로고

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๗ และมาตรา ๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพื่อให้การกำกับดูแลระบบการชำระเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล อันจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศและการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้ สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว

ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศ

ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้

"ระบบการชำระเงิน" หมายความว่า ระบบหรือกระบวนการจัดการอื่นใดเพื่อการโอนเงิน การหักบัญชี หรือการชำระดุล "การหักบัญชี" หมายความว่า การรับส่ง ตรวจสอบ และยืนยันข้อมูลตามคำสั่งการชำระเงินสำหรับนำไปคำนวณยอดเงินและความเป็นหนี้ในทันที หรือดุลยภาพเพื่อใช้ข้อมูลดังกล่าวในการชำระดุลระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ "การชำระดุล" หมายความว่า การชำระเงินที่มีการตกลงกันไว้ล่วงหน้าเพื่อชำระบัญชีความเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ ด้วยการปรับบัญชีเงินฝากโดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการหักบัญชีเพื่อให้เป็นที่หมดหรือบางส่วนระงับไป "ระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญ" หมายความว่า ระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงหรือเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน ระบบสถาบันการเงิน หรือระบบการเงินของประเทศ "ระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ" หมายความว่า ระบบการชำระเงินที่ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยตามที่ระเบียบของ ธปท. แล้วแต่กรณี "บริการการชำระเงินภายใต้การกำกับ" หมายความว่า บริการการชำระเงินที่ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีหรือได้รับการขึ้นทะเบียนจาก ธปท. แล้วแต่กรณี "บัตรอิเล็กทรอนิกส์" หมายความว่า บัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามประมวลกฎหมายอาญา "เงินอิเล็กทรอนิกส์" หมายความว่า บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ประกอบธุรกิจออกให้แก่ผู้รับบริการซึ่งจะระบุชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยมีการชำระเงินให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือค่าอื่นในแทนการชำระด้วยเงินสด และได้มีการรับเงินที่มีมูลค่าหรือจำนวนเงินที่ระบุไว้ล่วงหน้า "เงินรับล่วงหน้า" หมายความว่า เงินที่ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับได้รับไว้ล่วงหน้าจากผู้ใช้บริการ ซึ่งประกอบด้วย ยอดคงค้างที่ผู้ใช้บริการได้เพิ่มไว้ล่วงหน้าแก่ผู้ประกอบธุรกิจ และเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับมาจากเงินรับล่วงหน้าของผู้ใช้บริการ "ลูกค้า" หมายความว่า ผู้ใช้บริการที่มีเจตนาหลักแตกต่างกันในการใช้บริการระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญ "ผู้ประกอบธุรกิจ" หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตหรือขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้ "ธปท." หมายความว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมวด 1

ระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญ

มาตรา 6 ระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้

(ก)

เป็นระบบการชำระเงินที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศ ซึ่งหากเกิดปัญหาหรือการหยุดชะงัก อาจส่งผลกระทบต่อสถาบันในระบบอย่างต่อเนื่องเป็นวงกว้าง และ

(ข)

เป็นระบบการชำระเงินที่รองรับการโอนเงินมูลค่าสูง หรือที่ใช้สำหรับการหักบัญชีหรือการชำระดุลระหว่างสมาชิก

มาตรา 7 ให้ธปท. มีหน้าที่กำกับดูแลระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญเพื่อให้ระบบมีความมั่นคง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ โดยให้สอดคล้องประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องดังต่อไปนี้

(ก)

กระบวนการในการปฏิบัติงานของระบบ รวมถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับผลสมบูรณ์ของการโอนเงิน

(ข)

หลักเกณฑ์ในการรับสมาชิก

(ค)

สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ให้บริการระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญและสมาชิก

(ง)

มาตรการบริหารและจัดการความเสี่ยงของระบบ

(จ)

มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบ

(ฉ)

การจัดการกรณีฉุกเฉิน

(ช)

