로고

พระราชบัญญัติ ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พุทธศักราช ๒๔๗๗ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ตามประกาศคณะราษฎรสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗) อนุวัตร์จาตุรนต์ อาทิตย์ทิพอาภา เจ้าพระยายมราช ตราไว้ ณ วันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๗ เป็นปีที่ ๑ ในรัชกาลปัจจุบัน โดยที่สมควรปรับปรุงกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในบัดนี้ และให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแทน จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า "พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พุทธศักราช ๒๔๗๗"

มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ได้ตราไว้ต่อท้ายพระราชบัญญัตินี้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ เป็นต้นไป

บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ได้ประกาศไว้ก่อนตราพระราชบัญญัตินี้ ยกเว้นแต่บทบัญญัติที่ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งถึงที่สุดแล้ว และกฎหมายที่ได้ตราขึ้นเพื่อรับรองบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ให้ใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือกฎหมายที่ได้ตราขึ้นเพื่อรับรองบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นจะได้มีการยกเลิกหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้วแต่กรณี * ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๑/หน้า ๑๐๗/๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๗

มาตรา ๔ ตั้งแต่วันที่ประกาศกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนี้ใช้บังคับ ให้ยกเลิก บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ในส่วนที่มีบัญญัติไม่สอดคล้องกับประมวลกฎหมายนี้ หรือซึ่งแย้ง กับบทแห่งประมวลกฎหมายนี้

มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงตามที่เห็นสมควรเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

มาตรา ๖ ให้มีระเบียบว่าด้วยการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมอันออกโดยคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง หรือข้อบังคับที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับได้

จัดวางระเบียบทางธุรการในเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดี รวมทั้งกำหนดค่าธรรมเนียม นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๕ ท้ายประมวลกฎหมายนี้ ตลอดจนการจัดให้เจ้าหน้าที่บุคคลเหล่านั้น

จัดวางระเบียบทางธุรการในเรื่องการยึดและอายัด และการจำหน่ายทรัพย์สินเป็นเงินในวิธีขายทอดตลาดหรือโดยวิธีอื่น และในเรื่องวิธีการบังคับคดีทางอื่น ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะพึงปฏิบัติ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

มาตรา ๗ ให้ประกาศหลักฐานโดยคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมอันออกด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง หรือข้อบังคับที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับได้

จัดวางระเบียบทางธุรการในเรื่องการยื่นและการต่อสู้คดี รวมทั้งกำหนดค่าธรรมเนียม นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๕ ท้ายประมวลกฎหมายนี้ ตลอดจนการจัดให้เจ้าหน้าที่บุคคลเหล่านั้น

จัดวางระเบียบทางธุรการในเรื่องการเก็บรักษาและการทำลายสำนวนความ สารบบคำพิพากษา สมุดคำพิพากษา และสารบบอื่น ๆ ของศาล ตลอดจนความความให้พิจารณา

จัดวางระเบียบทางธุรการในเรื่องการยื่นและการต่อสู้คดีทางอาญา เข้าแทนที่ของศาลเพื่อยื่นคำอุทธรณ์หรือฎีกาในคำคอ้างความหรือบุคคลผู้มีสิทธิ และในเรื่องวิธีที่จะวางให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดคดีอันเกิดในศาลอื่น

จัดวางระเบียบทางธุรการในเรื่องที่ศาลอาจมีเหตุจะส่งคืนฉบับเอกสารไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง ข้อบังคับนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ *มาตรา ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๘ *มาตรา ๕ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๘ *มาตรา ๖ (๑) (๔) แก้ไขโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี สารบัญ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา

ภาค ๑ บททั่วไป

ลักษณะ ๑ บทนิยามและที่ตั้งศาล

ลักษณะ ๒ ศาล

หมวด ๑ เขตอำนาจศาล ๒-๑๐

หมวด ๒ การสั่งคดีในศาล ๑๑-๑๔

หมวด ๓ อำนาจและหน้าที่ของศาล ๑๕-๒๔

หมวด ๔ การนั่งพิจารณา ๒๕-๔๔

หมวด ๕ รายงานและสำนวนความ ๔๕-๕๕

ลักษณะ ๓ คู่ความ

ลักษณะ ๔ การยื่นและส่งคำคู่ความและเอกสาร ๕๖-๖๓

ลักษณะ ๕ พยานหลักฐาน

หมวด ๑ พยานหลักฐานทั่วไป ๖๔-๘๔

หมวด ๒ ว่าด้วยการนำสืบพยานและการซักถามพยาน ๘๕-๙๔

หมวด ๓ พยานเอกสารและการสืบ ๙๕-๑๐๓ ทวี

หมวด ๔ การตรวจและการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญโดยศาล ๑๐๔-๑๑๐

ลักษณะ ๖ คำสั่ง

หมวด ๑ หลักทั่วไปว่าด้วยการสั่งคดีในศาล ๑๑๑-๑๑๓

หมวด ๒ ข้อความและผลแห่งคำพิพากษาและคำสั่ง ๑๑๔-๑๒๘

หมวด ๓ คำพิพากษาและคำสั่ง ๑๒๙-๑๓๐

ส่วนที่ ๑ การกำหนดและการชำระค่าธรรมเนียม

และการขอรับค่าธรรมเนียมศาล ๑๓๑-๑๓๖

ส่วนที่ ๒ ความรับผิดชอบที่เกิดในค่าธรรมเนียมศาล ๑๓๗-๑๓๗/๓

ภาค ๒ วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้น

ลักษณะ ๑ วิธีพิจารณาสามัญในศาลชั้นต้น ๑๓๘-๑๘๔

ลักษณะ ๒ วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้น

หมวด ๑ วิธีพิจารณาคดีไม่มีข้อโต้แย้ง ๑๘๕-๑๙๙

หมวด ๒ การพิจารณาโดยขาดนัด ๒๐๐-๒๐๓

ส่วนที่ ๑ การขาดนัดยื่นคำให้การ

ส่วนที่ ๒ การขาดนัดพิจารณา

หมวด ๓ อนุโลมวิธีการ ๒๐๔-๒๐๕

หมวด ๔ การดำเนินคดีแบบกลุ่ม

ส่วนที่ ๑ บททั่วไป

๒๒๒/๑-๒๒๒/๓

ส่วนที่ ๒ การขออนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม

๒๒๒/๔-๒๒๒/๑๓

ส่วนที่ ๓ การพิจารณาคดีแบบกลุ่ม

๒๒๒/๑๔-๒๒๒/๒๔

ส่วนที่ ๔ คำพิพากษาและการบังคับคดี

๒๒๒/๒๕-๒๒๒/๓๔

ส่วนที่ ๕ อุทธรณ์และฎีกา

๒๒๒/๓๕-๒๒๒/๓๖

ส่วนที่ ๖ ค่าธรรมเนียม

๒๒๒/๓๗ ภาค ๓ อุทธรณ์และฎีกา

ลักษณะ ๑ อุทธรณ์

๒๒๓-๒๔๒

ลักษณะ ๒ ฎีกา

๒๔๓-๒๔๘ ภาค ๔ วิธีการชั่วคราวก่อนพิจารณาและการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง

ลักษณะ ๑ วิธีการชั่วคราวก่อนพิจารณา

๒๔๙-๒๕๔

หมวด ๑ หลักทั่วไป

๒๔๙

หมวด ๒ คำขอในเหตุฉุกเฉิน

๒๕๐-๒๕๑

หมวด ๓ คำขอเกี่ยวกับพฤติการณ์อย่างอื่น

๒๕๒-๒๕๔

หมวด ๑ หลักทั่วไป

๒๕๕

ส่วนที่ ๑ ศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดี

๒๕๖

ส่วนที่ ๒ คำบังคับ

๒๕๗

ส่วนที่ ๓ การบังคับคดี

๒๕๘

ส่วนที่ ๔ การพิจารณาคำขอบังคับคดี

๒๕๙

ส่วนที่ ๕ การบังคับคดีต่อส่วนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

๒๖๐

ส่วนที่ ๖ อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี

๒๖๑

ส่วนที่ ๗ ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี

๒๖๒

ส่วนที่ ๘ การสาบสูญ

๒๖๓

ส่วนที่ ๙ การถอนการบังคับคดี

๒๖๔

ส่วนที่ ๑๐ การบังคับคดีกรณีที่มีระเบียบ

๒๖๕

หมวด ๒ การบังคับคดีในกรณีที่เป็นเงิน

๒๖๖

ส่วนที่ ๑ อำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี

๒๖๗

ส่วนที่ ๒ ทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามคำพิพากษา

๒๖๘

ส่วนที่ ๓ การอายัดทรัพย์สิน

๒๖๙

ส่วนที่ ๔ การขายทอดตลาด

๒๗๐-๒๗๑

ส่วนที่ ๕ การชำระหนี้เรียงลำดับ

๒๗๒ * ภาค ๒ ลักษณะ ๒ หมวด ๔ การดำเนินคดีแบบกลุ่ม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘

ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๐

ส่วนที่ 5 การขอให้ศาลบังคับบุคคลรายย่อยกระทําหน้าที่ ตามสิทธิเรียกร้อง 212-213

ส่วนที่ 6 สิทธิของบุคคลภายนอกและผู้เสียหาย เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดี 214-215

ส่วนที่ 7 การขอเลื่อนและการแก้ไขคําสั่งในการบังคับคดีต่อไป 216-217

ส่วนที่ 8 การร้องขัดทรัพย์ 218-220

ส่วนที่ 9 การตั้งผู้จัดการหรือผู้แทนทรัพย์สินในการบังคับคดี แทนการขายทอดตลาด 221-222

ส่วนที่ 10 การทําบัญชีส่วนเฉลี่ย 223-224

ส่วนที่ 11 เงินค้างจ่าย 225

หมวด 3 การบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง 226-228

หมวด 4 การบังคับคดีในกรณีที่ให้ทําไม่ได้ 229

ส่วนที่ 1 การบังคับคดีในกรณีที่ผู้ชําระหนี้ถูกบังคับคดี ต้องออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในครอบครอง หรือทรัพย์ที่ครอบครอง 230-231

ส่วนที่ 2 การบังคับคดีในกรณีที่ผู้ชําระหนี้ถูกบังคับคดี ต้องส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งสิ้น หรือบางส่วนของทรัพย์สิน ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์ที่ครอบครอง 232-233

ส่วนที่ 3 การบังคับคดีในกรณีที่ผู้ชําระหนี้ถูกบังคับคดี ต้องส่งมอบสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในครอบครอง 234-235

หมวด 5 การบังคับคดีในกรณีที่ให้แบ่งในกรณีทรัพย์สินที่แบ่งได้ 236

หมวด 6 การบังคับคดีในกรณีที่ให้แบ่งในกรณีทรัพย์สินที่แบ่งไม่ได้ 237-238

หมวด 7 การบังคับคดีในกรณีที่ให้แบ่งในกรณีทรัพย์สินที่มีทะเบียน 239

หมวด 8 การบังคับคดีในกรณีที่ให้แบ่งในกรณีทรัพย์สินที่มีทะเบียน และกําหนดมูลค่าที่บังคับคดีทุกกรณี 240-245

หมวด 9 การบังคับในกรณีการบังคับประกันในศาล 246-247

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 1 บททั่วไป

ลักษณะ 1

บทเบ็ดเสร็จทั่วไป

มาตรา 1 ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้ามีข้อความมิได้แสดงให้เห็นเจตนาเป็นอย่างอื่น

(ก) “ศาล” หมายความว่า ศาลยุติธรรมหรือผู้พิพากษาที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง (ข) “คดี” หมายความว่า กระบวนพิจารณาในชั้นศาลเพื่อบังคับหรือคุ้มครองสิทธิของบุคคลหรือเพื่อการใช้สิทธิหรือหน้าที่ (ค) “คำฟ้อง” หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ไม่ว่าจะได้เสนอในรูปของคำฟ้องเดิมหรือคำร้องขอหรือโดยวิธีอื่นใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือฟ้องเพิ่มเติมหรือโดยวิธีอื่นใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ (ง) “คำให้การ” หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่จำเลยได้เสนอข้อหาต่อศาล เป็นข้อแก้คำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้ นอกจากคำแถลงการณ์ (จ) “คำคู่ความ” หมายความว่า บรรดาคำฟ้อง คำให้การหรือคำร้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต่อศาลเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณา (ฉ) “คำแถลงการณ์” หมายความว่า คำแถลงด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือ ซึ่งคู่ความ ฝ่ายหนึ่งกระทำหรือยื่นต่อศาล ด้วยผู้พิพากษาที่จะเสนอความเห็นต่อศาลในประเด็นที่ได้ ยกขึ้นอ้างในคำคู่ความหรือเป็นฐานที่ได้ศาลจะมีมติสั่งหรือคำพิพากษา ซึ่งเป็นข้อที่คู่ความ ฝ่ายนั้นมิได้ยกขึ้นแต่อย่างใด หรือคำแถลงหรือข้อโต้แย้งหรือข้อเรียกร้องที่ฝ่ายหนึ่งเสนอ ปัญหากฎหมายและข้อเท็จจริงที่มิใช่สาระสำคัญของข้อโต้แย้งในคำคู่ความ (ช) “กระบวนพิจารณา” หมายความว่า การกระทำใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายนี้เพื่อชี้ขาดข้อพิพาทที่ได้กระทำไปโดยคู่ความในคดีหรือโดยศาล หรือบุคคลอื่น ซึ่งอาจทำไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้ ไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะได้กระทำไป ในศาลหรือนอกศาล หรือในที่ประชุมหรือที่ใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายนี้ (ซ) “การพิจารณา” หมายความว่า กระบวนพิจารณาทั้งหมดในคดีใดคดีหนึ่ง ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดข้อพิพาทในคดีนั้น ๆ (ฌ) “คำพิพากษา” หมายความว่า การที่ศาลออกคำสั่งเกี่ยวกับการพิจารณาคดี เช่น ชี้ขาดสถาน สืบพยาน ทำการไต่สวน ฟังคำอุทธรณ์ ฯ และพิพากษาและการชี้ขาดข้อพิพาท

๑๐

"วันสืบพยาน" หมายความว่า วันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยาน

๑๑

"คู่ความ" หมายความว่า บุคคลผู้เป็นโจทก์ หรือถูกฟ้องร้องต่อศาล และเพื่อประโยชน์แห่งการดำเนินกระบวนพิจารณาให้รวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิเข้าร่วมพิจารณาคดีนั้น ๆ ตามกฎหมาย หรือในฐานะทนายความ

๑๒

"บุคคลผู้ไร้ความสามารถ" หมายความว่า บุคคลใด ๆ ซึ่งไม่มีความสามารถตามกฎหมายหรือความสามารถถูกจำกัดโดยบุคคลผู้เป็นผู้ปกครองตามกฎหมายแห่งความสามารถ

๑๓

"ผู้แทนโดยชอบธรรม" หมายความว่า บุคคลซึ่งตามกฎหมายมีสิทธิหรือหน้าที่การแทนบุคคลผู้ไร้ความสามารถหรือเป็นบุคคลที่จะต้องให้ความอนุญาต หรือให้ความยอมแก่ผู้ไร้ความสามารถในสิ่งที่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง

๑๔

"เจ้าพนักงานบังคับคดี" หมายความว่า เจ้าพนักงานในสังกัดกรมบังคับคดีหรือพนักงานอื่นซึ่งมีอำนาจตามบัญญัติแห่งกฎหมายที่อยู่ ในบังคับปฏิบัติการเกี่ยวกับวิธีการบังคับคดีในภาค ๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือพนักงานซึ่งมีหน้าที่ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลและให้หมายความรวมถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ปฏิบัติการแทน

ลักษณะ ๒

ศาล

หมวด ๑

เขตอำนาจศาล

มาตรา ๒ ห้ามมิให้เสนอคำฟ้องต่อศาลใด เว้นแต่

เมื่อได้กระทำการละเมิดภายในเขตศาลนั้นและเขตอำนาจศาลนั้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ตามบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และ

เมื่อได้กระทำการละเมิดทั้งสิ้นแล้ว ปรากฏว่าความนั้นอยู่ในเขตศาลนั้นตามบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยหลักที่จะรับคำฟ้อง และตามบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตศาลด้วย

มาตรา ๓ เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา

ในกรณีที่มีลูกจ้างสังกัดในประเทศไทยหรือจากสถานทูตไทย ที่อยู่ภายใต้อาณาจักร ให้ศาลแห่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจ * มาตรา ๔ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ * มาตรา ๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๒ (ข) ในกรณีที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร (ค) ถ้าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่ใดในราชอาณาจักรภายในกำหนดสองปี ก่อนวันที่มีการเสนอคำฟ้อง ให้ถือว่าที่นั้นเป็นภูมิลำเนาของจำเลย (ง) ถ้าจำเลยประกอบธุรกิจโดยประการทั้งมวลหรือแต่บางส่วนในราชอาณาจักรไม่ว่าโดยตนเองหรือผู้อื่น หรือโดยบุคคลที่บุคคลใดเป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการนั้นในราชอาณาจักร ให้ถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ณ สถานที่ซึ่งเป็นสำนักงานตัวแทนหรือของผู้ติดต่อในวันที่มีการเสนอคำฟ้องหรือในกำหนดสองปี ก่อนนั้น เป็นภูมิลำเนาของจำเลย

มาตรา ๕๔ ให้แต่ละวันนับบัญญัติดังต่อไปนี้

คำฟ้อง ให้เสนอคำฟ้องที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

คำร้องขอ ให้เสนอคำร้องขอที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

มาตรา ๕๕ คำร้องและคำขอซึ่งมีทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวกับทรัพย์เป็นมูล ให้เสนอคำร้องหรือคำขอต่อศาลที่ทรัพย์นั้นอยู่ในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

คำฟ้องตามวรรคหนึ่ง ถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีในอยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นการชำระหนี้อาจารย์ โรงก็อาจเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลก็ได้

มาตรา ๕๖ “ข้อตก” คำร้องขอแต่ตั้งผู้จัดการมรดก ให้เสนอคำร้องต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย

ในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้เสนอคำร้องต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล ___________________________ * มาตรา ๕๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๘ * มาตรา ๕๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๘ * มาตรา ๕๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๔ เบญจ (๑) คำร้องขอเพิกถอนมติของที่ประชุมหรือที่ประชุมใหญ่ของนิติบุคคล คำร้องขอเลิกนิติบุคคล คำร้องขอตั้งหรือถอดผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล หรือคำร้องขออื่นใดเกี่ยวกับนิติบุคคล ให้เสนอขอต่อศาลที่นิติบุคคลนั้นมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตศาล

มาตรา ๔ (๒) คำร้องขอเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรที่ศาลมีคำสั่งขอให้ศาลต่างประเทศดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวหรือการบังคับคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรนั้น ให้เสนอขอต่อศาลที่ทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ในเขตศาล

มาตรา ๔ (๓) คำฟ้องหรือคำร้องของผู้ซึ่งอาจแสดงต่อศาลได้ด้วยตนเองว่ามีสิทธิในมรดก จะเป็นเพราะฐานะญาติสนิทบุคคลที่ตาย เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ได้ เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดี หรือเพราะมีข้อเท็จจริงหลายข้อที่ศาลมีอำนาจตามแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นก็ได้

มาตรา ๕ (๑) กรณีที่ศาลให้ทำการ จำเลยยอมที่จะยื่นคำร้องต่อศาลที่ทำให้คดีฝ่ายโจทก์ฟ้องไว้ขอให้โอนคดีไปยังศาลอื่นที่มีเขตอำนาจได้ คำร้องนั้นจำเป็นจะต้องแสดงเหตุที่ศาลเห็นว่าจำเลยจะได้รับความสะดวกไปในทางเดียวกัน และไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์หรือความยุติธรรมโดยรวม ทั้งสมควรศาลจะสั่งย้ายคดีไปตามเหตุผลที่แสดงนั้นก็ได้

ห้ามไม่ให้ศาลสั่งย้ายคดีตามมาตรานี้ เว้นแต่เหตุผลที่แสดงนั้นเป็นไปในลักษณะสมควรแก่เหตุ ศาลจะสั่งรับโอนคดีไปยังศาลอื่นได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่คู่ความหรือแก่การพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

มาตรา ๕ (๒) คดีที่มีฟ้องไว้ต่อศาลชั้นต้นซึ่งไม่ใช่ศาลแพ่ง ก่อนวันสิ้นสภาพ หรือก่อนวันสืบพยานไม่ออกว่าโจทก์ในประเทศมีไม่ปรากฏในสาระสำคัญ หากศาลที่คดีนั้นอยู่ระหว่างพิจารณาเห็นว่าไม่ควรพิจารณาคดีอาจารย์บังคับการบังคับทรัพย์สินธรรมดา หรือสิ่งอื่นอันควรแก่คุ้มครองผู้มีสิทธิในส่วนรวม หรือประโยชน์สาธารณะอย่างสำคัญ และการโอนคดีไปยังศาลแพ่งจะทำให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ก็ให้ศาลแจ้งคู่ความทราบและทำความเห็นเสนอประธานศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่งให้โอนคดีนั้นไปยังศาลแพ่งได้ คำสั่งของประธานศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด

มาตรา ๔ เบญจ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๔ (๒) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๔ (๓) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๕ (๑) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๖

การโอนคดีตามวรรคหนึ่ง ไม่กระทบกระเทือนถึงกระบวนพิจารณาที่ได้ดำเนินการไปก่อนที่จะมีคำสั่งให้โอนคดี และให้ถือว่ากระบวนพิจารณาที่ได้ดำเนินการไปแล้วนั้นเป็นกระบวนพิจารณาของศาลแห่งใหม่ด้วย เว้นแต่ศาลแห่งใหม่จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

มาตรา ๔๓ บัญญัติผู้ไม่สามารถ (มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ มาตรา ๔๗ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๕๒) ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติดังต่อไปนี้

คำฟ้องหรือคำร้องของโจทก์เสนอภายหลังเสนอบทกับคำคัดค้านพิจารณาอยู่ในศาลใดให้เสนอศาลนั้น

คำฟ้องหรือคำร้องของโจทก์เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลซึ่งคำฟ้องหรือคำร้องของนั้นต้องมีสิทธิบังคับของศาลก่อนที่การบังคับคดีได้ดำเนินไปให้ศาลชั้นต้นและลูกจ้างนั้น ให้เสนอคำฟ้องคำร้องต่อศาลที่ได้มีคำสั่งตามมาตรา ๒๘๐

คำร้องขออนุญาตตาม (๑) หรือ (๒) ถ้าในเขตศาลที่คำฟ้องหรือคำร้องของโจทก์เสนออยู่ในศาลนั้นไม่มีการยื่นคำฟ้องหรือคำร้องของต่อศาลใด คำฟ้องหรือคำร้องของโจทก์เสนออยู่ในศาลสิบหรือบุคคลหรือทรัพย์สินตามที่หัวข้อหรือข้ออ้างอยู่ในเขตศาลใด ให้เสนอศาลนั้น

ให้ศาลที่ได้รับคำร้องขออนุญาตโดยถูกต้องตามกฎหมายที่ศาลได้มีคำสั่งนั้น ซึ่งคำร้องขออนุญาตนั้นต้องมีคำสั่งที่ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินการตามคำร้องขออนุญาตนั้นโดยถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา ๔๔ ถ้าศาลสองเรื่องซึ่งมีประเด็นอย่างเดียวกัน หรือเกี่ยวเนื่องกันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่มีเขตต่างศาลต่างกัน และศาลทั้งสองนั้นได้คำร้องทั้งการที่ได้ยื่นต่อศาลใดศาลหนึ่งซึ่งได้รับการพิจารณาพิพากษารวมกันหรือแยกกันในศาลใดศาลหนึ่งยังมิได้พิจารณาคำคัดค้าน ให้ศาลส่งไปยังศาลที่มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาคดีไว้ในศาลเดียวกันเพื่อเสียเวลาในที่อธิบายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพื่อมิให้ศาลที่ได้รับคำสั่งให้รวมการพิจารณาคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณานั้นออกเสียจากกระบวนการ หรือให้โอนคดีไปยังศาลศาลที่เห็นสมควรแก่กรณีนั้นตามคำสั่งใน (๑) ของข้อบังคับผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วแต่เห็นสมควร

มาตรา ๔๕ ในกรณีที่ศาลคำสั่งในบางกรณีอย่างนั้น คำคัดค้านคำสั่งให้พิจารณาคดีและได้กระทำโดยศาลชั้นต้นคำพิพากษาให้ผู้ถูกกล่าวโทษในคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาต่อกฎหมายอุทธรณ์ ข้อให้ศาลสั่งให้การพิจารณาคดีนั้นรวมไว้ในศาลเดียวกันหรือแยกกันในศาลใดศาลหนึ่งได้พิจารณาคดีถึงเรื่องที่มิได้รวมเรื่องใดก็ดี และถ้าได้มีการพิจารณาคดีถึงเรื่องที่ให้คำอุทธรณ์รวมไว้ในศาลเดียวกัน

วิจัยบังคดีทั้งสองนั้นโดยคำพิพากษาเดียวกัน ถ้าคดีเรื่องหลังนั้นไม่ขัดต่อพระธรรมโดยคำพิพากษาเดียวกัน ถ้าคดีเรื่องหลังนั้นไม่ขัดต่อพระธรรมโดยคำพิพากษาเดียวกัน ถ้าคดีเรื่องหลังนั้นไม่ขัดต่อพระธรรมโดยคำพิพากษาเดียวกัน ถ้าคดีเรื่องหลังนั้นไม่ขัดต่อพระธรรมโดยคำพิพากษาเดียวกัน

มาตรา ๑๑ ถ้าไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีหนึ่งต่อไปเพราะมีเหตุตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐ ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ และให้ศาลที่มีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ และให้ศาลที่มีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ และให้ศาลที่มีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ

หมวด ๒ การสั่งคำพิพากษา

มาตรา ๑๒ เมื่อคดีสิ้นสุด ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดในศาลนั้นอาจถูกคัดค้านได้ในเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก) ถ้าผู้พิพากษานั้นมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องอยู่ในคดีนั้น (ข) ถ้ามีญาติเป็นคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คือว่าเป็นบุพการี หรือผู้สืบสันดาน หรือพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดา หรือเป็นญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีนั้น (ค) ถ้าเป็นผู้ที่ได้ถูกจำเลยในคดีนั้นให้รู้ไว้ในเหตุการณ์ หรือโดยเป็นผู้เสียหายอยู่ในคดีนั้น (ง) ถ้าเป็นผู้ที่ได้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องอยู่ในคดีนั้น (จ) ถ้าได้เป็นผู้พิพากษานั่งพิจารณาคดีเดียวกันในศาลอื่นมาแล้ว หรือเป็นอนุญาโตตุลาการมาแล้ว (ฉ) ถ้าสำคดีเรื่องที่มีอยู่ในระหว่างการพิจารณาผู้พิพากษานั้นเอง หรือภริยา หรือญาติทางสายโลหิตหรือรับไป หรือครอบครัวของผู้พิพากษานั้นฝ่ายหนึ่ง ผู้พิพากษานั้นมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องอยู่ในคดีนั้น (ช) ถ้าผู้พิพากษานั้นเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ หรือเป็นเจ้าของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

มาตรา ๑๓ เมื่อศาลได้สั่งผู้พิพากษาแต่เพียงคนเดียว ผู้พิพากษานั้นอาจถูกคัดค้านด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งตามที่กล่าวมาในมาตราเดียวกันนี้ หรือด้วยเหตุประการอื่นซึ่งแสดงว่าผู้พิพากษานั้นมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องอยู่ในคดีนั้น

มาตรา ๑๔ ถ้าศาลเห็นว่าข้อคัดค้านใดต้องใจด้วยว่ามีเหตุตามที่กล่าวไว้ในมาตราก่อนเกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาคนใดในศาลนั้น ให้ศาลสั่งถอนผู้พิพากษานั้นออกจากการพิจารณาคดีนั้น

คู่ความที่เกี่ยวข้องอาจยกข้อคัดค้านขึ้นอ้างโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลและศาล ให้ทราบเหตุที่พนักงานไม่อาจรับพยาน ที่เป็นคำร้องคัดค้านเปลี่ยนไปจากวันนัดพิจารณาหรือคำ ทราบเหตุที่พนักงานดำเนินในระหว่างพิจารณา ก็เป็นคำร้องคัดค้านเปลี่ยนไปจากวันนัดพิจารณาซึ่งต่อไป แต่ต้องก่อนเริ่มสืบพยานนั้นๆ เมื่อได้ยื่นคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ศาลตรวจสอบพิจารณาพยานที่ได้อ้างโดยอนุญาตให้ สืบพยานหรือพิจารณาคำคัดค้านนั้น แต่ถ้าศาลเห็นว่าพยานที่อ้างนั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาท หรือไม่จำเป็น กระบวนพิจารณาที่พยานที่ได้ดำเนินไปก่อนยื่นคำร้องคัดค้าน และพยานที่ได้อ้างไว้แล้ว ทั้งหมดในคดีหรือข้อพิพาทนั้นโดยมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านไว้ก่อน ให้ศาลจะได้ดำเนินการพิจารณา ต่อไปตามสมควรไม่เสียไป เพราะเหตุที่ศาลสมควรยอมฟังคำคัดค้าน เว้นแต่ศาลจะได้กำหนดไว้ใน คำสั่งเป็นอย่างอื่น ถ้าศาลไต่สวนผู้พิพากษาคนเดียว และผู้พิพากษาคนนั้นมีข้อคัดค้าน หรือถ้าศาลไต่สวน ผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาทั้งหมดถูกคัดค้าน ให้ศาลส่งเรื่องอำนาจสูงกว่า เพื่อพิจารณาคำคัดค้าน ถ้าศาลไต่สวนผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาที่ได้ถูกคัดค้านรวมทั้งผู้พิพากษาอื่นๆ ยุติธรรม ถ้าเห็นว่าการยอมรับพยานหรือการพิจารณาเรื่องคัดค้านและเสียยิ่งจำเป็นทางกฎหมาย ต้องการ ให้ศาลแต่งตั้งผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้าน เป็นกรรมการในคณะผู้พิพากษาเพื่อพิจารณา คำคัดค้านนั้นๆ โดยผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้านจะต้องไม่เป็นผู้พิจารณาคำคัดค้านนั้น ถ้าศาลไต่สวนผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาที่ได้ถูกคัดค้านรวมทั้งผู้พิพากษาอื่นๆ เห็นว่าคำคัดค้านนั้นฟังขึ้น ยังมีความไม่ครบถ้วนหรือไม่สมควรและเสียยิ่งจำเป็นทางกฎหมาย ต้องการ ให้ศาลแต่งตั้งผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้าน เป็นกรรมการในคณะผู้พิพากษาเพื่อพิจารณา คำคัดค้านนั้นๆ โดยผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้านจะต้องไม่เป็นผู้พิจารณาคำคัดค้านนั้น

มาตรา ๑๔ เมื่อได้มีการร้องคัดค้านขึ้น และผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้านไม่ยอมถอนตัว ออกจากการพิจารณาคดี ให้ศาลพิจารณาสอบคำคัดค้านและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องและขอผู้พิพากษาที่ถูก คัดค้าน กับคำการสอบพยานหลักฐานบุคคลที่นำไปนำมาและพยานหลักฐานอื่นๆตามที่เห็นสมควร แล้วออกคำสั่งยอมรับหรือสมควรยกคำคัดค้านนั้น ซึ่งคำสั่งที่ให้เป็นเช่นนี้สุด

เมื่อศาลผู้พิพากษาแห่งแรกมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว จะต้องวินิจฉัยคำคัดค้าน ห้ามมิให้ผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้านนั้นรับหรือออกเสียงกับผู้พิพากษาอื่นๆ ในการพิจารณาและชี้ขาดคำ คัดค้านนั้น ถ้าผู้พิพากษาคนใดไม่ถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีที่มี หรือศาลได้ออกคำสั่ง รับคำคัดค้านผู้พิพากษาคนใด ให้ผู้พิพากษาคนนั้นพ้นจากการแต่งตั้งในพระธรรมยุติกา ผู้ยุติธรรม

หมวด ๓ อำนาจและหน้าที่ของศาล

มาตรา 15 ห้ามมิให้ศาลใช้อำนาจนอกเขตศาล เว้นแต่

(ก) ถ้าบุคคลผู้จะถูกจับกุมหรือถูกตรวจ หรือบุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์หรือสถานที่ซึ่งจะถูกตรวจไม่คัดค้านเรื่องเขตศาลที่จับกุม ศาลจะทำการดังกล่าวนั้นนอกเขตศาลก็ได้ (ข) ศาลจะออกหมายเรียกบุคคลมาพบหรือบุคคลมอบเอกสารที่ศาลสั่งในคดีตามบทบัญญัติมาตรา 3, 31, 101, 102 และ 103 แห่งประมวลกฎหมายนี้และมาตรา 145 แห่งกฎหมายหลักประกันธุรกรรมมาใช้บังคับได้บ้าง ต้องให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตในเขตศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีนั้น (ค) หมายเรียกจับกุมคดีและหมายของศาลที่ออกให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ อาจจับกุมได้ในเขตใด ๆ ในกรณีที่มีการจับกุมคดีนอกเขตศาลที่มีอำนาจในการจับกุม ให้บังคับตามมาตรา 20, วรรคสอง วรรคสี่ และวรรคห้า ศาลที่ศาลแห่งได้รับให้พิจารณาเกี่ยวกับพยานหลักฐานหรือพยานบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญา ให้ศาลแห่งนั้นอาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ นอกเขตศาลได้ตามที่เห็นสมควร

มาตรา 16 ถ้าจำเป็นต้องมีการตรวจค้นหรือจับกุม หรือดำเนินการในกระบวนพิจารณาใด ๆ

(ก) โดยคำสั่งต้นสังกัดในคดี นอกเขตศาลนั้น หรือ (ข) โดยศาลแห่งหรืออาญา นอกเขตศาลนั้นหรือในกรณีที่มีเหตุจำเป็นหรือมี อุทธรณ์หรือฎีกา ให้ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีนั้นอาจดำเนินการใด ๆ นอกเขตศาลได้ตามที่เห็นสมควร

มาตรา 17 คดีที่มิได้มีข้อโต้แย้งต่อศาลนั้น ให้ศาลดำเนินการไปตามลำดับเขตหมายสำนวนนโยบายความเป็นต่อศาลตามข้อบังคับเกี่ยวกับบุคคลพิเศษ

