로고

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๖๗ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.

๒๕๕๕”

มาตรา ๒* พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราช

กิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๒๕

บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับในส่วนที่บัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติ นี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้

“วิชาชีพเวชกรรม” หมายความว่า วิชาชีพที่กระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจโรค การวินิจฉัยโรค การบำบัดโรค การป้องกันโรค การผ่าตัด การช่วยคลอด การให้การ แนะนำปรึกษา การส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพ การให้หรือสั่งใช้ยา และหมายความรวมถึงการ แนะนำหรือการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหรือพยาธิสภาพของโรค และหมายความรวมถึงการทำทาง ศัลยกรรม การใช้รังสี การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ เข้าในร่างกาย หรือ คุมกำเนิด การเสริมสวย หรือการบำรุงรักษาร่างกาย “โรค” หมายความว่า ความเจ็บป่วย การบาดเจ็บ ความผิดปกติของร่างกาย จิตใจ และหมายความรวมถึงความผิดปกติทางจิตสังคม *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙/ตอนที่ ๑๑๑/ก/ฉบับพิเศษ หน้า ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ "ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม" หมายความว่า บุคคลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากแพทยสภา "ใบอนุญาต" หมายความว่า ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากแพทยสภา สภา "สมาชิก" หมายความว่า สมาชิกแพทยสภา "กรรมการ" หมายความว่า กรรมการแพทยสภา "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการแพทยสภา "เลขาธิการ" หมายความว่า เลขาธิการแพทยสภา "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้อำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ และออกระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงและระเบียบ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

หมวด 1

แพทยสภา

มาตรา 6 ให้มีสภาขึ้นสภาหนึ่งเรียกว่า "แพทยสภา" มีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้

ให้แพทยสภาเป็นนิติบุคคล

มาตรา 7 แพทยสภามีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(ก)

ควบคุมการประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม

(ข)

ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพในทางการแพทย์

(ค)

ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก

(ง)

ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้การศึกษาแก่ประชาชนและองค์กรอื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์และการสาธารณสุข

(จ)

ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ

(ฉ)

เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทย

มาตรา 8 แพทยสภามีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(ก)

รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม

(ข)

เพิกถอนใบอนุญาตหรือพักใช้ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (a) รับรองปริญญา ประกาศนียบัตรในวิชาแพทยศาสตร์ หรืออุดมศึกษาในวิชาชีพเวชกรรมของสถาบันต่าง ๆ (b) รับรองหลักสูตรต่าง ๆ สำหรับการฝึกอบรมในวิชาชีพเวชกรรมของสถาบันทางการแพทย์ (c) รับรองวิทยฐานะของสถาบันทางการแพทย์ที่ทำการฝึกอบรมใน (a) (d) ออกหนังสือรับรองความรู้ความชำนาญในวิชาชีพเวชกรรมแก่ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่าง ๆ และออกหนังสือแสดงคุณวุฒิในวิชาชีพเวชกรรม

มาตรา 9 แพทยสภาอาจมีรายได้ดังต่อไปนี้

(a) เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน (b) ค่าลงทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ (c) ผลประโยชน์จากการลงทุนและกิจกรรมอื่น (d) ทรัพย์สินที่ได้จากการบริจาคและการช่วยเหลือ

มาตรา 10 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการให้แพทยสภาเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้

หมวด 2

สมาชิก

มาตรา 11 สมาชิกแพทยสภาได้แก่ผู้มีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

(a) มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ (b) มีความรู้ในวิชาชีพเวชกรรมโดยได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรในวิชาแพทยศาสตร์ในแพทยสภารับรอง (c) ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ถูกเพิกถอนหรือระงับการใช้งาน เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ (d) ไม่เคยต้องโทษจำคุกในคดีอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกในคดีที่คณะกรรมการแพทยสภาเห็นว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ (e) ไม่เป็นผู้มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคที่กำหนดให้ในข้อบังคับแพทยสภา

มาตรา 12 สิทธิและหน้าที่ของสมาชิกมีดังต่อไปนี้

(a) ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ขอหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่าง ๆ หรือขอหนังสือแสดงคุณวุฒิในวิชาชีพเวชกรรม (b) มีสิทธิเลือกตั้งและลงคะแนนเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา และมีสิทธิได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการแพทยสภา (c) มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือหรือการสนับสนุนจากแพทยสภาในการพัฒนาวิชาชีพเวชกรรมเพื่อพิทักษ์เกียรติ และประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของสมาชิก และมีสิทธิได้รับการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยที่เกี่ยวกับกิจการของแพทยสภา คณะกรรมการการต้องพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้เสนอ ทราบโดยมิชักช้า