เรื่องอื่นใดตามที่ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา 8 เมื่อสมาชิกภายในคำร้องหรือถูกต้องขอต่อศาลให้ฟื้นฟูกิจการและศาลมีคำสั่งรับคำร้องให้ฟื้นฟูกิจการ ฎีกาล้มละลาย หรือถูกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ให้สมาชิกกระทำแจ้งให้ธปท. และผู้ให้บริการระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญทราบโดยทันทีตามวิธีการที่ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา 9 ในกรณีที่สมาชิกภายในคำร้องหรือข้อร้องต่อศาลให้ฟื้นฟูกิจการหรือมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของสมาชิก ให้ธปท. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการดำเนินการใดต่อไปจนสิ้นสุดกระบวนการล้มละลายหรือการฟื้นฟูกิจการของสมาชิก และมีผลสมบูรณ์ไม่สามารถแก้ไข ยกเลิก หรือระงับได้

มาตรา 10 ให้เงิน หลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่นที่สมาชิกได้ส่งมาดำรงไว้เพื่อเป็นหลักประกันการใช้สภาพคล่อง การชำระธุรกรรม หรือเพื่อการอื่นใดในระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญได้รับความคุ้มครอง โดยไม่อาจยึดทรัพย์สินดังกล่าวแม้เจ้าหนี้ของสมาชิกในคดีล้มละลาย และเมื่อ ธปท. ได้ดำเนินการบังคับหลักประกันแล้วเหลือเป็นจำนวนเท่าใด ให้ส่งหลักทรัพย์สินส่วนที่เหลือคืนแก่สมาชิก

มาตรา 11 การใช้สิทธิเรียกร้องอย่างอื่น การโอน หรือการกระทำอื่นใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายว่าด้วยล้มละลายสามารถกระทำได้ แต่การใช้สิทธิเช่นว่านั้นไม่กระทบต่อผลสมบูรณ์ของการดำเนินการในระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญตามมาตรา 4

หมวด 2

ระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ

มาตรา 12 รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. มีอำนาจประกาศกำหนดให้ระบบการชำระเงินที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับเพื่อคุ้มครองผู้ใช้

(1) ระบบการชำระเงินที่เป็นระบบการโอนเงินระหว่างผู้รับบริการของระบบเพื่อรองรับการโอนเงิน หรือการชำระธุรกรรม เช่น ระบบโอนเงินรายย่อยระหว่างผู้ใช้บริการของระบบ ระบบเคลียร์ริ่ง ระบบการชำระธุรกรรม หรือ (2) ระบบการชำระเงินที่เกี่ยวข้องส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ความเชื่อมั่นของสาธารณชน หรือเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการชำระเงิน รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. มีอำนาจประกาศกำหนดให้ระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับตาม (1) ที่เป็นระบบการชำระเงินที่เป็นนวัตกรรมซึ่งนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้และอยู่ระหว่างการทดสอบการให้บริการ หรือระบบการชำระเงินที่มีผู้ใช้บริการของระบบในวงจำกัดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการชำระเงินหรือประโยชน์สาธารณะในวงกว้าง เป็นระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับที่จะแยกต่างหากจากระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับทั่วไป การประกาศตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. จะกำหนดประเภทหรือลักษณะของการประกอบธุรกิจด้วยก็ได้

มาตรา 13 การประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับจะกระทำได้เฉพาะเมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วน หรือมีการรับอนุญาต หรือจดทะเบียนตามที่ ธปท. ประกาศกำหนด โดยให้เป็นไปตามกฎหมาย รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. หรือที่ ธปท. กำหนด ทั้งนี้ ในกรณีอนุญาตหรือจดทะเบียน รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท.

การขออนุญาต การจดทะเบียน และการดำเนินงาน ตลอดจนการเพิกถอนสิทธิหรือการยกเลิกจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่ ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา ๑๔ ห้ามมิให้ผู้ได้รับอนุญาตหรือขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับแต่งตั้งหรือมอบให้บุคคลซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการหรือผู้ซึ่งมีอำนาจจัดการของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว

(๑)

อยู่ในระหว่างถูกพิทักษ์ทรัพย์ หรือเป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายและยังไม่พ้นจากเหตุอันเป็นตัวห้ามที่ศาลสั่งการล้มละลายหรือปลดจากล้มละลาย

(๒)

เป็นบุคคลวิกลจริต คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(๓)

เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปราม ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอกหรือรับของโจร ไม่ว่าจะมีการรอการลงโทษหรือไม่ก็ตาม หรือเคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