มาตรา 18 ให้ศาลสืบพยานที่มีจะตรวจคำคู่ความที่พิมพ์งานในหน้าที่ของศาลได้รับไว้เพื่อบันทึกศาล หรือส่งให้แก่คู่ความ หรือบุคคลใด ๆ

ถ้าศาลเห็นว่าคำคู่ความที่พิมพ์ไว้ดังกล่าวนั้น อ่านไม่ออกหรืออ่านไม่เข้าใจหรือเขียนผิดเพี้ยนเกินไป หรือไม่มีรายการ ไม่ปรากฏชื่อ ไม่แนบเอกสารต่าง ๆ ตามที่กฎหมายหรือคำสั่งการหรือให้กระทำหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วน ศาลจะสั่งให้แก้คำคู่ความนั้นให้ทำใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติม หรือชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วน ภายในกำหนด ระยะเวลาและกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ตลอดจนเรื่องค่าธรรมเนียมตามที่ศาลเห็นสมควรก็ได้ ถ้าได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลในระยะเวลาที่ศาลกำหนดให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นแล้วให้ถือว่าคำขอนั้นเป็นอันเสร็จสิ้น ถ้าศาลเห็นว่าคำขอนั้นให้เปล่าประโยชน์กับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเป็นไปในลักษณะอื่นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือรับฟังได้ นอกจากที่ศาลกล่าวในวรรคก่อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าเจตจำนงของคู่ความฝ่ายร้องขอหรือคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ถูกต้องหรือเป็นไปโดยทุจริต ศาลอาจสั่งยกคำขอนั้นเสียก็ได้ และคำสั่งศาลที่สั่งไม่รับหรือยกคำขอนั้นให้ถือเป็นที่สุด ถ้าไม่มีข้อขัดข้องดังกล่าวแล้ว ให้ศาลดำเนินการแจ้งคำขอนั้นไปยังคู่ความฝ่ายตรงข้ามหรือผู้อื่น คำสั่งของศาลที่ไม่รับหรือให้ยกคำขอความตามมาตรา 19 หรือ 20 จะต้องถูกโต้แย้งได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27, 28 และ 29

มาตรา 19 ศาลอื่นอาจสั่งให้ตามที่เห็นสมควรให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาตามข้อขอของตนเอง เสนอคำชี้แจงตามข้อขอของตนเองนั้น ๆ จะให้หมายเหตุความจำว่าอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ อนึ่ง ถ้าศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถตอบเองได้ให้มีความสามารถของศาลหรือกรรมการหรือผู้เชี่ยวชาญช่วยชี้แจงข้อขอของตนเอง

มาตรา 20 ไม่ว่าการพิจารณาในศาลใด ๆ จะต้องไม่ล่าช้าเกินสมควรไป ให้ศาลถือเอาข้อขอหรือใกล้เคียงที่คู่ความได้ตกลงกัน หรือปรับระเบียบของศาลเองโดยให้เป็นไปดังที่พิจารณา

มาตรา 21 เพื่อประโยชน์ในการใกล้เคียง เมื่อศาลเห็นสมควรให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอข้อขอที่ใกล้เคียงหรือปรับระเบียบของศาลเองโดยให้เป็นไปดังที่พิจารณาอยู่ด้วยก็จะทำได้

เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอ ศาลอาจแต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเป็นผู้ประเมินระเบียบ เพื่อช่วยเหลือศาลในการใกล้เคียงที่คู่ความได้ประเมินระเบียบเอง หลักเกณฑ์และวิธีการในการใกล้เคียงของศาลให้เป็นไปตามที่กำหนดของประธานศาลฎีกาโดยอำนาจหน้าที่ของผู้ประเมินระเบียบ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาตามวรรคสาม เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

มาตรา 22 วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2535

มาตรา 20 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558

มาตรา 20 วรรคสาม เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558

มาตรา ๒๐ ตรี** ก่อนเริ่มพิจารณาคดี บุคคลซึ่งจะเป็นคู่ความต้องยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจทางศาลในการพิจารณาคดีนั้น เพื่อขอให้ศาลแต่งตั้งผู้รับประโยชน์ของท่านที่ทำให้เกิดสิทธิที่เกี่ยวข้องให้ตกเป็นหรือรับประโยชน์ของมรดกตามความในข้อที่พิกาก โดยคำร้องนั้นให้ระบุชื่อ และภูมิลำเนาของคู่กรณีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรายละเอียดของข้อพิพาท เมื่อศาลเห็นสมควร ให้ศาลรับคำร้องนั้นไว้พิจารณาและออกหมายเรียกคู่กรณีที่เกี่ยวข้องมาศาลเพื่อไต่สวนคำร้องดังกล่าว หากคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมรับการไกล่เกลี่ย ให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้รับประโยชน์ที่เกี่ยวข้องตามคำร้องโดยคู่กรณีฝ่ายนายความด้วยหรือไม่ก็ได้ และแต่งตั้งผู้รับประโยชน์ของมรดกที่เกี่ยวข้องต่อไปโดยให้มีความโมฆะมาตรา ๒๑ ห้ามไม่รับฟังข้อตกลงใดๆ หากคู่กรณีที่เกี่ยวข้องสามารถตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันได้ในประโยชน์ของมรดกหรือข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างคู่กรณีเองตามขอบเขต หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อตกลงหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นไปตามเจตนาของคู่กรณี คล้ายแห่งความสุจริต เป็นธรรม และไม่ขัดต่อกฎหมาย ก็ให้คู่กรณีลงชื่อในข้อตกลงหรือสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น

ในวันนัดพิจารณาคดี หากคู่กรณีประนีประนอมยอมความตามคำสั่งศาลที่มีผู้สัญญาอาจร้องขอให้ศาลสั่งกำหนดแนวทางหรือแนวทางแก้ไขข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีความจำเป็นที่ศาลจะมีคำพิพากษาในคดีใดๆ ในเวลาอันสมควร ก็ให้ศาลสั่งกำหนดแนวทางไปจนกว่าข้อตกลงหรือสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวให้เกิดผลสำเร็จสมบูรณ์ และให้บังคับใช้เป็นคู่กรณีโดยการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล การเจรจาเพื่อการประนีประนอมยอมความในคดีที่เกี่ยวข้อง คำสั่งของศาลถือความตามที่เห็นสมควรที่สุด เมื่อศาลสั่งแล้วให้ผู้รับประโยชน์ประนีประนอมยอมความถึงที่สุดในเรื่องผลของการถูกอุทธรณ์หรือฎีกา ให้ศาลสั่งขยายออกไปอีกครั้งจนถึงวันที่การไกล่เกลี่ยสิ้นสุดลง

มาตรา ๒๑ เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องคำแถลงต่อศาล (๑) ถ้าประกาศคำพิพากษาไม่ให้เป็นที่สุด คำอุทธรณ์คำแถลงต้องทำเป็นคำร้องหรือเป็นหนังสือ ก็ให้ศาลสั่งบังคับหรือยอมรับคำร้องหรือคำแถลงที่คู่กรณีเสนอให้ทำในเวลาที่จะอุทธรณ์ได้ แต่ศาลต้องสั่งตามความเห็นชอบให้ปรากฏ หรือออกคำสั่งให้ความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรโดยทันทีในคำร้องหรือคำแถลงและเป็นสิ้นสุดในคดีนั้น (๒) ถ้าประกาศคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว คำอุทธรณ์คำแถลงต้องทำให้ศาลสั่งในเรื่องนั้นๆ โดยทันทีและให้ศาลสั่งคำร้องคำแถลงนั้นๆ ให้ต้องอยู่ในขอบเขตแห่งบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ศาลมีอำนาจสั่งพิจารณาคดีอย่างเร่งด่วนหรือพิจารณาคดีอื่นๆ ก่อนออกคำพิพากษาในเรื่องนั้นๆ ได้ ในกรณีที่ศาลเห็นสมควรหรือในเรื่องของมรดกที่เกี่ยวข้อง หรือเพื่อให้การพิจารณาคดีหรือพิพากษาคดีนั้นๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วตามความเห็นสมควรของศาล

มาตรา ๒๒ ให้เพิ่มความในมาตรา ๒๑ เป็นวรรคสองดังต่อไปนี้ (ฉบับนี้) พ.ศ. ๒๕๖๖

ถ้ามีระเบียบกฎหมายมิได้บัญญัติไว้ว่าเหตุต้องออกคำสั่งอนุญาตตามคำขอที่ได้ เสนอทอคำขอนั้นโดยไม่ต้องทำการไต่สวนแล้ว ก็ให้ศาลมีอำนาจทำการไต่สวนได้ตามที่เห็นสมควรก่อน มีคำสั่งตามคำขอนั้น ในกรณีเรื่องใดที่ศาลออกคำสั่งได้เองหรือเมื่อมีผู้กล่าวโทษต่อศาลแล้ว ให้เป็นไปตาม อนุมาตรา (๒), (๓) และ (๔) แห่งมาตรานี้บังคับ ในกรณีเรื่องใดที่ศาลมิได้มีอำนาจออกคำสั่งได้เอง แต่หากศาลต้องการไต่สวนใน เรื่องนั้นได้เอง ให้ศาลมีอำนาจทำไปได้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๐๑ และ ๑๐๒ (๔) ทั้งจะพึง คู่ความหรือพึงทำการไต่สวนก่อนออกคำสั่งได้ มาตรา ๒๖ กำหนดระยะเวลาทั้งปวงไม่ว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือที่ศาลเป็นผู้กำหนด ก็ดี เพื่อให้ดำเนินหรือให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ก่อนสิ้นระยะเวลานั้น ให้ศาลดำเนินตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยระยะเวลา มาตรา ๒๗ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือมีผู้กล่าวอ้างเหตุที่เกี่ยวข้องใด ๆ อันควรเป็น คำร้อง ให้ศาลมีอำนาจที่จะออกคำสั่งขยายหรือร่นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบกฎหมาย หรือกฎหมายที่กำหนดให้ทำได้ หรือระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ตามระเบียบกฎหมาย โดยให้ศาล มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือข้อจำกัดใด ๆ ที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หรือเพื่อ ให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่การขยายหรือร่นระยะเวลานั้นจะต้อง ไม่เกินกว่าที่จำเป็น และในกรณีที่ศาลเห็นสมควรหรือมีผู้กล่าวอ้างเหตุที่เกี่ยวข้องใด ๆ อันควรเป็น คำร้อง ให้ศาลมีอำนาจที่จะออกคำสั่งขยายหรือร่นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบกฎหมาย หรือกฎหมายที่กำหนดให้ทำได้ หรือระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ตามระเบียบกฎหมาย โดยให้ศาล มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือข้อจำกัดใด ๆ ที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หรือเพื่อ ให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่การขยายหรือร่นระยะเวลานั้นจะต้อง ไม่เกินกว่าที่จำเป็น คำสั่งใด ๆ ของศาลที่ออกตามมาตรานี้ ให้คู่กรณีและผู้ที่ได้ยื่นบัญชีอยู่ใน มาตรา ๒๒๗, ๒๒๘ และ ๒๒๙ มาตรา ๒๘ ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยที่มิได้ยื่นคำร้องให้ศาล สั่งทำตามวิธีการ อย่างใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗ เพื่อมิให้กระบวนพิจารณาเป็นระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับ ตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้ศาลมีอำนาจสั่งตามคำขอที่ยื่นต่อศาลนั้นโดยไม่ต้อง ทำในระหว่างการพิจารณา หรือในระหว่างการพิจารณาคดีใด ๆ ศาลอาจมีอำนาจสั่งตามคำขอที่ยื่นใน คำ พิพากษา หรือในคำสั่งที่มีคำตัดสินได้

มาตรา 26 ถ้าศาลได้ตั้งข้อหา หรือออกคำสั่งหรือชี้ขาดเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เคยได้รับฟังคำค้านหรือการอธิบายหรือคำชี้แจงที่ขัดกับฝ่ายตน ไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือหนังสือก็ตาม ก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลคงข้อหาและคำวินิจฉัยหรือคำชี้ขาดที่ถูกคัดค้านและสั่งการให้การดำเนินคดีเป็นการชั่วคราว แต่ส่วนเหตุผลที่คู่พิพาทฝ่ายหนึ่งอ้างถึงนั้น ให้ศาลได้ดูแลรับฟังดุลยพินิจไปประกอบ หรือกำหนดให้คู่ความฝ่ายที่คัดค้านยื่นคำแถลงเป็นหนังสือหรือรายงานไปล่วงหน้า

มาตรา 27 ในกรณีที่มีสิ่งใดที่มิได้บัญญัติเป็นประมวลกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นข้อที่ผู้หมายนำไปสู่การเป็นไปด้วยความสุจริตธรรม หรือเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเรื่องการเขียน และการสืบพยาน หรือการดำเนินคดีความหรือเอกสารอื่น ๆ หรือในการพิจารณาคดี การพิจารณาพยานหลักฐาน หรือการบังคับคดี เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติตามนั้นยื่นคำร้องโดยทันทีแก่ศาลร้อง ให้ศาลสั่งบังคับว่าซึ่งสิ่งใดที่เห็นสมควรแก่การพิจารณาที่เกิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสิ่งที่เป็นหรือมีคำสั่งนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ศาลเห็นสมควร

ข้อกำหนดเรื่องระเบียบนี้ คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยื่นคำร้องต่อศาลได้ไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนสิ้นคดีพิพาท แต่ต้องไม่ช้ากว่าในวันหนึ่งซึ่งศาลเห็นสมควรที่คู่ความฝ่ายหนึ่งได้รับข้อกล่าวหา หรือพิจารณาคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือเมื่อศาลได้ยินคำอธิบายจากคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ได้รับการแจ้งข้อกล่าวหา หรือข้อคัดค้านที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีเรื่องนั้น ถ้าศาลสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในคดีนั้น และเสียไม่เกินจำนวนรวมของรายการในระเบียบที่ศาลกำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาคดี หรือให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในคดีนั้น ๆ โดยให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในคดีนั้น ๆ โดยให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในคดีนั้น ๆ โดยให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในคดีนั้น ๆ โดยให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในคดีนั้น ๆ

มาตรา 28 ถ้าศาลพิจารณาเรื่องคำพิพากษาอยู่ในศาลเดียวกันหรือในศาลชั้นต้นสองศาลต่างกัน และคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในฐานะอำนาจเดียวกัน กับทั้งการพิจารณาคดีเท่านั้น ถ้าได้รวมกันแล้ว จะเป็นการสะดวก หากศาลเห็นว่าคดีหนึ่งหรือคดีใดที่เกี่ยวกันนั้นสมควรให้พิจารณาศาลเดียวกัน หรือจากคู่ความทั้งหมดยกหรือรวมเป็นฝ่ายเดียวกันให้พิจารณาศาลรวมกันก็ย่อมได้ในกรณีหรือข้อหาในคดีหรือเรื่องใดไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนสิ้นคดีพิพาท เมื่อศาลให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายยื่นคำร้องไปยังศาล ให้ศาลสั่งให้รวมคดีหรือแยกคดีนั้น ๆ แล้ว ถ้าศาลเห็นชอบให้ว่า คดีใดที่ดำเนินเกี่ยวข้องกัน ให้ศาลสั่งให้รวมคดีหรือแยกคดีนั้นรวมกัน

ถ้าจะโอนคดีมาจากศาลศาลหนึ่งหรือโอนไปยังศาลศาลหนึ่งที่มีเขตอำนาจเกี่ยวกับคดีนั้น ศาลจะสั่งเกี่ยวกับเรื่องรวมย่อมต้องยินยอมของคู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่ยินยอม ให้ศาลสั่งโอนคดีนั้นส่งเรื่องไปยังอธิบดีผู้พิพากษาศาลสูงสุดหรือศาลฎีกา คำสั่งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลฎีกาจะเป็นที่สุด

มาตรา 29 ถ้าศาลเห็นว่าคดีนั้นมีข้อหาเหมือนหรือคล้ายกัน และเกี่ยวข้องกันในข้อใดหรือทั้งหมดให้เกี่ยวข้องกันทั้งสองฝ่าย เมื่อมีผลเสียหายจริง หรือมีคำสั่งหรือคำชี้ขาดที่เกี่ยวข้องกันในคดีใด ๆ ให้ศาลสั่งให้พิจารณาคดีเสียโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ศาลจะสั่งให้พิจารณาคดีใหม่หรือไม่ก็ได้

เช่นว่านั้นต่อไป ก็ให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีไปเสมือนหนึ่งว่าเป็นคดีที่เรื่องหนึ่งต่างหาก โดยมีเงื่อนไขที่ศาลจะกำหนดไว้ตามที่เห็นสมควร ถ้าศาลที่พิจารณาคดีนั้นมีข้อขัดขวางอย่างใด และศาลเห็นว่าการแยกพิจารณาข้อหาหรือพยาน หรือข้อใดข้อหนึ่งออกจากกันแล้ว จะทำให้การพิจารณาในข้อหาอื่นสะดวก ไม่ล่าช้าเกินควร ก่อนมีคำพิพากษา เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยศาลเห็นชอบ ก็ให้ศาลมีคำสั่งแยกคดีนั้นออกไป ให้ศาลส่วนต่างหากพิจารณาในข้อหาหรือพยานที่แยกนั้น และเมื่อศาลส่วนต่างหากพิจารณาเสร็จแล้ว ให้ศาลส่วนต่างหากส่งคำพิพากษาในข้อหาหรือพยานที่แยกนั้นต่อไปยังศาลที่พิจารณาคดีหลัก เพื่อรวมคำพิพากษาในเรื่อง ๆ ไป

มาตรา 30 ให้ศาลมีอำนาจออกข้อกำหนดใด ๆ แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือแก่บุคคลภายนอกที่อยู่ในคดีที่เห็นว่าเป็น เพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยสมควรและรวดเร็ว อำนาจของศาลนี้ ให้รวมถึงการสั่งคู่ความส่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในทางที่ออกจากวิถีทาง หรือในทางประวิงให้ชักช้าหรือในทางที่ไม่เหมือนโดยสมควร

มาตรา 31 ผู้ใดกระทำการอย่างใด ๆ ซึ่งกล่าวต่อไปนี้ ให้ถือว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

(ก) ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลตามมาตรา 30 หรือกระทำการขัดขวางการเรียบร้อย หรือระบบพิจารณาคดีในศาล (ข) เมื่อได้สั่งคำร้องและได้รับอนุญาตจากศาลให้ไต่สวนในคดีที่เป็นคดีธรรมเนียมตามมาตรา 15 (4) แล้ว ปรากฏว่าผู้ร้องหรือพยานของผู้ร้องเบิกความเท็จในเรื่องที่เป็นข้อสำคัญแห่งคดีนั้น ให้ศาลสั่งลงโทษตามระเบียบศาล (ค) เมื่อรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน หรือบุคคลใด ๆ ถูกเรียกไปเบิกความหรือทางพยานหลักฐานแล้วไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเอกสารนั้นโดยถ้วนถี่ (ง) ตรวจเอกสารที่ทั้งหมด หรือฉบับใดฉบับหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสำเนาความ หรือคัดเอาสำเนาเอกสารเหล่านั้นไป โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 44 (จ) ขัดขืนไม่ปฏิบัติตาม เมื่อศาลได้สั่งสิ่งตามมาตรา 14 หรือเมื่อมีคำสั่งตามมาตรานี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นตามมาตรา 14

มาตรา 32 ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ บรรณาธิการ หรือผู้พิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์อื่นออกโฆษณาต่อประชาชน ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีหรือรู้สึกตัวว่าการกระทำของตนเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่ ให้ถือว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งในเรื่องดังกล่าวต่อไปนี้

(ก) ไม่ว่ากรณีใด ๆ ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ที่ออกโฆษณานั้นได้กล่าวข้อความหรือแสดงไม่ว่า

มาตรา 33 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2542

มาตรา 34 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558

มาตรา 35 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

โดยวิธีใด ๆ ซึ่งข้อความหรือความเห็นอื่นเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์อื่น ๆ แห่งคดี หรือกระบวนพิจารณาคดีใด ๆ แห่งศาล ซึ่งมีผลอาจทำให้ศาลเสียหายหรือเสื่อมเสียต่อสาธารณชนหรือประโยชน์ สาธารณะ มีลักษณะทำให้การออกใบอนุญาตสิ้นสุดนั้น ไม่ว่าโดยวิธีเผยแพร่แต่ให้พิจารณาโดยไม่เป็นผลพวงด้วยวิธีห้ามการออกใบอนุญาตโดยชัดแจ้ง

8

ถ้าการเสนอสื่อมวลชนหรือสิ่งพิมพ์ใด ๆ ที่กล่าวถึงหรือแสดงไม่โดยวิธีใด ๆ ในระหว่างการพิจารณาคดีหรือการพิจารณาคดีใด ๆ ของศาล ซึ่งมีผลอาจทำให้ศาลเสียหายหรือเสื่อมเสียต่อสาธารณชนหรือประโยชน์สาธารณะ หรือแสดงข้อความหรือความเห็นที่อาจทำให้ศาลเสียหายหรือเสื่อมเสียต่อสาธารณชนหรือประโยชน์สาธารณะ เช่น ก. เป็นการแสดงข้อความอันขาดจริงแท้ผิด หรือ ข. เป็นการบอกเล่าหรือเรื่องหรือวิจารณ์ ซึ่งกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่เป็นกลางและไม่ถูกต้อง หรือ ค. เป็นการวิจารณ์โดยไม่เป็นธรรม ซึ่งการดำเนินคดีของคู่ความ หรือคำพยานหลักฐาน หรือข้อสังเกตของพยานผู้เชี่ยวชาญพยาน รวมทั้งการแสดงข้อความอันเป็นการเสื่อมเสียต่อเนื้อหาของข้อมูลพยาน และทำให้ความเชื่อถือของพยานลดลง หรือ ง. เป็นการชักจูงให้เกิดคำพิพากษาที่ผิด เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา ๓๓ นี้ ให้บังคับใช้พระราชบัญญัติที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มาใช้บังคับ

มาตรา ๓๕ การกระทำความผิดตามมาตรา ๓๓ ให้ศาลมีอำนาจกำหนดโทษแก่ผู้กระทำความผิดในมาตรา ๓๓ ต่อไปนี้ คือ

1

ให้ลงโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ

2

ให้ลงโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ การปล่อยจากบริเวณศาลนั้นให้กระทำได้ในระยะเวลาที่ศาลสั่งพิจารณาหรือภายในระยะเวลาใด ๆ ที่ศาลกำหนดสมควร เมื่อจำเป็นจะประโยชน์ให้กระทำด้วยข้อความหรือในกรณีที่กฎหมายไทยจำกัดและปรับนั้นให้จำคุกได้ไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท

มาตรา ๓๖ ถ้าข้อสงสัยว่าการกระทำความผิดหรือเรื่องหรือเหตุการณ์ใด ๆ โดยการอาศัยหรือโดยระหว่างต่อหน้าที่เป็นของผู้แทนในประเทศ ให้ไม่มีอำนาจหรือหรือนำประเทศใดอย่างหนึ่ง หรือไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำเรื่องเช่นนั้น ให้ศาลปฏิบัติตามหลักทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ

มาตรา ๓๗/๑ เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และเพื่อธรรมหรือเพื่อความเสมอภาคแห่งกันในประเทศ ให้ประธานศาลฎีกาออกข้อบังคับเกี่ยวกับการประชุมใหญ่ศาลฎีกาเกี่ยวกับการพิจารณาคดี การสืบพยานและการฟังพยานหลักฐานอื่น ๆ ตลอดการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใด ๆ ให้มีความรวดเร็ว

มาตรา ๓๗/๒ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๕

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้อกำหนดตามวรรคหนึ่งเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๔

การนั่งพิจารณา

มาตรา ๓๕ ถ้าประมวลกฎหมายนี้ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น การนั่งพิจารณาคดีที่ยื่นไว้ต่อศาลโดยต้องกระทำในศาลนั้นในวันที่ศาลได้กำหนดการและทำงานนัดไว้ล่วงหน้า แต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัยหรือเป็นกรณีฉุกเฉินศาลอาจมีคำสั่งกำหนดการนั่งพิจารณา ณ สถานที่อื่น หรือในวันหยุดงาน หรือในเวลาใด ๆ ก็ได้ ให้ผู้พิพากษาและเจ้าพนักงานศาลส่งปฏิบัติงานในวันหยุดงาน หรือในเวลาใด ๆ นอกจากเวลาทำการปกติได้รับค่าตอบแทนเป็นพิเศษ ตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนด โดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง

มาตรา ๓๖ การนั่งพิจารณาคดีต้องกระทำในที่ลับต่อคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี โดยเปิดเผย เว้นแต่

ในคดีเรื่องใดที่ศาลเห็นว่าคดีนั้นเป็นคดีที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือคดีที่เกี่ยวกับความลับของทางราชการ หรือคดีที่เกี่ยวกับความลับทางการค้า หรือคดีที่เกี่ยวกับความลับของบุคคลซึ่งสมควรได้รับการคุ้มครอง หรือคดีที่เกี่ยวกับการฟ้องร้องระหว่างคู่สมรส หรือคดีที่เกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชน หรือคดีที่เกี่ยวกับการฟ้องร้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ศาลอาจมีคำสั่งให้การพิจารณาคดีนั้นกระทำในที่ลับได้

ในคดีเรื่องใด เพื่อความสะดวก และรวดเร็วของการพิจารณา หรือเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจมีคำสั่งให้การพิจารณาคดีนั้นกระทำในที่ลับได้

ห้ามประชาชนมิให้เข้าฟังการพิจารณาในทั้งหมดหรือแต่บางส่วน แล้วดำเนินการพิจารณาโดยไม่เปิดเผย หรือ

ห้ามไม่ให้เอาเอกสารหรือสิ่งของที่ศาลสั่งห้ามเผยแพร่หรือเปิดเผยในระหว่างการพิจารณา หรือหลังจากการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว ในกรณีคดีที่มีประเด็นหรือข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับความลับของทางราชการหรือความลับทางการค้า หรือความลับของบุคคลซึ่งสมควรได้รับการคุ้มครอง หรือคดีที่เกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชน หรือคดีที่เกี่ยวกับการฟ้องร้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ศาลอาจมีคำสั่งให้การพิจารณาคดีนั้นกระทำในที่ลับได้

มาตรา ๓๗ ให้ศาลดำเนินการนั่งพิจารณาคดีต่อเนื่องกันไปเท่าที่สามารถจะทำได้โดยไม่ต้องเลื่อนนอกจากจะมีเหตุจำเป็นหรือพนักงานศาล

มาตรา ๓๘ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา 34 ถ้าในวันที่กำหนดนัดพิจารณาศาลไม่มีเวลาพอที่จะดำเนินการนั่งพิจารณา เนื่องจากภารกิจธุระของศาล ศาลอาจมีคำสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณาไปในวันอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา 35 ถ้าการที่จะชี้ขาดตัดสินคดีหรือไต่สวนพยานของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาศัยพยานบุคคลซึ่งอยู่ในต่างประเทศ หรือพยานบุคคลซึ่งอยู่ในประเทศแต่ไม่สามารถมาศาลได้ หรือจำต้องส่งให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือพนักงานสอบสวนทำการสืบข้อเท็จจริงซึ่งจำเป็นต่อการพิจารณา หรือปรากฏว่าได้มีการกระทำผิดอาญาในคดีที่ขึ้นอยู่ในอำนาจศาลที่ร้องหรือร้องขอกรณีให้ทราบว่าการพิจารณาคดีนั้นจะต้องหยุดชะงักเปลี่ยนแปลงไป หรือในกรณีอื่นใดซึ่งศาลเห็นว่าคดีไม่อาจพิจารณาให้เสร็จได้โดยสุจริตและเที่ยงธรรมภายในกำหนดเวลา ศาลอาจมีคำสั่งให้เลื่อนการพิจารณาคดีต่อไปจนกว่าจะได้มีการพิจารณาหรือดำเนินการข้อเท็จจริงในส่วนอื่น ๆ แล้วหรือภายในระยะเวลาใด ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรก็ได้

ถ้าศาลสั่งคำสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณาดังกล่าวแล้วโดยไม่มีคำสั่งกำหนด เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความที่เกี่ยวข้องร้องขอ ศาลอาจมีคำสั่งให้เริ่มการนั่งพิจารณาต่อไปในวันใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา 36 เมื่อมีคำสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณา ศาลอาจให้ผู้ที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำมาแสดงให้ศาลพิจารณาได้ว่าเหตุผลที่ศาลสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณานั้นมีความจำเป็นหรือไม่ หากศาลเห็นว่าการเลื่อนการนั่งพิจารณานั้นไม่มีความจำเป็นหรือไม่อาจทำให้คดีเสร็จสิ้นโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

เมื่อศาลสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณา ศาลอาจให้ผู้ที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำมาแสดงให้ศาลพิจารณาได้ว่าเหตุผลที่ศาลสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณานั้นมีความจำเป็นหรือไม่ หากศาลเห็นว่าการเลื่อนการนั่งพิจารณานั้นไม่มีความจำเป็นหรือไม่อาจทำให้คดีเสร็จสิ้นโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

มาตรา 37 ถ้าศาลสั่งเลื่อนการนั่งพิจารณา ศาลอาจให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำมาแสดงให้ศาลพิจารณาได้ว่าเหตุผลที่ศาลสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณานั้นมีความจำเป็นหรือไม่ หากศาลเห็นว่าการเลื่อนการนั่งพิจารณานั้นไม่มีความจำเป็นหรือไม่อาจทำให้คดีเสร็จสิ้นโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

มาตรา 38 ถ้าศาลสั่งเลื่อนการนั่งพิจารณา ศาลอาจให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำมาแสดงให้ศาลพิจารณาได้ว่าเหตุผลที่ศาลสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณานั้นมีความจำเป็นหรือไม่ หากศาลเห็นว่าการเลื่อนการนั่งพิจารณานั้นไม่มีความจำเป็นหรือไม่อาจทำให้คดีเสร็จสิ้นโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

มาตรา 39 ถ้าศาลสั่งเลื่อนการนั่งพิจารณา ศาลอาจให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำมาแสดงให้ศาลพิจารณาได้ว่าเหตุผลที่ศาลสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณานั้นมีความจำเป็นหรือไม่ หากศาลเห็นว่าการเลื่อนการนั่งพิจารณานั้นไม่มีความจำเป็นหรือไม่อาจทำให้คดีเสร็จสิ้นโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

จะมาศาลต่อไปได้ ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการขาดนัดพิจารณาไม่มาศาลของบุคคลที่จำเลยอ้างอิงนั้น แล้วแต่กรณี ศาลอาจสั่งให้ข่าวมูลฟ้องที่ยังไม่ไต่สวนตามจริงตามวรรคหนึ่ง หรือคำอ้างอิงในปพฤติการณ์ที่จำเลยตั้งให้ไต่สวน คู่ความนั้นจะเอาไปให้ปฏิบัติในแบบคนที่ได้ คำพยานหรือแสดงคำประกอบการแสดงให้กับพยานและเหตุ ให้ถือว่าเป็นคำอ้างธรรมเนียม และให้ถือคำพยานนั้น ออกไปใช้บังคับ

มาตรา ๔๓ ถ้าคำอ้างของผู้มีมรณะ หรือผู้จัดการทรัพย์มรณะอยู่ในศาลในขณะเสียชีวิตศาลพิจารณาคดี ให้ศาลเสื่อมการพิจารณาไปจนกว่าทายาทของผู้มีมรณะหรือผู้จัดการทรัพย์มรณะ หรือบุคคลอื่นในปกครองทรัพย์มรณะได้ จะได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ โดยมีคำขอเข้าเอง หรือโดยที่ศาลสั่งตามคำเรียกให้เข้ามา เนื่องจากคำอ้างมูลใดในปพฤติการณ์มีคำขอฝ่ายเดียว คำขอนั้นจำต้องยื่นภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นมรณะ

ถ้าไม่มีคำขอของบุคคลดังกล่าวศาลจะสั่งเสื่อมการพิจารณาไปก็ได้ แต่ถ้าศาลเห็นว่าในเวลาที่กำหนดนั้น ให้ศาลสั่งคำขาดคำคดีว่าเช่นนั้นเสื่อมการพิจารณา

มาตรา ๔๔ ถ้าคำอ้างของผู้มีมรณะ หรือผู้จัดการทรัพย์มรณะ หรือบุคคลอื่นในปกครองทรัพย์มรณะ ประสงค์จะขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ ให้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลเพื่อการนั้น

ในกรณีเช่นนี้ เมื่อศาลเห็นควร หรือเมื่อศาลสั่งคำขอฝ่ายเดียว ให้ผู้ที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทนเช่นนั้นแสดงหมายเรียกและสนับสนุนคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลพยานหลักฐานดังกล่าวนั้นด้วย ให้ศาลสั่งคำขาดคำคดีว่าเช่นนั้นเสื่อมการพิจารณา

มาตรา ๔๕ คำสั่งให้หมายเรียกบุคคลโดยเข้ามาแทนผู้มรณะนั้น จะต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรเพื่อให้บุคคลนั้นมีโอกาสศึกษาในปพฤติการณ์ที่ได้เป็นมรดกของผู้มรณะ หรือมิใช่เป็นผู้จัดการทรัพย์มรณะหรือบุคคลอื่นในปกครองทรัพย์มรณะนั้น

หลายๆ ผู้จัดการทรัพย์มรณะ หรือบุคคลผู้จัดการไม่จำต้องปฏิบัติตามหมายเช่นว่า นั้นก่อนระยะเวลาที่ศาลกำหนดให้เพื่อการยอมรับฐานะที่ได้กระทำไปแล้ว ถ้าคำคู่อุทธรณ์ตามปพฤติการณ์ ยินยอมรับว่าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ ให้ศาลจดรายการเหล่านั้นในคดีต่อไป ถ้าคำคู่อุทธรณ์ไม่ยอมรับหรือไม่มาว่า ให้ศาลทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควร ถ้าศาลเห็นว่าความยอมรับนั้นมีเหตุผลให้ได้ ให้ถือความตั้งคู่ความดังกล่าวเป็นคู่ความแทนผู้มรณะแล้วดำเนินคดีต่อไป ถ้าศาลเห็นว่าความยอมรับนั้นไม่มีเหตุผลให้ไม่ได้ ให้ศาลสั่งคำขาดคำคดีว่าเช่นนั้นเสื่อมการพิจารณาเสีย และถือว่าคำอ้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจเรียกให้ศาลสั่งคำขาดคำคดีในเรื่องทรัพย์มรณะหรือบุคคลอื่นในปกครองทรัพย์มรณะอีกต่อไป

