ ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๗ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของคณะกรรมการตามมาตรา ๒๕ (๔) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๑๐) หรือ (๑๑) หรือข้อบังคับจากการดำเนินงานของ กกท. กจร. เลขาธิการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕ (๕) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๘ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามประกาศของคณะกรรมการตามมาตรา ๒๕ (๕) หรือไม่แจ้งตามมาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะแจ้ง

มาตรา ๓๙ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๒ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๐ ผู้ใดไม่แสดงรายการหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๒๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๔๑ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๘ มาตรา ๓๐ หรือมาตรา ๓๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นนิติบุคคล ให้กรรมการผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ หรือผู้ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลในเรื่องนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการกระทำนั้นได้กระทำโดยตนมิได้รู้เห็นหรือยินยอม หรือตนได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำผิดนั้นแล้ว

มาตรา ๔๓ บรรดาการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือเป็นความผิดที่มีโทษปรับถึงห้าหมื่นบาท ให้ กกท. กำหนด เมื่อผู้กระทำผิดยินยอมเสียค่าปรับเป็นเงินจำนวนสูงสุดสำหรับกรณีนั้น ในกรณีปรับสถานเดียว หรือเมื่อผู้ต้องหาได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบ ภายในระยะเวลาที่กำหนดแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

หน้า ๓๖ เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๒๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๒ บทเฉพาะกาล

มาตรา ๔๕ ให้บรรดากฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการกักตุน พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะได้มีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยการกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการกักตุนที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีความไม่เหมาะสม เพราะมีสาระเป็นส่วนสําคัญ คือ การกำหนดราคาสินค้าและการป้องกันการกักตุน จึงพึงต้องปรับปรุงวัตถุประสงค์ในกฎหมายดังกล่าวให้มีความแตกต่างกัน เมื่อองค์กรที่ทำหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้เพียงองค์กรเดียว ดังนั้น สมควรแยกบทบัญญัติและองค์กรที่ทำหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดราคาสินค้าและการป้องกันการกักตุนออกจากกัน เพื่อให้การดำเนินการตามกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับบทบัญญัติฉบับนี้ในส่วนของการกำหนดราคาสินค้า ยังไม่ชัดเจนและเหมาะสม สมควรปรับปรุงเสียใหม่ให้ชัดเจนขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้