(๔)

เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือเคยเป็นบุคคลที่ถูกคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด หรือต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดฐานสนับสนุนทางการเงินแก่การกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย หรือที่มีอำนาจหน้าที่ออกคำสั่ง

(๕)

เป็นกรรมการหรือผู้บริหารของสถาบันการเงินที่ถูกสั่งให้เลิกประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับหรือธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับหรือถูกเพิกถอนการอนุญาตหรือขึ้นทะเบียน

(๖)

เคยเป็นผู้ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการ หรือผู้บริหารบริษัทมหาชนจำกัดเพราะเหตุมีลักษณะอันแสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารกิจการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

(๗)

เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินหรือบริการการชำระเงินโดยมิได้รับอนุญาตหรือขึ้นทะเบียน

(๘)

เป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามหรือขาดคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ตามที่ ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา ๑๕ ผู้ประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับในรูปบริษัทจะต้องเลิกประกอบธุรกิจ ต้องแจ้ง ธปท. ตามที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ตามที่ ธปท. ประกาศกำหนด

ภายหลังได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่งแล้วมีสิทธิเลิกประกอบธุรกิจ ธปท. มีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจตามวรรคหนึ่งต้องปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ใช้บริการก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจตามวรรคหนึ่งมิใช่ผู้ประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินที่ได้รับอนุญาต จากรัฐมนตรี ให้ ธปท. เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุญาต ทั้งนี้ ในการอนุญาต รัฐมนตรี จะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติตามด้วยก็ได้

หมวด ๓

บริการการชำระเงินภายใต้การกำกับ

มาตรา ๑๒ รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. มีอำนาจประกาศกำหนดให้บริการ การชำระเงินต่อไปนี้ เป็นบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับที่ต้องขออนุญาต

(๑)

การให้บริการบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตรเดทเอิ่ม

(๒)

การให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์

(๓)

การให้บริการรับชำระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แทนผู้จ่ายสินค้าหรือผู้ให้บริการ หรือเข้าหนึ่ง

(๔)

การให้บริการโอนเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์

(๕)

การให้บริการชำระเงินอื่นใดที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน หรือประโยชน์ สาธารณะ รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. มีอำนาจประกาศกำหนดให้บริการการชำระเงินที่มิใช่บริการ การชำระเงินตามวรรคหนึ่งเป็นบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับที่ต้องขออนุญาตได้ หากเห็นว่า การทดลองการให้บริการ หรือบริการการชำระเงินที่ให้บริการลูกค้าในวงจำกัดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อ ระบบการชำระเงินหรือประโยชน์สาธารณะในวงกว้าง เป็นบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับที่จะต้อง ขึ้นทะเบียนกับ ธปท. การประกาศตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. จะกำหนด ประเภทหรือลักษณะของการประกอบธุรกิจดังกล่าวก็ได้

มาตรา ๑๓ การประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับกับประเภทที่ได้กำหนด ให้เป็นบุคคลประเภทบริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด หรือบุคคลอื่นตามที่ ธปท. ประกาศกำหนด โดยได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๒ วรรคหนึ่ง หรือขึ้นทะเบียนกับ ธปท. ตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง ในการอนุญาตหรือขึ้นทะเบียน รัฐมนตรี หรือ ธปท. จะกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมที่เหมาะสมก็ได้ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ธปท. ประกาศกำหนด

การอนุญาตตามวรรคหนึ่งให้มีระยะเวลาตามที่รัฐมนตรีกำหนด การขึ้นทะเบียนตามวรรคหนึ่งให้มีระยะเวลาตามที่ ธปท. กำหนด

มาตรา ๑๔ ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับต้องจัดทำรายงานการดำเนินงาน และจัดส่งรายงานดังกล่าวให้ ธปท. ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา ๑๕ ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินที่มิใช่บริการการชำระเงินภายใต้การกำกับ ต้องจัดทำบัญชีเงินรับจ่ายที่แยกต่างหากจากบัญชีเงินรับจ่าย และต้องเก็บบัญชีเงินรับจ่ายแยกต่างหาก