มาตรา ๔๖ ถ้าการว่าคู่ความคำอ้างคำอุทธรณ์ที่เห็นเป็นคู่ความไม่ได้รับความสามารถศาลก็ หรือผู้แทนโดยชอบธรรมจะขอจดรายการเช่นนั้นที่ผู้มีอุทธรณ์สามารถได้รับมรณะหรือพ้นคำขาดคำคดี ให้

ศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปภายในระยะเวลาอันสมควรเพื่อผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมายหรือผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมายไม่อาจไปแจ้งให้ทราบถึงการได้รับแต่งตั้งหรือขาดโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อการนั้น ถ้าไม่ยื่นคำร้องต่อศาลและให้ศาลมีคำสั่ง มาแจ้งให้ศาล ถ้าผู้แทนหรือทนายความอ้างว่าความไม่พร้อม หรือเหตุอื่นอันไม่เป็นเหตุ ให้ศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปตามคำร้องความไม่พร้อมหรือข้ออ้างให้ทราบถึงการที่ไม่ตั้งผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ หรือเหตุอื่นที่ไม่ใช่เหตุจำเป็น ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้แทนหรือทนายความคนใหม่ กรมสรรพสามิต ตัวให้บุคคลดังกล่าวนี้เป็นพยานคือเจ้าพนักงานในกรมหรือเป็นบริการเมตตา หรือบุคคลอื่น ซึ่งกฎหมายแห่งหรือดังนี้เป็นผู้มีอำนาจเป็นพยานในแบบเอกสารอื่น ๆ และตัวดังนี้ในสำคัญของรัฐบาลต่างประเทศที่เกี่ยวข้องและบุคคลที่เป็นพยานนั้นผู้มีอำนาจทางราชการให้ บัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้รับฟังเป็นหลักฐานและการอื่น ๆ ที่จำเป็นอย่างนี้ ซึ่งคู่ความจะต้องยื่นต่อศาล

มาตรา ๔๘ ในคดีทุกเรื่อง ให้บันทึกที่ต้องแสดงหลักฐานหรือกระบวนพิจารณา หรือกระบวนพิจารณาอื่น ๆ ของศาลไว้ทุกครั้ง รายงานนั้นต้องมีรายการต่อไปนี้ (๑) เลขคดี (๒) ชื่อคู่ความ (๓) สถานที่ วัน และเวลาที่ศาลเริ่มพิจารณาหรือดำเนินกระบวนพิจารณา (๔) ข้อความโดยย่อเกี่ยวด้วยเรื่องที่กระทำและรายการข้อสำคัญอื่น (๕) ลายมือชื่อผู้พิพากษา เมื่อมีบัญญัติหมายบัญญัติไว้เรื่องนี้อาจเห็นเป็นการจำเป็นให้มีการลงบันทึก (โดย จดรวมไว้ในรายงานพิจารณาหรือที่ส่วนหนึ่งที่ศาลทำมา) ซึ่งคู่แถลงหรือคำคัดค้านในข้อสำคัญ ข้อความ คำสั่งคำ พิพากษา หรือกระบวนพิจารณาที่ทำด้วยวาจาหรือจากบุคคลผู้มีหน้าที่ ประมวลกฎหมายนี้

มาตรา ๔๙ ในส่วนที่เกี่ยวด้วยคำคัดค้านและคำสั่งคัดค้านข้อกฎหมาย หรือคำให้การ ของพยานหรือคู่ความผู้มีส่วนได้เสียในคดีใด ๆ ให้ศาลจดไว้ในรายงานพิจารณา หรือรายงานพิจารณาอื่น ๆ และให้คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีนั้นลงลายมือชื่อไว้ในรายงานพิจารณา หรือรายงานพิจารณาอื่น ๆ นั้นด้วย ถ้าคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีนั้นไม่ลงลายมือชื่อ ให้ศาลจดไว้ในรายงานพิจารณา หรือรายงานพิจารณาอื่น ๆ นั้นว่าไม่ลงลายมือชื่อเพราะเหตุใด

มาตรา ๕๐ ถ้าคู่ความฝ่ายใด หรือบุคคลใดจะต้องลงลายมือชื่อในรายงานโดยเพื่อ แสดงรับรู้รายงานนั้น หรือจะต้องลงลายมือชื่อในเอกสารใดหรือรับรองการอ่านหรือการแปลเอกสาร เช่นนั้นนั้น (ก) การลงลายมือชื่อ พิมพ์ลายนิ้ว แก้ไข หรือข้อความอย่างอื่นที่ได้ทำต่อหน้าศาล นั้น ไม่จำต้องมีลายมือชื่อของนายทะเบียนรอง (ข) ถ้าคู่ความ หรือบุคคลที่ต้องลงลายมือชื่อเป็นรายงานดังกล่าวนั้น ลายมือ ชื่อไม่ได้ หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ ให้ศาลทำรายงานจนแจ้งเหตุที่ไม่สามารถลงลายมือชื่อนั้นในบันทึกการ ลงลายมือชื่อ

มาตรา ๕๑ ให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะปฏิบัติดังนี้ (ก) ลงทะเบียนคดีในรายการความตามลำดับหมายถึงที่รับไว้ กล่าวคือ ตามวันและ เวลาที่มีพระราชโองการหรือมีหนังสือคำสั่งตามบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (ข) ลงทะเบียนคดีในรายการ หรือคำสั่งที่จำเป็นทุกอย่างที่มีหมายถึงในสารบบ คำพิพากษา

(ก) รวบรวมรายงานและเอกสารที่ส่งต่อศาลหรือศาลชั้นต้น กับคำสั่งและคำพิพากษาของศาล ไปศึกษาอย่างเร่งด่วน แล้วเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย (ข) คัดลอกคำพิพากษา คำสั่งชั้นฎีกา แล้วเก็บรักษาไว้เรียงลำดับในที่ปลอดภัย (ค) เก็บรักษาสารบบและสมุดของศาล เช่นสารบบความและรายการคดีของศาลไว้ในที่ปลอดภัย การจัดทำสารบบความหรือสารบบคดีศาลฎีกา การรวบรวมเอกสารในส่วนความและการเก็บรักษาสำเนาคำพิพากษาหรือคำสั่งชั้นฎีกาตามวรรคหนึ่ง (ก) (ข) (ค) อาจกระทำในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ และให้ออกสำเนาพิมพ์เอกสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามที่รองอธิบดีศาลที่ทำงานในส่วนความและสารบบความของศาลฎีกากำหนด หรือเป็นสำเนาเอกสารในส่วนความตามวรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี และให้เป็นหน้าที่ของบังคับได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และเมื่อข้อกำหนดนั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

มาตรา ๔๒ เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วศาลชั้นต้นได้ดำเนินการปฏิบัติตาม หรือยังดำเนินไปแล้ว หรือระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อการบังคับนั้นได้ล่วงเลยไปแล้ว ให้ศาลที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น เพื่อเป็นการให้หรือจัดการตามกฎหมายรองรับข้อกรณีนั้น

มาตรา ๔๓ ถ้าระหว่างการพิจารณา คำสั่งหรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องในคดีหนึ่งเกิดความสงสัยหรือประสงค์ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนั้นโดยสมควร หรือเมื่อมีคู่ความฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องเกี่ยวข้องกับข้อโดยคำบังคับคำร้อง ให้ศาลสั่งคู่ความหรือบุคคลผู้ถือเอกสารนั้น นำเอกสารที่ร้องขอถูกต้องส่งต่อศาล ถ้าหากคำเสนอแนะนั้นมีเพียงพอต่อการพิจารณาส่วนหน้าไม่ได้ ให้ศาลสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่ หรือมีสิ่งอื่นอย่างอื่นที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

มาตรา ๔๔ คำว่าสาเหตุ หรือพยานในส่วนที่เกี่ยวกับคำให้การของคู่ความในคดีนั้นที่ดี หรือบุคคลภายนอกผู้จะนำไปสืบโดยขอรับฟังเหตุผลต่อศาลนั้น อาจร้องขออนุญาตต่อศาลในระหว่างการพิจารณา หรือการสั่งการพิจารณาเรื่องพยานหรือพยานวัตถุที่พบในปัจจุบันในคดีนั้น หรือออกคำแนะนำ หรือขอให้คำสั่งศาลนั้นและรับรอง แต่งตั้ง

ห้ามมิให้บุคคลผู้ใดนำเสนอคดีส่วนบุคคลอื่นมาจากความจริงหรือพยานในคดีที่พิจารณาโดยไม่เป็นผล หรือในลักษณะที่ศาลได้สั่งให้พิจารณาเรื่องนั้นโดยสมควร หรือในกรณีที่พิจารณาเรื่องนั้นหรือความจริงนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ส่วนตัวของคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้น แต่ทั้งนี้ให้มีข้อยกเว้นในการที่ศาลพิจารณาคดีนั้นหรือออกคำสั่งที่เหมาะสมในปัญหาดุจดังนี้ แต่ทั้งนี้ให้มีข้อยกเว้นในการที่ศาลพิจารณาคดีนั้น หรือในกรณีของข้อกำหนดที่เหมาะสมของศาลให้สืบพยานในคดีนั้น

ห้ามมิให้บุคคลผู้ใดกล่าวคำร้องอย่างหนึ่งอย่างใดที่ขัดต่อคำพิจารณาของศาล

มาตรา ๔๕ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๖

เสร็จสิ้นแล้ว หัวหน้าจะมีพฤติการณ์พิเศษที่จะให้อุทธรณ์ เช่นได้ให้อุทธรณ์แล้ว การตรวจ หรือการพิจารณาเสร็จแล้ว ให้ผู้ขอหรือบุคคลซึ่งได้รับ การแต่งตั้งจากผู้ขอโดยชอบเป็นผู้ติดตามและเร่งเรื่องในสิ่งที่จำเป็นจะต้องให้ทางต้นให้พิจารณาสะดวก ของศาลหรือเพื่อความสะดวกของเรื่องการนั้น ทั้งนี้มิให้ขัดต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล ก่อนที่ได้ออกคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นและ ก่อนที่ได้กำหนดในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในกรณีที่ศาลได้กำหนดให้มีการเพิ่มเติมคำให้การรายงานเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลที่ กระทำด้วยอาจจากความบกพร่องในบัญญัติที่บัญญัติไว้ คือ คำอุทธรณ์เป็นโมฆะเมื่อมีเหตุที่ไม่ถูกต้อง คิดสำนวน หรืออุทธรณ์เสมือนเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำสั่งหรือคำพิพากษาศาลที่ได้ สำนักที่รับรองนั้น ให้หัวหน้าสั่งเป็นผู้รับรองโดยเรียกค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดไว้ใน อัตราท้ายประมวลกฎหมายนี้ ในกรณีที่ผู้ขอตรวจสอบอุทธรณ์หรือคำสั่งตามตัว ยกเว้นเอง ไม่ต้องเรียก ค่าธรรมเนียม

ลักษณะ ๓

คู่ความ

มาตรา ๔๕ เมื่อมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตาม

กฎหมายแพ่ง หรืออุทธรณ์ต่อข้อพิพาท บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่ง ที่มีเหตุอันควรนำไป ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้

มาตรา ๔๖ ผู้ใดความสามารถหรือผู้ทำการแทนขอเสนอข้อเท็จจริงต่อศาลหรือดำเนิน

กระบวนพิจารณาใด ๆ ได้ ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยความสามารถและความสมบูรณ์แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง การให้อุทธรณ์หรือยอมตาม บทบัญญัตินั้นแล้ว ให้พนักงานอัยการเป็นผู้ต่อพยานหรือให้มีในส่วนความสามารถที่ไม่อาจทำได้ ไม่ว่าจะโดยใด ๆ ก่อนที่ได้กำหนดในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือความสามารถที่ไม่อาจทำได้ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยที่เห็นว่าชอบด้วย ให้ศาลมีอำนาจทำการสอบสวนหรือแจ้งความสามารถของคู่ความ คู่ความต้องปฏิบัติตาม และต้องมีหนังสือรับรองการสอบสวนหรือการแจ้งความสามารถนั้นส่ง คำแถลงให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ และให้ศาลมีอำนาจสั่งให้คู่ความ กระทำการหรือไม่กระทำการใด ๆ เพื่อความสะดวกหรือประโยชน์ในการพิจารณาคดีนั้น ศาลจะ สั่งให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายกระทำการหรือไม่กระทำการใด ๆ หรือสั่งการให้พนักงานฝ่าย คดีทำการในส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ ศาลอาจสั่งให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายกระทำการหรือไม่กระทำการใด ๆ อันเกี่ยวกับการพิจารณาคดีนั้นได้ และให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายมีสิทธิยื่นคำร้องขอ ต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับการพิจารณาคดีนั้นได้เช่นเดียวกัน

มาตรา ๔๗ บุคคลอาจยกข้อที่มิใช่คู่ความอุทธรณ์หรือคำสั่งที่มิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - ๒๘ -

ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อมิให้ได้รับความรับรองคุ้มครอง หรือรับคำขอสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยลักษณะคำร้องขอตกลงที่เกี่ยวกับประโยชน์ระหว่างการพิจารณาหรือเมื่อหมดสิทธิเรียกร้องเกี่ยวข้องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยลักษณะคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อมิให้เสียความเป็นไปโดยหลักศีลธรรมอันดีหรือข้อขัดข้องต่าง ๆ ต่อคำพิพากษาหรือคำสั่งตามกฎหมาย อนุญาตให้มีการตกลงยอมความ หรือในกรณีที่ศาลอาจไม่ได้นำคำพิพากษาหรือคำสั่งที่มีผลบังคับมาใช้บังคับแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่มีผลบังคับแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ศาลจะได้อนุญาตให้ดำเนินการที่เห็นว่ามีเหตุอันสมควรตามที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างเหตุผลหรือหลักฐานประกอบคำร้องขอในส่วนที่มีผลบังคับแก่คู่ความฝ่ายนั้น

ด้วยอุทธรณ์และเรียกให้ชำระในคดี (ก) ตามลักษณะของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ทำเป็นคำร้องและเหตุว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจถูกบังคับตามนั้นเพื่อการใช้สิทธิในเชิงเปรียบ หรือเพื่อให้คำตัดสินแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คำวินิจฉัยในส่วนที่ไม่เป็นผลดี หรือ (ข) โดยคำสั่งของศาลเมื่อศาลนั้นเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความเสียหาย ในกรณีที่มีการพิจารณาในส่วนที่ไม่ครบถ้วนตามกฎหมายกำหนด หรือศาลเห็นสมควรให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องขอในส่วนที่มีผลบังคับแก่คู่ความฝ่ายนั้น จะมีเหตุอันสมควรตามกฎหมายกำหนด และให้ศาลมีคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และให้ศาลมีคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น

มาตรา ๕๕ ผู้ร้องสอดที่ได้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตรา (๑) และ (๓) แห่งมาตราก่อนนี้ มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าเขาได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ซึ่งโดยเฉพาะผู้ร้องสอดอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดงได้ หากคำแถลงหรือคำให้การที่ได้ยื่นไว้ ตามคำขอที่มีเหตุผลและศาลเห็นสมควรตามที่ศาลพิจารณาในกรณีนี้ และอาจได้รับหรือถูกบังคับให้ปฏิบัติตามธรรมเนียม

ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดที่ได้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตรา (๒) นอกจากสิทธิที่มีอยู่เดิมในฐานะคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีนั้น และห้ามมิให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในกรณีที่ศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควรตามที่ศาลพิจารณาในกรณีนี้

เมื่อมีความจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อเสียหายสำคัญ ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความในคดีนั้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องสอด

เมื่อมีความจำเป็นในกรณีที่ศาลเห็นสมควรให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความในคดีนั้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปัญหาข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญซึ่งผู้ร้องขอวินิจฉัยให้รู้ว่ามีอยู่เท่านั้น

มาตรา 45 บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป อาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากการดำเนินคดีนั้นมีผลเกี่ยวข้องหรือมีประโยชน์ร่วมกันในทางกฎหมาย แต่ห้ามมิให้ชาวบุคคลดังกล่าวนั้นแย้งกันเองในแง่ผลแห่งความผิดหรือการบังคับตามคำพิพากษา จากที่กล่าวไว้แล้วในมาตรานี้ ให้ถือว่าโจทก์ร่วมในคดีนั้น ๆ เป็นคู่ความร่วมกัน และให้ถือว่าจำเลยร่วมในคดีนั้น ๆ เป็นคู่ความร่วมกันด้วย ทั้งนี้

(ก) บรรดากระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดย หรือทำต่อคู่ความร่วมคนหนึ่งคนใด ให้ทำโดย หรือทำต่อ คู่ความร่วมคนอื่น ๆ ด้วย เว้นแต่กระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสียเปรียบแก่คู่ความร่วมคนอื่น ๆ (ข) การเลือกตั้งหรือการงดจัดพิจารณาซึ่งเกี่ยวกับคู่ความร่วมคนหนึ่งนั้น ให้ใช้ถึงคู่ความร่วมคนอื่น ๆ ด้วย

มาตรา 50 คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือผู้แทนโดยชอบธรรมในกรณีที่คู่ความเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือผู้แทนในกรณีที่คู่ความเป็นบุคคลล้มละลาย จะว่าความด้วยตนเองและดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งปวงที่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อประโยชน์ของตน หรือจะตั้งแต่งทนายความคนหนึ่งคนใด หรือหลายคนให้ว่าความแทนตนก็ได้ ถ้าคู่ความฝ่ายใด หรือผู้แทนโดยชอบธรรมในกรณีที่คู่ความเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือผู้แทนในกรณีที่คู่ความเป็นบุคคลล้มละลาย ตั้งแต่งทนายความแล้ว ทนายความนั้นย่อมมีอำนาจว่าความแทนคู่ความฝ่ายนั้น

มาตรา 26 การตั้งทนายความนั้น ต้องทำเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของตัวความและทนายความ แล้วส่งต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวน ใบแต่งทนายนี้ให้ใช้ได้เฉพาะคดีเรื่องหนึ่ง ๆ ตามที่ได้ยื่นไว้เท่านั้น เมื่อยกฟ้องความผู้ใดให้รวมอยู่ในอำนาจหรือในชื่อบุคคลอื่นไม่ว่าในคดีใด ๆ ให้ทนายความนั้นแสดงใบแต่งต่อศาลต่อไป แล้วศาลจะนำใบแต่งต่อศาลเก็บใบแต่งทนาย เพื่อดำเนินคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป ตามความในมาตรานี้

มาตรา 26 หมายความถึงคู่ความที่ได้แต่งตั้งแล้วแต่เพียงว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ หากคู่ความได้ตกลงที่จะแต่งตั้งมอบอำนาจให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาไปเป็นไปในทางการจัดเรื่องข้อพิพาท เช่น การยอมรับความผิดหรือการยอมฟ้อง การประนีประนอมยอมความ การขอถอนฟ้อง การขอรับเงินหรือทรัพย์สิน หรือการกระทำใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิทธิหรือหน้าที่ของคู่ความฝ่ายนั้น ให้ถือว่าทนายความมีอำนาจกระทำการดังกล่าวได้ แต่ถ้าคู่ความได้กำหนดขอบเขตอำนาจของทนายความไว้ในใบแต่งทนาย ให้ถือว่าทนายความมีอำนาจกระทำการได้เฉพาะที่กำหนดไว้ในใบแต่งทนายเท่านั้น

กรณีระเบียบอย่างไรก็ดี ตัวความหรือผู้แทนจะปฏิเสธหรือแก้ไขข้อความหรือข้อเท็จจริงที่ทนายความได้กระทำไปแล้วไม่ได้

มาตรา 26 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2549

ทนายความของตนให้กล่าวด้วยวาจาต่อหน้าต่อในศาลในขณะนั้นก็ได้ แม้มีคำว่าความหรือผู้แทนนั้นจะมิให้มีส่วนสิทธิเช่นนั้นไปในแง่หมายลักษณ์

มาตรา ๒๓ บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ให้ถือสิทธิตัวความในชั้นนี้ตั้งแต่ผู้แทนหรือทนายความโดยทำบันทึกหรือยื่นข้อความเพื่อให้ปรากฏทรัพย์สินให้จ่ายในโอกาสการจ่ายใช้จ่ายเป็นเงินหรือธรรมเนียมเรื่องอย่างใด และภาคใต้ให้สิทธิในทางคดีหรือในทางอื่นนั้น แต่ถ้าศาลเห็นว่าความสะดวกในคดีอาจกระทบถึงตัวบุคคลผู้แทน หรือทนายความดังกล่าวนั้น ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้ตัวความหรือทนายความหรือผู้แทนดังกล่าวนั้นได้

มาตรา ๒๔ เว้นแต่ศาลจะได้สั่งเป็นอย่างอื่น เมื่อคดีมีเหตุผลพิเศษอันเกี่ยวกับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทนายความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ คู่ความหรือทนายความดังนั้นแต่ให้บุคคลใดทำการแทนได้ โดยยื่นไปขออนุมัติในห้องศาลทุกครั้ง เพื่อกระทำการร้องในอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือคำขอวันนัดหรือการพิจารณาในศาล หรือวันแห่งคดี หรือคำขออื่น ๆ ในกรณีที่ศาลเห็นว่า คำร้องหรือการร้องนั้น ๆ ตามที่บัญญัติในมาตรา ๒๓ และ ๒๖ และผลการรับรู้สิทธินั้น

มาตรา ๒๕ ทนายความที่ศาลวางให้ตั้งแต่ให้เป็นทนายในคดีจะต้องต่อศาลให้ชัดเจนตามการตั้งแต่วันแรกที่ให้ทำเพื่อให้ปรากฏในคำร้องนั้นให้ชัดเจนตามความหมายแล้ว เว้นแต่จะหาตัวความไม่ได้

มาตรา ๒๖ ผู้ใดทำจำนำไม่ถูกในข้อยอมรับธรรมของตัวความหรือเป็นผู้แทนของนิติบุคคล เมื่อศาลเห็นสมควรย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องนั้นเอง โดยทำให้คำร้องไปแสดงที่มีคำฟ้องหรือคำให้ทำการสอบสวนเกี่ยวกับตัวบุคคลผู้ยื่นนั้นได้ และถึงแม้ที่พึ่งไปว่าผู้ยื่นไม่มีอำนาจ หรือมีอำนาจอยู่ในบันทึกพร้อม ศาลย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนั้นเสีย หรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

ลักษณะ ๔

การยื่นและสำคัญความและเอกสาร

มาตรา ๒๗ เมื่อประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติว่า เอกสารใดจะต้องส่งให้แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง (เช่นคำคู่ความที่ทำโดยศาล คำให้การหรือคำร้องหรือคำฟ้องในคดีจริง ฯลฯ) โดยเจตนาหรือความจำเป็น คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือศาลจะต้องดำเนินการ

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พยานเอกสาร "หลักฐานเอกสารนั้นต้องทำขึ้นให้ปรากฏข้อความแสดงถึงตัวบุคคลและมีรายการต่อไปนี้

ชื่อสารที่ระบุตำฟ้อง หรือคำคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา ชื่อของศาลนั้นและเลขหมายคดี

ชื่อคู่ความในคดี

ชื่อคู่ความหรือบุคคล ซึ่งจะเป็นผู้รับรู้คำคู่ความหรือเอกสารนั้น

ใจความ และเหตุผลที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องการให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้น

วัน เดือน ปี ของคำคู่ความ หรือเอกสารและลายมือชื่อของเจ้าพนักงาน คู่ความ หรือบุคคลซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้ส่ง ในการยื่นหรือส่งคำคู่ความ หรือเอกสารต่อไปยังตัวความในคดีที่ยังไม่ได้เจ้าพนักงาน คู่ความ หรือบุคคลผู้เกี่ยวข้องจะต้องใช้กระดาษแบบพิมพ์หัวไว้พิมพ์นั้นให้เรียกตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะได้กำหนดไว้ เพื่อประโยชน์แห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้เรียกมติบุคคลตามชื่อหรือตามชื่อที่จดทะเบียนและภูมิลำเนาหรือสถานที่ทำงานของบุคคลนั้น ให้ถือเอาสถานที่ทำงานหรือสำนักงานแห่งใหญ่ซึ่งอยู่ภายในเขตศาลหรือที่มีอยู่ในระหว่างพิจารณา

มาตรา ๘๔ การยื่นและส่งคำคู่ความและเอกสารในคดีจะไม่ว่ากรณีใดจะต้องกระทำโดยบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในคดีหรือผู้แทนโดยชอบธรรมของบุคคลนั้น หรือโดยทนายความ รวมทั้งการแจ้งคำสั่งศาลหรือข้อบังคับของเจ้าพนักงานในคดีนั้น ๆ อาจดำเนินการโดยทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือทางโทรสารตามที่ศาลจะได้กำหนดไว้

วิธีการยื่นและส่งคำคู่ความและเอกสารในคดีจะต้องเป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนด และเมื่อมีข้อกำหนดแล้วให้ถือเป็นส่วนหนึ่งในระหว่างพิจารณา

มาตรา ๘๕ การยื่นคำคู่ความ หรือเอกสารอื่นใดต่อศาลนั้น ให้กระทำได้โดยส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของศาล หรือยื่นต่อศาลในระหว่างนั่งพิจารณา

มาตรา ๘๖ บรรดาคำฟ้อง หมายเรียกและหมายอื่น ๆ คำสั่ง คำบังคับของศาลในกรณีที่มีคำสั่งบังคับ ให้เจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งให้แก่คู่ความหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้อง แต่ว่า

(ก) หมายเรียกพยาน ให้หมายเรียกส่งไปยังพยานนั้นเป็นผู้ได้รับโดยตรง เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่นหรือยกเว้นโดยชอบในกรณีที่เป็นไปตามที่ศาลเห็นสมควรแก่บุคคลผู้ส่ง (ข) คำสั่งของศาล รวมทั้งคำสั่งกำหนดวันนั่งพิจารณาหรือสั่งยกฟ้อง แล้วแต่กรณี หรือคำสั่งให้เลื่อนคดี คำคู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในสถานที่ใดในเขตที่มีคำสั่งได้ส่งตามชื่อรับรู้ ให้ถือว่าได้ส่งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

มาตรา ๘๗ บรรดาคดี เมื่อศาลระงับชั่วคราวผู้เป็นโจทก์ไม่เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๘๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๘๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๖

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คำร้องนั้น ให้ไปรษณีย์ส่งธรรมเนียมในการส่ง ส่วนการนำส่งนั้นโจทก์จะนำส่งหรือไปยื่นให้ แก่แต่ละรายซึ่งได้รับคำสั่งจากเจ้าพนักงานส่ง ส่วนหมายเรียก หมายอายัด ฯลฯ คำสั่งของศาลที่ได้ออกตามคำขอของคู่ความฝ่ายใด ถ้าคำสั่งนั้นให้เจ้าพนักงานส่งดำเนินการส่งด้วย ก็ให้คู่ความฝ่ายนั้นเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานส่งที่จะจัดการส่งให้แก่คู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 33 คำให้การนั้น ให้ฝ่ายที่ให้การบอกข้อเท็จจริงยืนยันไว้ต่อศาลพร้อมด้วยสำเนาสำหรับให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ รับไปโดยทางเจ้าพนักงานส่ง

คำร้องแย้งให้แถลงเป็นหนังสือยื่นต่อศาล ให้เจ้าพนักงานศาลส่งไปยังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ โดยฝ่ายยื่นคำร้องเป็นผู้เสียค่าพนักงานส่ง

มาตรา 34 คำร้องและคำแถลงการณ์ซึ่งไม่ยื่นต่อศาลภายในเวลาที่กฎหมายหรือศาลกำหนดไว้ หรือในข้อบังคับของศาลซึ่งศาลวางไว้ประกาศนั้น ให้ผู้ยื่นคำร้องหรือคำแถลงการณ์นั้นเป็นผู้เสียค่าพนักงานส่งหรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องรับไปโดยทางเจ้าพนักงานศาล

บรรดาคำร้องอื่น ๆ ให้ยื่นต่อศาลหรือส่งต่อศาล เพื่อดำเนินการโดยศาลเท่านั้น คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยวิธีการดังต่อไปนี้ (ก) โดยคู่ความฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเอง แล้วส่งไปยังศาลพร้อมกับต้นฉบับนั้น ๆ ในวันนั้นจะทำโดยวิธีส่งไว้ในตู้จดหมายได้รับสำเนาแล้ว และลงลายมือชื่อผู้รับกับวัน เดือน ปี ที่ได้รับก็ได้ หรือ (ข) โดยคู่ความฝ่ายที่ต้องส่งนั้นนำคำร้องไปยังศาลพร้อมกับต้นฉบับ แล้วขอให้เจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในกรณีเช่นนี้ ผู้ต้องไปยื่นคำร้องที่ศาลและเสียค่าธรรมเนียมในการส่งนั้นด้วย

มาตรา 35 ถ้าคู่ความฝ่ายใดกล่าวหรือแสดงให้ปรากฏว่าไม่สามารถเป็นผู้ส่งแก่คู่ความผู้ที่ต้องส่งให้ได้ด้วยตนเอง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการส่งในกรณีเช่นนี้ เพื่อการนี้พนักงานผู้ส่งหมายจะให้ข้อความหรือบุคคลผู้ซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในที่อยู่เดียวกันหรือบุคคลผู้รับหรือเพื่อดำเนินกฎหมายหรือดำเนินการทางของรัฐก็ได้

ในกรณีที่ต้องส่งคำร้องหรือคำแถลงการณ์ไปตามคำสั่งของศาล ให้คู่ความไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในการส่งนั้น ให้เป็นหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือศาลจะดำเนินการส่ง

มาตรา 36 ทวิ* คำคำร้องหรือเอกสารที่เจ้าพนักงานศาลแจ้งแก่ผู้ส่งไม่ว่าจะกรณีใด ๆ

* มาตรา 36 ทวิ เพิ่มเติมโดยคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะเป็นหน้าที่ของศาลจัดการส่งหรือคู่ความมีหน้าที่จัดการส่งก็สุดแล้วแต่ ศาลอาจสั่งให้ส่งในทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ หรือโดยทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยให้คู่ความส่งที่ที่อยู่หรือที่ทำการที่แจ้งไว้ต่อศาลในชั้นต้น ให้ถือว่าคำคู่ความหรือเอกสารที่ส่งโดยเจ้าพนักงานไปถึงคู่ความ มีผลเสมือนว่าได้มอบหมายโดยผู้ส่งและให้นำบันทึกบัญชีมาตรา ๕๕ มาตรา ๕๖ และมาตรา ๕๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๕๔ การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นโดยเจ้าพนักงานตามนี้ให้ปฏิบัติดังนี้

ให้ส่งในเวลาราชการวันพระราชทานหรือราชทูตต่อกัน และ

ให้ส่งแก่คู่ความหรือบุคคลซึ่งระบุไว้ในคำคู่ความหรือเอกสาร ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักงานการงานของคู่ความหรือบุคคลนั้น แต่ให้อยู่ในบริเวณแห่งเขตปกครองตามที่ระบุไว้

มาตรา ๕๕ การส่งคำคู่ความหรือเอกสารซึ่งมิได้ให้แก่บุคคลตามที่คู่ความผู้ส่งแจ้งให้ว่าต้องส่ง หรือให้แก่บุคคลที่นายอำเภอและเจ้าพนักงานเห็นสมควรเพื่อกระทำกิจการอย่างใด ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา ๕๔ นั้น ให้ถือว่าเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา ๕๖ เมื่อเจ้าพนักงานส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นตามวิธีการดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่าคำคู่ความหรือเอกสาร ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักงานการงานของบุคคลนั้น ๆ ถ้าได้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารแก่ผู้ใด ๆ ที่มีอยู่ในที่นั้นอยู่ซึ่งอาจรับไว้แทนได้หรือมอบให้แก่บุคคลที่มีหน้าที่รับคำคู่ความหรือเอกสารนั้น หรือได้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นตามข้อความในคำคู่ความหรือเอกสารนั้นแล้ว การเพียงพอที่จะพิจารณาได้ว่าคำคู่ความหรือเอกสารนั้นได้ส่งถึงคู่ความหรือบุคคลนั้นแล้ว

ในกรณีเช่นว่านี้ การส่งคำคู่ความหรือเอกสารแก่คู่ความฝ่ายใด ห้ามมิให้ส่งแก่คู่ความฝ่ายปรับบัญชีผู้รับไว้แทน

มาตรา ๕๗ การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นโดยเจ้าพนักงานภายในยังที่อื่นนอกจากภูมิลำเนา หรือสำนักงานการงานของคู่ความหรือของบุคคลซึ่งระบุไว้ในคำคู่ความ หรือเอกสารนั้น ให้ถือว่าเป็นการถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อ

คู่ความหรือบุคคลนั้นยอมรับคำคู่ความหรือเอกสารนั้นไว้ หรือ

การส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นได้กระทำในที่ทำการ

มาตรา ๕๘ คำคู่ความหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคำคู่ความหรือเอกสารซึ่งได้รับมอบรับคำคู่ความหรือเอกสารนั้นจากเจ้าพนักงานตามที่เจ้าพนักงานเห็นสมควรเพื่อกระทำกิจการอย่างใด ๆ ซึ่งเจ้าพนักงานนั้นจะมอบให้แก่พนักงานที่มีหน้าที่ตามควรที่ต้องทำงานหรือหน้าที่นั้นด้วยเพื่อเป็นพยาน และคำคู่ความหรือบุคคลนั้นย่อมมีสิทธิได้รับอยู่ด้วย ก็ให้เจ้าพนักงานส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้น ณ ที่นั้น เมื่อได้ดำเนินการให้ถือว่าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นเป็นการถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา ๔๗/๔ หากการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นไม่สามารถจะจัดให้ถึงที่อยู่ผู้ใดในมาตราอื่น ศาลอาจสั่งให้ส่งโดยวิธีอื่นแทนได้ ศาลอาจสั่งให้คำคู่ความหรือเอกสารไปปิดไว้ ณ ภูมิลำเนาหรือที่ทำการงานของตัวความหรือบุคคลผู้ซึ่งจะได้รับคำคู่ความหรือเอกสาร หรืออาจสั่งให้คำคู่ความหรือเอกสารไปปิดทิ้งไว้กับทางมาปกครองในท้องที่หรือเจ้าพนักงานตำรวจ แล้วปิดประกาศแสดงการที่ได้ปิดหมายดังกล่าวนั้นไว้ให้ปรากฏ ณ ศาล หรือโฆษณาทางวิธีอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควร

การส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยวิธีอื่นแทนนี้ ให้ถือได้ว่าได้ส่งถึงกำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นนับแต่ศาลสั่งตามที่ศาลเห็นควร กำหนดเวลาที่คำคู่ความหรือเอกสารหรือประกาศแสดงการปิดหมายบังคับไว้ หรือการโฆษณาหรือวิธีอื่นใดตามที่ศาลสั่งนั้นได้ทำหรือได้ดำเนินแล้ว

มาตรา ๔๘ การส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยเจ้าพนักงานศาลหรือทางเจ้าพนักงานศาลนั้น ให้เจ้าพนักงานศาลส่งใบรับรองส่งชื่อคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือคู่ความทั้งสองฝ่าย หรือรายงานการส่งคำคู่ความหรือเอกสารลงลายมือชื่อเจ้าพนักงานศาลต่อศาล และแนบไว้ในสำนวนความ

ใบรับหรือรายงานนั้นต้องส่งข้อความให้ปรากฏแน่ชัดถึงบุคคลและรายการต่อไปนี้

ชื่อเจ้าพนักงานผู้ส่งหมาย และชื่อผู้รับหมาย ถ้ามีการส่ง

วิธีส่ง วัน เดือน ปี และเวลาที่ส่ง

รายงานเกี่ยวกับตัววันเดือนปี และเวลาส่งชื่อเจ้าพนักงานผู้รับรายงาน

ใบรับหรือรายงานต้องได้จัดทำในวันส่งหรือส่งหมายที่กำหนดไว้

มาตรา ๔๙ การส่งหมายเรียกพยานโดยคู่ความที่เกี่ยวข้องนั้นให้ปฏิบัติดังนี้

ให้ส่งในเวลาลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก และ

ให้ส่งแก่บุคคลซึ่งระบุไว้ในหมายเรียก ณ ภูมิลำเนาหรือที่ทำการงานของบุคคลนั้นเท่านั้น แต่ถ้าไม่อยู่ในบ้านกับบุตรผู้เยาว์แห่งมาตรา ๒๖ และ ๒๗

มาตรา ๕๐ ถ้าจะต้องส่งคำคู่ความหรือเอกสารไปยังตัวความหรือบุคคลหลายคน ให้ส่งสำเนาคำคู่ความหรือเอกสารที่จะส่งต่อไปให้ทุก ๆ คน ในกรณีที่ต้องส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยเจ้าพนักงานศาลหรือทางเจ้าพนักงานศาลนั้นให้เจ้าความส่งสำเนาที่จัดการทำส่งมอบสำนักงานคำคู่ความหรือเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานศาลหรือเจ้าพนักงานศาลเพื่อส่งต่อไปยังตัวความหรือบุคคลดังกล่าวนั้น

มาตรา ๕๑ ถ้าคำคู่ความที่ส่งไปควรต้องมีต้นฉบับคำสั่งหรือคำร้องที่ได้ลงลายมือฝ่ายหนึ่ง หรือบุคคลตามมาตรา ๔๘ คำคู่ความหรือเอกสารอื่น ๆ ถ้าอยู่ในเวลาส่งต่อเอกสารที่ศาลจะต้องได้กำหนดไว้ และการส่งเช่นนั้นต้องจัดการส่งหรือโดยทางเจ้าพนักงานศาล ให้ถือว่าได้ส่งถึงกำหนดได้ปฏิบัติตามความมุ่งหมายของกฎหมายเรื่องความสงบเรียบร้อย ให้ถือว่าได้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นแล้ว

เอกสารเช่นว่านั้นแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลเพื่อให้ยื่นหรือให้ส่งในเวลาหรือก่อนเวลาที่กำหนดนั้นแล้ว แต่ถ้าการยื่นคำคู่ความหรือเอกสารหรือการรายงานให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสาร หรือการส่งคำ คู่ความหรือเอกสารให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลรายอื่นนั้นจะได้เป็นไปภายในเวลาที่ กำหนดนั้นก็ให้ ถ้าประมวลกฎหมายนี้บัญญัติไว้ว่า การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใด จะต้องให้ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลรายอื่นลงลายมือชื่อรับในเอกสารนั้นให้เป็นไปตามความมุ่งหมายของ กฎหมายหรือของศาลตามที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อนนั้นได้ต่อเมื่อคู่ความหรือบุคคลรายอื่นนั้นได้ลง ลายมือชื่อรับหรือปฏิเสธไม่รับในเอกสารนั้นในเวลาที่กำหนดนั้นแล้ว เว้นแต่มีเหตุขัดข้องที่ไม่อาจ ส่งเอกสารหรือจะส่งในเวลาที่กำหนดดังกล่าวไม่ได้ ในกรณีที่คู่ความอาจส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดยวิธีส่งสำเนาคำคู่ความอีก ฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลรายอื่นได้ บทบัญญัติแห่งมาตราให้ใช้บังคับคู่ความที่เห็นว่าที่ต้องส่งคำคู่ความ หรือเอกสารดังกล่าวล่าช้าอันมิใช่ด้วยความผิดของตน แต่คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องส่งสำเนาคำคู่ความ หรือเอกสารที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลรายอื่นจะทราบถึงการส่งคำคู่ความหรือเอกสารได้ภายในเวลา ที่กำหนดดังกล่าวไว้ใน มาตรา ๓๗ ทวิ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นไม่มีผู้ใดอยู่ในราชอาณาจักรให้ส่งคำ คู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้มีอำนาจปกครองหรือผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราชอาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีผู้มีอำนาจปกครองหรือผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราชอาณาจักรให้ส่งคำ คู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นใน ราชอาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้จัดการ มรดกของบุคคลนั้นในต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราช อาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้จัดการ มรดกของบุคคลนั้นในต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราช อาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้จัดการ มรดกของบุคคลนั้นในต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราช อาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้จัดการ มรดกของบุคคลนั้นในต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราช อาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้จัดการ มรดกของบุคคลนั้นในต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราช อาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้จัดการ มรดกของบุคคลนั้นในต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราช อาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้จัดการ มรดกของบุคคลนั้นในต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราช อาณาจักร หรือในกรณีที่ไม่มีบุคคลดังกล่าวให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าวไปยังผู้จัดการ มรดกของบุคคลนั้นในต่างประเทศซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นในราช

มาตรา 13 ตรี ในกรณีที่จะต้องส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีตามมาตรา 13 ทวิ แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่ทำการของจำเลยอย่างน้อยภายในระยะเวลาที่กำหนดสำหรับการยื่นคำให้การของจำเลยนั้นด้วยกันกับส่ง เพื่อให้จำเลยทราบและคำฟ้องตั้งต้นคดีนั้นแก่จำเลยในกรณีเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่ข้อคดีระหว่างประเทศที่ไม่อาจเป็นการศึกษาได้ในเมืองอื่น ให้ถือว่าที่ทำคำฟ้องนั้นสมบูรณ์แล้ว การฟ้องคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือเกี่ยวกับการสมรส เป็นการกระทำของประเทศที่รับเป็นภาระหน้าที่ หรือฟ้องร้องคำร้องคำแถลงคำให้การของจำเลยหรือคำร้องคำให้การของโจทก์ และคำร้องคำให้การของจำเลยในระยะเวลาที่ศาลกำหนด

ในกรณีที่ศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคำสั่งให้โจทก์ทำคำแถลงอื่นเพิ่มเติมต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ ในกรณีที่โจทก์เกินเลยไม่ดำเนินการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามมาตรา 13 ตรี ในกรณีที่มีการเรียกบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในราชอาณาจักรเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57 (สี่) ให้ทำความในวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 13 จัตวา การส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีตามมาตรา 13 ทวิ แก่จำเลยหรือผู้มีส่วนประกอบกิจการในราชอาณาจักรหรือผู้อื่นในกรณีการรับคำคู่ความและเอกสารรายงานหรือคำสั่งให้ส่งต่อเนื่องแก่บุคคลสารสนเทศนั้นเป็นต้นที่ได้รับการโดยชอบด้วยกฎหมาย การส่งคำคู่ความและเอกสารอื่นตามมาตรา 13 ตรี ให้ถือว่าผู้รับตัวแทนหรือทนายความให้ผลได้เมื่อยื่นคำทักท้วงภายในกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับโดยชอบด้วยกฎหมาย การบังคับตามมาตรา 13 ตรี ให้ผลได้ต่อเมื่อยื่นคำทักท้วงภายในกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่เปิดประกาศ และให้ใช้นับจากปฏิญญาตรา 14 มาใช้บังคับ

มาตรา 13 ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2549

มาตรา 13 ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2549

มาตรา 13 จัตวา เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2549

มาตรา ๑๓๗ ตัดความ เมื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๓๖ แล้ว ถ้าไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกหรือมีไว้เป็นอย่างอื่น ให้คณะกรรมการให้คำแนะนำหรือบุคคลภายนอกโดยความไว้วางใจร่วมกันกับประเทศหรือรัฐอื่นประกอบกิจการให้เป็นผลระหว่างประเทศโดยยึดหลักสำคัญตามกฎหมายจริยธรรมและระเบียบระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายหรือระเบียบระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องและตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี

มาตรา ๑๓๘ ตัดความ ในกรณีที่ต้องส่งคนร้ายข้ามแดนตามมาตรา ๑๓๗ ทวิ เจ้าหน้าที่ของรัฐควรอนุญาตให้บุคคลภายนอก ณ ภูมิสถานที่ทรงอำนาจหรือทำการงานของบุคคลดังกล่าวมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นควรในกรณีจำเป็นหรือสมควรและตามที่เห็นว่าเพียงพอในศาลให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๓๘ ตัดความ ไม่อาจกระทำได้เพราะเหตุที่ผู้ต้องหาและจำเลยทำการงานของบุคคลดังกล่าวไม่ครบถ้วนหรือครบถ้วนได้ตามเกณฑ์ตามมาตรา ๑๓๘ ตัดความ แต่ไม่อาจกระทำตามมาตรการที่เหมาะสมได้ ให้ศาลอนุญาตให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๓๘ ตัดความ ในกรณีที่ไม่สามารถส่งให้ส่งโดยวิธีการอื่นในประเทศหรือโดยวิธีอื่นใดอีกได้

การดำเนินวิธีการตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มดำเนินต่อเมื่อมีคำสั่งศาลตั้งแต่วันที่มีคำสั่งศาลให้ดำเนินการ และให้เป็นการบังคับบัญชาตามมาตรา ๑๓๗ บังคับ

ลักษณะ ๕

พยานหลักฐาน

หมวด ๑

หลักทั่วไป

มาตรา ๑๔๕ การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในส่วนรวมดังนี้ เช่น

(ก) ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป (ข) ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือ

มาตรา ๑๔๕ ตัดความ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๑๔๕ ตัดความ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๘

มาตรา ๑๔๕ ตัดความ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๐

ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล

มาตรา ๔๔/๑๓ คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนให้ศาลเชื่อนั้นมีภาระพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้าข้ออ้างนั้นอยู่ในฐานะที่อาจสันนิษฐานหรือจะต้องรับฟังจากกฎหมายโดยธรรมชาติของเหตุการณ์หรือกฎหมายกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดมีภาระพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ศาลเชื่อว่าตนไม่ได้กระทำการหรือมิได้ละเว้นการกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแล้วให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น

มาตรา ๔๕ คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่ต้องนำสืบข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิทธิที่จะขอพยานหลักฐานในคดีใดบ้างกันในประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่นว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐาน

มาตรา ๔๖ เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ แต่ได้เปลี่ยนไปตอบบันทึกเป็นพยานหลักฐานตามกฎหมายแล้ว ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้น

เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดมีลักษณะเป็นเท็จหรือเสนอมุ่งร้าย หรือไม่เกี่ยวกับประเด็น ให้ศาลสั่งถอนพยานหลักฐานนั้นออกจากสำนวนคดี เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรมในการพิจารณาคดีนั้น ให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายนำพยานหลักฐานนั้นมาแสดง หรือให้ศาลดำเนินการเองเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในคดีนั้น โดยไม่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้

มาตรา ๔๗ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานในวันแต่

(ก) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ และ (ข) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานนั้นแสดงความจำเป็นต้องอ้างพยานหลักฐานนั้นตั้งแต่ชั้นบัญชีในมาตรา ๔๔ และ ๔๕ แต่ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี โดยศาลต้องขออนุญาตผู้พิพากษาอนุญาตารับฟังพยานหลักฐานนั้น

มาตรา ๔๘ เมื่อคู่ความฝ่ายใดไม่อาจนำพยานหลักฐานหรืออธิบายการอ้างในศาลอันเกิดจากความล่าช้าของพยานคนใด หรือมีเหตุสุดวิสัย หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆ หรือข้ออ้างความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ให้ศาลพิจารณาอนุญาตให้คู่ความฝ่ายนั้นนำพยานหลักฐานหรืออธิบายการอ้างในศาลได้ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้

“มาตรา ๔๔/๑๔ เพิ่มโดยพยานหลักฐานเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘” “มาตรา ๔๔/๑๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพยานหลักฐานเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘” สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อชาวชน วิทยุ หรือสถานที่ซึ่งมีข้อความฝ่ายเดียวกันระบุว่าเป็นพยานหลักฐาน หรือขอให้ศาลไปตรวจ หรือขอให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงเห็น หรือขอให้ศาลนำบัญชีระบุพยานหลักฐานในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อให้คู่ความฝ่ายนั้นสามารถไปบอกพนักงานศาล ถ้าคู่ความฝ่ายใดได้กล่าวความว่ามีจะยืนยันบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ให้ฝ่ายนั้นแสดงระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าวให้ภายในวันที่ศาลนัดพิจารณา เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง แล้วแต่กรณี ให้สิทธิคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ทั้งนี้ ศาลจะอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้เฉพาะในกรณีที่คู่ความฝ่ายนั้นไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ก่อนกำหนดระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ และถ้าศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ก่อนกำหนดระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้โดยสุจริต ศาลจะอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ก็แต่เฉพาะในกรณีที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทำคำร้องขอศาลตามคำร้อง

มาตรา ๕๔ คู่ความฝ่ายใดประสงค์จะนำพยานหลักฐานของตนเพื่อพิสูจน์ข้อพยานของคู่ความฝ่ายอื่นในกรณีต่อไปนี้

หลักฐานหรือเสียงแสดงในข้อยกพยานฝ่ายอื่นที่ไม่เป็นพยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานหรือ

พิสูจน์ข้อขัดข้องความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น ให้กระทำได้ ให้คู่ความไปยื่นคำแถลงค้นหาความดังกล่าวเสียในเวลาที่พยานปากความ เพื่อให้พยานมีโอกาสอธิบายถึงข้อความเหล่านั้น แม้พยานนั้นจะมิได้ถูกถามถึงข้อความดังกล่าวก็ตาม ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดประสงค์จะนำพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อขัดข้องตามวรรคแล้ว ต้องนำพยานหลักฐานมาเสนอต่อศาลนั้น คู่ความฝ่ายอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องในข้อขัดข้องดังกล่าวนั้นในขณะเดียวกันและยื่นบัญชีพยานหลักฐานมาสืบ และในกรณีนั้นๆ ให้ศาลมีอิสระไม่ยอมรับฟังพยานหลักฐานนั้นๆ เท่านั้น ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดประสงค์จะสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อขัดข้องตามวรรคหนึ่งแล้วให้เป็นที่พอใจของศาลว่า เมื่อเวลาพยานปากความนั้นปฏิเสธว่าไม่มีมูลข้อขัดข้องหรือข้อความดังกล่าวนั้นจะ หรือข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็เป็นต้องสืบพยานหลักฐานนั้นๆ ศาลอาจอนุญาตให้พยานหลักฐานนั้นๆ เป็นพยานหลักฐานที่ศาลเห็นว่ามีความสำคัญหรือจะเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลงหรือเรียกคำแถลง

มาตรา ๑๙ ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อโต้แย้งของตนตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำนักงานเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่ากำหนด ในกรณีที่คู่ความส่งสำเนาไปล่าช้าและศาลหรือคู่ความฝ่ายอื่นมีเหตุอันควรเชื่อว่าเอกสารเป็นพยานหลักฐานตามมาตรา ๑๘ วรรคสองหรือวรรคสาม ให้ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นพร้อมทั้งแสดงเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานตามมาตรา ๑๘ วรรคสองหรือวรรคสาม ทั้งนี้ไม่น้อยกว่ากำหนดเวลาที่ศาลกำหนด คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานไม่ต้องยื่นสำเนาเอกสารต่อศาลและไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารให้คู่ความฝ่ายอื่นในกรณีดังต่อไปนี้ (ก) เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานซึ่งคู่ความฝ่ายอื่นทราบอยู่แล้วหรือสามารถตรวจสอบให้ทราบได้โดยง่ายถึงความมีอยู่และความแท้จริงแห่งเอกสารนั้น เช่น ข้อตกลงข้อยอมความระหว่างคู่ความในคดี หรือสัญญาซื้อขาย และสมุดบัญชีของธนาคารหรือเอกสารในความครอบครองของคู่ความฝ่ายอื่นในคดีเดียวกัน (ข) เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างเอกสารฉบับเดียวหรือหลายฉบับที่อยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายอื่นซึ่งร่วมอยู่ในคดีเดียวกัน (ค) ถ้าการยื่นสำเนาเอกสารจะทำให้กระบวนพิจารณาล่าช้าเกินสมควรหรือเสียเปล่าแก่คู่ความฝ่ายอื่น หรือมีเหตุผลอันควรอย่างอื่นที่ศาลเห็นสมควรให้เว้นการยื่นสำเนาเอกสารนั้นไว้ก่อนในกรณีเฉพาะราย (ง) หรือ (ฉ) ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารยื่นคำร้องต่อศาลโดยแสดงโดยคำให้การหรือคำร้องต่อศาล ของคู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารนั้นแนบข้อบังคับฉบับเอกสารนั้นมา เพื่อให้ศาลพิจารณากรณีตาม (ข) หรือ (ฉ) ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารขอให้ศาลมีคำสั่งส่งเอกสารนั้นมา จากผู้ครอบครองตามมาตรา ๑๒๗ โดยต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี และให้คู่ความฝ่ายนั้นนำคำตัดสินมาเพื่อให้ได้เอกสารดังกล่าวภายในเวลาที่ศาลกำหนด มาตรา ๒๐ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานอื่นได้ มาตรา ๒๑ คู่ความฝ่ายใดหรือบุคคลใดจะต้องเปิดเผยพยานหลักฐานชนิดใด ๆ มาแสดง และถ้าเป็นความจริงพยานหลักฐานนั้นย่อมเปิดเผยได้ (๑) หนังสือราชการหรือข้อมูลอื่นที่ศาลเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี หรือที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้ศาลสั่งเปิดเผย โดยดำเนินการตามคำสั่งศาล หรือข้อกำหนดของศาล หรือที่ศาลกำหนด (๒) เอกสารหรือข้อมูลอื่นที่มีความจำเป็นใด ๆ ซึ่งจำเป็นในกระบวนพิจารณาหรือจะเกิดจากคู่ความในฐานะที่ตนเป็นพยานเอกชน (๓) การประสงค์อื่น ๆ แบบ หรือการกระทำอื่น ๆ ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไม่ให้เปิดเผยได้

เปิเผย คู่ความหรือบุคคลซึ่งน่าจะเห็นของที่จะปฏิบัติไม่ชอบด้วยความจริงหรือที่ขัดความหลักฐานนั้น ๆ มาแสดงได้ ให้แสดงให้ชัดเจนจากพยานหลักฐานที่มีหรือที่เกี่ยวข้องให้ถ้วนถี่ เมื่อคู่ความหรือบุคคลใดปฏิบัติไม่ชอบด้วยความจริงหรือที่ขัดความหลักฐานและคดีดังกล่าวแล้ว ให้ศาลสั่งให้ถอนหรือแยกพยานหลักฐานนั้นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องให้แยกและไม่ให้แสดงจนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเพื่อความเรียบร้อยแห่งความสงบเรียบร้อยของประชาชน การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามให้ได้ ศาลมีอำนาจออกคำสั่งให้คู่ความหรือบุคคลนั้นชดใช้ประโยชน์แห่งมาตรานี้ขึ้นได้ และบังคับให้เป็นความรับผิดทางหลักฐานที่มีนัยสำคัญได้

มาตรา ๕๓ การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะหนังสือบับเอกสารเท่านั้น เว้นแต่

เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงกันว่าเอกสารนั้นจำต้องแล้วให้ศาลยอมรับฟังเสนานั้นเป็นพยานหลักฐานได้

ถ้าข้อบกพร่องเอกสารนำมาไม่ได้ เพราะถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือสูญหายหรือไม่สามารถนำมาได้โดยประการอื่น อันไม่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้ต้องรับผิดชอบ หรือมีเจตนาเห็นเป็นการรับฟังเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมต้องนำเสนอเอกสารหรือพยานบุคคลแทนเอกสารนั้นได้โดยศาลจะพิจารณาให้ฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่

ตัวอย่างโดยวิธีการอื่นที่บุคคลผู้เกี่ยวข้องกับเอกสารนั้นได้กระทำขึ้นในลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับเอกสารนั้นหรือที่แสดงให้เห็นถึงการรับรู้หรือรู้จักเอกสารนั้นโดยวิธีการอื่นที่ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน

เมื่อคู่ความฝ่ายที่ถูกคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างถึงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานนั้นได้คัดค้านการนำเอกสารนั้นมาเสนอตามมาตรา ๑๔๕ ให้ศาลรับฟังส่วนเอกสารเช่นว่านั้นเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ทั้งนี้ไม่ขัดต่อกฎหมายตามมาตรา ๑๔๕ วรรคสาม

มาตรา ๕๔ เมื่อใดที่กฎหมายบังคับให้ต้องนำเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีโดยอย่างหนึ่งอย่างใดที่มิได้มีข้อความเกี่ยวข้องโดยตรงหรือมีข้อความที่แสดงถึงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อคดี

ขอรับฟังพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร แม้มีเหตุสุดวิสัยหรือสูญหาย

ขอรับฟังพยานบุคคลแทนข้อความอ้างอิงของโดยอย่างใดอย่างหนึ่งที่มิได้เกี่ยวข้องแล้วว่า อธิบายถึงข้อความแจ้ง ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่ แต่หากบทบัญญัติมาตรานี้ มิให้รับฟังเป็นกรณียกเว้น

มาตรา ๕๕ การแสดงให้เห็นการจัดหรือจัดทำเอกสารหรือข้อความในเอกสารนั้นประกอบข้ออ้าง พยานเอกสารที่เสนอนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือข้อความในเอกสารนั้นหรือข้อมูลที่ระบุในฐานข้อมูลอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือข้อมูลที่ระบุในฐานข้อมูลอื่น

สามารถเข้าใจและตอบคำถามได้ และ

เป็นผู้ที่ให้เงิน ให้ยืม หรือชำระหนี้ของความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้น มาด้วยตนเองโดยตรง แต่ความในข้อ (๔) นี้ ให้ต่อเมื่อไม่มีพยานบุคคลอื่นที่สามารถให้ถ้อยคำในเรื่องนั้นหรือ คำสั่งของศาลให้เบิกพยานดังกล่าว ถ้าศาลไม่อาจรับฟังคำเบิกความของบุคคลใด เพราะเห็นว่าบุคคลนั้นจะเป็นพยาน หรือให้การเกี่ยวกับจำเลยไม่ได้ และบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ในข้อเท็จจริงอันจำเป็นสำหรับการตัดสินคดี ให้ศาลตรวจพยานบุคคลนั้น เหตุผลที่ไม่อาจรับฟังคำเบิกความของบุคคลนั้นที่เกี่ยวข้องไว้ ส่วน เหตุผลที่ศาลอาจไม่คัดค้านพยานนั้น ให้ศาลได้รู้เหตุผลดังกล่าวไว้ในรายงานของศาลให้ถูกต้องตาม คำสั่งศาลนั้นคำและจดคำสั่งพยานไว้ในสถานที่

มาตรา ๔๕/๑ ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนำมาเบิกความเบื้องหน้าต่อ

ศาลก็ได้ หรือที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาลก็ได้ หากนำเสนอ เพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า ห้ามมิให้รับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่

ศาลมีคำสั่งว่า ลักษณะ แต่เพียงเท่านั้น และข้อเท็จจริงจริงจะต้องพิจารณาพยานบอกเล่าเท่านั้น น่าที่จะช่วยพิสูจน์ความจริงได้ หรือ

เป็นผู้มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ว่าพยานบอกเล่าที่เป็นผู้มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ ให้ถือ ข้อความในเรื่องที่พยานบอกเล่านั้นเป็นพยานบอกเล่าโดยตรงจากการเป็นพยานได้ และมีเหตุผลควร เชื่อว่าข้อความนั้นเป็นความจริงในเรื่องที่พยานบอกเล่า ในการนี้ศาลให้คำสั่งไว้ในรายงานของศาลได้ ให้บันทึกความไม่ชัดเจน สรรหาตรวจ มาใช้บังคับโดยปฏิบัติตาม

มาตรา ๔๕ พยานที่เป็นคนทุพพลภาพ หรือเป็นใบ้หรือหูหนวกและเป็นใบ้นั้นอาจ

ถูกถามหรือให้คำตอบโดยวิธีเขียนหนังสือ หรือโดยวิธีอื่นใดที่สมควรได้ และคำเบิกความของบุคคลนั้น ๆ ให้ถือว่าเป็นคำพยานบุคคลประกอบตามกฎหมายนี้

มาตรา ๔๖ คำถามที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่เป็นพยานของตนหรือของ

ตนเองเป็นพยานก็ได้

มาตรา ๔๗ คำถามใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลใดในพยานของบุคคลนั้นที่มีสิทธิ

นั้นเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การศิลปะ การค้า หรือการพิจารณาที่ควรเป็นบุคคล ต่างประเทศ หรือการสอบสวนเพื่อแสดงเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีนั้น ๆ ทั้งนี้ ไม่ว่าพยานจะเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการรับหรือไม่

มาตรา ๔๘ คำถามใดที่เห็นว่า จำเป็นนำไปตรวจความ วัตถุ สถานที่หรือสิ่ง

ผู้เชี่ยวชาญตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๕ และ ๔๖ แห่งกฎหมายนี้

มาตรา ๔๙ เพื่อให้ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นพยานบุคคลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความ

(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๖ อยู่ในขั้นใด หรือเมื่อมีคำของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีนั้นสั่งบนบันทึกบัญญัติมาตรา ๔๘ และ ๔๙ ให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งให้ทนายความตรวจพิจารณาเอกสารหรือสิ่งอื่นที่อยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บทบัญญัตินี้และมาตรานี้ไม่ตัดสิทธิของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะยกเหตุผลคู่ความรู้เพื่ออ้างอิงตามเป็นพยานฝ่ายตนได้

มาตรา ๑๐๐ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกร้องหรือร้องขอให้คู่ความฝ่ายอื่นตอบคำถามหรือร้องขอให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายอื่นตอบคำถามในลักษณะพยาน ให้ศาลสอบถามคู่ความฝ่ายอื่นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงตามที่ได้ระบุไว้ในคำร้องขอหรือไม่ แล้วให้ศาลตัดคำตอบในประการที่อาจจะมีผลกระทบ ถ้าคู่ความฝ่ายนั้นไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด หรือปฏิเสธเรื่องข้อจริงใดโดยไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง ให้ถือว่าคำตอบรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว เว้นแต่ศาลจะเห็นว่าคำตอบนั้นไม่อยู่ในสิทธิของตนตามกฎหมาย หรือเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น หรือเป็นการกระทำที่ไม่สมควรในกรณีที่ศาลเห็นสมควรให้มีการสอบถามหรือการตอบคำถามในลักษณะพยาน ให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นตอบคำถามในลักษณะพยานได้

บทบัญญัตินี้และมาตรานี้ไม่ให้สิทธิแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกร้องหรือร้องขอให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายอื่นตอบคำถามในลักษณะพยานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ให้ถ้อยคำไว้แล้วในคำให้การ หรือในคำเบิกความ หรือในคำแถลงการณ์ หรือในคำให้การอื่นใดที่ได้ยื่นต่อศาลนั้น เว้นแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของคู่ความฝ่ายนั้น

มาตรา ๑๐๑ ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นจะสูญหายหรืออาจเกิดการสูญหาย หรือถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเหตุอันควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายอื่นจะสูญหายเสียก่อนที่จะนำมาสืบ หรือเป็นการยากที่จะนำมาสืบในภายหลัง ให้ศาลสั่งบุคคลนั้นหรือคู่ความฝ่ายนั้นออกคำตอบต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องขอหรือคำร้องให้ศาลสั่งให้สอบพยานหลักฐานนั้นไว้ล่วงหน้า

เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ศาลพิจารณาเยี่ยงพิจารณาคดีและคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องมาเบิกความ และเมื่อได้ฟังบุคคลฝ่ายนั้นแล้ว ให้ศาลสั่งคำตอบตามที่เห็นสมควร ถ้าศาลสั่งอนุญาตตามคำร้องขอ ให้ศาลบันทึกคำเบิกความนั้นไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ อายัดส่วนทรัพย์สินและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกคำเบิกความนั้นไว้ในที่เก็บรักษา ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องไม่มีผู้ดูแลอยู่ในรายการบันทึกคำเบิกความในคดีนั้น เมื่อศาลได้รับคำร้องขอหรือกรณี ให้ศาลสั่งบันทึกคำเบิกความนั้นไว้ในที่เก็บรักษา ถ้าศาลสั่งอนุญาตตามคำร้องขอคำเบิกความนั้นให้ศาลบันทึกคำเบิกความนั้นไว้ในที่เก็บรักษา

มาตรา ๑๐๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๑๐๓ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๔๘

มาตรา ๑๐๓ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๑๑/๑๐๙ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีหรือจะมีเหตุอันก่อให้เกิดการเร่งรัดและไม่สามารถแจ้งให้ความปลอดภัยทราบล่วงหน้า เมื่อมีการยื่นคำขอ ตามมาตรา ๑๑๑ พร้อมกับคำร้องหรือคำให้การหรือการสืบพยานฝ่ายเดียว คู่ความฝ่ายที่ยื่นคำขอจะยื่นคำร้องโดยยื่นคำร้องรวมไปด้วย เพื่อให้ศาลมีคำสั่งโดยไม่แจ้งให้คู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้า และถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุอันควรให้มีคำสั่งให้ยึดหรือให้ส่งต่อศาลสั่งเอกสารหรือวัสดุที่อยู่ในความครอบครองของคู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่ง ศาลอาจมีคำสั่งให้มีผลทันที คำร้องตามวรรคหนึ่งต้องระบุถึงข้อเท็จจริงหรือเหตุผลอันควรที่แสดงให้เห็นว่าคู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นต้องรับการแจ้งทราบโดยเร็วและไม่สามารถแจ้งให้ความปลอดภัยทราบล่วงหน้าได้ รวมทั้งถึงความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการที่ได้มีการสืบพยานฝ่ายเดียวมาก่อน สวนในกรณีที่ศาลจะมีคำสั่งให้ยึดหรือให้ส่งต่อศาลหรือวัสดุที่อยู่ในความครอบครองของคู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่ง ศาลต้องเห็นถึงบรรดาเหตุอันจำเป็นจริงๆ ที่แสดงถึงความจำเป็นของข้อร้องหรือคำร้องเอกสารหรือวัสดุนั้นว่ามีอยู่ อย่างไร ในกรณีนี้ห้ามมิให้ศาลอนุญาตคำร้องนั้น เว้นแต่จะเป็นเพื่อป้องกันความล่าช้าหรือความเสียหายอันเกิดจากการแจ้งให้คู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้า แต่ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความสมดุลย์ระหว่างผลประโยชน์ของฝ่ายที่ยื่นคำร้องและฝ่ายที่ถูกกล่าวหา เพื่อความยุติธรรมและความเป็นธรรมของคู่พิพาททั้งสองฝ่ายในกระบวนการดำเนินการดังกล่าวได้ ศาลต้องให้ความระมัดระวังในการพิจารณาให้หนักแน่นตามสมควร

มาตรา ๑๑๑/๑๑๐ ในกรณีที่ศาลสั่งให้คู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่งส่งเอกสารหรือวัสดุที่อยู่ในความครอบครองของตนตามเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งที่เห็นสมควร และจะต้องกำหนดว่าให้ผู้อื่นนำเอกสารหรือวัสดุมาแสดงต่อศาลเพื่อการตรวจสอบหรือการสำเนาไปแทนตน สำหรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่คู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากศาลได้สั่งให้ส่งต่อศาลหรือมีคำสั่งให้ยึดเอกสารหรือวัสดุที่อยู่ในความครอบครองของคู่พิพาทอีกฝ่ายหนึ่ง ให้มีความในมาตรา ๒๒๖ มาตรา ๒๒๗ มาตรา ๒๒๘ มาตรา ๒๒๙ และมาตรา ๒๓๐ มาใช้บังคับกับกรณีความรวดเร็วของรูปคดี และในกรณีที่ทรัพย์ที่ศาลสั่งยึดนั้นเป็นของบุคคลที่สาม ให้บุคคลที่สามมีสิทธิเรียกร้องในส่วนเสียหายได้ และเมื่อหมดความจำเป็นที่จะใช้เอกสารหรือวัสดุที่ศาลสั่งยึดหรือส่งต่อไปแล้ว เมื่อศาลเห็นควรหรือเมื่อคู่พิพาทร้องขอ ให้ศาลสั่งคืนเอกสารหรือวัสดุแก่บุคคลนั้นๆ

มาตรา ๑๑๑ ให้ศาลที่พิจารณาคดีนั้นสั่งปล่อยนายทะเบียน โดยจะสั่งในภาคหรือนอกศาล ณ ที่ใด ๆ ก็ได้ แล้วแต่ศาลจะสั่งตามที่เห็นสมควรตามความจำเป็นแห่งสภาพของพยานหลักฐานนั้น

