로고

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ให้ประกาศว่า

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน

โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

*ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๖๕ ก/หน้า ๑/๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐...

มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550

หมวด 1 บททั่วไป

มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้

“ความรุนแรงในครอบครัว” หมายความว่า การกระทำใด ๆ ที่บุคคลในครอบครัวได้กระทำต่อกันโดยเจตนาให้เกิดหรือมีลักษณะที่น่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ เสรีภาพ หรือชื่อเสียง ของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้กำลังข่มขืนใจบุคคลในครอบครัวให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยินยอมกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยไม่ชอบ “บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส บุตรบุญธรรม รวมทั้งบุคคลใด ๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม รวมทั้งหน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล “รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมาย “กศ.” หมายความว่า กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว สถาบันครอบครัว “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้หมายความรวมถึงพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา “หัวหน้าหน่วย” หมายความว่า หัวหน้าหน่วยส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว “อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบและประกาศ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับกระทรวงของตนหรือราชการหน่วยงานของรัฐที่อยู่ในกำกับดูแล

ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ระเบียบและประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

หมวด 2

คณะกรรมการ

มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว” ประกอบด้วย

(ก)

นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ

(ข)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองประธานกรรมการ

(ค)

กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อัยการสูงสุด และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

(ง)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่าง ๆ จำนวนสิบคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยการสรรหาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านการส่งเสริมและพัฒนาสถาบันครอบครัว ด้านการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชน ด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านพัฒนาสังคม ด้านการส่งเสริมและพัฒนาสิทธิมนุษยชน ด้านการส่งเสริมและพัฒนาความเสมอภาคระหว่างเพศ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา ด้านการส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพอนามัย และด้านการส่งเสริมและพัฒนาการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ให้ถือเป็นการบริการสาธารณะตาม (ง) ซึ่งต้องสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

มาตรา 7 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้

(ก)

มีสัญชาติไทย

(ข)

มีทัศนคติและความประพฤติที่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ผู้แทนของผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว หรือส่งเสริมและพัฒนาสถาบันครอบครัว

(ค)

ไม่เคยถูกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหรือคณะกรรมการอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนวินิจฉัยว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน

(ง)

ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาสถาบันครอบครัว

(จ)

ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

(ฉ)

ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

(ช)

ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(ซ)

ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(ฌ)

ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ

(ญ)

ไม่เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในระยะเวลาห้าปีก่อนการได้รับการแต่งตั้ง

(ฎ)

ไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระยะเวลาห้าปีก่อนการได้รับการแต่งตั้ง

(ฏ)

ไม่เป็นหรือเคยเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองในระยะเวลาห้าปีก่อนการได้รับการแต่งตั้ง

(ฐ)

ไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัวตามพระราชบัญญัตินี้

(๘)

ไม่เคยถูกลงโทษในการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว กฎหมายว่าด้วยการค้ามนุษย์ กฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลและคุ้มครองเด็กและวิธีการพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

(๙)

ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

มาตรา ๙ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่ติดต่อกันแล้วต้องไม่เกินสองวาระ

ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้ผู้ซึ่งแต่งตั้งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน หากวาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเหลืออยู่ไม่ถึงเก้าสิบวันจะไม่เป็นการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นก็ได้ ในระหว่างที่ยังไม่ได้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทน ให้คณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่ เมื่อครบวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการทั้งหมด หากยังไม่ได้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็นไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้วกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้

มาตรา ๑๐ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

(ก)

ตาย

(ข)

ลาออก

(ค)

ขาดประชุมติดต่อกันสามครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร

(ง)

คนกลางการเป็นผู้ที่ไม่อาจ หรือไม่เหมาะสมในการเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

(จ)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๗

มาตรา ๑๑ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการทำหน้าที่แทนประธานกรรมการ ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม มติที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก เมื่อมีเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ให้มีการประชุมคณะกรรมการอย่างน้อยปีละสามครั้ง

มาตรา ๑๑ คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(๑)

กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนหลักในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว และการคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งแผนงาน มาตรการ และแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพ

(๒)

ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนหลัก แผนงาน มาตรการ และแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพ รวมทั้งรายงานสภาพปัญหาการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพต่อคณะรัฐมนตรี และรัฐสภาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

(๓)

เสนอความเห็นและข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้มีหรือแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพ รวมทั้งเสนอความเห็นและข้อสังเกตเกี่ยวกับบทบาทของประเทศไทยในระดับนานาชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพ

(๔)

ส่งเสริมให้มีการสนับสนุน ประสานงาน ติดตามผล และประเมินผลอย่างเป็นระบบของรัฐ เอกชนและภาคประชาสังคม ที่ดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพ

(๕)

ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

มาตรา ๑๒ ในการประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการซึ่งเป็นข้าราชการประจำเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งในสามที่คณะกรรมการทั้งหมด

ให้นำความในมาตรา ๓๐ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการโดยอนุโลม

หมวด ๓

ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว

มาตรา ๑๓ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเป็นศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวในเขตพื้นที่ของจังหวัด และให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และให้มีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้

(๑)

ดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนหลัก แผนงาน มาตรการ และแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพ

(๒)

ให้ความรู้ความเข้าใจ คำปรึกษาแนะนำ และความช่วยเหลือแก่ประชาชน ในเรื่องของปัญหาครอบครัว และการคุ้มครองสวัสดิภาพของบุคคลในครอบครัว รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว เพื่อประโยชน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิต และการคุ้มครองสวัสดิภาพ

(๖)

เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพและเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐและเอกชนในการดำเนินการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและคุ้มครองสวัสดิภาพ

(๗)

ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพ หรือป้องกันหรือช่วยเหลือเด็กและบุคคลเพื่อดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพ รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งศาลซึ่งหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการคุ้มครองสวัสดิภาพ

(๘)

ดำเนินการตามแนวนโยบายและแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพ ทั้งนี้ ประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่และบุคลากรในศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว

(๙)

ติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัตินี้ต่ออธิบดีและรัฐมนตรี

(๑๐)

ให้ความช่วยเหลือหรือสงเคราะห์ครอบครัวที่อยู่ในภาวะยากลำบากตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด

(๑๑)

ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ของครอบครัวและชุมชนในครอบครัว เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนดำเนิน แผนงาน มาตรการ และแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยคณะกรรมการต่อไป

(๑๒)

ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ในการบริหารจัดการและส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวและการคุ้มครองสวัสดิภาพตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายอื่น หรือมติคณะรัฐมนตรีหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย

มาตรา ๔๔ ให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวในชุมชนในแต่ละจังหวัดและกรุงเทพมหานคร โดยให้มีจำนวนอย่างน้อยหนึ่งแห่งในแต่ละจังหวัด และความเหมาะสมของแต่ละจังหวัดอาจกำหนดให้มีมากกว่าหนึ่งแห่ง ทั้งนี้ สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเป็นหัวหน้าศูนย์ เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว การคุ้มครองสวัสดิภาพ หรือดำเนินการอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้หัวหน้าศูนย์ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

หมวด ๔

ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน

มาตรา ๔๕ องค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว หรือการคุ้มครองสวัสดิภาพ อาจขอจดทะเบียนเป็นศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนซึ่งเรียกโดยย่อว่า “ศพค.”

คุณสมบัติของผู้ขอจดทะเบียน การขอจดทะเบียน และการจดทะเบียน เป็น ศพค. ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา 16 ศพค. อาจยื่นคำขอเพื่อให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาให้การช่วยเหลือหรือการสนับสนุนด้านการเงิน ด้านทรัพยากร ด้านวิชาการ ด้านพัฒนาบุคลากร หรือด้านอื่นใดในการดำเนินการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว หรือการคุ้มครองสวัสดิภาพ การยื่นคำขอรับการช่วยเหลือหรือการสนับสนุนดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดในระเบียบ

หมวด 5

การส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว

มาตรา 17 เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ให้กิจกรรมการศาสนาและสถาบันครอบครัวประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการให้บททะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ศพค. หรือองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวมีความรู้และความเข้าใจในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว

ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งเพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

(ก)

ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา หรือพี่น้องระหว่างสามีภริยา ความสมบูรณ์ของครอบครัวและการมีส่วนร่วมในครอบครัว การป้องกันและแก้ไขปัญหาภายในครอบครัว บุญคุณของบิดามารดา การปฏิบัติต่อบิดามารดา สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาต่อบุตร บุญคุณของบุตรต่อบิดามารดา สิทธิและหน้าที่ของบุตรต่อบิดามารดา

(ข)

ความรู้และทักษะในการเลือกคู่ครอง การดำรงชีวิตคู่ ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และการควบคุมอารมณ์

(ค)

ความรู้ในการเตรียมความพร้อมก่อนและหลังการตั้งครรภ์ ความรู้และทักษะในการเลี้ยงดูบุตร

(ง)

ความรู้ในการประกอบอาชีพ การสร้างงานสร้างรายได้ การออม การจัดการทรัพย์สิน และการแก้ไขหนี้สินสำหรับครอบครัวที่มีปัญหาด้านการเงิน

(จ)

ความรู้ในสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว สิทธิและหน้าที่ของครอบครัวต่อหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชน

(ฉ)

ความรู้ที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ครอบครัวตัวแทนในการให้ความรู้และความเข้าใจในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ให้ดำเนินการโดยการส่งเสริมและพัฒนาสถาบันครอบครัว

มาตรา 18 ในกรณีที่บุคคลซึ่งมีปัญหาในครอบครัวจะขอเข้ารับการปรึกษา หรือร้องขอคำปรึกษาหรือคำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว นายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนครอบครัวอาจจัดให้มีการจัดตั้งหน่วยงานในเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมครอบครัวและให้มีการช่วยเหลือ

หรือประสานศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว ศพค. หรือองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวให้ดำเนินการแทนก็ได้ ในกรณีที่ผู้ส่งเสริมประสงค์จะจดทะเบียนยก นายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัวจะให้บำบัดรักษา หรือดำเนินการแก่คู่สมรสซึ่งผู้ส่งเสริมประสงค์จะจดทะเบียนเท่านั้น หรือประสานศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว ศพค. หรือองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริม และพัฒนาครอบครัวให้ดำเนินการแทนก็ได้ ในกรณีที่ผู้ส่งเสริมประสงค์จะจดทะเบียนยก นายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัวจะให้บำบัดรักษา หรือดำเนินการแก่คู่สมรสซึ่งผู้ส่งเสริมประสงค์จะจดทะเบียนเท่านั้น หรือประสานศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว ศพค. หรือองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริม และพัฒนาครอบครัวให้ดำเนินการแทนก็ได้

มาตรา ๑๙ ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อสงสัยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว บุคคลในครอบครัวอาจขอคำปรึกษาหรือคำแนะนำเกี่ยวกับครอบครัวต่อศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว ศพค. หรือหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริม และพัฒนาครอบครัวได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ผู้ให้บริการต้องคำนึงถึงการให้บริการหรือคำแนะนำอย่างรอบคอบและเหมาะสมเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวต่อไป

มาตรา ๒๐ ในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนสนับสนุนครอบครัว บุคคลในครอบครัวอาจขอคำปรึกษาหรือคำแนะนำเกี่ยวกับครอบครัวต่อศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว ศพค. หรือหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริม และพัฒนาครอบครัวได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ผู้ให้บริการต้องคำนึงถึงการให้บริการหรือคำแนะนำอย่างรอบคอบและเหมาะสมเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวต่อไป

มาตรา ๒๑ ให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจดำเนินการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนหลักในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวให้เป็นความร่วมมือระหว่างคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๓ (๑) เพื่อให้การส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

ในกรณีที่มีปัญหาหรือข้อขัดข้องอาจปรึกษากับองค์กรในประเทศที่ดำเนินการตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนหลักในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวให้เป็นความร่วมมือระหว่างคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๓ (๑) เพื่อให้การส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