(ก)

เลือก รับเลือก หรือรับเลือกตั้งเป็นกรรมการ

(ข)

มีหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่หรือรับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 13 สมาชิกภาพของสมาชิกย่อมสิ้นสุดเมื่อ

(1) ตาย (2) ลาออก (3) คณะกรรมการให้พ้นจากสมาชิกภาพ เพราะเห็นว่าบุคคลนั้นฐานะความเสื่อมเสีย เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพตามมาตรา 13 (3) หรือ (4) (4) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 13 (1) (2) หรือ (5)

หมวด 3

คณะกรรมการแพทยสภา

มาตรา 14 ให้มีคณะกรรมการ เรียกว่า “คณะกรรมการแพทยสภา” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมอนามัย เจ้ากรมแพทย์ทหารบก เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ นายแพทย์ใหญ่กรมตำรวจ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย และคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และสมาชิกเลือกตั้งขึ้นจากสมาชิกจำนวนสิบสองคน เป็นกรรมการโดยตำแหน่งในแต่ละวาระ และให้คณะกรรมการเป็นกรรมการและเลขานุการ

มาตรา 15 ให้ผู้ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการโดยการเลือกตั้งประชุมกันเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งนายกแพทยสภา อุปนายกแพทยสภาคนที่หนึ่ง และอุปนายกแพทยสภาคนที่สอง ตามลำดับดังนี้

ให้นายกแพทยสภาสามารถเลือกสมาชิกผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 17 เพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการหนึ่งคน และเลือกกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ และเหรัญญิกอีกตำแหน่งละหนึ่งคน ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบของที่ประชุมกรรมการ นายกแพทยสภา อุปนายกแพทยสภาคนที่หนึ่ง และอุปนายกแพทยสภาคนที่สอง ให้ดำรงตำแหน่งตามวาระของกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้ง และเลขาธิการ รองเลขาธิการ และเหรัญญิก ให้พ้นจากตำแหน่งตามมติของแพทยสภา

มาตรา 16 การเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา 7 การเลือกตั้งกรรมการเพื่อดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 15 และการเลือกหรือการเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา 20 ให้เป็นไปตามข้อบังคับของแพทยสภา

มาตรา ๑๗ กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งและกรรมการซึ่งดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา ๑๕ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

(๑)

เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์

(๒)

เป็นผู้ไม่เคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต

(๓)

เป็นผู้ไม่เคยถูกคำสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย

มาตรา ๑๘ กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปีและอาจได้รับเลือกตั้งใหม่ได้

มาตรา ๑๙ นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๕ วรรคสาม มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๒๐ วรรคสองแล้ว กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งและกรรมการซึ่งดำรงตำแหน่งต่าง ๆ พ้นจากตำแหน่งเมื่อพ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา ๑๓ หรือขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๑๗

มาตรา ๒๐ เมื่อตำแหน่งกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งว่างลงก่อนคราวครบวาระ ให้คณะกรรมการเลือกตั้งหาผู้สมควรแต่งตั้งตามมาตรา ๗ เป็นกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งกรรมการนั้นว่างลง

ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งว่างลงก่อนครบวาระเพียงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ให้กรรมการซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งดำรงตำแหน่งในตำแหน่งนั้นจนสิ้นวาระของกรรมการที่ว่างลงนั้น ถ้ากรรมการที่เหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง คณะกรรมการจะให้มีการเลือกตั้งกรรมการแทนทั้งหมดไม่ได้ ให้ผู้ซึ่งเป็นกรรมการแทนอยู่ในตำแหน่งตามวาระของกรรมการซึ่งตนแทน

มาตรา ๒๑ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑)

บริหารกิจการแพทยสภาตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในมาตรา ๗

(๒)

แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำกิจการหรือพิจารณาเรื่องต่าง ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของแพทยสภา

(๓)

ออกข้อบังคับว่าด้วย

(ก)

การเป็นสมาชิก

(ข)

การเสียสมาชิก

(ค)

การกำหนดโรคตามมาตรา ๑๑ (๔)

(ง)

การกำหนดค่าบำรุง ค่าขึ้นทะเบียน ค่าบำรุงรายปี ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ นอกจากค่าที่ระบุไว้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี

(จ)

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา ๑๓

(ฉ)

หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียน และการออกใบอนุญาตตามหมวดและประเภทใบอนุญาต

(ช)

หลักเกณฑ์การออกหนังสืออนุมัติหรือหนังสือรับรองความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพการแพทย์ และการเพิกถอนหนังสือดังกล่าวในวิชาชีพการแพทย์

(ซ)

การรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการแพทย์

(ซ)

การประชุมคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ

(ฌ)

การตั้งค่า การดำเนินการ และการเลิกวิทยาลัยวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่าง ๆ

(ญ)

คุณสมบัติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามมาตรา ๒๔

(ฎ)

เรื่องอื่น ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของแพทยสภา หรืออยู่ใน อำนาจหน้าที่ของแพทยสภาตามกฎหมายอื่น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕ ข้อบังคับแพทยสภาที่เกี่ยวข้องกับสมาชิก ให้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๒๖ นายกแพทยสภา อุปนายกแพทยสภา เลขาธิการ รองเลขาธิการ และ

เหรัญญิก มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(ก)

นายกแพทยสภามีอำนาจหน้าที่

(๑)

ดำเนินกิจการของแพทยสภาให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติหรือความมติ ของคณะกรรมการ

(๒)

เป็นผู้แทนแพทยสภาในการต่าง ๆ

(๓)

เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ นายกแพทยสภาอาจมอบหมายเป็นหนังสือให้กรรมการอื่นปฏิบัติหน้าที่แทนตามที่ เห็นสมควรได้

(ข)

อุปนายกแพทยสภามีหน้าที่ช่วยนายกแพทยสภาในกิจการต่าง ๆ อำนาจหน้าที่ของอุปนายกแพทยสภาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่นายกแพทยสภา มอบหมาย เมื่อทั้งนายกแพทยสภา และอุปนายกแพทยสภาคนหนึ่งไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติ หน้าที่ได้

(ค)

เลขาธิการมีอำนาจหน้าที่

(๑)

ควบคุมดูแลสำนักงานที่เป็นแพทยสภากระทรวง

(๒)

ควบคุมรับผิดชอบในเรื่องการที่ไปของแพทยสภา

(๓)

รับผิดชอบในการดูแลรักษาทะเบียนสมาชิก ทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพ เวชกรรมและทะเบียนอื่น ๆ

(๔)

ควบคุม ดูแลทรัพย์สินของแพทยสภา

(๕)

เป็นเลขานุการคณะกรรมการ

(ง)

รองเลขาธิการมีหน้าที่ช่วยเลขาธิการในกิจการต่าง ๆ ตามที่เลขาธิการมอบหมาย เลขาธิการตามที่เลขาธิการมอบหมาย และในกรณีที่เลขาธิการไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

(จ)

เหรัญญิกมีอำนาจหน้าที่ควบคุม ดูแล รับผิดชอบการบัญชี การเงิน และ การงบประมาณของแพทยสภา

หมวด ๔

การดำเนินการของคณะกรรมการ

มาตรา 23 การประชุมคณะกรรมการหรือคณะกรรมการย่อยไม่อาจดำเนินการประชุมได้หากมีจำนวนของคณะกรรมการที่เหลือ จึงจะเป็นองค์ประชุม

ผู้ซึ่งเป็นประธาน ให้ลงคะแนนเสียงได้หนึ่งเสียงเท่านั้นในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงซึ่งถือเป็นการตัดสิน ในกรณีที่มีสมาชิกขาดการประชุมตามมาตรา 23 (3) มีมติให้ผู้ที่มีคะแนนเสียงไม่อาจอุทธรณ์ได้

มาตรา 24 สถานที่ที่คณะกรรมการประชุม และการแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการ หรือจะแสดงความเห็นเป็นหนังสือไปยังหน่วยงานในเรื่องใด ๆ ก็ได้

มาตรา 25 ต้องมีการประชุมคณะกรรมการในเรื่องดังต่อไปนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อนดำเนินการดังนี้

(ก)

การออกข้อบังคับ

(ข)

การให้ความเห็นชอบจากสมาชิกตามมาตรา 23 (3)

(ค)

การให้ความเห็นชอบจากสมาชิกตามมาตรา 23 (4) ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง การดำเนินการตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการในเรื่องอื่นใด หากคณะกรรมการเห็นสมควร อาจขอความเห็นชอบจากสถานภาพพิเศษก่อนดำเนินการได้ ให้คณะกรรมการเสนอข้อโต้แย้งหรือข้อคิดเห็นที่ได้รับความเห็นชอบจากสถานภาพพิเศษหรือในเรื่องใดที่คณะกรรมการเห็นสมควรให้แสดงความเห็นชอบจากสถานภาพพิเศษก่อนดำเนินการได้ สถานภาพพิเศษอาจไม่ส่งข้อโต้แย้งหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรให้ดำเนินการได้