แต่คำสั่งที่ศาลพิจารณาคดีนั้นสั่งในกรณีจำเป็น ให้ส่งคำสั่งของศาลไปให้ผู้พิพากษาในคนคนหนึ่งในศาลนั้น หรือให้ศาลสั่งยึดนายทะเบียนไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำสั่งของศาลในคนคนหนึ่งในศาลนั้น เว้นแต่ในกรณีที่ศาลพิจารณาคดีนั้นสั่งตามความจำเป็นแห่งสภาพของพยานหลักฐานนั้นในภายหลังที่พิจารณาคดีนั้นได้ทำการสืบพยานหลักฐานไปแล้ว *มาตรา ๑๑๑/๑๑๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ *มาตรา ๑๑๑/๑๑๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถ้าศาลที่พิจารณาคดีในแต่ละชั้นให้คำสั่งให้ออกซึ่งเสียงพยานแทน คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะ แถลงต่อศาลที่พิจารณาคดีว่า ตนมีความจำจะไปฟังการพิจารณาคดีในคราวที่มีการสืบพยานหลักฐานนั้น ให้ศาลแจ้งวันนัดหมายสืบพยานหลักฐานให้คู่ความฝ่ายนั้นทราบล่วงหน้าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสิบห้าวัน คู่ความที่ไปฟังการพิจารณานั้นย่อมมีข้อสังเกตได้เฉพาะในส่วนที่ว่าข้อความที่บันทึกไว้ในบันทึกคำเบิกความ ศาลที่พิจารณาคดี ให้ส่งสำเนาคำสั่งและสำเนาคำฟ้องและคำให้การหรือข้อแก้ต่างและหลักฐานอื่น ๆ อันจำเป็น เพื่อป้องหมายหลักฐานให้ได้รับแต่พอที่จะแก้ต่างหรือข้อแก้ต่างได้ ถ้าคู่ความฝ่ายใดต้องการพยานหลักฐาน ที่มิได้แสดงความจำนงที่จะไปฟังการพิจารณา ก็เห็นว่าไม่ให้หลักฐานที่ได้รับแต่พอที่จะแก้ต่างหรือข้อแก้ต่างได้ เมื่อได้ส่งพยานหลักฐานเสร็จแล้ว ให้ในนามทนายของศาลหรือแต่งตั้งจะต้องส่งรายงานทำนองนั้นและ เอกสารอื่น ๆ ทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องในการสืบพยานหลักฐานไปยังศาลที่พิจารณาคดี

มาตรา ๑๐๑/๑ ภายใต้บังคับบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการขอท้ด การร้องขอ และการบังคับใช้กฎหมายอื่น ทำให้มีหลักฐานที่พิจารณาคดี หรือผู้พิพากษาที่รับมอบหมาย หรือศาลที่ได้รับแต่งตั้งต้องกล่าวถึงการพิจารณาพยานหลักฐานโดยมิให้ถือการสืบพยานหลักฐาน ทุกฝ่ายในอนึ่งนั้นจะต้องฟังการพิจารณา และให้ถือเกี่ยวข้องกับระบบการพิจารณาคดี ตามที่บัญญัติ ไว้ในประมวลกฎหมายนี้ ไม่ว่าพยานหลักฐานนั้นต้องมอบให้โดยผู้ปกครองหรือบุคคลที่มิใช่ผู้มีสิทธิ

มาตรา ๑๐๑/๒ ในกรณีที่มีความตกลงกัน และตกลงเห็นเป็นการจำเป็นและ สมควร ศาลอาจมีคำสั่งให้พยานหลักฐานที่ร้องขอทำหน้าที่แทนคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการสืบ พยานหลักฐานต่อศาลในส่วนที่มิได้ระบุด้วยกระทำคำพิจารณาคดีได้ ให้เห็นว่าพยานหลักฐานนั้นต้องมีความจำเป็นในอายุ และให้อายุความในมาตรา ๑๐๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๑๐๑/๓ คู่ความฝ่ายใดที่เกี่ยวข้องร้องขอต่อศาลให้ดำเนินการสืบ พยานหลักฐานไปตามวิธีการที่มีความถูกต้อง ถ้าศาลเห็นสมควรเพื่อให้การสืบพยานหลักฐานเป็นไป โดยสะดวกรวดเร็ว และเป็นธรรม ศาลอาจอนุญาตคำร้องขอนั้นก็ได้ เว้นแต่การสืบพยานหลักฐาน นั้นจะเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อความเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

มาตรา ๑๐๑/๔ เพื่อให้การสืบพยานหลักฐานเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และ เที่ยงธรรมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความเห็นชอบที่ระบุในกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจออกคำกำหนด ใด ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการสืบพยานหลักฐานนั้น แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติ กฎหมาย

- มาตรา ๑๐๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ๒๕๔๔ - มาตรา ๑๐๑/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ๒๕๔๔ - มาตรา ๑๐๑/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ๒๕๔๔ - มาตรา ๑๐๑/๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

มาตรา ๑๐๔ ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในรับฟังหรือวินิจฉัยว่าหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบมีนัยเกี่ยวกับประเด็นแห่งข้อพิพาท ให้เชื่อถือเป็นพยานได้หรือไม่ แล้วพิจารณาตัดสินไปตามนั้น ในการวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงใดเป็นที่ยุติหรือไม่ หรือรับฟังหลักฐานที่คู่ความนำมา มีได้ตามความในมาตรา ๑๐๒/๑ วรรคแรกและวรรคสอง หรือบันทึกข้อความตามมาตรา ๑๐๒/๒ จะมีน้ำหนักให้เชื่อได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้ ศาลจะต้องระวังด้วยความระมัดระวังโดยคำนึงถึงภาพลักษณะและแสดงพฤติการณ์ของพยานบอกเล่าหรือบันทึกข้อความนั้นด้วย

มาตรา ๑๐๕ คู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยพยานหลักฐาน หรือให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายอื่นเกินกว่าที่ควรเสีย ค่าใช้จ่ายธรรมเนียมเพิ่มเติมนั้น ให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายธรรมเนียมซึ่งจำเป็นตามความหมายแห่งมาตรา ๑๖๒ และให้ศาลวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายนั้นไว้ในคำสั่งด้วย

หมวด ๒ ว่าด้วยการสาบานและการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ

มาตรา ๑๐๖ ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถนำพยานมาศาลตามกำหนดได้ด้วยเหตุจำเป็นบางประการซึ่งอาจเกิดจากความเจ็บป่วยหรือเหตุอื่นใด โดยศาลอาจให้คู่ความฝ่ายนั้นแสดงถึงความเกี่ยวพันของพยานกับข้อเท็จจริงในคดีนั้น ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งให้คู่ความกล่าวด้วยและต้องส่งหมายเรียกพร้อมคำแถลงของคู่ความนั้นให้พยานรู้ล่วงหน้าอย่างน้อยสามวัน

หมายเรียกพยานต้องมีข้อความดังนี้ (๑) ชื่อและตำแหน่งที่อยู่ของพยาน ชื่อคู่ความ ศาล และหมายเลขคดี (๒) สถานที่และวันเวลาที่จะสืบพยานจะต้องไป (๓) กำหนดให้พยานที่จะต้องไปปรากฏตัวในศาลตามหมายเรียกหรือมีข้อความแจ้ง ถ้าศาลเห็นว่าความข้อนั้นอาจไม่สามารถให้ได้โดยรวดเร็ว ศาลจะต้องแจ้งข้อเท็จจริงซึ่งพยานอาจถูกซักถามลงไว้ในหมายเรียกด้วยก็ได้

มาตรา ๑๐๒/๑ วรรคแรก เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๐๒/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๐๒/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ

พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา ไม่ว่าในกรณีใด ๆ

ผู้ที่ได้รับเอกสิทธิ์หรือความคุ้มกันตามกฎหมาย ในกรณีตาม (๑) และ (๒) ให้ศาลหรือผู้พิพากษาที่รับรอง หรือศาลที่ได้รับแต่งตั้ง ออกคำสั่งการประสานงานเพื่อให้มีการสืบสวน สอบสวน หรือดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

มาตรา ๑๐๘ ถ้าศาลเห็นว่าในการสืบสวนความจริงจำเป็นต้องไปยังพยาน ณ สถานที่ซึ่งจำเป็นจริงจึงมีประสงค์จะไปพยานในโอกาสนั้น ให้ศาลหรือผู้พิพากษาที่รับรอง หรือศาลที่ได้รับแต่งตั้งมีการสั่งหมายเรียกไปยังพยานระบุสถานที่และวันเวลาที่จะไปสืบพยาน แล้วสืบพยานไปตามนั้น

มาตรา ๑๐๙ พยานที่ได้รับหมายเรียกโดยชอบดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๘ และมาตรา ๑๑๐ จำต้องไป ณ สถานที่และตามวันเวลาที่กำหนดไว้ ในแต่ละเหตุกรณีพระราชบัญญัติ หรือคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้องนั้น

มาตรา ๑๑๐ ถ้าพยานคนใดที่ศาลได้ออกคำสั่งหมายเรียกไปแล้วไม่ไปตามวันเวลาที่กำหนดไว้ ให้ศาลหรือผู้พิพากษาที่รับรอง หรือศาลที่ได้รับแต่งตั้งมีคำสั่งให้พยานนั้นไปตามวันเวลาที่กำหนดใหม่

มาตรา ๑๑๑ เมื่อศาลเห็นว่าคำให้การของพยานไม่เป็นสาระสำคัญในการพิจารณาคดี

แต่ศาลเห็นว่าข้ออ้างว่าพยานไม่สามารถไปศาลนั้นเป็นเพราะเหตุเจ็บป่วยหรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่าชอบด้วยเหตุจำเป็น ให้ศาลสั่งหมายเรียกพยานนั้นไปเพื่อให้พยานมาตามวันเวลาที่ศาลกำหนด

ศาลมีคำสั่งว่าพยานที่ได้รับหมายเรียกโดยชอบแล้ว จึงไม่ไปยังศาลหรือไปไม่ ณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สถานที่และภายในเวลาที่กำหนดไว้ หรือได้รับคำสั่งศาลให้ออกจากที่อยู่แล้วจงใจหลบเลี่ยง ศาลจะสั่งถอน การให้การของเขาเสียและออกหมายจับและสั่งขังจนกว่าจะนำเขามาเบิกความตามวันที่ ศาลเห็นสมควรก็ได้ ทั้งนี้ ไม่เป็นการตัดสิทธิ์โจทก์ที่ยื่นบัญชีผู้ปากไปในระหว่างตามกฎหมายอื่นๆ

มาตรา ๑๑๒/๑ ก่อนเปิดการพิจารณาในคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับสิทธิมนุษยชนหรือชีวิต ประเพณีแห่งชาติศาสนา หรือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลจะต้องแจ้งให้คู่ความทราบว่า

(ก) พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ข) บุคคลที่มีอายุเกินเจ็ดสิบปี หรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควรให้การคุ้มครอง (ค) พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา (ง) บุคคลซึ่งมีความจำเป็นหรือสมควรที่ศาลเห็นว่าไม่ต้องให้การบางหรือกล่าวคำปฏิญาณ

มาตรา ๑๑๓ ห้ามบุคคลต้องเบิกความด้วยวาจาและห้ามไม่ให้พยานอ่านข้อความ ที่เขียนมา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล หรือเป็นพยานผู้เยาว์

มาตรา ๑๑๔ ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานอื่นที่ยังมิได้เบิกความภายหลัง และหากมีข้อจำกัดซึ่งศาลเห็นสมควรให้ออกไปเสียได้

มาตรา ๑๑๕ พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์หรือพระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา แม้มาเบิกพยานจะไม่ตอบปัญหาหรือถาม คำถามใด ๆ ก็ได้ศาลจะต้องแจ้งถึงขอบอำนาจสิทธิ์หรือความคุ้มกันตามกฎหมายและไม่ยอมเกิดความหรือ ตอบคำถามใด ๆ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามกฎหมายอื่นๆ ก็ได้

มาตรา ๑๑๖ ในเรื่องจัดให้พยานตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่อง นาม อายุ อาชีพ หรืออาชีพ ภูมิลำเนาและความเกี่ยวพันกับคู่ความ

แล้วศาลอาจปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างต่อไปนี้ (ก) ศาลไม่อนุญาตให้พยานบอก กล่าว หรือ แจ้งให้พยานทราบประเด็นและข้อเท็จจริง ซึ่ง ต้องการรับแล้วให้พยานกล่าวในคำเบิกความนั้น ๆ โดยวิธีใดที่ศาลเห็นสมควรหรือ ศาล หรือ (ข) ให้คู่ความถามคำถาม และถามคำถามพยานไปทีละคำ ศาลจะต้องแจ้งให้คู่ความปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

มาตรา ๑๓๓/๓ คู่ความฝ่ายที่ร้องขอหมายเรียกพยานซึ่งจะต้องจัดทำคำเบิกความยื่นให้แก่ศาลพยายามได้ตามบทและแสดงตามมาตรา ๑๓๑ และ ๑๓๒ แล้ว หรือจัดทำคำเบิกความพยานก่อน ก็ให้ความสำคัญต่อศาลให้คำเบิกความพยานเสร็จแล้ว

เมื่อคู่ความฝ่ายที่ร้องขอหมายเรียกพยานแสดงเสร็จแล้ว คู่ความฝ่ายที่ยื่นขอคำถามค้านพยานนั้นได้ เมื่อได้ถามค้านพยานเสร็จแล้ว คู่ความฝ่ายที่ร้องขอหมายเรียกพยานซักถามได้ เมื่อได้ถามซักถามพยานเสร็จแล้ว ให้ศาลถามพยานในข้อที่ศาลสงสัย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ถ้าคู่ความฝ่ายใดได้รับอนุญาตให้ถามพยานได้ดังกล่าว คู่ความฝ่ายอื่นย่อมจะถามพยานได้ในข้อที่เกี่ยวกับคำถามดังกล่าวนั้น คู่ความที่ร้องขอหมายศาลไปได้ จะไม่ติดใจเรียกพยานคนนั้นได้ ในเมื่อพยานคนนั้นยังไม่ได้เบิกความต่อศาล หรือของคู่ความฝ่ายอื่น แต่ถ้าพยานได้เริ่มเบิกความแล้วพยานอาจถูกถามค้านหรือซักถามได้ ถ้าพยานเป็นความในใบรับคำคู่ความฝ่ายที่ร้องขอหมาย คู่ความฝ่ายอื่นขออนุญาตต่อศาลเพื่อถามพยานนั้นเมื่อพยานนั้นเป็นพยานที่คู่ความฝ่ายอื่นต้องการที่จะอ้างมา การสืบพยานศาลก็ได้ การสืบพยานศาลก็ได้ การถามพยานศาลก็ได้ ถ้าคู่ความฝ่ายใดได้ตั้งหมายความไว้ให้ถามมา ให้หมายความไว้ในคำถามนั้น เช่นเดียวกับคำถามที่ศาลจะถามพยาน

มาตรา ๑๓๓/๔ ในกรณีที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สามารถนำพยานที่ตนจะอ้างมาเบิกความได้ ให้ศาลได้พิจารณาเกี่ยวกับคำเบิกความที่คู่ความฝ่ายนั้นได้จัดทำขึ้นตามมาตรา ๑๓๑ หรือ ๑๓๒ หรือคำเบิกความที่คู่ความฝ่ายนั้นได้จัดทำขึ้นตามมาตรา ๑๓๓/๓

ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ห้ามไม่ให้คู่ความนำคำเบิกความที่มีเจตนาเท็จมาแสดง

คำถามอื่นเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี

คำถามที่มีเจตนาให้หลอก หรือคำถามอันเป็นเท็จที่บุคคลอาจต้องรับโทษทางอาญา หรือคำถามที่เป็นหมิ่นประมาททางแพ่ง เว้นแต่คำถามเช่นนั้นเป็นข้อสำคัญอื่นที่จะชี้ขาดข้อพิพาท ถ้าคู่ความฝ่ายใดได้จัดทำคำเบิกความฝ่ายตนขึ้นตามบัญญัติแห่งมาตรานี้ ให้ศาลเห็นสมควร หรือเมื่อมีความจำเป็นอย่างอื่นหรือคำคัดค้าน ศาลมีอำนาจที่จะให้คำเบิกความนั้นแสดง หรือไม่ ในกรณีเช่นนี้ ถ้าคู่ความฝ่ายใดเกี่ยวข้องจัดคำคัดค้านคำเบิกความของตน ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งตัดไปให้ศาลจะได้ไปรายงานถึงคำถามและข้อคัดค้าน ส่วนเหตุที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะนำคำเบิกความดูพิจารณาจะได้ไปรายงาน หรือคำถามที่คู่ความฝ่ายนั้นยื่นคำเบิกความไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ๑๓๓/๕ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ในระหว่างที่พยานเบิกความ หรือการอ้างคำที่พยานได้เบิกความแล้ว แต่ก่อนที่ศาลพิจารณา ให้ศาลมีอำนาจที่จะออกหมายข้อคำถามใด ๆ ตามที่เห็นจำเป็น เพื่อให้เกิดความชอบของพยานนั้น หรือจัดเตรียมสิ่งใด หรือเพื่อสอดคล้องกับวิธีพิจารณาที่ทำ

*มาตรา ๑๓๓/๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๙* ให้พยานเบิกความเช่นนั้น ถ้าพยานของคนหรือจำเลยนั้นเบิกความขัดกัน ในข้อสำคัญแห่งประเด็น เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ ให้ศาลมีอำนาจเรียกพยานฝ่ายนั้นมาสอบถามปากคำพร้อมกันได้

มาตรา 210 ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำความกลับคำพยานของตนมาแสดงในศาลได้ว่าคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือในชั้นพิจารณาไม่ตรงกันทั้งนี้ โดยเหตุสุดวิสัยศาลเห็นว่าเป็นสมควร ศาลอาจอนุญาตให้คู่ความฝ่ายนั้นนำพยานหลักฐานมาเสริมในส่วนซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นอ้างว่าจำเป็นต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไข

มาตรา 210/1 เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำร้องและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่คัดค้าน และศาลเห็นสมควรศาลอาจอนุญาตให้คู่ความฝ่ายที่ร้องเสนอบันทึกข้อความหรือบันทึกของผู้อื่นที่มิใช่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาเป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีแทนการนำตัวผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีมาเบิกความต่อหน้าศาลได้

คู่ความฝ่ายที่ร้องจะต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าบันทึกข้อความหรือบันทึกของผู้อื่นที่นำมาเสนอนั้นจะต้องมีหลักฐานแสดงเหตุผลต่อศาลอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงไม่สามารถนำตัวผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีมาเบิกความต่อหน้าศาลได้ และให้ศาลพิจารณาถึงกระบวนการที่คู่ความจะต้องพิสูจน์ถึงความน่าเชื่อถือของบันทึกข้อความหรือบันทึกของผู้อื่นที่นำมาเสนอนั้น เมื่อมีการนำบันทึกข้อความหรือบันทึกของผู้อื่นที่นำมาเสนอนั้นมาใช้เป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดี คู่ความฝ่ายที่ร้องจะต้องนำพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนข้อเท็จจริงหรือความเห็นดังกล่าวด้วย เว้นแต่ศาลเห็นว่าการนำพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนข้อเท็จจริงหรือความเห็นดังกล่าวนั้นไม่จำเป็น ให้คู่ความฝ่ายที่ร้องต้องส่งสำเนาบันทึกข้อความหรือบันทึกของผู้อื่นที่นำมาเสนอต่อศาลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดพิจารณาไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรให้ส่งสำเนาบันทึกข้อความหรือบันทึกของผู้อื่นที่นำมาเสนอต่อศาลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดพิจารณาในระยะเวลาที่สั้นกว่านั้น ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจมาตาม หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยืนยันหรือไม่คัดค้านใจความคำนั้น ให้ศาลรับฟังบันทึกข้อความดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีได้

มาตรา 210/2 เมื่อคู่ความมีคำร้องร่วมกันและศาลเห็นสมควร ศาลอาจอนุญาตให้เสนอบันทึกข้อความยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีในต่างประเทศต่อศาลแทนการนำพยานบุคคลมาเบิกความต่อหน้าศาลได้ แต่ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงเพื่อให้การดำเนินคดี

สำหรับรายละเอียดของผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีในมาตรา 85 วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม *มาตรา 210/1 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558 *มาตรา 210/2 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558

มาตรา ๑๑๐/๑๓ “บันทึกถ้อยคำตามมาตรา ๑๑๐/๑๑ และมาตรา ๑๑๐/๑๒ ให้มีรายการดังต่อไปนี้

ชื่อสกุลและเลขคดี

วัน เดือน ปี และสถานที่ที่บันทึกถ้อยคำ

ชื่อและฐานะของคู่ความ

ชื่อ สกุล อายุ ที่อยู่ และอาชีพ ของผู้ให้ถ้อยคำ และความเกี่ยวพันกับคู่ความ

รายละเอียดแห่งข้อเท็จจริง หรือความเห็นของผู้ให้ถ้อยคำ

ลายมือชื่อของผู้ให้ถ้อยคำและผู้ควบคุมการบันทึกถ้อยคำ ห้ามมิให้แก้ไขเพิ่มเติมบันทึกถ้อยคำที่ได้ลงในสำนวนคดี เว้นแต่ในการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนเล็กน้อย

มาตรา ๑๑๐/๑๔ “คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจขอให้ศาลจัดการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกราชอาณาจักรระบบทางจอภาพทางไกล โดยคู่ความฝ่ายที่ร้องขอเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่าย หากศาลเห็นว่ามีประโยชน์แก่การพิจารณาคดีและคู่ความทุกฝ่ายไม่คัดค้าน ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามข้อกำหนดแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการประชุมทางจอภาพทางไกลในกระบวนการทางศาล พ.ศ. ๒๕๖๕ รวมทั้งระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขในการสืบพยานดังกล่าวได้ และไม่ถือว่าคำให้การนั้นเป็นพยานหลักฐานโดยมิได้มาศาล

การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง

มาตรา ๑๑๐/๑๕ “ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้บุคคลใดแสดงคำบิกความนั้นให้พยานนั้น และให้พยานลงลายมือชื่อให้ศาลในมาตรา ๔๔ และ ๕๐ ความในวรรคหนึ่งไม่ใช่บังคับกับกรณีที่มีการใช้บันทึกถ้อยคำแทนการเบิกความของพยานตามมาตรา ๑๑๐/๑๓ หรือมาตรา ๑๑๐/๑๔ หรือกรณีที่มีการสืบพยานโดยใช้ระบบประชุมทางจอภาพตามมาตรา ๑๑๐/๑๔ หรือกรณีที่มีการบันทึกถ้อยคำของพยานโดยใช้วิธีการบันทึกเสียงหรือบันทึกภาพด้วยวิธีการอื่นหรือเสียงหรือโดยใช้วิธีอื่นที่คู่ความและพยานสามารถตรวจสอบความถูกต้องของบันทึกการเบิกความนั้นได้ แต่ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรืออาจพยานตรวจจับบันทึกการเบิกความของพยานนั้น ให้ศาลดำเนินการตรวจจับบันทึกการเบิกความนั้น”

หมวด ๓

การบัญญัติกฎหมายลำดับรอง

มาตรา ๑๑๐/๑๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๓) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๑๑๐/๑๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๓) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๑๑๐/๑๘ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๓) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๒๑๒ เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างเอกสารฉบับใดเป็นพยานหลักฐานและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งคัดค้านเอกสารนั้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๑๑ ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารอยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสาร ให้คู่ความฝ่ายนั้นนำเอกสารฉบับอ้างอิงมาตรวจแสดงต่อศาลในวันสืบพยาน**

ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนสืบพยาน ถ้าศาลได้กำหนดให้คู่ความฝ่ายหนึ่งส่งเอกสารส่งต้นฉบับต่อศาล โดยที่ศาลเห็นสมควร หรือโดยที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องให้คู่ความฝ่ายนั้นส่งต้นฉบับเอกสารต่อศาล เพื่อศาลหรือคู่ความฝ่ายที่ยื่นคำร้องจะได้ตรวจดูได้ตามสมควรแล้วให้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการนั้น หรือจนกว่าศาลจะได้กำหนด แต่

ถ้าไม่สามารถจะนำเอกสารหรือส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวนั้น คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลในวันหรือวันหนึ่งที่ศาลกำหนดให้มาหรือให้ส่งต้นฉบับเอกสารนั้น และให้ศาลพิจารณาว่าความไม่สามารถจะปฏิบัติตามนั้นมีหรือไม่มีเหตุผล ถ้าศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นกระทำด้วยความสุจริตใจและมีเหตุผลเพียงพอ ศาลอาจกำหนดให้คู่ความฝ่ายนั้นส่งสำเนาเอกสารต่อไป หรือจะสั่งเป็นอย่างอื่นที่ศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ได้ ในกรณีที่คู่ยื่นคำร้องด้วยความสุจริตใจและให้ศาลขยายระยะเวลาที่ศาลหรือเจ้าพนักงานกำหนดไว้ในกฎกระทรวงนั้น คำขอขยายระยะเวลานั้นจะต้องยื่นก่อนถึงกำหนดเวลาที่ศาลหรือเจ้าพนักงานกำหนดไว้

ถ้าการส่งเอกสารหรือยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลนั้น จะเป็นเหตุให้เกิดการล่าช้าหรืออาจทำให้เกิดความเสียหายต่อคู่ความฝ่ายที่ยื่นคำร้องหรือคู่ความฝ่ายที่ศาลกำหนดให้ส่งต้นฉบับเอกสารนั้น ศาลอาจสั่งให้คู่ความฝ่ายที่ยื่นคำร้องหรือคู่ความฝ่ายที่ศาลกำหนดให้ส่งต้นฉบับเอกสารนั้น ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่ความฝ่ายที่เสียหายตามที่ศาลเห็นสมควรได้ และอาจสั่งให้คู่ความฝ่ายที่ยื่นคำร้องหรือคู่ความฝ่ายที่ศาลกำหนดให้ส่งต้นฉบับเอกสารนั้น ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่ความฝ่ายที่เสียหายตามที่ศาลเห็นสมควรได้ และอาจสั่งให้คู่ความฝ่ายที่ยื่นคำร้องหรือคู่ความฝ่ายที่ศาลกำหนดให้ส่งต้นฉบับเอกสารนั้น ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่ความฝ่ายที่เสียหายตามที่ศาลเห็นสมควรได้

มาตรา ๒๑๓ ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารที่คู่ความฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานนั้นอยู่ในความครอบครองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง คู่ความฝ่ายที่อ้างจะยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งส่งเอกสารนั้นมาตรวจแสดงต่อศาลได้ ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสำคัญ และหรือจำเป็นให้ศาลมีคำสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลาที่ศาลจะเห็นสมควรกำหนด ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลหรือปฏิบัติตามคำสั่งเช่นนั้น ให้ถือว่าเอกสารนั้นมีข้อความจริงดังที่คู่ความฝ่ายที่อ้างกล่าวอ้างไว้เสมอ

ถ้าต้นฉบับเอกสารอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก หรือในครอบครองของทางราชการ หรือของเจ้าพนักงานที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างอิงโดยให้ส่งเอกสารนั้นมาให้แก่ศาล บาบัญญัติในวรรคก่อนว่าด้วยการที่คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารยื่นคำขอ และการที่ศาลสั่งให้ส่งใช้บังคับในอุโมงค์โทม แต่ทั้งนี้เฉพาะที่คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารนั้นส่งครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลกำหนด ถ้าไม่ก็ให้เอกสารนั้นมาสืบตามคำขอ เมื่อศาลเห็นสมควร ก็ให้ศาลสั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 123 (2)

มาตรา 124 ถ้าคู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารไม่ยอมแสดงเอกสารนั้น หรือไม่ยอมให้ตรวจ หรือถ้าคู่ความฝ่ายนั้นได้ทำให้เอกสารหาย ทำลาย ปิดบัง หรือทำด้วยประการอื่นใด ให้เอกสารนั้นไร้ประโยชน์โดยมุ่งหมายที่จะมิให้ศาลนำไปพิจารณาอีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องขอให้ศาลสันนิษฐานข้อเท็จจริงในแห่งข้ออ้างคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องนำสืบโดยเอกสารนั้น คู่ความฝ่ายที่ไม่ยอม หรือมิให้เอกสารดังกล่าวจำกัดนั้นไม่ยอมรับแล้ว

มาตรา 125 คู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างเอกสารว่าเป็นพยานหลักฐานยื่นตามวรรคต้นสามารถโต้แย้งการนำเอกสารนั้นไปเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ว่าด้วยบทบัญญัติของกฎหมายหรือบางส่วน หรืออาจนำไปเป็นพยานหลักฐานนั้น โดยคำแถลงการณ์ของเอกสารนั้นเป็นจริง ถ้าคู่ความผู้ยื่นระบุหรือจัดคำค้านนั้นโดยคู่ความผู้ยื่นควรไปพิจารณาให้คำอธิบายการสิ้นพยานหลักฐานหรือระบุจำนวนข้อบนเอกสารนั้นไม่มี หรือเอกสารนั้นปิดบัง หรือทำลายไม่ถูกต้องคู่ความผู้ยื่นระบุหรือจัดคำค้านนั้นโดยคู่ความผู้ยื่นควรไปพิจารณาให้คำอธิบายการสิ้นพยานหลักฐานหรือระบุจำนวนข้อบนเอกสารนั้นไม่มี หรือเอกสารนั้นปิดบัง หรือทำลายไม่ถูกต้องคู่ความผู้ยื่นระบุหรือจัดคำค้านนั้นโดยคู่ความผู้ยื่นควรไปพิจารณาให้คำอธิบายการสิ้นพยานหลักฐานหรือระบุจำนวนข้อบนเอกสารนั้นไม่มี หรือเอกสารนั้นปิดบัง หรือทำลายไม่ถูกต้อง

มาตรา 126 ภายในคำนั้นพบว่าบัญญัติในวรรคต่อไปนี้ ถ้าคู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างเอกสารว่าเป็นพยานหลักฐานยื่นตามวรรคต้น ปฏิเสธความแท้จริงของเอกสารนั้น หรืออาจคู่ความต้องแสดงเอกสารนั้น และคู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารนั้นอาจร้องขอให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสาร ถ้าศาลเห็นสมควร ให้ศาลสั่งคำขอได้เสียเงินนั้นให้เป็นเช่นนี้ว่าไม่จำเป็นต้องสิบพยานหลักฐานต่อไป หรือจะบันทึกในคำขอในไม่ส่งไปยังพยานตามวิธีอื่นไม่พอหรือโดยวิธีนั้น คือ

1

ตรวจสอบบันทึกของเอกสารที่ได้ถูกคู่ค้านคำแล้วจดลงไว้ซึ่งการมีอยู่หรือข้อความแห่งเอกสารที่ถูกคู่ค้าน

2

ถ้าคำสาบานยานสำคัญในการอยู่ซึ่งข้อความแห่งเอกสารที่ถูกคู่ค้าน หรือพยานผู้ที่สามารถเบิกความในข้อความแห่งเอกสาร หรือความถูกต้องแห่งเอกสาร

มาตรา 127 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2540

ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเอกสารที่ถูกคัดค้านนั้น ในระหว่างที่ยังมิได้รับคำพิพากษา ให้คัดเอกสารที่เสียจากปลอม หรือไม่ถูกต้อง ไว้ แต่หากข้อบ่งชี้ไม่บริบูรณ์จึงอาจรอการดำเนินการรายงานการตรวจเรียกคืนไป

มาตรา ๑๒๗ ทวิ เอกสารตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการหรือรับรอง หรือที่อำนวยการรับรองว่าถูกต้องและแท้จริง และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเอกสารนั้นเป็นของแท้หรือถูกต้อง ให้เป็นข้อมูลในฐานะให้รับรองว่าเป็นของจริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของผู้กล่าวหาที่จะต้องนำเอกสารนั้นมาสืบ ถึงแม้ว่าจะมีการอ้างว่าเอกสารดังกล่าวไม่ใช่จริงหรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร

มาตรา ๑๒๗ ตรี ต้นฉบับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุอันสำคัญที่ผู้กล่าวหาให้ยื่น ต่อศาลหรือที่บุคคลภายนอกยื่นต่อศาล หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นประจักษ์พยานความจริงในกรณี หรือมีความสำคัญในการเก็บรักษา ศาลจะอนุญาตให้ผู้ยื่นรับคืนไป โดยให้ศาลตรวจดู และให้ผู้ยื่นส่งสำเนาหรือภาพถ่ายไว้แทน หรือจะสั่งเก็บอย่างใดตามที่เห็นสมควรก็ได้

หมวด ๔

การตรวจและการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญโดยศาล

มาตรา ๑๒๘ ถ้าเหตุผลหลักฐานที่ศาลจะทำการตรวจนั้นเป็นบุคคลหรือสิ่งทรัพย์หรือข้อมูลข่าวสารใด ให้ศาลสั่งให้เจ้าของบุคคลหรือทรัพย์หรือข้อมูลข่าวสารนั้นนำมาให้บุคคลหรือทรัพย์หรือข้อมูลข่าวสารนั้นมาให้ตรวจ ณ สถานที่ เวลา และภายในเงื่อนไข ตามที่ศาลจะเห็นสมควร แล้วแต่ลักษณะแห่งการตรวจนั้น ๆ

มาตรา ๑๒๘/๑ ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดที่เป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี นอกจากที่เห็นสมควรหรือมีอยู่ตามใกล้เคียงที่ร้องขอ ศาลมีอำนาจสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุหรือเอกสารใด ๆ โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้

ในกรณีที่พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะต้องมีการตรวจพิสูจน์ที่ให้เห็นถึงเรื่องราวที่จำเป็น ให้ศาลสั่งอนุมัติข้อเท็จจริงที่ได้แสดงมาก่อนหน้านี้ แต่หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าไม่ตรงหรือขอ ศาลอาจสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์ตามวรรณคดีโดยไม่ต้องให้ถือรับเป็นพยานตามปกติได้ ในกรณีที่มีการตรวจพิสูจน์บุคคลวรรณคดีหรือสิ่งของอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง เลือด “มาตรา ๑๒๗ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๔๒” “มาตรา ๑๒๗ ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๔๒” “มาตรา ๑๒๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘” เมื่อเยื่อ ผิวหนัง เส้นผมหรือขน ขี้สะเก็ดสะ จุลจาระ น้ำลายหรือสารคัดหลั่งอื่น สารพันธุกรรม หรือ ส่วนประกอบอื่นของร่างกาย หรือสิ่งที่อยู่ในร่างกายจากศพอาจทำลายหรือถูกทำลายได้ บุคคลใดที่การตรวจพิสูจน์จากเหตุหรือพยานอื่นไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แน่ชัดสมควร ทั้งนี้ ถือเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่จะยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ได้ ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ยินยอมหรือไม่ให้ความร่วมมือต่อการตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนแจ้งพฤติการณ์ดังกล่าวต่อศาลเพื่อพิจารณาออกคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหายินยอมต่อการตรวจพิสูจน์ด้วยส่วนประกอบของร่างกายตามวรรคแรก ทั้งนี้ ศาลต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ถึงประโยชน์ในคดีและสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่จะไม่ให้ถูกรบกวนหรือกระทบต่อร่างกาย ค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ตามมาตรานี้ ให้ความปลายหรือรองเท้ารองพิสูจน์นั้น ผู้รับผิดชอบโดยให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในคดี แต่ถ้าผู้ร้องขอไม่สามารถเสียค่าใช้จ่ายได้ หรือเป็นกรณีที่ศาลสั่งให้ตรวจพิสูจน์ ให้ศาลสั่งจ่ายตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด ส่วนกรณีค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เป็นไปตามมาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕

มาตรา ๑๒๙ ในกรณีที่ศาลจะมีคำสั่งให้แต่งผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตามมาตรา ๔๔ โดยที่ศาลเห็นสมควรหรือโดยคำร้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอ

การแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีความชำนาญในเชิงปฏิบัติหรือวิชาการ แต่หากระเบียบคู่ความ มาดำเนินการกับพยานหลักฐานซึ่งอยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คู่ความฝ่ายนั้นไม่โต้แย้งการตกลงกันในข้อยุติของผู้เชี่ยวชาญในแนวทางเดียวกันกับคู่ความฝ่ายอื่น

ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งจากองค์คณะในคดีและต้องการข้อมูลในฐานะคู่ความ ทั้งนี้ สิทธิที่จะได้รับความธรรมและประโยชน์ใดที่ได้จากข้อยุติที่ศาลได้ในกรณีการพิจารณานี้

มาตรา ๑๓๐ ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งต้องแสดงความเห็นด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้ แล้วแต่ศาลจะต้องการ ถ้าศาลยังไม่เป็นที่พอใจในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ทำเป็นหนังสือนั้น หรือแสดงความไม่ชัดเจนหรือขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ให้ศาลเรียกให้ผู้เชี่ยวชาญทำความเห็นเพิ่มเติมเป็นหนังสือ หรือให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถามผู้เชี่ยวชาญ หรือให้ผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามอีก

ถ้าผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้งจะต้องแสดงความเห็นด้วยวาจาหรือส่งเอกสารหรืออื่นๆ ด้วยวาจา ให้บันทึกบัญชีแสดงและนำตัวพยานบุคคลในฐานะคู่ความเป็นโดยอุปไมย

ลักษณะ ๖ คำพิพากษาและคำสั่ง

หมวด ๓ หลักทั่วไปว่าด้วยการชี้ขาดตัดสินคดี

มาตรา ๑๓๑ คดีที่มีพ้องต้องหากันนั้น ให้ศาลปฏิบัติดังนี้

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ในเรื่องคำขอซึ่งคู่ความยื่นในระหว่างการพิจารณาคดีนั้น โดยทำเป็นคำร้องหรือ ขอด้วยวาจาก็ดี ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตหรือยกคำร้องเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น โดยทำเป็นคำสั่งหรือข้อความ ก็ดี แต่ถ้าศาลมีคำสั่งด้วยวาจาให้จดข้อความดังกล่าวนั้นไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา

ในเรื่องอื่นนอกจาก (๑) ให้ศาลจดข้อความดังกล่าวไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาหรือสั่ง หรือให้จดบันทึกลงในสำนวนการพิจารณาคดีที่ปฏิบัติไว้ในลักษณะนี้

มาตรา ๑๓๗ ให้ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ โดยไม่ต้องมี คำวินิจฉัยชี้ขาดในปมประเด็นแห่งข้อพิพาท และให้กำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเท่าที่เห็นสมควร

เมื่อโจทก์ฟ้อง ถอนฟ้อง หรือไม่มาศาลในวันนัดพิจารณา ตรงบัญญัติใน มาตรา ๑๑๔ มาตรา ๑๑๕ และมาตรา ๑๑๗ ทวิ

เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามประกันตามให้ตั้งที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๓ และมาตรา ๑๒๔ หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙๘ และมาตรา ๒๐๐

ถ้าความรระงับของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้คำคัดค้านนั้นไม่มีประโยชน์ต่อไป หรือ ถ้าไม่มีผู้ใดนำแทนผู้ตายมาซึ่งความมรณะของผู้ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๙

เมื่อศาลไต่สวนคำให้การของจำเลยที่รับสารภาพแล้วเห็นว่า ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องโอนคดี ไปยังอีกศาลหนึ่งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕ และ ๒๖

มาตรา ๑๓๘ เมื่อมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความแล้ว ให้ศาลส่งสำนวนคดีนั้นไปเก็บรักษาไว้ในที่เก็บสำนวนคดีที่ศาลจัดไว้เป็นการเฉพาะสำหรับการจำหน่ายคดี แต่ทั้งนี้การจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามมาตรานี้ ไม่เป็นการตัดสิทธิของคู่ความที่จะยื่นคำฟ้องใหม่ได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

มาตรา ๑๓๙ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ห้ามมิให้ศาลหรือพนักงานคดี ปฏิเสธไม่ยอมพิจารณาคดี หรือมีคำสั่งชี้ขาดโดยอ้างว่า ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดี หรือว่าบทบัญญัติ แห่งกฎหมายที่จะใช้นั้นขัดหรือแย้งกับกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๑๔๐ ในคดีที่เรียกร้องให้ชำระหนี้เป็นเงิน หรือมีการเรียกร้องให้ชำระหนี้ เป็นเงินรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเวลาใด ๆ ก่อนสิ้นคำพิพากษา จำเลยจะนำเงินมาวางศาลเต็มจำนวนที่ เรียกร้อง หรือมาวางส่วน หรือความจำนวนเท่าที่ตนคิดว่าควรจำนวนหนึ่งจากที่สิทธิเรียกร้องก็ได้ ทั้งนี้ โดยยอมรับผิดหรือไม่ยอมรับผิดก็ได้

มาตรา ๑๓๗ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙

มาตรา ๑๓๗ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๙

มาตรา ๑๓๗ (๓) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๙

มาตรา ๑๒๓/๑๐ ในกรณีที่จำเลยวางเงินต่อศาลโดยยอมรับผิด ถ้าจำเลยทำผิด ยอมรับเงินที่วางต่อศาลรวมถึงไม่ปิดเรื่องร้องทุกข์นั้น และศาลไม่มีเหตุอันควรที่จะต้องชดใช้ต่อไป ให้กระทำทางคดีไปตามนั้น คำพิพากษานั้นเป็นที่สุด แต่ถ้าจำเลยปฏิเสธหรือไม่ยอมรับคำกล่าวหา และยังติดใจที่จะดำเนินคดีเพื่อให้ข้อหานั้นต้องรับผิดในทางแพ่งหรือทางอาญาอีกต่อไป จำเลยมีสิทธิถอนเงินที่วางนั้นได้ โดยให้ถอนเสียภายในกำหนดการเงิน หรือกำหนดเวลาให้การเงินนั้นในกรณีที่ศาลเห็นชอบให้ถอนเงินนั้น ให้ถือว่าการถอนเงินนั้นเป็นการยกเลิกคำพิพากษานั้นโดยปริยาย แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปตามกฎหมายก็ตาม

ในกรณีที่จำเลยวางเงินต่อศาลโดยไม่ยอมรับผิด จำเลยจะมีสิทธิถอนเงินที่วางนั้นได้ ถ้าการวางเงินนั้นไม่เป็นเหตุให้จำเลยเสียเปรียบในทางคดี และไม่มีเหตุอันควรที่จะต้องชดใช้ต่อไป

มาตรา ๑๒๓/๑๑ ในคดีที่เรียกร้องให้ชำระหนี้อย่างอื่นนอกจากให้ชำระเงิน จำเลยยอมที่จะทำการชำระหนี้นั้นโดยแบ่งให้ศาลทราบว่าเป็นคำให้การหรือแสดงโดยการแสดงเป็นส่วนต่างหากก็ได้

ถ้าจำเลยยอมรับการชำระหนี้นั้นเป็นการยอมโดยมีเงื่อนไขหรือข้อสงสัย ให้ศาลพิจารณาตัดปัญหานั้น และคำพิพากษานั้นเป็นที่สุด ถ้าจำเลยไม่ยอมรับการชำระหนี้นั้น ให้ทำการพิจารณาคดีนั้นต่อไปได้ ในกรณีที่จำเลยยอมรับการชำระหนี้นั้นโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อสงสัย ให้ศาลพิจารณาตัดปัญหานั้น และคำพิพากษานั้นเป็นที่สุด ในกรณีที่จำเลยยอมรับการชำระหนี้นั้นโดยมีเงื่อนไขหรือข้อสงสัย ให้ศาลพิจารณาตัดปัญหานั้น และคำพิพากษานั้นเป็นที่สุด ในกรณีที่จำเลยยอมรับการชำระหนี้นั้นโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อสงสัย ให้ศาลพิจารณาตัดปัญหานั้น และคำพิพากษานั้นเป็นที่สุด

มาตรา ๑๒๓/๑๒ เมื่อศาลสั่งเรื่องหรือการดำเนินการนั้นขึ้นไปให้ตรวจธรรมาภิบาลหรือคณะกรรมการพิจารณา ศาลจะพิจารณาคดีนั้นต่อไปหรือจะส่งเรื่องหรือการพิจารณาและสำรวจพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ต่อไปตามสิทธิ์ก็ได้

หมวด ๒

มาตรา ๑๒๓/๑๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๑๕๔ การแก้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ให้ดำเนินการปฏิบัติตามดังต่อไปนี้

ศาลจะต้องประกอบด้วยศาลตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาล และอำนาจผู้พิพากษา

ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๓ ถ้าศาลที่พิจารณาคดีซึ่งจะต้องทำโดยผู้พิพากษาหลายคน คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นจะต้องเป็นมติของที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีในศาลชั้นต้น และศาลชั้นอุทธรณ์ ถ้าผู้พิพากษาออกในความเห็นแย้งก็ให้ผู้พิพากษาคนนั้นเขียนใจความแห่งความเห็นแย้งและเหตุผลของตนกำกับไว้ในคำวินิจฉัย ในกรณีของศาลฎีกา ถ้าประธานของศาลชั้นอุทธรณ์หรือประธานศาลฎีกา เห็นสมควร จะให้มีการวินิจฉัยปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดี ก็ให้หรือถ้าศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะให้มีการวินิจฉัยปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดี ก็ให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้มีการประชุมใหญ่หรือประชุมแผนกคดี แล้วแต่กรณี ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๓ ในกรณีที่มีปัญหาว่าบทบัญญัติในกฎหมายหรือในพระราชบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ผู้พิพากษาทุกคนอยู่ในมติที่ประชุมใหญ่ แต่ถ้าไม่อยู่ก็ตามให้ผู้พิพากษาทุกคนในศาลนั้นหรือในแผนกคดีนั้นมีอำนาจที่จะให้ข้อวินิจฉัยของตนกำกับไว้ในคำวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีนั้นด้วย ในกรณีที่มีปัญหาว่าบทบัญญัติในกฎหมายหรือในพระราชบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เป็นประการสำคัญ และถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานแห่งที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงชี้ขาด ในกรณีที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีได้วินิจฉัยปัญหาแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดี และต้องระบุไว้ว่าอ้างอิงจากข้อวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีที่ได้ประชุมพิจารณาในกรณีนั้น และเหตุผลในคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ถือความเห็นแย้งพร้อมเหตุผลได้ด้วย ในกรณีที่มีปัญหาใดในศาลชั้นต้น ให้มีคำวินิจฉัยโดยที่ประชุมแผนกคดีแล้ว หากประธานของศาลชั้นอุทธรณ์หรือประธานศาลฎีกา เห็นสมควรจะให้มีการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยที่ประชุมใหญ่ก็ให้ดำเนินการได้

การอ้างคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้ดำเนินการอ้างตามที่ระบุไว้ในมติของที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีนั้นๆ เพื่อทำให้คำวินิจฉัยหรือผลคำสั่งมีความชัดเจน เช่นว่า ให้ศาลอ้างไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือในรายงานสรุปคำวินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยของศาลลงย่อไว้เป็นสำคัญ *มาตรา ๑๕๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ *มาตรา ๑๕๔ (๒) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ สำเนา ถ้าคู่ความไม่มาศาล ศาลจะงดการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลจดแจ้งไว้ในรายงาน และให้ถือว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้อ่านตามกฎหมายแล้ว เมื่อศาลมีคำพิพากษาคดี หรือที่ได้รับคำสั่งจากศาลสูงให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งตามบทบัญญัติในมาตรานี้แล้ว ให้ถือว่าบุคคลนั้นเป็นวันที่อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งดังนั้น

มาตรา 14 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทำเป็นหนังสือ และต้องกล่าวถึงเหตุผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น

(ก) ชื่อคู่ความที่ทำคำพิพากษาดังนั้น (ข) ข้อความทุกฝ่ายและผู้แทนโดยชอบธรรมรวมอยู่ในเหตุผล (ค) รายการแห่งคดี (ง) เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวง (จ) คำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดีตลอดทั้งคำชำระระเบียบ คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นต้องลงลายมือชื่อผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีหรือคำสั่ง หรือถ้าผู้พิพากษาออกไปโดยลายมือชื่อไม่ได้ ให้ผู้พิพากษานั้นลงลายมือชื่อในคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือผู้พิพากษา แล้วแต่กรณี จดแจ้งผู้พิพากษานั้นไม่ได้ลงลายมือชื่อและเหตุผลในหนังสือด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น แล้วจัดเก็บในส่วนความลับ ในกรณีที่มีการแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ให้จดแจ้งไว้ในรายงานว่ามีการแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นอย่างไร และให้ถือว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้อ่านตามกฎหมายแล้ว

มาตรา 15 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่มีข้อขัดแย้งต้องพิจารณาในคำฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือคำสั่งให้เสียใด ๆ เกินไปกว่าหรือออกจากที่ปรากฏในคำฟ้องเว้นแต่

(ก) ในคดีฟ้องเรียกของหางทรัพย์ ให้พิจารณาว่าเป็นประเด็นแห่งคดีนั้นพึงพิจารณาให้จำเลยเสียหาย ศาลสามารถให้คำพิพากษาได้ เมื่อศาลเห็นสมควรตามความจำเป็นให้จำเลยเสียหายคำสั่งเช่นนั้นจำเป็นให้บังคับคดีสำคัญที่ศาลและจำเลยอยู่ในส่วนหางทรัพย์ซึ่งไม่สามารถแสดงความหมายให้พิจารณาได้ (ข) ในคดีที่มีการฟ้องเรียกทรัพย์ใด ๆ เป็นของตนพึงพิจารณาให้ความว่าโจทก์กระทำโดยส่วนแบ่ง เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนที่เห็นได้ (ค) ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ชำระเงินรวมถึงดอกเบี้ย ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้รับเงินรวมถึงดอกเบี้ยที่เห็นได้ (ง) ในคดีที่มีการฟ้องร้องตามข้อกฎหมายเป็นข้อขัดแย้งตามเจตนารมณ์ของประชาชนเช่นนั้น อ้างได้ขึ้น เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระเงินหรือสิ่งอื่นตามคำพิพากษาคดีได้

ในกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้ชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยที่มิได้มีข้อกำหนดหรือตกลงกันไว้ เมื่อศาลเห็นสมควรโดยที่มีเหตุผลอันสมควรและความจริงใจในการใช้สิทธิของโจทก์ ศาลจะพิจารณาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นกว่าที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายแต่ไม่เกินร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องหรือวันอื่นซึ่งศาลกำหนดก็ได้

มาตรา ๑๔๓ ถ้าในคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่อาจให้ผลเสียหายแก่ผู้ร้องสอดหรือผู้ร้องสอดร่วม และมิได้ให้การยุติธรรมแก่ผู้ร้องสอดหรือผู้ร้องสอดร่วม ศาลจะสั่งแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นเสียก่อน หรือเมื่อมีเหตุอันเกี่ยวข้องร้องขอ ศาลจะสั่งแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นในโอกาสต่อไปก็ได้ แต่ถ้าไม่มีกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นอยู่ในศาลที่ออกคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นแล้วแต่กรณี ศาลจะสั่งให้แก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้เหมือนคำสั่งกล่าวแล้ว โดยกล่าวไว้ในข้ออุทธรณ์หรือฎีกา หรือโดยทำเป็นคำร้องส่วนหนึ่งต่างหาก

การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรานี้ จะต้องไม่เป็นการกลับหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาหรือคำสั่งเดิม เมื่อได้ทำคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ห้ามไม่ให้ดำเนินการคำพิพากษาหรือคำสั่งเดิม เว้นแต่จะได้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นจนเสร็จไปด้วย

มาตรา ๑๔๔ เมื่อศาลได้ดำเนินพิจารณา หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีประเด็นข้อโต้แย้งใด ๆ แล้ว ศาลจะพิจารณาและพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นข้อโต้แย้งนั้นอีกไม่ได้ เว้นแต่จะได้ดำเนินการตามมาตรา ๑๔๓

(ก) การพิจารณาใหม่แห่งคดีซึ่งได้พิจารณาและสั่งชี้ขาดคดีไปแล้วในคดีเดียว ตามมาตรา ๒๐๒ และคดีที่เอกสารได้สูญหายหรือบุบสลายตามมาตรา ๔๓ (ข) การสั่งใหม่ ทบทวน หรือไม่ยอมรับ ซึ่งอุทธรณ์หรือฎีกาตามมาตรา ๒๔๒ และการดำเนินรับฟังพยานหลักฐานประกอบการยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกาตามมาตรา ๒๔๓ วรรคสุดท้าย (ค) คดีที่ศาลชี้ขาดหรืออุทธรณ์หรือฎีกาสั่งไปยังศาลที่ให้ดำรงการและสั่งขาดตัดสินคดีนั้น เพื่อให้พิจารณาใหม่หรือวินิจฉัยและพิพากษาไปตามกฎหมายมาตรา ๒๔๔ (ง) การรับฟังพยานหลักฐานประกอบคำพิพากษาตามกฎหมายมาตรา ๒๔๕ ทั้งนี้ ไม่เป็นการดำเนินการในขั้นตอนรับฟังตามบัญญัติแห่งมาตรา ๑๒๐ และ ๑๒๐ ว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยศาลส่วนต้นตั้ง

มาตรา ๑๔๕ ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความฎีกา และการพิจารณาคดีใด ๆ ศาลจะทำคำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้ถือว่าได้พิจารณาในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิจารณาหรือมีคำสั่งนั้น ขึ้นบัญชีไว้ให้พิจารณาทราบข้อเท็จจริง เบื้องต้นที่ศาลพิจารณาหรือมีคำสั่งนั้น

*มาตรา ๑๔๖ (๒) ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยบัญญัติในเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๐ *มาตรา ๑๔๕ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๐ นั้นให้คุ้มเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรือเพิกเสีย ถ้าหากมี กรณีเหตุจะให้คำสั่งหรือคำวินิจฉัยพิพากษานั้นแก่บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่ เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลด้วยดี ศาลพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ผูกพัน บุคคลภายนอก เว้นแต่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๕ (๑) มาตรา ๑๕๕ และมาตรา ๒๐๖ และในข้อ ต่อไปนี้

คำพิพากษาหรือคำสั่งที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิในทรัพย์สิน เลิกนิติบุคคล หรือจำกัดเรื่องสิทธิและหนี้บุคคลภายนอกซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องหรือใช้ประโยชน์แต่ บุคคลภายนอกก็ได้

คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่มีผลบังคับแก่บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่ความ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้แทนบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่ามีสมควรอันดีว่า

มาตรา ๑๔๕ เมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดของศาลซึ่งสั่งให้คืน

ต่างกล่าวถึงการปฏิบัติการอื่นที่ย่อมเป็นผลตามกันไม่ได้ และคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมให้ถือ ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่สูงกว่า ถ้าศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้อง หรือศาลต้นตัดสินยกฟ้องในคดีนั้น ๆ ย่อมถือว่า อุทธรณ์ ได้พิจารณาอุทธรณ์ส่งคำสั่งดังกล่าวมาแล้ว คู่ความในกระบวนพิจารณาแต่ศาลที่มีคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นย่อมถือว่าเป็นที่สุดในคดีนั้น ๆ เว้นแต่ศาลที่สูงกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ถือความ คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ที่มิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่เป็นที่สุด

มาตรา ๑๔๖ คำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งอาจปฏิบัติได้ตามกฎหมายและด้วยจรรยาบรรณหรือวิธีการที่

คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ซึ่งอาจจรรยาบรรณปฏิบัติได้ หรือมีคำร้องให้พิจารณาใหม่ได้ในถ้า มีได้อุทธรณ์ ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ ระยะเวลานั้นวันนั้นสิ้นสุดลง ถ้ามีอุทธรณ์ ฎีกา หรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ และศาลฎีกา หรือศาลอุทธรณ์ชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นที่สุดในคดีนั้น ๆ มีสิทธิฟ้องร้องขอคืนทรัพย์สิน ศาลฎีกา ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๕ คำพิพากษาหรือคำสั่งเช่นนั้นให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่วันนั้นสิ้นสุดลง จำหน่ายคดีจากระบบความ คู่ความฝ่ายใดมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เป็นที่สุดในคดีนั้น ให้ถือว่า ในคำคัดอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้นได้เป็นที่สุดแล้ว

มาตรา ๑๔๗ คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วให้ถือว่ามีความผูกพัน

ร้องร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยไปอย่างเดียวกันแล้ว เว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้

เมื่อเป็นกรณีของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล

เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งได้กำหนดวิธีการดำเนินการให้คู่ความไปปฏิบัตินั้นเป็น เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกเสียได้ตามเหตุอันควร (ก) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้พิจารณาใหม่โดยได้ผลเป็นโทษถึงจำคุกหรือ ปรับ * มาตรา ๑๔๘ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ * ยื่นใหม่ ในศาลเดียวกันหรือในศาลอื่น ภายในวรรคบังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

หมวด ๓

ค่าฤชาธรรมเนียม

ส่วนที่ ๑

การกำหนดและการชำระค่าฤชาธรรมเนียม และการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม

มาตรา ๑๕๔ "ค่าฤชาธรรมเนียม" ได้แก่ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าสืบพยานหลักฐาน นอกราช ค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของพยาน ผู้เชี่ยวชาญ ล่าม และเจ้าพนักงานศาล ค่าทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล ค่าธรรมเนียมศาลที่นำมาฟ้องร้องหรือยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรอง โดยให้พนักงานศาลออกใบใบรับ หรือขอวิธีการที่ศาลให้ดำเนินการในคดีของศาลฎีกา

ค่าฟ้อง ค่าฟ้องอุทธรณ์ ค่าฟ้องฎีกา ค่าคำร้อง คำขอ คำแถลง หรือคำร้องขออื่นซึ่งได้ยื่นต่อศาลในคดีใดค่าธรรมเนียมศาลและเงินวางตามมูลทรัพย์นั้นแต่ศาลจะได้ยกคำร้องนั้นเสีย

มาตรา ๑๕๕ ในคดีที่ศาลได้พิจารณาแล้วว่าคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยากจนเป็นราคามูลค่า ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมศาลในมูลทรัพย์ที่เรียกร้องหรือราคาทรัพย์ที่พิพาท

ค่าที่กล่าวในชั้นฤชาธรรมเนียมนั้น ถ้าจำนวนมูลทรัพย์ที่เรียกร้องหรือราคา หรือมูลค่าทรัพย์ที่พิพาทนั้นอยู่ตรงหรือไม่อยู่ตรงกับที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าว ให้ผู้ชนะคดีหรือผู้เสียคดีจ่ายส่วนตามค่าฤชาธรรมเนียมศาลที่ศาลกำหนด และจำนวนมูลทรัพย์หรือราคาทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาคำนวณในลักษณะนั้น ให้ผู้ชนะหรือผู้เสียคดีจ่ายค่าธรรมเนียมศาลตามจำนวนมูลทรัพย์หรือราคานั้น ชื่อเดิมคือ การกำหนดและการชำระค่าฤชาธรรมเนียม และการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมศาล แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ ความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๕๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘

เมื่อได้ทำระดมกันตามแล้ว ถ้าทุนทรัพย์แห่งคำฟ้องหรือคำฟ้องอุทธรณ์หรือคำฟ้องฎีกามีการเพิ่มโดยการยื่นคำฟ้องเพิ่มเติมหรือโดยประการใด ให้เรียกค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมตามที่บัญญัติในมาตรานี้ภายในระยะเวลาตามที่บัญญัติคำฟ้องเพิ่มเติมหรือภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรแล้วแต่กรณี ถ้าเนื่องจากเหตุใดก็ตามศาลได้ให้พิจารณาคำฟ้องใหม่หรือให้แยกคำฟ้องหรือคำฟ้องใดหรือข้อหาอื่นอยู่ในคำฟ้องเดียวกันโดยไม่รู้สึกความผิด หรือจะต้องพิจารณาคำฟ้องใหม่หรือคำฟ้องแยกเป็นคดีเรื่องหนึ่งต่างหาก ให้เรียกให้ชำระค่าขึ้นศาลในส่วนที่ขาดไปแล้วแต่กรณี หรือหากยื่นคำฟ้องหรือข้อหาเช่นนั้นในวันเดียวกันกับทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นหรือคำฟ้องแยกนั้นต้องชำระในกรณีเช่นนี้ ค่าขึ้นศาลจะพิจารณาเป็นความและสาระตามบัญญัติในวรรคก่อน ในการยื่นบุคคลซึ่งเป็นคู่ความร่วมในคดีพิเศษตามเหตุที่เป็นธรรมซึ่งจะทำให้ไม่อาจแบ่งแยกได้ต่างยื่นคู่ความหรือร่วมคู่ความกัน โดยคำให้สืบพยานในนั้นอุทธรณ์หรือฎีกาตามความในวรรคสอง หากค่าขึ้นศาลดังกล่าวมีรวมกันแล้วมีจำนวนสูงกว่าค่าขึ้นศาลที่คู่ความแต่ละฝ่ายชำระในการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา ให้พิจารณาเรียกค่าขึ้นศาล และคืนเศษที่สำคัญสำหรับค่าศาลส่วนเกินแก่บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกานั้นตามแต่ละคนและคืนค่าขึ้นศาลในเวลาที่ศาลนั้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง

มาตรา 154 ในกรณีที่ศาลสั่งไม่รับคำฟ้องหรือในกรณีที่ศาลยกคำฟ้องหรือมีการวินิจฉัยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งในคำฟ้องนั้น ถ้าศาลไม่รู้จักหรือรับคำฟ้องหรือให้ชำระค่าขึ้นศาลใหม่ หรือคำอุทธรณ์หรือคำฎีกาในคำฟ้องหรือข้อหานั้นซึ่งคำฟ้องหรือข้อหานั้นไม่อยู่ในความรับผิดชอบของศาล ให้พิจารณาเรียกค่าขึ้นศาลใหม่หรือในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลในส่วนที่ขาดไปแล้วแต่กรณี

เมื่อได้มีการพิจารณาคำฟ้องใหม่หรือคำฟ้องแยกคำฟ้องใหม่หรือมีการยื่นคำฟ้องใหม่หรือข้อหาใหม่ หรือเมื่อคำฟ้องนั้นได้เรียกคืนค่าคำฟ้องโดยบัญญัติการประเมินระดับประมวลกฎหมายหรือการพิจารณาตามคำขอของบุญโญในคดีความ ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด หรือบางส่วนแก่คู่ความที่ได้เสียไปตามที่เห็นสมควร ในการยื่นคำฟ้องหรือฟ้องอุทธรณ์สร้างหมายคำในกรณีอื่น ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งคืนค่าขึ้นศาลบางส่วนในคดีตามที่เห็นสมควร ถ้าศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาสั่งให้ส่งสำนวนความกลับไปยังศาลล่างเพื่อพิจารณาคำฟ้องหรือฟ้องคำฟ้องใหม่หรือฟ้องแยกหรือฟ้องแยกคำฟ้องใหม่ในคดีตามบัญญัติในมาตรา 154 (ทศวรรษแรกหรือทศวรรษที่สอง) ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีอำนาจสั่งคืนค่าขึ้นศาลในกรณีของคำฟ้องใหม่หรือในการยื่นคู่ความหรือฎีกาคำฟ้องคำฟ้องใหม่ของศาลล่างได้ตามที่เห็นสมควร

มาตรา 155 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558

มาตรา 156 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 29) พ.ศ. 2558

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ค่าธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณานั้น รวมทั้งระยะเวลาที่ต้องชำระให้จบ ถ้าสูงสุดหรือจำกัดค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ระบุ ศาลจะสั่งให้ลดหรือเกลี่ยตามกระบวนการเช่นนั้น หรือจะสั่งให้ผู้ชำระคนใดคนหนึ่งชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวก็ได้ หากค่าความยินยอม

มาตรา ๑๓๓/๑ ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนในการรับคำขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอ คำขอหมายเดินทาง และคำขอที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่งานรับคำขอต้องตอบค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการรับคำขอตามที่กฎหมายบัญญัติให้ชำระ

ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนในการรับคำขอ ให้ตามหมู่ของงานรับคำขอตามในลักษณะการชำระค่าธรรมเนียมในการรับคำขอ ให้เจ้าหน้าที่งานรับคำขอต้องออกใบรับให้ ในกรณีที่มีการนำคำขอเข้ามารับคำขอต่อไปตามมาตรา ๑๓๓/๒ หรือมาตรา ๑๓๓/๒ ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอต่อไปเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการรับคำขอหรือคืนในส่วนที่ดำเนินการรับคำขอต่อไป

มาตรา ๑๓๓/๒ ค่าธรรมเนียมตามมาตรา ๑๓๓/๑ และค่าธรรมเนียมในการรับคำขอตามมาตรา ๑๓๓/๒ ให้ชำระตามวิธีการและอัตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือกฎหมายที่บัญญัติรับคำขอ

มาตรา ๑๓๓/๓ ถ้าผู้รับคำขอไม่ชำระค่าธรรมเนียมตามมาตรา ๑๓๓/๑ หรือมาตรา ๑๓๓/๒ หรือชำระไม่ครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่งานรับคำขอแจ้งให้ผู้รับคำขอทราบและให้ชำระค่าธรรมเนียมที่ค้างชำระหรือเพิ่มขึ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าผู้รับคำขอไม่ชำระค่าธรรมเนียมที่ค้างชำระหรือเพิ่มขึ้นภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้เจ้าหน้าที่งานรับคำขอมีคำสั่งยกคำขอหรือคำร้องขอตามที่เห็นสมควร

ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอรับคำขอที่มีความจำเป็นตามวรรคหนึ่งไม่ดำเนินการหรือมากเกินไป ก็อาจยื่นคำร้องต่อศาลภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้รวมถึงเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ดำเนินการให้เป็นที่สุด ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอรับคำขอที่ไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามวรรคสอง ให้เจ้าหน้าที่งานรับคำขอพิจารณาการรับคำขอว่าเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอนั้นจะได้รับค่าตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่งานรับคำขอหรือศาล แล้วแต่กรณี

มาตรา ๑๓๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๓๕ วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๓๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๔๕/๔ คู่ความซึ่งไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลอย่างอื่นหรือค่าฤชาธรรมเนียมศาลในการฟ้องหรืออุทธรณ์คดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ตนได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลดังกล่าวได้

มาตรา ๑๔๕/๕ ผู้ใดมีความประสงค์จะขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องหรืออุทธรณ์คดี ให้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา โดยคำร้องดังกล่าวต้องระบุเหตุผลและข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ และต้องมีเอกสารหรือหลักฐานประกอบคำร้องตามที่ศาลกำหนด

การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง ผู้ร้องอาจเสนอพยานหลักฐานไปพร้อมกับคำร้อง และหากศาลเห็นสมควรให้มีการไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม ศาลอาจสั่งให้ผู้ร้องนำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลในวัน เวลา และสถานที่ที่ศาลกำหนด

มาตรา ๑๔๕/๖ ศาลมีคำสั่งโดยเร็ว โดยคำสั่งดังกล่าวต้องระบุเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ร้อง หรือไม่ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ร้อง

มาตรา ๑๔๕/๗ เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการหลีกเลี่ยงหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการเสียค่าธรรมเนียมศาล

มาตรา ๑๔๕/๘ การยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๑๔๕/๔ และมาตรา ๑๔๕/๕ ต้องกระทำภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด

มาตรา ๑๔๕/๙ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ร้องแล้ว หากปรากฏในภายหลังว่าผู้ร้องมีความสามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ศาลอาจมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าธรรมเนียมศาลดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้

มาตรา ๑๔๕/๑๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

มาตรา ๑๕๔/๑๙๙ เมื่อศาลอนุญาตให้บุคคลใดได้รับเบิกค่าธรรมเนียมศาลในศาลใด บุคคลนั้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลที่เกิดขึ้นในกระบวนพิจารณาในศาลนั้น ค่าธรรมเนียมศาลที่มิใช่รวมถึงเงินงวดศาลในกรณีบังคับคดีหรือชำระหนี้รัฐ ถ้าในกรณีที่ศาลอนุญาตในระหว่างการพิจารณา การยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลนั้นให้บังคับเฉพาะค่าธรรมเนียมศาลเงินงวดศาลที่จะต้องเสียหรือรวบรวมหลังคำสั่งอนุญาตเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมศาลหรือเงินงวดศาลที่เสียหรือรวบรวมไว้ก่อนคำสั่งนั้นศาลจะคืนให้หรือไม่ให้คืน

มาตรา ๑๕๔/๒๐๐ ถ้าศาลเห็นว่าคำคู่ความฝ่ายหนึ่งจะต้องได้รับประโยชน์เสียค่าใช้จ่ายธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางส่วนของคู่ความฝ่ายสองฝ่าย ให้ศาลพิจารณาในเรื่องค่าธรรมเนียมศาลโดยสั่งให้คู่ความฝ่ายหนึ่งนั้นชำระต่อศาลในนามของคู่ความฝ่ายนั้นซึ่งจะต้องได้รับเบิกค่าใช้จ่ายธรรมเนียมศาลที่คู่ความฝ่ายนั้นได้รับเบิกไป จากทรัพย์สินส่วนต่างที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา ๑๕๔/๒๐๑ ถ้าผู้ชำระค่าธรรมเนียมศาลที่ได้รับเบิกแล้วค่าธรรมเนียมศาลนั้นสามารถจะเรียกคืนได้จากคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่าย หรือในกรณีที่ศาลมีคำสั่งชำระเงินงวดศาล ให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นชำระค่าธรรมเนียมศาลที่ได้รับเบิกไปตามคำสั่งในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดให้ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ศาลสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ได้รับเบิกค่าใช้จ่ายธรรมเนียมศาลนั้นจากทรัพย์สินที่ศาลเห็นสมควรหรือยึดหรืออายัดทรัพย์สินส่วนต่างที่ศาลเห็นสมควร