มาตรา ๒๒ การคุ้มครองสวัสดิภาพ เป็นการดำเนินการเพื่อให้บุคคลในครอบครัวได้รับความปลอดภัย มีความสัมพันธ์ที่ดี และป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัว และให้หมายความรวมถึงการดำเนินการ ดังต่อไปนี้

(๑)

การคุ้มครองหรือการช่วยเหลือบุคคลในครอบครัวไม่ให้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว และการป้องกันการกระทำความผิดอาญาซึ่งมีลักษณะเป็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว

(๒)

การส่งเสริมหรือการสนับสนุนให้เกิดการระงับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว

(๓)

การไกล่เกลี่ยหรือดำเนินการให้มีการประนีประนอมเพื่อยุติการกระทำความรุนแรงในครอบครัว

(๔)

การเยียวยาหรือการบรรเทาทุกข์ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว

(๕)

การบำบัดฟื้นฟูผู้มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว

(๖)

การติดตามดูแลบุคคลในครอบครัวเมื่อมีการกระทำความรุนแรงในครอบครัว

มาตรา ๒๓ ผู้ใดพบเห็นหรือทราบว่ามีการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ให้แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน องค์กรสาธารณประโยชน์ หรือองค์กรอื่นของชุมชน หรือแจ้งต่อศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว เพื่อให้การคุ้มครองสวัสดิภาพ

การแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสว่ามีการกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นหน้าที่ของใครก็ตามที่พบเห็นหรือทราบ หรือวิธีการแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบโดยผู้แจ้งจะต้องได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง

มาตรา ๒๔ เมื่อได้รับการแจ้งตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง ให้ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวตรวจสอบข้อเท็จจริงมีลักษณะความรุนแรงในครอบครัวตามที่ได้รับแจ้งโดยไม่ล่าช้า เพื่อดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพต่อไป

มาตรา ๒๕ ในกรณีที่มีการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดอาญาซึ่งพนักงานสอบสวนเห็นว่ามีลักษณะเป็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ให้พนักงานสอบสวนส่งสำเนาบันทึกการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษไปยังศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวที่ตั้งอยู่ในท้องที่นั้นโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ให้ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวดำเนินการบันทึกการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษดังกล่าวกำหนดเป็นข้อมูลเพื่อการคุ้มครองสวัสดิภาพ

ในกรณีที่พนักงานสอบสวนเห็นว่าไม่ควรดำเนินคดีทางอาญา ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนั้นเป็นผู้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ให้พนักงานสอบสวนอำนวยความสะดวกให้แก่ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การคุ้มครองสวัสดิภาพ เมื่อได้รับแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสว่ามีการกระทำความรุนแรง หรือมีความปรากฏแก่ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวว่ามีการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ให้ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพในระหว่างที่ยังไม่มีการดำเนินคดีอาญาหรือในระหว่างที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล กระบวนพิจารณาคดีเพื่อให้การพิจารณาคดีนั้นไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับรายงานผลการปฏิบัติตามคำสั่งผู้คุมครองสวัสดิภาพของศาลตามมาตรา ๒๘ หรือของศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวตามมาตรา ๓๗ ก็ได้ ในกรณีที่ศาลพิจารณาพฤติการณ์ของคดีแล้วเห็นว่าการกระทำเป็นภัยร้ายแรง และไม่เป็นประโยชน์ต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว ศาลอาจพิจารณาคดีโดยไม่รอการพิจารณาคดีไว้ก่อน

มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ศาลสั่งให้รอการพิจารณาคดีตามคำขอของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว ให้ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวส่งคำสั่งศาลและผลการปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพต่อศาลที่พิจารณาพฤติการณ์คดีภายในกำหนดเวลาโดยไม่ชักช้า

มาตรา ๒๗ ในกรณีที่เด็กอยู่ในภาวะเป็นผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือเป็นผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ให้ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ

มาตรา ๒๘ ในกรณีที่ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวเห็นสมควรให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวหรือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวตามมาตรา ๑๗ การพิจารณาคุ้มครองสวัสดิภาพดังกล่าวให้กระทำโดยผู้ปฏิบัติงานตามที่ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวมอบหมายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในมาตรา ๓๖ และให้ถือว่าศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวเป็นองค์กรที่มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก

มาตรา ๒๙ ศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวที่ขึ้นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวหรือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัวซ้ำอีก ประกอบการพิจารณาของศาลด้วยก็ได้

มาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพอาจเป็นการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

(๑)

ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ศาลกำหนด ระยะเวลา

(ก)

ห้ามผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวก่อเหตุร้ายต่อผู้ใดในครอบครัวอีกไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมในระยะเวลาที่ศาลกำหนด

(ข)

ห้ามผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเข้าใกล้บุคคลหรือสิ่งแวดล้อมใด ๆ ตามที่ศาลกำหนด ระยะเวลา

(ค)

ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวออกไปจากที่อยู่ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกับผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวในระยะเวลาที่ศาลกำหนด

(ง)

ห้ามผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ทั้งนี้ รวมถึงการติดตาม ติดตาม การสอดส่อง การล่วงเกิน การโทรศัพท์ การส่งข้อความข่มขู่คุกคามด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือด้วยวิธีการอื่นใดอันก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม (8) ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเข้ารับการบำบัดรักษาและทำงานจิตวิทยาสังคม หรือการแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ณ สถานพยาบาลหรือสถานที่ที่เหมาะสมซึ่งศาลกำหนด (9) ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเข้ารับการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูตามหลักสูตรที่ศาลกำหนดและจัดให้ ณ สถานพยาบาลหรือสถานที่อื่น เช่น สำนักงานคุมประพฤติ สถานพยาบาล หรือสถานบำบัด (10) ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวทำงานบริการสังคม เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าอาจจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญตาม (8) หรือก่อเหตุร้ายให้แก่คนในครอบครัว ด้วยความรุนแรงในครอบครัวซ้ำอีก โดยให้เป็นหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามแต่กรณี จนกว่าศาลจะเห็นว่าผู้กระทำผิดอาจจะพ้นจากความรุนแรงในครอบครัวได้ตามที่กำหนด โดยจะให้ความประพฤติหรือไม่ก็ได้ (11) ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวชดใช้เงินหรือทรัพย์สินที่เสียหายแก่ผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสีย (12) ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวชดใช้เงินหรือทรัพย์สินที่เสียหายแก่ผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสีย (13) ขอให้ศาลมีคำสั่งออกใบอนุญาตหรือผู้พักชำ ในกรณีที่ไม่ให้กระทำความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในใบอนุญาตหรืออยู่ในความพักชำ

มาตรา 6 ในกรณีที่การร้องขอคำสั่งเพื่อให้เด็กที่เป็นผู้มีความรุนแรงในครอบครัว

กฎหมายว่าด้วยคุ้มครองเด็กและครอบครัวจะต้องนำมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งไม่อยู่ในผู้เสียหายและผู้มีส่วนได้เสียในครอบครัว เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพ พนักงานอัยการ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เด็กที่เป็นผู้มีความรุนแรงในครอบครัวเข้ารับการแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ณ สถานพยาบาลหรือสถานที่ที่เหมาะสมซึ่งศาลกำหนด ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้เด็กที่เป็นผู้มีความรุนแรงในครอบครัวเข้ารับการแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ณ สถานพยาบาลหรือสถานที่ที่เหมาะสมซึ่งศาลกำหนด ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้เด็กที่เป็นผู้มีความรุนแรงในครอบครัวเข้ารับการแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ณ สถานพยาบาลหรือสถานที่ที่เหมาะสมซึ่งศาลกำหนด

มาตรา ๓๓ ในกรณีที่มีการร้องขอต่อศาลเพื่อการคุ้มครองสวัสดิภาพ หากศาลเห็นว่า มีเหตุจำเป็นที่จะต้องให้คุ้มครองหรือช่วยเหลือผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวหรือบุคคลในครอบครัว ศาลอาจมีคำสั่งให้หน่วยส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัวดำเนินการให้ความคุ้มครอง หรือความช่วยเหลือแก่บุคคลดังกล่าว