หมวด 5

การควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม

มาตรา 26 ห้ามมิให้ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมหรือแสดงวิชาชีพใด ๆ ที่พร้อมที่จะประกอบวิชาชีพวิศวกรรมโดยไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมประเภทผู้รับใบอนุญาตในแต่ละกรณีดังต่อไปนี้

(a) การประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่กระทำต่อคนเอง (b) การช่วยเหลือเยียวยาผู้ป่วยตามหลักเวชกรรมโดยไม่รับเงินจ้างรางวัล แต่การช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าวต้องมิใช่เป็นการกระทำทางศัลยกรรม การใช้รังสี การผลิตสารเสพติด ฯลฯ เข้าไปในร่างกายของผู้ป่วย การแพทย์แผนโบราณหรือการใช้เงินเพื่อบำบัดโรคหรือสร้างความรู้สึก หรือการให้ยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทหรือยาเสพติดให้โทษ ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น แล้วแต่กรณี แต่ไม่รวมถึง (1) นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรม ในความควบคุมของสถาบันการศึกษาของรัฐบาล สถาบันการศึกษาที่รัฐบาลอนุมัติให้จัดตั้ง สถาบันการศึกษาของเอกชนที่รัฐบาลอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง หรือสถานฝึกอบรมที่กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติให้จัดตั้ง

มาตรา ๒๙ การขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาต การออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่าง ๆ และหนังสือแสดงวุฒิอื่น ๆ ในราชวิชาชีพเวชกรรม ให้เป็นไปตามข้อบังคับแพทยสภา

มาตรา ๓๐ ผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตต้องเป็นสมาชิกแพทยสภา และมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่กำหนดในข้อบังคับแพทยสภา เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมมีคุณสมบัติขาดจากสมาชิกภาพ ให้ใบอนุญาตของผู้นั้นสิ้นสุดลง

มาตรา ๓๑ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับแพทยสภา

มาตรา ๓๒ บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเพราะการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมมีสิทธิล่าทรัพย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมนั้นโดยทำเรื่องร้องต่อแพทยสภา บุคคลอื่นมีสิทธิล่าทรัพย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมว่าประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม โดยทำเรื่องร้องต่อแพทยสภาได้เช่นเดียวกัน

คณะกรรมการมีหน้าที่สืบสวนหรือไต่สวนผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้มีเหตุอันควรให้มีการสืบสวนหรือไต่สวนตามที่กำหนดในข้อบังคับแพทยสภา และมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ถูกกล่าวหาหยุดการประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นการชั่วคราวได้ ทั้งนี้ การสืบสวนหรือไต่สวนต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับแพทยสภา การร้องเรียนหรือกล่าวหาว่ากล่าวหาผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ไม่เป็นเหตุให้ระงับการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๓๓ แพทยสภามีหน้าที่เรื่องการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษตามมาตรา ๓๒ ให้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อประธานอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมโดยด่วนที่สุด

มาตรา ๓๔ คณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ประกอบด้วยประธานหนึ่งคน และอนุกรรมการซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งจากสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าคณะละสามคน คณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมมีหน้าที่เสนอข้อเท็จจริงในเรื่องที่ได้รับตามมาตรา ๓๓ แล้วทำความพร้อมทั้งความเห็นเสนอคณะกรรมการ

มาตรา ๓๕ เมื่อคณะกรรมการได้รับรายงานและความเห็นของคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมแล้ว ให้คณะกรรมการพิจารณารายงานและความเห็นดังกล่าวแล้วมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(๑)

ให้คณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมทำข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อเสนอให้คณะกรรมการพิจารณา (b) ให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนในกรณีที่เห็นว่าข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษนั้นมีมูล (c) ให้ข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษในกรณีที่เห็นว่าข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษนั้นไม่มีมูล

มาตรา ๓๖ คณะอนุกรรมการสอบสวน ประกอบด้วยประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้งจากสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าสามคนตามที่คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการสอบสวนมีหน้าที่สอบสวน สรุปผลการสอบสวนและเสนอคำรายงานการสอบสวนพร้อมทั้งความเห็นต่อคณะกรรมการภายในเวลาที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๓๗ ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม และของคณะอนุกรรมการสอบสวนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมและอนุกรรมการสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้มีอำนาจเรียกบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ ส่งเอกสารหรือวัตถุใด ๆ อันเกี่ยวประโยชน์แก่การสืบสวนสอบสวน

มาตรา ๓๘ ให้ประธานอนุกรรมการสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ พร้อมทั้งส่งสำเนาเรื่องที่กล่าวหาหรือกล่าวโทษ ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ถูกกล่าวหาหรือถูกกล่าวโทษทราบโดยเร็ว และให้ผู้นั้นมีสิทธิชี้แจงข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษดังกล่าวเป็นหนังสือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ

คำชี้แจงให้ยื่นต่อประธานอนุกรรมการสอบสวนภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานอนุกรรมการสอบสวน หรือภายในกำหนดเวลาที่คณะอนุกรรมการสอบสวนจะขยายให้

มาตรา ๓๙ เมื่อคณะกรรมการได้รับสำเนาบันทึกการสอบสวนและความเห็นของคณะอนุกรรมการสอบสวนแล้ว ให้คณะกรรมการพิจารณาสำเนาบันทึกการสอบสวนและความเห็นดังกล่าว

คณะกรรมการอาจให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมก่อนวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้ คณะกรรมการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

(๑)

ยกข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ

(๒)

ว่ากล่าวตักเตือน

(๓)

ภาคทัณฑ์

(๔)

พักใช้ใบอนุญาตผู้ที่ถูกกล่าวหาเป็นการชั่วคราวไม่เกินสองปี

(๕)

เพิกถอนใบอนุญาต แต่ได้เป็นไปตามมาตรา ๔๐ และคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด และให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา 40 ให้เลขาธิการแจ้งคำสั่งแพทยสภาตามมาตรา 39 ไปยังผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวโทษเพื่อทราบ และให้บันทึกคำสั่งนั้นไว้ในทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมด้วย

มาตรา 41 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ให้ต้องมอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมคืนแก่เลขาธิการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง และผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตให้ถูกกล่าวโทษตามมาตรา 43 และคดีถึงที่สุดแล้ว ให้คณะกรรมการสั่งเพิกถอนใบอนุญาต

มาตรา 42 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตอาจขอรับใบอนุญาตคืนได้เมื่อพ้นสองปีนับแต่วันถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต แต่เมื่อคณะกรรมการได้พิจารณาคำขอรับใบอนุญาตและปฏิเสธการออกใบอนุญาต ผู้ขอรับใบอนุญาตจะยื่นคำขอรับใบอนุญาตได้อีกต่อเมื่อสิ้นระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่คณะกรรมการมีมติปฏิเสธการออกใบอนุญาต ถ้าคณะกรรมการปฏิเสธการออกใบอนุญาตเป็นครั้งที่สองแล้ว ผู้ขอรับใบอนุญาตมีสิทธิขอรับใบอนุญาตต่อไป

มาตรา 43 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 26 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 44 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 27 หรือมาตรา 28 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บทเฉพาะกาล

มาตรา 45 ให้แพทยสภาที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 เป็นแพทยสภาตามพระราชบัญญัตินี้

ให้บรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้ สิทธิและเงินงบประมาณของแพทยสภาที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นของแพทยสภาตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 46 ให้คณะกรรมการแพทยสภาซึ่งอยู่ในตำแหน่งในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใช้เป็นคณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้มีการเลือกตั้งกรรมการตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัตินี้

ให้เลขาธิการกรรมการเวชกรรมสถานที่มี ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา 47 ให้ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตของแพทยสภาอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใช้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔๘ ให้ผู้ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นผู้ได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๒๕ อยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือผู้ได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔๙ ให้บรรดาลูกจ้างของแพทยสภาที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้บังคับคนเป็นลูกจ้างของแพทยสภาตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๕๐ ในระหว่างที่แพทยสภายังมิได้ออกข้อบังคับเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้บังคับข้อบังคับแพทยสภาที่ใช้อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปใช้บังคับโดยอนุโลม

ในระหว่างที่ยังมิได้ออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้บังคับระเบียบกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับอัตราค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ใช้อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าทดแทนตามความในพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี อัตราค่าธรรมเนียม

(ก)

ค่าขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ฉบับละ ๔๐๐ บาท

(ข)

ค่าขึ้นทะเบียนรับรองการขึ้นทะเบียน เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ฉบับละ ๕๐๐ บาท

(ค)

ค่าตรวจสอบมูลนิธิ หรือวุฒิบัตรแสดง ความรู้ความชำนาญในการประกอบ วิชาชีพเวชกรรม ฉบับละ ๓๐๐ บาท ฉบับละ ๑๐๐ บาท

(ง)

ค่าใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ ๑๐๐ บาท หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยอาชีวเวชกรรมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว และมีบางบัญญัติหลายประการที่ไม่เหมาะสมกับภาวะสมัย สมควรปรับปรุงให้เหมาะสมเพื่อควบคุมการประกอบวิชาชีพอาชีวเวชกรรมและคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปริวัฒน์/แก้ไข พิมพ์/ตรวจ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓ บิดวรรณ/ปรับปรุง ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