จากทรัพย์สินของตน โดยไม่นำเอาไปใช้เพื่อการอื่นใดได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด เพื่อประโยชน์ตามมาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๑ ให้ถือว่าเงินรับล่วงหน้ายังคงเป็นทรัพย์สินของผู้ใช้บริการ แต่หากมีผลเกิดขึ้นให้ตกลงบันทึกเป็นทรัพย์สินของผู้ประกอบธุรกิจ

มาตรา ๒๐ เมื่อผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินตามมาตรา ๑๕ ถูกสั่งระงับการดำเนินกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือถูกสั่งให้เลิกกิจการ ถูกฟ้องล้มละลาย หรือถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ให้แจ้งว่าเงินรับล่วงหน้าที่อยู่ในการครอบครองของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวได้รับการคุ้มครองโดยไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การห้ามจำหน่าย จ่าย หรือโอน ตามคำสั่งอื่นของกฎหมายที่ให้ระงับการดำเนินกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวถูกสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรการล้มละลาย หรือถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ให้แจ้งว่าเงินรับล่วงหน้าที่อยู่ในการครอบครองของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวได้รับการคุ้มครองโดยไม่ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การยึดหรืออายัดในคดีแพ่ง หรือเป็นทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย ในกรณีผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวถูกสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรการล้มละลาย ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และ ธปท. ร่วมกันดำเนินการจัดการเงินรับล่วงหน้า โดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด ดังต่อไปนี้

(ก)

รวมรวมเงินรับล่วงหน้าทั้งหมดและจัดสรรคืนแก่แก่ผู้ใช้บริการ

(ข)

โอนบัญชีและเงินรับล่วงหน้าไปให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินรายอื่น

(ค)

ดำเนินการอื่นใดเพื่อให้การจัดการเงินรับล่วงหน้าสำเร็จลุล่วงไป ในการดำเนินการตามวรรคสอง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และ ธปท. จะมอบอำนาจให้บุคคลใดดำเนินการแทนก็ได้ ในการจัดการเงินรับล่วงหน้าตามวรรคสอง ให้ผู้ใช้บริการซึ่งไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวในลักษณะตามที่ ธปท. ประกาศกำหนด มีสิทธิได้รับจัดสรรคืนเท่านั้น เพื่อให้การจัดการเงินรับล่วงหน้าสำเร็จลุล่วงไป หากผู้ใช้บริการได้รับเงินคืนไม่ครบจำนวน ให้ผู้ใช้บริการดังกล่าวมีสิทธิเรียกร้องชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังคงค้างอยู่โดยแสดงตนต่อผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว ทั้งนี้ ต้องยื่นร้องขอภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการล้มละลาย

มาตรา ๒๑ ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินต้องจัดให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับการดำเนินการเงินรับล่วงหน้าให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา ๒๒ ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินอาจยกเลิกการดำเนินกิจการกับโดยมีวัตถุประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจ ต้องแจ้ง ธปท. ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ธปท. ประกาศกำหนด

ภายหลังได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่งจนถึงเลิกประกอบธุรกิจ ธปท. มีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจ ตามวรรคหนึ่งต้องปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ใช้บริการก็ได้ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินที่ได้รับอนุญาต จากรัฐมนตรี ให้ ธปท. เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุญาต ทั้งนี้ ในการอนุญาต รัฐมนตรี จะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้

หมวด ๔

การกำกับดูแล การตรวจสอบ และการแก้ไขฐานะหรือการดำเนินงาน

มาตรา ๒๕ ให้ ธปท. มีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การให้บริการระบบการชำระเงิน ภายใต้การกำกับและบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับ ในเรื่องดังต่อไปนี้

(๑)

กรอบและฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน

(๒)

มาตรฐานในการประกอบธุรกิจ

(๓)

การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล

(๔)

การบริหารจัดการความเสี่ยง

(๕)

การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการ

(๖)

การคุ้มครองข้อมูลลูกค้าและความลับ

(๗)

การกำหนดหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลของผู้ใช้บริการ

(๘)

การตรวจสอบและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบ

(๙)

การคุ้มครองผู้ใช้บริการ

(๑๐)

การจัดทำบัญชี การส่งแสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานต่อ ธปท.