มาตรา ๓๔ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวต้องปฏิบัติตาม ศาลอาจกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไว้ด้วย ทั้งนี้ ต้องไม่น้อยกว่า หนึ่งปี เว้นแต่การแก้ไขบำบัดฟื้นฟูหรือการรักษาสุขภาพกายหรือสุขภาพจิตของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว ในกรณีที่มีการเสนอข้อมูลทางการแพทย์มาเพื่อประกอบการพิจารณาของศาล ศาลอาจกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควรได้

ในกรณีที่ศาลสั่งให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวทำทัณฑ์บน และมีการกระทำผิดทัณฑ์บนให้นำความในมาตรา ๔๕ แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๓๕ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพตามมาตรา ๒๙ ศาลอาจมีคำสั่งให้หน่วยส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว พนักงานเจ้าหน้าที่ ติดตามกำกับให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวปฏิบัติตามคำสั่งและรายงานให้ศาลทราบตามระยะเวลาที่เห็นสมควร และอาจมีคำสั่งให้หน่วยส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควรให้คำปรึกษา แนะนำ หรือให้ความช่วยเหลือแก่ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือบุคคลในครอบครัว เพื่อการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูหรือการรักษาสุขภาพกายหรือสุขภาพจิตก็ได้

มาตรา ๓๖ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพตามมาตรา ๒๙ หรือมาตรา ๓๔ ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือบุคคลในครอบครัวมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลได้ในระหว่างการปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ไม่เกินภาวะที่พึงเยียวยา ถ้าผู้ใดได้รับการปล่อยชั่วคราว ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขเพื่อมิให้ขัดประพฤติหรือการปล่อยชั่วคราวก็ได้

มาตรา ๓๗ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม หรือจากรายงานของหน่วยส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว พนักงานเจ้าหน้าที่ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา หรือจากคำร้องขอหรือคำแถลงของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือบุคคลในครอบครัวที่ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวหรือความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวรวมอยู่ ศาลอาจมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามระยะเวลา ที่กำหนดให้ร้องขอคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพโดยเพิ่มเงื่อนไขหรือถอดเงื่อนไข หรือเพิ่มหรือลดระยะเวลาในการคุ้มครองสวัสดิภาพก็ได้

ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ศาลอาจสอบถามความเห็นของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัวที่ศาลเห็นสมควร หรืออาจสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานข้อมูลต่อศาลก่อนที่จะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพก็ได้

มาตรา ๑๓ ในกรณีที่เกิดการกระทำความรุนแรงในครอบครัวและศาลมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพประกอบกับผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวถูกดำเนินคดีอาญาเนื่องมาจากการกระทำความรุนแรงในครอบครัวด้วย หากผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวได้รับคำพิพากษาคุ้มครองสวัสดิภาพรวมด้วยแล้ว ให้ความคุ้มครองตามคำพิพากษานั้นมีผล ดังต่อไปนี้

(๑)

หากการกระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นความผิดตามมาตรา ๔๕๖ มาตรา ๔๕๗ มาตรา ๔๕๘ มาตรา ๔๕๙ มาตรา ๔๖๐ มาตรา ๔๖๑ มาตรา ๔๖๒ และมาตรา ๔๖๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้ความคุ้มครองดังกล่าวเป็นความผิดยอมความได้

(๒)

ในคดีอาญา ให้ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญารับฟังคำพิพากษาคุ้มครองสวัสดิภาพ และนำมาประกอบการพิจารณาความในเหตุอันควรปรานีในการรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษตามมาตรา ๕๖ หรือเป็นเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา ๗๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา

(๓)