ในกรณีดังกล่าวนี้ ให้ศาลเห็นว่า (ก) คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือแบ่งส่วนแทนผู้ที่ได้รับเบิกค่าธรรมเนียมศาล ให้ศาลมีคำสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้นชำระค่าธรรมเนียมศาลต่อศาลในนามของผู้ที่ได้รับเบิกค่าธรรมเนียมศาล แต่ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้ศาลสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินจากทรัพย์สินที่ศาลเห็นสมควร หรือ (ข) ผู้ที่ได้รับเบิกค่าธรรมเนียมศาลจะต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือแบ่งส่วนแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ศาลมีคำสั่งให้ชำระค่าธรรมเนียมศาลในนามทรัพย์สินส่วนต่างที่ศาลเห็นสมควรกำหนดให้ ส่วนค่าธรรมเนียมศาลที่ผู้ได้รับเบิกไป ให้เอาชำระจากทรัพย์สินที่เหลือ ถ้าศาลมีคำสั่งตามคำสั่งที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา ๑๕๔/๒๐๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๕๔/๒๐๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๑๐/๑๐ ถ้าผู้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลประพฤติผิดไม่เรียบร้อย เช่น ดำเนินกระบวนพิจารณาในทางที่ก่อความล่าช้าหรือกระทำความผิดฐานละเมิดต่อศาลหรือต่อประจักษ์พยาน ศาลอาจถอนการอนุญาตเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ และบุคคลเช่นว่านั้น จำต้องรับผิดเสียค่าธรรมเนียมเสียสละสำหรับกระบวนพิจารณาส่วนที่ศาลได้อนุญาตนั้นแล้ว

ส่วนที่ ๒

ความรับผิดขั้นที่สุดในค่าธรรมเนียม

มาตรา ๑๑๑ ภายใต้บังคับบัญญัติแห่งมาตรา ๑๑๐/๙ ให้ผู้ความฝ่ายแพ้คดีเป็นผู้รับผิดในขั้นที่สุดสำหรับค่าธรรมเนียมเสียทั้งปวง แต่ไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่ตกแก่ตนเองหรือแก่แต่ละส่วน ศาลมีอำนาจพิพากษาให้คู่ความฝ่ายแพ้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมเสียทั้งปวง หรือให้คู่ความแต่ละฝ่ายรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเสียเฉพาะส่วนของตนเองหรือเฉพาะส่วนที่ศาลกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับผิดก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุและความสุจริตในการดำเนินคดี

คดีที่ไม่มีข้อพิพาทให้ฝ่ายแพ้เสียค่าธรรมเนียม

มาตรา ๑๑๒ บุคคลที่เป็นโจทก์ร่วมกับหรือจำเลยร่วมกัน หาต้องรับผิดร่วมกันในค่าฤชาธรรมเนียมไม่ หากต้องรับผิดเป็นราย ๆ กัน เว้นแต่จะได้เป็นโจทก์ร่วมกันหรือจำเลยร่วมกันโดยสำคัญ

มาตรา ๑๑๓ ถ้าคดีได้เสร็จเด็ดขาดลงโดยการตกลงหรือการประนีประนอมยอมความหรืออนุญาตให้ถอนการ คู่ความแต่ละฝ่ายย่อมรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนการดำเนินกระบวนพิจารณาของตน เว้นแต่คู่ความจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา ๑๑๔ ในกรณีที่โจทก์ถอนฟ้องตามมาตรา ๑๓๙, ๑๔๐ นั้น จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมแม้จำนวนเงินที่ชำระนั้นจะเป็นค่าฤชาธรรมเนียมก็ตาม ถ้าจำเลยยื่นรับเงินที่ชำระต่อศาลเป็นการพอใจเต็มจำนวน จำเลยต้องเป็นผู้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเสียทั้งปวง ถ้าจำเลยยื่นรับเงินที่ชำระต่อศาลเป็นการพอใจเพียงส่วนหนึ่งแห่งจำนวนเงินที่เรียกร้อง และตกลงกันต่อศาลว่าโจทก์จะไม่เรียกร้องส่วนที่เหลืออีก จำเลยต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเสียเฉพาะส่วนที่โจทก์ได้รับเงินไปแล้วเท่านั้น

มาตรา ๑๑๕ บทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๑๐/๙ และมาตรา ๑๑๑ ให้ใช้บังคับแก่การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาโดยอนุโลม

มาตรา ๑๑๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๑๑๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๗ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมเสียเพิ่มตามมาตรา ๒๕ หรือมาตรา ๒๖”

ยอมรับเงินที่จ่ายชำระหนี้เป็นการพอใจตามที่เรียกร้อง

มาตรา ๑๖๔ ในกรณีที่มีการชำระหนี้ ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖๓ ถ้าผู้ร้องยอมรับ การชำระหนี้นั้นเป็นการพอใจเต็มตามที่เรียกร้องแล้ว จำเลยต้องเป็นผู้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรกำหนดให้เป็นอย่างอื่น ถ้าศาลได้พิจารณาไต่สวนไปถึงการชำระหนี้นั้นแล้วศาลเห็นควรให้จำเลยเป็นผู้รับผิด ในอัตราส่วนหนึ่งของหนี้ แล้วศาลเห็นว่าการชำระหนี้นั้นเป็นการพอใจเต็มตามที่เรียกร้องแล้ว ค่าฤชาธรรมเนียมที่ชำระนั้นเกิดแต่การที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้นั้น โจทก์ต้องเป็นผู้รับผิด

มาตรา ๑๖๕** คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในกรณีของพยาน ใด ๆ ที่ได้เดินทางไปเบิกความในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ณ ศาล หรือที่ต้องดำเนินไปประกอบการผิดหรือ ความประพฤติเท็จเล่ห์อุบายหรือแรง คู่ความฝ่ายนั้นต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมนั้น โดยพักค้างมิ ว่าคู่ความฝ่ายนั้นจะชนะคดีหรือไม่

มาตรา ๑๖๖ คำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ไม่ว่าคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ ยื่นคำร้อง หรือไม่ก็ตาม ให้ศาลส่งไปในคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชี้ขาดคดีหรือในคำสั่งที่ยกฟ้องหรือ ยกคำร้องนั้น และในกรณีที่ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม หรือในค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาคดี ให้ศาลสั่งในคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นด้วย หรือในคำสั่งที่ยกฟ้องหรือยกคำร้องนั้น ในกรณีที่การพิจารณาคดีใด ให้ศาลสั่งในคำสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับ การพิจารณาครั้งแรก และการพิจารณาใหม่ในคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้

มาตรา ๑๖๗ ในกรณีที่มีความอาจบรรลุหรือวิกฤติพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้ นั้น ห้ามมิให้คู่ความคู่กรณีหรือวิกฤติไปยื่นคำร้องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียว เว้นแต่กรณี หรือวิกฤติที่มิได้ยกเหตุว่า ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเกิดขึ้นให้กำหนดหรือคำสั่งตามกฎหมาย

มาตรา ๑๖๘ เมื่อมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแล้ว ให้หัวหน้า สำนักงานประจำศาลดำเนินการชำระหนี้ในบัญชีและค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลวินิจฉัยว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องชำระหรือรับผิดตามคำวินิจฉัยนั้น คู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอาจขอให้ศาลชี้ขาดในกรณีดังกล่าวได้

* มาตรา ๑๖๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ * มาตรา ๑๖๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๒๔/๑๑๐ ถ้าบุคคลซึ่งต้องชำระค่าธรรมเนียมคดีไม่สามารถชำระค่าธรรมเนียมคดี หรือต้องเข้าทำงานรับจ้างคดี หรือถูกบังคับชำระหนี้ซึ่งไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมคดี ศาล เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือบุคคลอื่นนำเอาบังคับเอาทรัพย์สินของบุคคลนั้นซึ่งอาจพอเพียง เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระค่าฤชาธรรมเนียมคดีมาใช้ ในกรณีเช่นนี้ ให้ร้องต่อหน้าสำนักงานประจำศาลฎีกาหรือสำนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือบุคคลซึ่งมีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมคดีนั้น แล้วแต่กรณี เป็นผู้ทำคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่ง

การบังคับคดีตามคำพิพากษา ให้ใช้บังคับตามคำพิพากษาเฉพาะในกรณีการบังคับคดีทั้งปวง แต่หากยังมีเงินได้จากการบังคับคดีหรือการอายัดทรัพย์ซึ่งจะให้เพียงพอแก่การชำระค่าฤชาธรรมเนียมคดีที่ได้รับยกเว้นลูกหนี้ไว้จากเงินนั้น

มาตรา ๑๒๔/๑๑๑ ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา ๑๒๔/๑๐ ให้ผู้ถูกบังคับคดีพิพากษาอุทธรณ์เงินค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี โดยให้หักออกจากเงินที่ได้จากการยึด อายัด หรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือจากเงินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้นำมาใช้

ในกรณีที่มีการบังคับคดีเป็นผู้ประกันในคดี ค่าฤชาธรรมเนียมคดีในการบังคับคดีนั้น ส่วนหนึ่งให้หักออกจากเงินที่ได้จากการบังคับคดีตามสัญญาประกัน ในกรณีที่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้แบ่งทรัพย์สินรวมมรดกให้แก่ทายาทของผู้ตาย ให้หักค่าฤชาธรรมเนียมคดีในการบังคับคดีจากทรัพย์สินที่แบ่งให้แก่ทายาทนั้นโดยให้หักออกจากทรัพย์สินของทายาททุกคนพร้อมกันเป็นการรวมทรัพย์สินของทายาททั้งหมด ในกรณีที่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้แบ่งทรัพย์สินตามมาตรา ๖๘ (๒) และ (๓) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหักค่าฤชาธรรมเนียมคดีหรือค่าใช้จ่ายอื่นที่เป็นประโยชน์ในการบังคับคดีจากทรัพย์สินที่แบ่งให้แก่ทายาทนั้น

มาตรา ๑๒๔/๑๑๒ บุคคลใดทำให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีส่วนใด โดยไม่จำเป็นหรือมีลักษณะประวิงการบังคับคดี หรือที่ต้องดำเนินไปเพราะความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือการบังคับคดีโดยไม่สุจริตก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้น ผู้ที่ได้รับความเสียหาย หรือถูกบังคับคดีที่ไม่ถูกต้องหรือที่มีการสั่งยกคำสั่งอายัดทรัพย์สินในครั้งนั้น แต่ปรากฏคำพิพากษาอันเป็นที่สุดแล้วว่าเป็นผู้ชนะในคดีนั้น ให้ฟ้องคดีเอาสิ่งที่บุคคลนั้นชำระเป็นค่าฤชาธรรมเนียมคืนได้ภายหลัง

คำสั่งของศาลฎีกาในวันนี้ที่อยู่

มาตรา ๑๒๔/๑๑๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๒๔/๑๑๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๒๔/๑๑๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๖

ภาค 2 วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้น

ลักษณะ 4

วิธีพิจารณาสามัญในศาลชั้นต้น

มาตรา 161 ห้ามมิให้ฟ้อง พิจารณาและพิพากษาคดีเป็นครั้งแรกในศาลชั้นต้น โดยศาลอื่นนอกจากศาลชั้นต้น เว้นแต่จะมีบทกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

ภายในวันรับฟ้องหรือตามบัญญัติในกฎหมายที่ว่าด้วยคดีไม่มีข้อพิพาท คดีมโนสาเร่ คดีขาดนัด และคดีที่มีมูลใดๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ การฟื้นฟูกิจการและแผนดำเนินคดีในศาลชั้นต้น นอกจากจะต้องจับความในบัญญัติพิเศษดังกล่าว แล้ว ให้ดำเนินการตามบทบัญญัติในลักษณะนี้

มาตรา 162 คดีที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้ฟ้องต่อศาลชั้นต้น หรือระบุเฉพาะศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจ ให้ฟ้องต่อศาลชั้นต้นนั้น

ในกรณีที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล ให้ศาลที่รับฟ้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลนั้นโดยเร็วที่สุด ถ้าศาลสั่งว่าไม่มีเขตอำนาจ ให้ส่งสำนวนไปยังศาลที่มีเขตอำนาจดำเนินคดีต่อไป

มาตรา 163 ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 45 ให้โจทก์เสนอข้อหาของตนโดยทำเป็นคำฟ้องเป็นหนังสือต่อศาลชั้นต้น

คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสาระแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้แก้ไข หรือให้ยกไป ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18

มาตรา 164 เมื่อศาลได้รับคำฟ้องแล้ว ให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยให้มาศาลในวันและเวลาที่กำหนดในหมายเรียกนั้นเว้นแต่มีบทบัญญัติในกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ให้โจทก์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้ส่งหมายถึงจำเลย

1

ถ้าจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาล ให้เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกจำเลย หรือส่งโดยวิธีอื่นที่ศาลเห็นสมควร

2

ถ้าจำเลยอยู่นอกเขตอำนาจศาล ให้ส่งหมายเรียกจำเลยไปยังศาลที่จำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลนั้น เพื่อให้ศาลนั้นดำเนินการส่งหมายถึงจำเลยต่อไป ในกรณีที่ไม่สามารถส่งหมายถึงจำเลยได้ ให้ศาลดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2477

มาตรา ๑๔๕ ในกรณีต่อไปนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตั้งคำร้อง คือ

ภายหลังที่ได้เสนอคำฟ้องแล้ว โจทก์มิได้แถลงไม่รอพิจารณาหรือพนักงานสอบสวนทำที่ เพื่อไต่สวนมูลฟ้องเรียกให้แก้คดีนั้นเสีย และไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการแถลงเช่นว่านั้นภายใน กำหนดหกวันนับแต่วันยื่นคำฟ้อง

โจทก์ที่แถลงไม่ยื่นคำฟ้องภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้แล้วหรือภายในเวลาที่ศาล นั้นโดยได้ส่งคำให้แก้ไขคำฟ้องขอแถลงไว้

มาตรา ๑๔๖ ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ โจทก์อาจถอนคำฟ้องได้โดยยื่นคำบอกกล่าว เป็นหนังสือต่อศาล

ภายหลังจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์อาจยื่นคำบอกเลิกคำบังคับเกี่ยวกับเรื่องต่อศาลที่ตั้งต้น เพื่ออนุญาตให้ถอนคำฟ้องได้ ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตในเงื่อนไขตามที่ เห็นสมควรก็ได้ แต่

ห้ามไม่ให้ถอนโดยอนุญาต โดยมิได้ฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอด ถ้าศาลได้กำหนดไว้ก่อน

ในกรณีที่มีการถอนคำฟ้อง เนื่องจากบัญญัติศาลหรือจะมีประมวลความกัน จำเลย ให้ศาลอนุญาตไปตามคำขอนั้น

มาตรา ๑๔๗ การสั่งคำฟ้องหรือถอนคำฟ้องย่อมแล้วและมีผลถึงคำฟ้องนั้น รวมทั้งกระบวนการอื่น ๆ อันมีมูลเกี่ยวพันกับคำฟ้องนั้นด้วย

แต่ถ้าศาลเห็นว่ามิได้มีการยื่นฟ้องเลย เห็นว่าคำฟ้องใด ๆ ที่ได้ยื่นไว้แล้วนั้นไม่ใช่คำฟ้องที่มีผลในทางกฎหมาย ศาลอาจสั่งให้คำฟ้องนั้นเสร็จสิ้นไป หรือให้เป็นไปหรือมิให้รับคงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๘

มาตรา ๑๔๘ เมื่อได้ส่งมาเรียกและคำฟ้องให้จำเลยแล้ว ให้จำเลยทำคำให้การ เป็นหนังสือยื่นต่อศาลในสิบห้าวัน

ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ ทั้งสิ้นหรือแบ่งแยกส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น จำเลยจะต้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่คำให้การนั้นแย้งในเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำ ฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยยื่นเป็นคำคัดค้าน ให้ศาลตรวจคำให้การนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้เป็นไปหรือมิให้รับคงตามที่บัญญัติไว้ ในมาตรา ๑๔ บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ ให้ใช้บังคับแก่บุคคลภายนอกที่ถูกเรียกเข้ามาเป็นผู้ร้องสอด ตามมาตรา ๗๙ (๓) โดยอนุโลม *มาตรา ๑๔๙ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๐ *มาตรา ๑๔๙ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๘๔/๔ ถ้าจำเลยฟ้องแย้งรวมในคำให้การ ให้โจทก์ทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ส่งสำเนาคำให้การถึงโจทก์ ถ้าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ ให้บังคับกับคำให้การแก้ฟ้องแย้งนี้โดยอนุโลม

มาตรา ๑๘๔/๕ โจทก์หรือจำเลยแก้ไขข้อหา ข้อเท็จจริง ข้ออ้าง หรือข้อเถียงอื่นกล่าวในใบคำร้องหรือในการยื่นคำแถลงต่อศาลแต่แรกเริ่ม การแก้ไขนั้น โดยเฉพาะอาจเป็นการแก้ไขในส่วนต่อไปนี้ (๑) เพิ่ม หรือถอน จำนวนทุนทรัพย์ หรือจากการทรัพย์สินที่พิพาท หรือ (๒) สละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมข้อหาในฟ้องเดิมโดยการเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม หรือเสนอคำฟ้องเพื่อฟ้องคู่อริของอีกคนในระหว่างการพิจารณา หรือยื่นคำขอแก้คำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือ (๓) ยกข้ออ้างขึ้นใหม่ เป็นข้ออ้างเก่าของเดิม หรือข้อที่ยกมาภายหลัง หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้ออ้าง หรือข้อเถียงแต่แรกเริ่มบางข้อ หรือข้อเถียงที่กล่าวอ้างบางข้อภายหลัง แต่ทั้งนี้ไม่ให้ความเสียหายต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าโจทก์หรือจำเลยจะยื่นคำร้องแย้ง ภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องเดิมต่อศาลแล้ว และแม้คำฟ้องเดิมและคำฟ้องแย้งนี้จะเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินในคำพิพากษาเดียวกันได้

มาตรา ๑๘๔/๖ การแก้ไขคำฟ้องหรือคำให้การที่ศาลอนุญาตตามมาตรา ๑๘๔/๕ ให้ทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานหรือวันนัดพิจารณาในศาลชั้นต้น เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรอนุญาตให้แก้ไขในภายหลังได้ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร และในกรณีที่ศาลอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องหรือคำให้การ ให้ศาลกำหนดระยะเวลาให้คู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องยื่นคำให้การแก้ไขหรือคำให้การเพิ่มเติมได้

มาตรา ๑๘๔ ในแปลงการยื่นคำร้องนั้นอาจทำได้แต่ฝ่ายเดียว (ก) ห้ามไม่ให้ฝ่ายที่มีส่วนรับการแก้ไข แย้งแต่จะให้ส่งคำบอกกล่าวให้แก่คู่ความอีกฝ่ายที่ทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสามวัน ก่อนกำหนดนัดพิจารณาหรือการดำรงรับฟัง (ข) ห้ามมิให้ศาลพิจารณาหรือมีคำสั่งที่ขัดกับประเด็นที่คู่ความได้แก้ไขคำฟ้อง หรือคำให้การ เว้นแต่คู่ความฝ่ายหนึ่งจะได้โต้แย้งการแก้ไขนั้นและศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องหรือข้ออ้างใหม่ หรือข้ออ้างเดิม หรือข้อเถียงใหม่ที่กล่าวไว้ในคำร้องขอนั้นเป็นต้น

มาตรา ๑๘๔ เมื่อได้ยื่นคำฟ้อง คำให้การ และคำให้การแก้ฟ้องแย้งแล้ว ให้ศาลทำการสืบพยานหรือสืบพยานต่อไปตามที่ศาลเห็นสมควรและดำเนินการพิจารณาคดีตามปกติไม่เกินสามสิบวัน

**มาตรา ๑๘๔ วรรคแรกนี้ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๖** **มาตรา ๑๘๔ วรรคสองนี้ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๖**

มาตรา ๑๘๔ วรรคสามนี้ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๖

``` เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้

จำเลยป่วยคนหนึ่งจนทำให้การ

คำให้การของจำเลยเป็นการยอมรับโดยสมัครใจของจำเลยเอง

คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การปฏิเสธข้อหาอย่างแจ้งชัด โดยไม่มีเหตุ แห่งการปฏิเสธ ซึ่งศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีการสืบพยาน

คำให้การมีสาระครบถ้วนซึ่งอาจทำให้ศาลพิพากษาได้โดยไม่ต้องสืบพยาน

คดีในเขตศาลมาตรา ๑๔๕ หรือคดีที่ไม่อยู่ในเขตศาลมาตรา ๑๔๕

คดีที่ศาลเห็นว่ามีประเด็นข้อพิพาทที่ไม่อยู่ในเขตศาลมาตรา ๑๔๕ ในกรณีที่ไม่ต้องมีการสืบพยาน ให้ศาลมีคำสั่งงดการสืบพยานและกำหนดวัน สืบพยาน ถ้าหากมี แล้วให้ส่งสำเนาคำให้การของจำเลยตามมาตรา ๑๔๕ ให้แก่คู่ความฝ่าย ได้ทราบหรือถ้าได้ทราบแล้วก็ให้ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว คู่ความอาจตกลงกันเองประเด็นข้อพิพาทโดยยื่นคำแถลงร่วมกันต่อศาลในกรณี เช่นนี้ให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไปตามนั้น แต่หากมีคำให้การและคำแถลงไม่ถูกต้อง ก็ให้ศาลมี อำนาจพิจารณาแก้ไขข้อเท็จจริง แล้วกำหนดประเด็นข้อพิพาทไปตามมาตรา ๑๔๕

มาตรา ๑๔๕ ทวิ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๔๕ ทวิ ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคำคู่ความ

และคำแถลงของคู่ความ และข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายยอมรับกันไว้แล้ว และข้อเท็จจริง ที่ยังโต้เถียง และพยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่าย และพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่าย อ้างถึง และข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายยอมรับกันไว้แล้ว และข้อเท็จจริงที่ยังโต้เถียง และ

ส่วนข้อมูลพยานที่อาจช่วยให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วและเป็นธรรม

โดยการปรับประเด็นข้อพิพาทตามคำคู่ความให้ศาลกำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท และกำหนดให้ คู่ความส่งในกำหนดที่ศาลกำหนดสืบในประเด็นที่เกี่ยวข้องหรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ในการสืบพยานหลักฐานของศาลในกระบวนพิจารณานี้ ความสมบูรณ์และความชัดเจนของคำถามที่ศาลแจง หรือถามความจำของคู่ความฝ่ายหนึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายนั้นยืนยันไว้แล้วว่า ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่คู่ความจะยื่นต่อศาล คำคู่ความจะยื่นต่อศาลคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นจริงแล้ว เว้นแต่คู่ความ ฝ่ายนั้นไม่อยู่ในสมัยที่ศาลพิจารณาคดีหรือพยานหลักฐานที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สมควร คู่ความมีสิทธิ์จัดทำคำคัดค้านประเด็นข้อพิพาทหรือคำให้การหรือคำแถลงที่ศาลกำหนดให้ ไม่ถูกต้อง โดยแสดงข้อความต่อศาลในระยะที่ศาลหรือที่ศาลกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาล กำหนดประเด็นข้อพิพาทหรือคำแถลงนั้นแล้ว ให้ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทหรือคำแถลงนั้น คำคัดค้านให้คู่ความยื่นในกำหนดมาตรา ๒๒๒ ```

มาตรา ๑๓๔ ทวิ ในกรณีที่คู่ความทุกฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถไปยังที่หรือสถานที่ทำการชี้ขอสถานโดยให้ถือว่าคู่ความที่ไม่สามารถให้การชี้ขอครบถ้วนบริบูรณ์ในวันนั้นแล้ว

คู่ความที่ไม่มานัดนั้นไม่มีสิทธิคัดค้านประเด็นข้อพิพาทและคำพิพากษาที่ศาลกำหนดไว้ในนัดไม่ถูกต้อง เว้นแต่เป็นกรณีที่ไม่สามารถมาศาลได้ในวันชี้ขอสถาน เพราะเหตุสุดวิสัยหรือกรณีจำเป็น หรือเป็นกรณีศาลเห็นสมควรให้เลื่อนการชี้ขอสถานออกไป ในกรณีเช่นนี้ให้บังคับมาตรา ๑๓๓ วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๑๓๔ ตรี (ยกเลิก)

มาตรา ๑๓๔ จัตวา (ยกเลิก)

มาตรา ๑๓๔ เบญจ ในกรณีที่มีการชี้ขอสถาน ให้ศาลกำหนดวันสืบพยานซึ่งมีระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบวันนับแต่วันชี้ขอสถาน ในกรณีที่ไม่มีการชี้ขอสถาน ให้ศาลออกหมายกำหนดวันสืบพยานซึ่งให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน

มาตรา ๑๓๔ ฉ ในวันสืบพยาน เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ ศาลจะอนุญาตให้คู่ความฝ่ายนั้นแก้ไขคำฟ้อง หรือคำให้การทั้งสิ้น หรือคำให้การบางส่วน หรือรายการแห่งการชี้ขอสถาน แล้วแต่กรณี และเลื่อนการสืบพยานไปในวันถัดไป (ที่ไม่ใช่วันต่อเนื่องกัน) ก็ได้ คู่ความและพยานต้องมาศาลในวันนั้น

ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติตามมาตราต่อไปนี้ ให้ศาลสืบพยานตามประเด็นในข้อพิพาทตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยพยานหลักฐาน และฟังคำแถลงการณ์ด้วยวาจาของคู่ความทั้งปวง

มาตรา ๑๓๔ ซ เมื่อเริ่มพยานเสร็จแล้ว ให้ศาลอนุญาตให้โจทก์แถลงการณ์ด้วยวาจาก่อน แล้วจึงให้จำเลยแถลงการณ์ด้วยวาจาเช่นเดียวกัน แสดงผลแห่งพยานหลักฐานในประเด็นที่พิพาท ต่อจากนั้นให้ศาลชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทและมีคำพิพากษาเสียโดยสิ้นทั้งสิ้น นอกจากที่มิใช่ให้คู่ความแถลงการณ์ด้วยวาจาอย่างใดอีก ในเมื่อจะให้โจทก์หรือจำเลยแถลงการณ์ด้วยวาจา

ก่อนพิพากษาคดี ไม่ใช่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแถลงการณ์ด้วยวาจา

มาตรา ๑๓๔ ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕

มาตรา ๑๓๔ ตรี ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕

มาตรา ๑๓๔ จัตวา ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕

มาตรา ๑๓๔ เบญจ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕

``` ฝ่ายนั้นจะยื่นคำแถลงการณ์เป็นหนังสือต่อศาลก็ได้ แต่ต้องส่งสำเนานั้น ๆ ไปยังคู่ความอื่น ๆ

มาตรา ๑๔๘ เมื่อได้ฟังพยานตามที่จำเป็นและคู่ความได้แถลงการณ์ ถ้าหากมี เสร็จแล้ว ให้สั่งว่าการพิจารณาเป็นอันสิ้นสุด แต่ศาลใดที่ยังมิได้สั่งให้จำเลยจำคุกหรือทำการ พิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

มาตรา ๑๔๙ ในคดีที่ไม่มีข้อพิพาท ให้ศาลปฏิบัติดังนี้ต่อไปนี้

ให้มีมติคดีเมื่อคำร้องขอตกลง

ศาลอาจเรียกพยานมาสืบได้เองตามที่เห็นจำเป็น และรวมถึงข้อขัดตามที่ เห็นสมควรและยุติธรรม

ทางแผนกเจ้าพนักงานหรือคำสั่งของศาลนั้นให้ได้โดยวิธีอื่นๆธรรมหรือ รู้เท่าทัน และให้พยาธิวิทยาได้เฉพาะในสวรรคเมื่อจำเป็น

ถ้าศาลใดที่คำร้องของคู่ความฝ่ายหนึ่งมีคดีเกี่ยวกับหมดทรัพย์แยกส่วน หรือ

ในเหตุที่ไม่มีข้อปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชกฤษฎีกาแห่งนี้ว่าด้วยการ พิจารณาหรือพิจารณาหรือคำสั่ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจะต้องมีคำสั่งหรือคำพิพากษาในคดีที่ไม่มีข้อพิพาทนั้น โดยให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาในคดีนั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำสั่งหรือคำพิพากษาในคดีนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ศาลอาจมีคำสั่งให้แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือคำพิพากษานั้นได้ตามที่เห็นสมควร

ลักษณะ ๒

วิธีพิจารณาวิสามัญในศาลชั้นต้น

หมวด ๑

วิธีพิจารณาคดีโนลาน์

มาตรา ๑๕๐ คดีโนลาน์ คือ

คดีที่มีคำขอให้ศาลเลี้ยงทุกข์ยิ่งกว่าความจนเป็นทรามจำไม่ให้เกินสิ่งที่มี

มาตรา ๑๔๘ ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๕๘

พระราชบัญญัติที่กำหนดจำนวนเงินในโนลาน์ที่ ๑๖ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้กำหนดขายเป็น คดีที่มีคำขอไปยังทุกชื่อว่าคำพิพากษานั้นมิได้มีความเป็นมาแทน ``` บทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

*** กรณีซึ่งมิใช่บุคคลใด ๆ ออกจากกองทรัพย์หรือเงินที่เหล่าทายาทได้แบ่งและยื่นคำร้องไปเกินเดือนละสี่พันบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

มาตรา ๑๔๗ จำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทั้งในลักษณะนี้ ให้คำนวณดังนี้

จำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทั้งหมดที่เหล่าทายาทได้รับหรือครอบครองซึ่งมีการตกลงกันในลักษณะใด ๆ หรือธรรมเนียมสาธารณะซึ่งปรากฏในรูปของบัญชีหรือข้อเรียกร้อง ห้ามไม่ให้คำนวณรวมแต่ละข้อ

ในกรณีมรดกสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ จำนวนทุนทรัพย์หรือราคานั้น ให้คำนวณประมวลตามที่เป็นอยู่ในเวลาชี้แจงข้อคดี

*** กรณีอื่นเกี่ยวด้วยทรัพย์สินที่ยังหาค่าหายัง อันมีจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาไม่เกินสี่พันบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ให้รวมจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน แต่ห้ามคำนวณหนี้หรือเรียกร้องใด ๆ และห้ามคำนวณสมบัติหรือทรัพย์สินของคู่สมรสของทายาทคนใดคนหนึ่งหรือบุคคลใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ถือว่าทายาทคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ครอบครองหรือถือครองโดยชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา ๑๔๘ ตรี ในคดีมโนสาเร่ ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามบทบัญญัติในหมวดนี้

มาตรา ๑๔๘ จัตวา ในคดีมโนสาเร่ ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างล่าช้าอย่างยิ่งยวดด้วยวิธีการตามความเหมาะสมแก่กรณีในทุกมาตราซึ่ง เพื่อให้เกิดเกียรติหรือให้เกิดประโยชน์แก่ความยุติธรรม

มาตรา ๑๔๘ จัตวา วรรคหนึ่ง ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างล่าช้าอย่างยิ่งยวดด้วยวิธีการตามความเหมาะสมแก่กรณีในทุกมาตราซึ่ง เพื่อให้เกิดเกียรติหรือให้เกิดประโยชน์แก่ความยุติธรรม

มาตรา ๑๔๘ จัตวา วรรคสอง ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างล่าช้าอย่างยิ่งยวดด้วยวิธีการตามความเหมาะสมแก่กรณีในทุกมาตราซึ่ง เพื่อให้เกิดเกียรติหรือให้เกิดประโยชน์แก่ความยุติธรรม

มาตรา ๑๔๘ จัตวา วรรคสาม ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างล่าช้าอย่างยิ่งยวดด้วยวิธีการตามความเหมาะสมแก่กรณีในทุกมาตราซึ่ง เพื่อให้เกิดเกียรติหรือให้เกิดประโยชน์แก่ความยุติธรรม

พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินในคดีมโนสาเร่ พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้กำหนดจำนวนเป็นคดีห้องซึ่งไม่สูงกว่าคดีใด ๆ ออกจากกองทรัพย์หรือเงินที่เหล่าทายาทได้รับหรือครอบครองซึ่งไม่เกินเดือนละสามพันบาท

มาตรา ๑๔๘ (๑) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๖๔

มาตรา ๑๔๘ ตรี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๖๔

มาตรา ๑๔๘ จัตวา แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๖๔

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คำขึ้นต้นในบัญชีทรัพย์หรือภูมิทัศน์ ให้ผู้จดทรัพย์หรือผู้จดเสียยอมจำนวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พำนักที่เป็นบัญชีทรัพย์หรือภูมิทัศน์ แล้วแต่กรณี

มาตรา ๑๔๓/๒ วิธีพิจารณาคดีในกรณีเช่น โจทก์อ้างอิงคำฟ้องเป็นพยานหรือเอกสาร หรือเอกสารด้วยความจำต้องสารภาพก็ได้

ในการนี้ศาลที่พิจารณาคดีนั้นมีอำนาจพิจารณา หากศาลเห็นว่าคำฟ้องดังกล่าวมีเหตุผล หรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในส่วนที่ไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญนั้นได้ ถ้าโจทก์แก้ไขและยื่นคำฟ้องตามคำสั่งศาลแล้ว ให้ศาลรับคำฟ้องนั้นไว้พิจารณา แต่ถ้าโจทก์ไม่แก้ไขคำฟ้อง และไม่ได้นำหลักฐานอย่างอื่นมาแสดงต่อศาล

มาตรา ๑๔๓/๓ เมื่อศาลเห็นว่าคำฟ้องไม่ใช่คำฟ้องในสาระสำคัญนั้นและศาลนั้นมีเขตอำนาจที่จะพิจารณาคดีนั้นด้วยคำสั่งศาลก็ได้ ถ้าคำฟ้องใดที่โจทก์แสดงข้อความ ที่เห็นสมควรให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเป็นพยานหรือเอกสารสำคัญ แต่คำฟ้องนั้นยังไม่เป็นพยานอยู่แล้ว ให้ศาลมีคำสั่งออกหมายเรียกพยานหรือเอกสารสำคัญนั้นมาแสดงต่อศาล