(๑๑)

การเก็บรักษาข้อมูลสำหรับบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับ

(๑๒)

เรื่องอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการดูแล ความมั่นคง ความปลอดภัยของระบบการชำระเงิน การคุ้มครองผู้ใช้บริการ หรือการส่งเสริมการใช้บริการและการพัฒนาระบบการชำระเงิน

มาตรา ๒๖ ให้ผู้ประกอบธุรกิจเก็บรักษาข้อมูล บัญชี เอกสาร ทรัพย์ หรือหลักฐานอื่น อันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์ และหนี้สินเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา ๒๗ ธปท. อาจกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำรายงาน หรือข้อมูลไม่ว่า ในรูปสื่อใด ๆ หรือแสดงเอกสารใดตามระยะเวลาที่ธปท. กำหนด รวมทั้งแจ้งเพื่อชี้แจงหรือ ขยายความรายงานหรือข้อมูลหรือเอกสารดังกล่าวต่อ ธปท. หรือบุคคลที่ ธปท. มอบหมาย

ธปท. อาจกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดให้กรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือพนักงานของ ผู้ประกอบธุรกิจ มาให้ถ้อยคำ แสดงข้อมูล บัญชี เอกสารและหลักฐานอื่นอย่างเพิ่มเติม ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ งบการเงิน รายงาน ข้อมูล บัญชี เอกสาร หรือคำชี้แจงที่มีหรือแสดงตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ผู้ประกอบธุรกิจต้องทำให้ครบถ้วนและตรงต่อความเป็นจริง ในกรณีที่ ธปท. เห็นว่า งบการเงิน รายงาน ข้อมูล บัญชี เอกสาร หรือคำชี้แจงที่ผู้ประกอบธุรกิจส่งหรือแสดงตามวรรคหนึ่ง มีข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือมีข้อความอันคลาดเคลื่อนไปจากเดิม หรือในกรณีที่ ธปท. เห็นว่าจำเป็นหรือสมควร ให้ ธปท. มีอำนาจแต่งตั้งผู้สอบบัญชีหรือผู้เชี่ยวชาญการสอบบัญชีเพื่อดำเนินการตรวจสอบและรายงานผลให้ ธปท. ทราบ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย

มาตรา 27 ให้ ธปท. มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของ ธปท. เป็นผู้ตรวจการ เพื่อตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์ และหนี้สินของผู้ประกอบธุรกิจในการทั่วไปหรือเป็นการเฉพาะก็ได้ ให้ผู้ตรวจการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) สั่งให้กรรมการ ผู้จัดการ พนักงาน ลูกจ้างของผู้ประกอบธุรกิจ และผู้รวบรวมหรือประมวลข้อมูลของผู้ประกอบธุรกิจ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์หรือด้วยอุปกรณ์อื่น มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์ และหนี้สินของผู้ประกอบธุรกิจ ส่งสำเนาหรือแสดงข้อมูล บัญชี เอกสาร งวดงาน หรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง (2) เข้าไปในสถานที่ที่เป็นประโยชน์แก่การตรวจสอบกิจการของผู้ประกอบธุรกิจหรือในสถานที่ที่ประกอบกิจการของผู้ประกอบธุรกิจ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์หรือด้วยอุปกรณ์อื่น เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้รวบรวมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง และเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดี ทั้งนี้ การออกคำสั่งหรือขอถ่ายคำต่อด้วยเหตุผลที่แสดงความจำเป็น และสิทธิของผู้ถูกตรวจสอบต้องได้รับการคุ้มครอง การใช้อำนาจตามที่ผู้ตรวจการตาม (1) (2) (a) (b) (c) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ธปท. ประกาศกำหนด ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการ ให้ผู้ตรวจการมีอำนาจมอบหมายให้บุคคลใดเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการเพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือคนในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการได้ ให้ผู้ตรวจการรายงานผลการตรวจสอบต่อ ธปท. ตามแนวที่ ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา ๒๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการและผู้ช่วยผู้ตรวจการ ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร

มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๗ ผู้ตรวจการต้องแสดงบัตรประจำตัวที่ ธปท. เป็นผู้ออกแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง

ตราประจำตัวผู้ตรวจการให้เป็นไปตามแบบที่ ธปท. ประกาศกำหนด

มาตรา ๓๐ ให้ผู้ตรวจการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๓๑ เมื่อปรากฏว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่ประกอบธุรกิจหรือหยุดประกอบธุรกิจตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด ให้รัฐมนตรีมีอำนาจเพิกถอนการอนุญาตหรือ ธปท. มีอำนาจเพิกถอนการขึ้นทะเบียนของผู้ประกอบธุรกิจนั้นได้ แล้วแต่กรณี

ธปท. ต้องกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่หยุดประกอบธุรกิจตามวรรคหนึ่งต้องปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ใช้บริการด้วยก็ได้

มาตรา ๓๒ เมื่อปรากฏว่าผู้ประกอบธุรกิจมีฐานะทางการเงินหรือการดำเนินงานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือฝ่าฝืนหรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด อาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจนั้นแก้ไขเหตุที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือแก้ไขการฝ่าฝืนหรือการละเลยนั้นภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรีหรือ ธปท. กำหนดให้ ธปท. รายงานให้รัฐมนตรีทราบด้วย

หากผู้ประกอบธุรกิจไม่ดำเนินการแก้ไขตามคำสั่งดังกล่าวให้แล้วเสร็จ ธปท. อาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจระงับการดำเนินงานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือนำมาคำนวณให้ถูกต้อง ในกรณี ธปท. จะกำหนดหลักเกณฑ์ใด ๆ ด้วยก็ได้ ทั้งนี้ หากเป็นการสั่งระงับการดำเนินงานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นการชั่วคราวสำหรับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ ธปท. รายงานให้รัฐมนตรีทราบด้วย หากผู้ประกอบธุรกิจยังคงฝ่าฝืนไม่ดำเนินการตามความในวรรคสอง หรือกระทำความผิดซ้ำอีก ธปท. อาจเสนอให้รัฐมนตรีเพิกถอนการอนุญาต หรือ ธปท. มีคำสั่งเพิกถอนการขึ้นทะเบียนแล้วแต่กรณี ในกรณี ธปท. หรือรัฐมนตรีอาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจนั้นต้องปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ใช้บริการด้วยก็ได้ ในกรณีที่ ธปท. พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ประกอบธุรกิจมีฐานะทางการเงินหรือการดำเนินงานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือฝ่าฝืนหรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด และมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้ใช้บริการหรือประชาชน ธปท. อาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจระงับการดำเนินงานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเป็นการชั่วคราวได้ แล้วแต่กรณี

มาตรา ๓๓ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองดูแลเสถียรภาพระบบการชำระเงิน หรือเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการให้บริการระบบการชำระเงิน หรือมีการให้บริการชำระเงิน

ในประเทศไทยไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัตินี้ ให้ ธปท. มีอำนาจสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบหรือบริการดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุ ส่งเอกสาร หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ภายในระยะเวลาที่กำหนด

มาตรา ๑๔ ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. มีอำนาจประกาศกำหนดการทำธุรกรรมใด ๆ เกี่ยวกับระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือขึ้นทะเบียนตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๕ ในกรณีที่มีระบบหรือบริการใดที่มีลักษณะใกล้เคียงกับระบบหรือบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับตามพระราชบัญญัตินี้ หากระบบหรือบริการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินหรือระบบการชำระเงินของประเทศ หรืออาจส่งผลกระทบต่อสาธารณชน ธปท. อาจเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดให้การให้บริการระบบหรือบริการดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลระบบหรือบริการดังกล่าวกับระบบหรือบริการการชำระเงินตามพระราชบัญญัตินี้ แต่ในบังคับระบบหรือบริการที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกานั้นโดยอุปไมย ทั้งนี้ ธปท. จะกำหนดหลักเกณฑ์การให้บริการดังกล่าวต่อไปได้

หมวด ๕

การอุทธรณ์

มาตรา ๑๖ ผู้ซึ่งคำสั่งตามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๒๑ มาตรา ๓๑ หรือมาตรา ๓๒ ผู้ใดเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งต่อไปนี้

(๑)

ในกรณีที่ ธปท. เป็นผู้ออกคำสั่ง ให้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี

(๒)