การกระทำความรุนแรงในครอบครัวที่เป็นคดีอาญาซึ่งผู้กระทำความผิดได้กระทำเนื่องจากตนเองถูกกระทำด้วยความรุนแรงหรือถูกกระทำโดยบ่อยครั้งอันก่อให้เกิดเหตุให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง และไม่มีการยินยอมพร้อมใจกระทำผิดร่วมของฝ่ายที่กระทำหรือฝ่ายที่ถูกกระทำต่อคดีอาญา ศาลจะพิจารณาเยี่ยงว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษสำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา ๑๔ ในกรณีที่เจ้าพนักงานคุ้มครองสวัสดิภาพทราบว่ามีการแจ้งหรือร้องทุกข์จากผู้เสียหายหรือญาติของบุคคลในครอบครัว ซึ่งไม่อาจขอคุ้มครองตามมาตรา ๑๒ ได้ทันการณ์ ให้เจ้าพนักงานคุ้มครองสวัสดิภาพดำเนินการตามมาตรา ๑๒ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) ชั่วคราวได้เท่าที่จำเป็น

มาตรา ๑๕ เมื่อศาลมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพตามมาตรา ๑๒ แล้ว หากผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวหรือบุคคลในครอบครัวที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลหรือมีการยื่นคำร้องพร้อมกับคำสั่งดังกล่าวต่อศาลภายในสิ้นเดือนถัดไปนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนั้น หากศาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรด้วย ให้ศาลสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพเพิ่มเติมได้ดังต่อไปนี้ ในกรณีที่ศาลไม่เห็นชอบกับคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพดังกล่าวทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขการดำเนินการเปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลสั่งแก้ไขคำสั่งเดิมหรือคำสั่งใหม่ได้ตามที่เห็นสมควร

มาตรา ๑๖ เมื่อมีการแจ้งความร้องทุกข์ หรือมีการฟ้องร้องจากผู้เสียหาย หรือมีการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์และเป็นผู้ที่อยู่ในความดูแลของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว ห้ามมิให้ผู้เสียหายหรือผู้เยาว์ที่อยู่ในความดูแลของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวต้องให้การหรือแสดงพยานหลักฐานใด ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือผู้เยาว์ที่อยู่ในความดูแลของผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว

การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือบุคคลในครอบครัว ในกรณีเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา หรือเพื่อประโยชน์ของการรักษาหรือประโยชน์ของการป้องกันหรือแก้ไขปัญหา หรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่ศาลเห็นสมควร ห้ามมิให้มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในลักษณะที่จะทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังอันจะเป็นการทำลายสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของบุคคลดังกล่าวไม่ว่ากรณีใด ๆ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพ หรือความปลอดภัยของบุคคลที่บุคคลใด จะทำการเปิดเผยไม่ได้ ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต้องดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารด้วย

มาตรา 40 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(1) เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใดในทันที เมื่อปรากฏเหตุแห่งการกระทำความรุนแรงในครอบครัวหรือได้รับแจ้งตามมาตรา 23 (2) มีหนังสือเรียกให้กระทำความรุนแรงในครอบครัว ผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว หรือบุคคลใดที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือข้อเท็จจริง รวมทั้งให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานอื่นใด เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพ (3) ตรวจสอบ ประเมินสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น รวบรวมข้อเท็จจริงและสาเหตุเกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว รายงานความเห็นหรือผลการตรวจของผู้ประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ และผู้ประกอบวิชาชีพอื่น เพื่อให้พนักงานสอบสวนออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ หรือเสนอคณะกรรมการพิจารณาออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ หรือดำเนินการตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง (4) ดำเนินการให้ผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวได้รับการช่วยเหลือและความคุ้มครองในเบื้องต้นเป็นการเร่งด่วน ได้รับการตรวจรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์ ได้รับการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งได้รับการสงเคราะห์ตามความเหมาะสมตลอดจนให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในครอบครัว (5) ดำเนินการให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวได้รับการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ หรือเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรที่กำหนดโดยคณะกรรมการ (6) ดำเนินการให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวหรือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพเพื่อมิให้เกิดการกระทำความรุนแรงในครอบครัวขึ้นอีก (7) จัดทำรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่เสนอหัวหน้าศูนย์เมื่อได้ดำเนินการเรื่องใดแล้วเสร็จ (8) ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาสถาบันครอบครัวหรือการคุ้มครองสวัสดิภาพตามที่หัวหน้าศูนย์มอบหมาย การดำเนินการ (3) ต้องมีหมายค้น เว้นแต่มีเหตุอันควรเชื่อว่า หากมิให้เข้าไปจะย่อมก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวจากผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวอย่างร้ายแรง ให้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น แต่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการค้น การปฏิบัติหน้าที่ตาม (3) (4) และ (5) ให้เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการ

มาตรา 41 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง

บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประกาศกำหนด

มาตรา ๔๓ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

หมวด ๗ บทกำหนดโทษ

มาตรา ๔๔ ผู้ใดขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๖ (๑) (๔) หรือ (๕) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๕ ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกตามสมควรตามมาตรา ๕๐ วรรคสาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๔๖ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๔๗ ผู้ใดได้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐที่มีสภาพถูกต้องที่สุดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งมิใช่ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือ (๒) ที่ดินซึ่งมิใช่ที่ดินในเขตป่าไม้ หรืออยู่ในระหว่างการรังวัดเขตป่าตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ผู้นั้นเอง บุคคลในครอบครัวของผู้นั้น หรือผู้ได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าว อาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เพื่อขอให้คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติพิจารณาออกเอกสารสิทธิให้ได้

มาตรา ๔๘ บรรดากฎกระทรวง ระเบียบ หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เหตุผล :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ มีการกำหนดกฎหมายที่ยังไม่สอดรับกับตามเจตนารมณ์ในการลดการกระทำความรุนแรงในครอบครัวที่มีวัตถุประสงค์ให้กระบวนการเป็นธรรมในครอบครัวเปิดโอกาสกลับคืนสู่ระบบบริการที่กระทำความผิดซ้ำ และเห็นแก่ผลอำนวยของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในปัจจุบัน นอกจากนี้ ไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดให้มีการพัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัวเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัว และการกำหนดมาตรการในการจัดการความรุนแรงในครอบครัวที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการกำหนดให้มีการบำบัดฟื้นฟู และเยียวยาผู้ถูกกระทำจากการจัดการ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถานภาพครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ พ.ศ. ๒๕๖๒

มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป

มาตรา ๒ ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถานภาพครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้ ให้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ยังคงมีผลใช้บังคับ

มาตรา ๓ ให้คณะรัฐมนตรีเร่งเตรียมการรองรับและดำเนินการพิจารณาแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถานภาพครอบครัวและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการและกลไกที่เหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยเร็ว

มาตรา ๔ ให้หน่วยงานรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับทำการตามพระราชกำหนดนี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นไปเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถานภาพครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้มีมาตรการในการลดการกระทำความรุนแรงในครอบครัวที่ยังไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการลดการกระทำความรุนแรงในครอบครัวให้มีโอกาสกลับคืนสู่ระบบบริการที่กระทำความผิดซ้ำ รวมถึงปรับปรุงกลไก บทบาท อำนาจและหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ประสานสอดคล้องกัน และปรับปรุงมาตรการในการบำบัดฟื้นฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทำจากการจัดการ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้ ร่างถึงอนุญาต เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๗๗ ก/๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตั้งแต่ขั้นพนักงานสอบสวนไปจนถึงกระบวนการในชั้นศาล การดำเนินการดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องอาศัยความพร้อมในด้านความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของบุคลากร ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพร้อมในด้านบุคลากรที่ต้องมีการเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งยังต้องมีการเตรียมการอื่น ๆ ประกอบกันด้วย เช่น การเตรียมการด้านกฎหมาย การเตรียมการด้านการบริหารจัดการ และการเตรียมการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างทักษะและความพร้อมของบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสวัสดิภาพในครอบครัวได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย กรณีบุคลากรดังกล่าวเป็นกรณีที่มีความจำเป็นต้องมีการเตรียมการอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของประชาชน จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ ธนบดี/พิจารณ/จัดทำ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ พิจนา/ตรวจ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ นุสรา/เพิ่มเติม ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๒