ในกรณีที่รัฐมนตรีเป็นผู้ออกคำสั่ง ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ให้กฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับกับการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัตินี้โดยอนุโลม

หมวด ๖

บทกำหนดโทษ

ส่วนที่ ๑

โทษทางปกครอง

มาตรา ๑๗ ให้มีคณะกรรมการพิจารณาโทษปรับทางปกครองคณะหนึ่งซึ่งประกอบด้วย ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ผู้แทน ธปท. และผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด

เป็นกรรมการ มีอำนาจในการพิจารณาลงโทษปรับทางปกครอง โดยให้ ธปท. แต่งตั้งพนักงาน ธปท. คนหนึ่งเป็นเลขานุการ ให้ ธปท. เป็นผู้รวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่มีโทษทางปกครองเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาโทษปรับทางปกครองเพื่อพิจารณา การพิจารณาและการสั่งค่าปรับทางปกครอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

มาตรา ๓๗ ในการพิจารณาลงโทษปรับทางปกครอง คณะกรรมการพิจารณาโทษปรับทางปกครองต้องคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำ ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำนั้น ตลอดจนความหนักเบาของโทษที่จะใช้แก่ผู้ถูกลงโทษ

มาตรา ๓๘ ในกรณีที่ผู้ถูกลงโทษปรับทางปกครองไม่ยอมชำระค่าปรับทางปกครอง ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับ และในกรณีที่ไม่มีหน่วยงานที่ดำเนินการบังคับตามคำสั่ง หรือมิได้มีมาตรการดำเนินการบังคับตามคำสั่งได้ ให้ ธปท. มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับชำระค่าปรับ ในกรณีนี้ ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคำสั่งให้ชำระค่าปรับนั้นชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองจะมีคำสั่งให้บังคับชำระค่าปรับทางปกครองและบังคับให้มีการชำระค่าปรับทางปกครองพร้อมดอกเบี้ยตามที่ศาลกำหนด

มาตรา ๓๙ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เป็นการละเมิดอาญา

มาตรา ๔๐ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจตามได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ หรือประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับที่ไม่เป็นไปตามประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือคำสั่งที่กำหนดตามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๗ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๒๘ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินสองล้านบาท

มาตรา ๔๑ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ที่ขึ้นทะเบียนประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ หรือประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับที่ไม่เป็นไปตามประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือคำสั่งที่กำหนดตามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๗ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๒๘ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินสองล้านบาท

มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ หรือประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับที่ไม่เป็นไปตามประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือคำสั่งที่กำหนดตามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๗ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๒๘ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินสองล้านบาท

มาตรา ๔๓ การกระทำความผิดที่มีโทษปรับทางปกครองตามพระราชบัญญัตินี้ หรือผู้ถูกลงโทษ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวเป็นนิติบุคคลหรือกรรมการและไม่ได้มีการหรือไม่ปรากฏว่าเป็นเหตุให้บุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้แทนต้องรับโทษตามบัญญัติที่ใช้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย

ส่วนที่ 2

โทษอาญา

มาตรา 44 ผู้ใดประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับโดยมิได้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 13 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดประกอบธุรกิจระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา 13 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทต่อวันตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 45 ผู้ใดประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับโดยมิได้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 13 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับโดยมิได้รับอนุญาตตามมาตรา 13 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทต่อวันตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 46 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 8 หรือมาตรา 22 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสิบล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 47 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 33 หรือมาตรา 34 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 48 ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจการ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในราชกิจจานุเบกษาและหนังสือพิมพ์รายวันหรือผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์สาธารณะอื่นใดแล้ว บุคคลทุกคนได้ทราบคำสั่งนั้น

มาตรา 49 ผู้ใดรู้หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์สินของผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับนั้น โดยทุจริต ยักย้าย ซุกซ่อน รับ หรือจัดการเงินรับส่วนหนึ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับไว้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี หรือปรับไม่เกินสามเท่าของมูลค่าทรัพย์สินนั้น หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๕ ผู้ใดให้อยู่ภายใต้อำนาจเป็นเหตุด้วยการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๖ ผู้ใดถอด ทำให้เสียหาย ทำลาย หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งอุปกรณ์หรือเครื่องหมาย ซึ่งผู้ตรวจการได้จัดทำหรือหมายไว้แล้วใด ๆ ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๗ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินหรือเอกสารใด ๆ อันผู้ตรวจการ ได้ยึด อายัด รักษาไว้ หรือสั่งให้ส่งเพื่อเป็นพยานหลักฐานหรือเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ว่าผู้ตรวจการจะรักษาทรัพย์สินหรือเอกสารนั้นไว้เอง หรือมอบให้ผู้อื่นรักษาไว้ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๘ ผู้ใดจงใจรักษาการของผู้ประกอบธุรกิจหรือข้อมูลจากการปฏิบัติงานอำนาจหน้าที่ที่กำหนดในกฎหมายหรือเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานอำนาจหน้าที่ที่กำหนดในกฎหมายอย่างเป็นทางการหรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายให้เป็นไปโดยเปิดเผยข้อมูลอันเป็นความลับของผู้ประกอบธุรกิจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่เป็นการกระทำในกรณีดังต่อไปนี้

(๑)

การเปิดเผยตามหน้าที่หรือเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน

(๒)

การเปิดเผยเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

(๓)

การเปิดเผยแก่หน่วยงานในประเทศและต่างประเทศที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจนั้น

(๔)

การเปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานที่ของหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจตามข้อตกลงที่มีระหว่างกัน

(๕)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจ

(๖)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการที่ได้รับความเสียหายแล้ว

(๗)

การเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้

มาตรา ๔๙ ผู้ใดจงใจหรือได้มาซึ่งความลับของผู้ประกอบธุรกิจโดยทุจริตหรือโดยที่เป็นกรรมการ ผู้ซึ่งมีอำนาจจัดการ พนักงาน หรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานในหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจโดยทุจริตหรือโดยมิชอบหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของผู้ประกอบธุรกิจนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความรับผิดทางอาญาตามมาตรา ๔๘ และมาตรา ๔๙ วรรคสอง

(๑)

ในกรณีที่มีการกระทำผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำผิดดังกล่าวต้องอาศัยบุคคลอื่นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบใน การดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้บุคคลดังกล่าวกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย บทเฉพาะกาล

มาตรา 45 เมื่อรัฐมนตรีได้ประกาศกำหนดระบอบการชำระเงินหรือบริการการชำระเงินใดให้อยู่ภายใต้การกำกับตามมาตรา 12 และมาตรา 12 แล้ว ผู้ซึ่งประกอบกิจการอยู่ในวันที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและเป็นกิจการระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับหรือบริการการชำระเงินภายใต้การกำกับตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ถ้ามีประสงค์จะประกอบกิจการต่อไป ให้ยื่นคำขออนุญาตหรือขึ้นทะเบียน ต่อ ธปท. ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เมื่อได้ยื่นคำขออนุญาตหรือขึ้นทะเบียนตามประกาศของรัฐมนตรีแล้ว ให้ดำเนินกิจการต่อไปได้จนกว่ารัฐมนตรีหรือ ธปท. จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันการกำกับดูแลระบบ การชำระเงินของสถาบันการเงินเป็นบทบาทสำคัญประการหนึ่งของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับได้มี การกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำกับดูแลหรือรับผิดชอบระบบการชำระเงินตามกฎหมายอื่นด้วยทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงินอย่างเป็นระบบ มีความเชื่อมโยงภาพ รวมกับระบบการเงินของประเทศ รวมทั้งเพื่อรองรับและส่งเสริมเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สมควรกำหนดให้การกำกับดูแลระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงินอยู่ในลักษณะกฎหมาย ฉบับเดียวกัน โดยกำหนดมาตรการในการกำกับดูแลระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงินด้วยการอนุญาต หรือขึ้นทะเบียน และบทกำหนดโทษทางปกครองและโทษอาญา จึงมีความจำเป็นต้องจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ของบุคคลในบางกรณี นอกจากนี้ ให้กำหนดหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานสากลเกี่ยวกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายที่สำคัญของการชำระเงิน ตลอดจนการให้ความคุ้มครองมิให้การชำระเงิน มีการยกเลิกเพิกถอนในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย อันจะทำให้ระบบการชำระเงินของประเทศเกิดเสถียรภาพและความมั่นคงและดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้