ถ้าคำฟ้องนั้นไม่เป็นพยานหรือเอกสารใด ๆ เนื่องจากได้ดำเนินการเพิ่มเติมไม่มากกว่าสั่ง และหากศาลนั้นเห็นด้วยว่าคำฟ้องนั้นยังคงมีหลักฐานที่สำคัญ ให้ศาลดำเนินการพิจารณาไปอย่างต่อเนื่องตามคำสั่งศาล ในการโต้แย้งหรือพิจารณาคำฟ้องใด ๆ ถ้าศาลยังไม่ออกคำพิพากษาคดีนั้นด้วยคำคดีสำคัญ ให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีนั้นต่อไปจนกว่าจะมีคำพิพากษาในคดีนั้น ในกรณีที่ศาลต้องการพิจารณาคดีสำคัญบางประการที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือภูมิทัศน์ หรือไปอย่างคำคดีสำคัญ แต่เมื่อศาลพิจารณาสั่งงานบางทรัพย์ สั่งยกเลิกคดี สั่งถอนจดจำคดี หรือเหตุสมควรประการอื่นแล้วเห็นว่า การบันทึกบัญชีในหมวดหมู่ไปใช้บังคับแก่คำสั่งของพิจารณาเบื้องหรือคดีสำคัญอื่น ๆ นั้นอาจทำให้การดำเนินคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรมแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบางกรณีที่ศาลมีความเห็นว่าคดีนั้นควรสั่งยกเลิกคำสั่งเดิมของศาลในส่วนของพิจารณาคดีสำคัญนั้น คำสั่งดังกล่าวอย่างหนึ่งของศาลตามวรรคสอง ไม่กระทบต่อคำสั่งที่จำเป็นที่คู่ความแต่ละฝ่ายต้องกระทำอยู่ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งนั้นเท่านั้น

มาตรา ๑๔๓/๔ ในคดีในสาระ ให้ศาลกำหนดวันนัดพิจารณาโดยเร็วและออกหมายเรียกไปยังจำเลย ในหมายบันทึกแจ้งวันนัดพิจารณาและจำนวนทุนทรัพย์หรือราคา

มาตรา ๑๔๓/๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๔๓/๖ วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๔๓/๗ วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๔๓/๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๖

เรียกร้อง และข้ออ้างว่าให้จำเลยตามคำสั่งการไกล่เกลี่ย ให้การ และสืบพยานในวันเดียวกัน และให้ศาลส่งให้โจทก์ทนายความฝ่ายนั้นจัดการดำเนินคดีต่อไป ในวันนัดพิจารณา เมื่อโจทก์และจำเลยมาพร้อมกันแล้ว ให้ศาลไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันเพื่อยุติพิพาทกันก่อน ถ้าคู่ความไม่อาจตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันได้และจำเลยยังไม่ยื่นคำให้การ ให้ศาลสอบถามจำเลยว่าจำเลยจะยื่นคำให้การหรือไม่ และจะยื่นคำให้การอย่างไร ในกรณีมีมูลคดีให้การยื่นคำให้การเป็นหนังสือในมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง ให้จำเลยยื่นโดยอนุโลม ในกรณีที่ศาลด้วยความ ให้ศาลบันทึกคำให้การรวมทั้งพยานหลักฐานที่จำเลยอ้างไว้ในสำนวนคดี ถ้าจำเลยยื่นคำให้การในกรณีมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง ให้ศาลแจ้งจำเลยว่าหากมีข้ออ้างหรือพยานหลักฐานเพิ่มเติม ให้จำเลยยื่นคำให้การ โดยให้จำเลยยื่นภายในกำหนดที่ศาลกำหนด และให้ศาลสั่งคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดโดยอนุโลมตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้สอบพยาน ให้ศาลดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๓๔ ตรี มาตรา ๑๓๔ จัตวา และมาตรา ๑๓๔ เบญจ

มาตรา ๑๓๔ ทวิ ในคดีแพ่ง เมื่อโจทก์ได้รับการสั่งให้ดำเนินคดีตามมาตรา ๑๓๔ แล้วไม่มานัดวันพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดีหรือโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

เมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามมาตรา ๑๓๔ ทวิ แล้วไม่ได้นัดวันพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดีหรือโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ในกรณีที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามมาตรา ๑๓๔ ทวิ แล้วไม่ได้นัดวันพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดีหรือโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

มาตรา ๑๓๔ ตรี เมื่อศาลได้รับคำให้การของจำเลยตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสาม หรือศาลมีคำสั่งให้สอบพยานตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสี่ หรือมาตรา ๑๓๔ ทวิ วรรคสอง ให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปโดยเร็ว และให้ศาลสอบถามคู่ความฝ่ายที่ต้องฟ้องพยานในสิ่งที่ประสงค์จะร้องสืบพยานหลักฐานในคดีในลักษณะนั้นหรือให้คู่ความฝ่ายที่ต้องฟ้องพยานยื่นคำขอภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควร โดยในกรณีที่มีคำสั่งให้เลื่อนคดี ศาลจะกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยานหลักฐานสิ้นก่อนหรือหลังก็ได้

มาตรา ๑๓๔ วรรคสี่ นี้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๑๓๔ ทวิ นี้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๑๓๔ ตรี นี้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๑๓๓ จัตวา ในคดีโนสาเร่ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้ศาลมีอำนาจเรียกพยานหลักฐานมาเสนอต่อศาลเพิ่มเติมตามสมควร

ในการเรียกพยานไม่ว่าจะเป็นพยานที่คู่ความหรือที่ศาลเรียกเอง ให้ศาลเป็นผู้จัดการงานพยานก่อน เสร็จแล้วให้หัวหน้าคณะพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษแจ้งให้พนักงานอัยการพนักงานสอบสวนหรือพนักงานฝ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นซึ่งไม่ใช่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้ามาดำเนินการ ในการเบิกพยานให้ดำเนินการตามความเหมาะสม เมื่อศาลเห็นสมควร จะบันทึกข้อความโดยย่อก็ได้ แล้วให้พยานลงลายมือชื่อไว้

มาตรา ๑๓๔ เบญจ ในคดีโนสาเร่ ให้ศาลพิจารณาคดีตัดสินไปโดยไม่ต้องเลื่อน เว้นแต่เหตุจำเป็น ศาลจะมีคำสั่งเลื่อนให้ครั้งละไม่เกินเจ็ดวัน

มาตรา ๑๓๔ ฉ คดีโนสาเร่เช่นนี้ ให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งหรือคำพิพากษาอย่างชาวาจาตั้งแต่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๔

มาตรา ๑๓๔ ฉ นอกจากที่บัญญัติในมาตรา ๑๓๔ ให้ดำเนินบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับในการพิจารณาและการพิจารณาคดีโนสาเร่ด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๑๓๔ ฉ ในคดีที่ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้จำเลยไม่มีความผิดและหากจำเลยได้รับการขังระหว่างพิจารณาคดี ให้ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวจำเลยทันที หรือหากมีญาติหรือผู้เกี่ยวข้องกับจำเลยอยู่ในศาลพร้อมกันก็ให้ศาลพิจารณาสั่งดำเนินการตามที่เห็นสมควรได้

ถ้าศาลเห็นว่าคดีตามวรรคหนึ่งมีปัญหาในเบื้องต้นว่าเบิกคดีไม่อยู่ยกมา ไม่ว่าโจทก์จะยื่นคำร้องขอรอพิจารณาหรือไม่ ให้ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินบัญญัติตามวรรคนี้ต่อไป

มาตรา ๑๓๔ ฉ วรรค ๒ ให้ศาลมาใช้พิจารณาแต่คดีที่เห็นสมควร

ถ้าในระหว่างการพิจารณาปรากฏว่าคดีไม่อยู่ยกมาได้ในขั้นแรกกรณีนี้ ศาลอาจมีคำสั่งให้ยกคดีออกสิ้นสุดแล้วดำเนินการพิจารณาต่อไปจนข้อบัญญัตินั้นหมดสิ้นสุดได้

หมวด ๒

มาตรา ๑๓๕ ทวิวรรค เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๔๔

มาตรา ๑๓๕ เบญจ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๔๔

มาตรา ๑๓๕ ฉ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๓๕ ฉ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘

การพิจารณาโดยขาดนัด

ส่วนที่ ๑

การขาดนัดยื่นคำให้การ

มาตรา ๑๔๔ เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้ว จำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายหรือตามคำสั่งศาล ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

มาตรา ๑๔๕ ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้โจทก์มีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลสั่งให้พิจารณาหรือคำสั่งอื่นตามที่เห็นสมควรต่อไป

ถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ ในกรณีที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีตามวรรคหนึ่ง หากโจทก์มีคำขอ ให้ศาลมีคำสั่งให้คดีขึ้นสู่สารบบความใหม่ได้ แต่ต้องไม่เกินกำหนดอายุความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา ๑๔๖ ทวิ ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอาจให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย

ในการนี้ศาลจะสั่งหรือนำข้อกฎหมายอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องตามสมควรประกอบการพิจารณาได้ เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เป็นไปตามความยุติธรรม ศาลอาจสั่งให้โจทก์เกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขคำฟ้องในส่วนที่เห็นว่าเป็นเท็จ เป็นเท็จในส่วนที่เกี่ยวด้วยสิทธิและเสรีภาพบุคคล สิทธิในครอบครัวหรือสิทธิในทรัพย์สิน หรือด้วยสิทธิอื่นของโจทก์หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องตามที่ศาลเห็นสมควรได้ และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นว่าเป็นประโยชน์แห่งความยุติธรรม ในการพิจารณาคดีตามส่วนแห่งความยุติธรรมของโจทก์ ให้ศาลปฏิบัติดังนี้ หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๔๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กำหนดให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาหรือคำสั่งอื่นตามที่เห็นสมควรต่อไปในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และมาตรา ๑๔๖ ทวิ ได้กำหนดให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอาจให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย

ในกรณีที่โจทก์มีคำขอปรับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินงวดแทนบังคับคดี ให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารที่ศาลเห็นว่าเกี่ยวข้องกับแผนการชำระหนี้ของจำเลย

ในกรณีที่โจทก์มีคำขอปรับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินงวดแทนบังคับคดีจำนวนหนึ่ง ให้ศาลนัดหมายให้จำเลยนำพยานหลักฐานในโจทก์ไปแสดงต่อศาล และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาเสริมได้โดยมุ่งหมายเห็นชัดว่าจำเลยมีความสามารถชำระหนี้ได้ตามจำนวนที่ศาลกำหนด ถ้าจำเลยซึ่งนำพยานหลักฐานมาให้ศาลไม่สามารถนำไปแสดงต่อศาลได้ ให้ถือว่าจำเลยนั้นขาดนัดพิจารณา ถ้าโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาแสดงในความตามในมาตราในระยะที่ศาลกำหนด ให้ถือว่าคำขอของโจทก์ไม่มีมูล และให้ศาลยกฟ้องของโจทก์

มาตรา ๑๘๔ ตรี ในกรณีที่จำเลยยกข้อต่อสู้คำคัดค้านการให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดคดีโดยยกข้อต่อสู้คำให้การระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ข้อต่อสู้คำให้การนั้นไปก่อน และศาลเห็นว่าการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ข้อต่อสู้คำให้การนั้น แต่ศาลมีเหตุผลเห็นว่าคดีนั้นมีการชำระหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นไปได้ ให้ศาลอาจพิจารณาคดีนั้นต่อไปได้ตามที่ศาลเห็นสมควร

คำให้การใดที่โจทก์ยื่น เมื่อดำเนินการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้วเห็นว่าการชำระหนี้นั้นจะสำเร็จลุล่วงได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้พิมพ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดไปตามรูปคำสั่งที่ศาลเห็นสมควรทุกบท ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้พิมพ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดไปตามรูปคำสั่งที่ศาลเห็นสมควรแล้ว ให้ถือว่าจำเลยนั้นขาดนัดพิจารณาคดี

มาตรา ๑๘๔ ตรี ในกรณีที่จำเลยยื่นคำให้การโดยไม่ทันเวลาอันควรตามที่ศาลกำหนด หรือศาลไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การตามสมควร หรือศาลเห็นว่าคำให้การนั้นมีเหตุผลที่ศาลเห็นว่าจำเลยยื่นคำให้การตามมาตรา ๑๘๔ ตรี มาแล้ว จำเลยนั้นจะยื่นคำให้การตามมาตรานี้อีกหรือร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้

มาตรา ๑๘๔ ตรี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๘๔ ตรี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑๔๙ ทวิ* เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยซึ่งขับคำบังคับคำให้การแก้คดี ศาลอาจกำหนดการอย่างใด อย่างหนึ่งเพื่อสมควรเพื่อสั่งกับจำเลยตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก้คดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นในกรอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือกำหนดการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นในกรอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ได้

การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นไม่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การแก้คดีในกรอบมาตรา ๒๓๗ มาตรา ๑๔๙ และมาตรา ๑๕๐

มาตรา ๑๕๐* ถ้าศาลพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวให้แก้คดีโดยเด็ดขาดยื่นคำให้การ ถ้าไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น จักเลยปฏิบัติตามคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ เว้นแต่

(ก) ศาลเคยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่มาแล้วครั้งหนึ่งแล้ว (ข) คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย

มาตรา ๑๕๑* คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ให้ยื่นต่อศาลภายในสามสิบวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก้คดีแก่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อสมควรกับจำเลยในเมื่อมีสิทธิยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาโดยชอบด้วยกฎหมาย จะต้องไม่ระยะยาวกว่าสามสิบวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก้คดีแก่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การนั้น

คำขอความรวมคดีที่ให้กล่าวโดยชัดแจ้งถึงเหตุที่จำเลยได้ขาดนัดยื่นคำให้การและข้อคัดค้านคำคัดค้านคำสั่งข้างต้นของศาลที่แสดงให้เห็นว่าจากการได้พิจารณาคดีนั้นไม่ปกติมาอย่างเป็นฝ่ายชนะและในกรณีที่มีคำขออย่างอื่น ให้แสดงเหตุแห่งการคำขอคำสั่งนั้นด้วย

มาตรา ๑๕๒ เบญจ* เมื่อศาลได้รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แล้ว หากเห็นสมควรศาลอาจสั่งให้มีการบังคับไว้ก่อนก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้ศาลบังคับคำสั่งให้จำเลยทำการบังคับคดีทราบ

ในการพิจารณาคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าการขาดนัดยื่นคำให้การ _________________________ *มาตรา ๑๔๙ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๖ *มาตรา ๑๕๐ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๖ *มาตรา ๑๕๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๖ *มาตรา ๑๕๒ เบญจ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๖ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา บั่นได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร และศาลเห็นว่าเหตุผลที่อ้างมาในคำขอนั้นมิใช่ของกรณีทาง ชนะคดีที่ ให้โอกาสฝ่ายที่ยื่นคำขอซึ่งอาจทำให้ผู้ขอได้เปรียบในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต ตามคำขอ ในกรณีเช่นนี้ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าชีวิตวิญญาณทางกฎหมายหรือคำสั่งที่ให้ความสำคัญในคดีนั้น คำให้การแพ้คดี ให้ศาลมีคำสั่งกำหนดให้คำให้การของคู่กรณีหรือการสืบพยานที่เกี่ยวข้องในคดีนั้น ทราบด้วย เมื่อศาลได้สั่งคำสั่งอนุญาตบุคคลผู้มีความเกี่ยวข้องในคดีให้ทราบแล้ว ให้ศาลมีคำสั่งกำหนดให้บุคคลผู้เกี่ยวข้องในคดีนั้นมีสิทธิที่จะยื่นคำให้การหรือคำคัดค้านในคดีนั้นได้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร และให้ศาลมีคำสั่งกำหนดให้บุคคลผู้เกี่ยวข้องในคดีนั้นมีสิทธิที่จะยื่นคำให้การหรือคำคัดค้านในคดีนั้นได้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร คำสั่งที่ศาลอนุญาตให้มีการขยายกำหนดให้ได้เป็นที่สุด แต่ในกรณีที่มีการสั่งคำสั่งไม่ อนุญาตคู่กรณีของอาจารย์ที่เกี่ยวข้องคำให้การหรือคำคัดค้านของคู่กรณีหรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องในคดีนั้น ถ้าผู้ยื่นคำขอนั้นยื่นคำให้การหรือคำร้องขอในเรื่องไม่ถูกต้องหรือไม่สมเหตุสมผล ให้ศาลมีคำสั่งกำหนดให้คำให้การหรือคำร้องขอของคู่กรณีหรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นมีสิทธิที่จะยื่นคำให้การหรือคำคัดค้านในคดีนั้นได้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา ๑๕๔/๑ ในกรณีที่โจทก์ไม่สามารถยื่นคำให้การหรือคำร้องขอในคดีที่ฟ้องอยู่แล้วภายใน ระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ยกฟ้องบัญญัติศาลไว้ในคดีนั้น มิให้โจทก์ยื่นคำให้การหรือคำร้องขอในคดีนั้นอีก โดยอนุโลม

ส่วนที่ ๒ การขาดนัดพิจารณา

มาตรา ๑๕๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๕๔ ทวิ และมาตรา ๑๕๔ ตรี ถ้าคู่ความ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าคู่ความฝ่าย นั้นขาดนัดพิจารณา ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลในวันนัดอื่นที่มิใช่วันสืบพยาน ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้น สละสิทธิการดำเนินกระบวนพิจารณาของตนในวันนัดนั้น และกระบวนพิจารณาที่ศาลได้ดำเนินไป ในวันนั้นแล้ว

*มาตรา ๑ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ *มาตรา ๑๕๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๔๓

มาตรา ๒๐๑/๑๐ ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ

มาตรา ๒๐๑/๑๑ ถ้าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ วันแต่วันลงนัดแจ้งต่อศาลในวันเรียบพยานโดยกำหนดให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดคดีสินนั้นไปเลยก็ได้

มาตรา ๒๐๑/๑๒ ห้ามมิให้โจทก์ฟ้องคดีซ้ำซึ่งจำหน่ายคดีตามมาตรา ๒๐๑ และมาตรา ๒๐๑/๑๑ แต่คดีเดิมกับบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ คำสั่งเช่นว่านั้นมิให้ถือว่าโจทก์ที่จะแสดงคำฟ้องของตนใหม่

มาตรา ๒๐๑/๑๓ ถ้าจำเลยขาดนัดพิจารณา ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดคดีสินนั้นไปฝ่ายเดียว

มาตรา ๒๐๑/๑๔ ในกรณีที่กล่าวมาในมาตรา ๒๐๑ และมาตรา ๒๐๑/๑๓ ถ้ายังไม่เป็นที่พอใจของศาลให้ส่งหมายกำหนดวันนัดสืบพยานไปให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดทราบโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ส่งคำแถลงข้อเท็จจริงหรือคำแถลงการณ์เป็นหนังสือมายังศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลเห็นสมควร เพื่อให้ศาลส่งหมายกำหนดวันนัดสืบพยานใหม่แก่คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณาโดยวิธีที่เหมาะสมหรือโดยวิธีอื่นแทน ถ้าโจทก์หรือจำเลยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ส่งคำแถลงการณ์เป็นหนังสือมายังศาลภายในวันเวลาที่กำหนดไว้ในหมายเช่นนั้น ให้ศาลดำเนินคดีนั้นไปถึงที่สุดในฐานะที่คู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณาแล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๐๑/๑๕ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องขอต่อศาลให้วินิจฉัยว่าคดีที่ตนเป็นฝ่ายชนะโดยอาศัยเหตุเพียงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งขาดนัดพิจารณานั้นหาได้ไม่ ให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้คู่ความฝ่ายที่ชนะคดีเป็นฝ่ายชนะต่อศาลนั้นว่าด้วยข้ออุทธรณ์และมิให้มีผลต่อกฎหมาย ในกรณีที่ ศาลจะยกข้ออ้างโดยลำพัง ซึ่งข้อกฎหมายอย่างอื่นเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้

มาตรา ๒๐๑/๑๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๐๑/๑๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๐๑/๑๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๐๑/๑๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๐๑/๒๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๘

เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ให้บังคับบัญญัติในมาตรา ๑๘๔ ทวิ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับกับคำสั่งของศาลที่เกี่ยวกับคดีโดยอนุโลม ในระหว่างการพิจารณาคดีในศาลเดียว ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือศาลเห็นว่าคดีที่พิจารณาอยู่มีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวพันกับคดีอื่นที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาในศาลเดียวกันหรือศาลอื่น และการพิจารณาคดีในศาลเดียวกันหรือศาลอื่นนั้นจะมีผลต่อการพิจารณาคดีที่พิจารณาอยู่ หรือการพิจารณาคดีที่พิจารณาอยู่จะมีผลต่อการพิจารณาคดีในศาลเดียวกันหรือศาลอื่นนั้น ให้ศาลที่พิจารณาคดีที่พิจารณาอยู่มีคำสั่งให้รวมคดีทั้งสองหรือหลายคดีเข้าด้วยกันเพื่อพิจารณาและพิพากษาในคราวเดียวกัน หรือให้ศาลที่พิจารณาคดีที่พิจารณาอยู่มีคำสั่งให้แยกคดีที่รวมกันอยู่แล้วออกจากกันก็ได้ ในกรณีตามวรรคสาม ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือศาลเห็นว่าการพิจารณาคดีที่รวมกันนั้นไม่เป็นไปโดยวิธีที่จะให้ความยุติธรรมแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือคดีที่รวมกันนั้นขาดหลักฐานสำคัญที่อาจทำให้ศาลพิพากษาไปในทางที่ผิดพลาดได้ หรือคดีที่รวมกันนั้นขาดหลักฐานสำคัญที่อาจทำให้ศาลพิพากษาไปในทางที่ผิดพลาดได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้แยกคดีที่รวมกันอยู่แล้วออกจากกัน

ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ขาดหลักฐานสำคัญที่อาจทำให้ศาลพิพากษาไปในทางที่ผิดพลาดได้เสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติม

ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ขาดหลักฐานสำคัญที่อาจทำให้ศาลพิพากษาไปในทางที่ผิดพลาดได้เสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติม เว้นแต่ศาลจะเห็นว่าการเสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติมนั้นมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ขาดหลักฐานสำคัญที่อาจทำให้ศาลพิพากษาไปในทางที่ผิดพลาดได้เสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติม เว้นแต่ศาลจะเห็นว่าการเสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติมนั้นมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

มาตรา ๑๘๔ ตรี (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ จัตวา (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ เบญจ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฉ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ช (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ซ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฌ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ญ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฎ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฏ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฐ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฑ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฒ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ณ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ด (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ต (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ถ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ท (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ธ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ น (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ บ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ป (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ผ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฝ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ พ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฟ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ภ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ม (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ย (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ร (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ล (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ว (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ศ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ษ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ส (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ห (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฬ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ อ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฮ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฬ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ อ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๘๔ ฮ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๑๑ บรรดาคดีทั้งปวงซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความอาจตกลงกันเสนอข้อพิพาทหนึ่งข้อใดที่ยังไม่วินิจฉัยในชั้นต้นนี้ ให้อนุญาโตตุลาการคนเดียวหรือหลายคนเป็นผู้ชี้ขาดได้ โดยยื่นคำร้องร่วมกันต่อศาลแจ้งชื่ออนุญาโตตุลาการนั้นต่อศาล ถ้าศาลเห็นว่าข้อตกลงนั้นไม่ผิดกฎหมาย ให้ศาลอนุญาตตามข้อตกลงนั้น

มาตรา ๒๑๒ ถ้าคู่ความใดตกลงให้คำชี้ขาดบางข้อความใช้บังคับอย่างหนึ่ง การตั้งอนุญาโตตุลาการให้ใช้บังคับดังต่อไปนี้

(ก) คู่ความฝ่ายขอพึงจะต้องอนุญาโตตุลาการโดยคำยอม แต่ถ้าคณะไต่สวนหรือจำเลยรวมพวกตน ให้ตั้งอนุญาโตตุลาการเพียงคนหนึ่งแทนให้รวมทั้งหมดและคณะพิจารณาเพียงคนหนึ่งร่วมทั้งหมด (ข) ถ้าคู่ความจะตั้งอนุญาโตตุลาการคนเดียวหรือหลายคน ด้วยความเห็นชอบพร้อมกัน การตั้งเช่นนี้ให้เห็นกันในหนังสือ สัญญา หรือ เหตุ และให้คู่ความลงชื่อซึ่งเป็นสำคัญ (ค) ถ้าคู่ความไม่สามารถตกลงกันได้ ให้ศาลตั้งอนุญาโตตุลาการให้ครบตามจำนวนที่คู่ความตั้งเช่นนั้น ให้ทำเป็นหนังสือ ลงวัน เดือน ปี และลงชื่อของคู่ความหรือผู้อนุญาตการนั้น แล้วส่งให้คู่ความอื่น ๆ (ง) ศาลตั้งให้คู่ความแต่ละฝ่ายเสนอพร้อมอนุญาโตตุลาการที่มีคุณสมบัติครบถ้วน คู่ความฝ่ายใดไม่เสนอในเวลาที่ศาลกำหนด ให้ศาลตั้งอนุญาโตตุลาการแทนฝ่ายนั้น

มาตรา ๒๑๓ ข้อความในหมวดนี้มิให้ใช้อำนาจศาลซึ่งอนุญาโตตุลาการโดยได้รับความยินยอมจากทุกฝ่ายนั้น

มาตรา ๒๑๔ เมื่อบุคคลหรือคู่ความที่มีสิทธิ ได้ตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นแล้ว ห้ามมิให้บุคคลหรือคู่ความนั้นถอนการตั้งเสีย เว้นแต่คู่ความฝ่ายหนึ่งจะได้ยอมด้วย

อนุญาโตตุลาการที่ตั้งขึ้นตามข้อยอมรับนั้น ถ้าบุคคลที่มีหน้าที่จะต้องตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเลยหรือคัดค้านไม่ตั้ง หรือถ้าบุคคลที่มีหน้าที่จะต้องตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายนั้นจะคัดค้านไม่ตั้ง โดยอาศัยเหตุที่ผู้ตั้งไม่ใช่ในมาตรา ๑ หรือเหตุที่อนุญาโตตุลาการนั้นมิรู้จักการพิจารณาสาระ หรือไม่สามารถทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการได้ ในกรณีเช่นนี้ศาลตั้งอนุญาโตตุลาการแทนฝ่ายนั้น ให้บังคับตามข้อยอมรับนั้น และให้ศาลตั้งอนุญาโตตุลาการที่ตั้งขึ้นใหม่ ให้ตั้งอนุญาโตตุลาการที่ตั้งขึ้นใหม่ให้ครบตามจำนวนที่คู่ความตั้งนั้น

มาตรา ๒๑๕ ถ้าบุคคลลงลายลักษณ์อักษรธรรมดาโดยมิได้ตั้งอนุญาโตตุลาการหรือให้อนุญาโตตุลาการพิจารณาข้อพิพาทนั้นโดยบังคับตามข้อยอมรับนั้น ให้ศาลตั้งอนุญาโตตุลาการที่ตั้งขึ้นใหม่ตามจำนวนที่คู่ความตั้งนั้น

มาตรา ๒๔๕ เมื่อได้สั่งอนุญาตให้ฎีกาการขึ้นแล้ว ถ้าในข้อคดหรือในคำสั่งศาล แล้วแต่กรณี มีให้กำหนดประเด็นข้อเท็จจริงที่ให้อนุญาตให้ฎีกาการทำแถบประเด็นข้อเท็จจริงเหล่านั้น แล้วจดลงในรายงานสืบพยานดังที่ได้เป็นความคดีอื่นๆ ในฎีกาการ

มาตรา ๒๔๖ ก่อนที่ศาลชั้นต้น ให้อนุญาตให้ฎีกาการฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความฟังคู่ความ

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หน้าที่ของตนภายในเวลาอันสมควร ถ้าผู้จำนงไม่สามารถทำความตกลงกันเองอย่างอื่น ให้ถือว่า ข้อตกลงนั้นเป็นอันสิ้นสุด

มาตรา ๒๖๑ ถ้าสิทธิของผู้พักพิงเกิดขึ้นเนื่องจากการดำเนินงานข้อกฎหมายเสนอข้อพิพาท ให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด หรือมีข้อพิพาทกันว่า ข้อตกลงนั้นได้สิ้นสุดตามมาตราใดแล้วหรือไม่ ข้อพิพาทนั้นให้เสนอคำชี้ขาดที่เกี่ยวข้องด้วยข้อพิพาทดังกล่าวต่อศาล

มาตรา ๒๖๒ การเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดตกลงให้ เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ

มาตรา ๒๖๓ ห้ามมิให้คู่กรณีสั่งคดีซึ่งมีผู้เสียชีวิตไม่ยอมพิพากษาตามคำสั่งชี้ขาด ของอนุญาโตตุลาการ หรือคำพิพากษาของศาลตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เว้นแต่ในเหตุ ต่อไปนี้

เมื่อมีข้ออ้างและคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการหรือประธานไม่ให้กระทำโดยสุจริต หรือคำอุทธรณ์ใดที่เกี่ยวข้องไม่ชัดเจน

เมื่อคำชี้ขาดหรือคำพิพากษานั้นฝ่าฝืนต่อกฎหมายอื่นเกี่ยวข้องตามสมควร เรียบร้อยของระบบระเบียบ

เมื่อคำพิพากษานั้นเกี่ยวข้องกับสิทธิส่วนตัวของอนุญาโตตุลาการ

หมวด ๔ การดำเนินคดีแบบกลุ่ม

ส่วนที่ ๑ บททั่วไป

มาตรา ๒๖๔/๑ ในหมวดนี้ “กลุ่มบุคคล” หมายความว่า บุคคลหลายคนที่มีสิทธิอย่างเดียวกันอันเนื่องมาจาก ข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายเดียวกัน และมีลักษณะเฉพาะของกลุ่มเหมือนกัน แล้วจะขอสิทธิของ ความเสียหายที่แตกต่างกันก็ตาม

“สมาชิกกลุ่ม” หมายความว่า บุคคลใด ๆ ที่อยู่ในกลุ่มบุคคล

มาตรา ๒๖๔/๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๐ หมวด ๔ การดำเนินคดีแบบกลุ่ม มาตรา ๒๖๔/๔ ถึงมาตรา ๒๖๔/๔ เพิ่มโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๐ หมวด ๔ การดำเนินคดีแบบกลุ่ม มาตรา ๒๖๔/๔ ถึงมาตรา ๒๖๔/๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๐

"การดำเนินคดีแบบกลุ่ม" หมายความว่า การดำเนินคดีที่ศาลอนุญาตให้เสนอคำฟ้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้พนักงานคดีหรือโจทก์แสดงสิทธิของโจทก์และสมาชิกกลุ่ม "เจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่ม" หมายความว่า บุคคลที่อธิบดีกรมบังคับคดีหรือสำนักงานศาลยุติธรรมแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีแบบกลุ่ม

มาตรา ๒๕๒/๒๕๔ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาสั่งการเกี่ยวกับการดำเนินคดีแบบกลุ่มในเรื่องดังต่อไปนี้

กำหนดคุณสมบัติ ส่วนได้เสีย รวมตลอดถึงการได้มาซึ่งสิทธิการเป็นสมาชิกกลุ่มของโจทก์หรือสมาชิกของกลุ่มได้

กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม

กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเริ่มเรื่องการดำเนินคดีแบบกลุ่มให้สอดคล้องกับรูปการณ์

กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแจ้งข่าวหรือประกาศให้เป็นที่ทราบทั่วถึงและชัดเจน การดำเนินกระบวนพิจารณาและการบังคับตามหลักฐานในการดำเนินคดีแบบกลุ่ม

กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบังคับคดีและการบรรลุข้อตกลงตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีแบบกลุ่ม ข้อกำหนดตาม (๑) หรือ (๒) รวมถึงการพิจารณาอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มในกรณีที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา ๒๕๒/๒๕๕ คดีแบบกลุ่มแยกต่างหากจากการดำเนินคดีแบบกลุ่ม

มาตรา ๒๕๒/๒๕๖ กระบวนพิจารณาในคดีที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มนั้นเฉพาะให้นำบทบัญญัติในภาค ๑ บททั่วไป และบทบัญญัติในคดีศาลชั้นสูงมาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในหมวดนี้

ในกรณีที่มีการร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มในคดีซึ่งมีปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความไปในลักษณะเฉพาะ ให้ศาลดำเนินการดังนี้ให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มและมีวิธีพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งหมวดนี้เป็นหลักโดยอนุโลม

มาตรา ๒๕๒/๒๕๗ ให้เจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่มทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีแบบกลุ่มตามที่ศาลมอบหมาย ดังต่อไปนี้

มาตรา ๒๕๒/๒๕๘ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๕๒/๒๕๙ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๕๒/๒๖๐ แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๖

```

ไล่เลียงคดีแบบกลุ่ม

ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน

บันทึกคำพยาน

ดำเนินการให้การคุ้มครองสิทธิของคู่ความและเสมาคู่กลุ่มทั้งก่อนและระหว่างการพิจารณา

ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามบทบัญญัติแห่งหมวดที่ว่าด้วยความช่วยเหลือทางกฎหมายหรือที่กำหนดไว้ในกฎหมายอื่น ในการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ ให้เจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่มเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและให้อำนาจตามหนังสือเรียกบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ข้อมูลหรือให้ส่งเอกสารหรือประกอบการพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามข้อบังคับของงานคดีที่เกี่ยวข้อง หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่มให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ในกรณีที่ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำวินิจฉัยตามวรรคสองโดยมิได้ให้เจ้าพนักงานคดีที่เกี่ยวข้องและผู้ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีเป็นเจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่ม ให้เจ้าพนักงานคดีหรือเจ้าพนักงานคดีที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายแล้วแต่กรณีทำหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ด้วย

มาตรา ๒๖๒/๖๕ ผู้ซึ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่ม ต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางกฎหมายหรือสูงกว่าทางกฎหมายจากสถาบันการศึกษาที่สภาทนายความรับรองและได้รับใบอนุญาตว่าความจากสภาทนายความ

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางกฎหมายหรือสูงกว่าทางกฎหมายจากสถาบันการศึกษาที่คณะกรรมการบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนดว่าอยู่ในระบบบริหารราชการศาลยุติธรรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางกฎหมายและปริญญาในสาขาวิชาอื่นที่คณะกรรมการบริหารราชการศาลยุติธรรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนดว่าอยู่ในระบบบริหารราชการศาลยุติธรรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสี่ปี ให้เจ้าพนักงานสำนักงานศาลยุติธรรมมีอำนาจจัดการแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติตามวรรคหนึ่งเป็นเจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่ม ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนด

มาตรา ๒๖๒/๖๖ ในกรณีที่การฟ้องคดีแบบกลุ่มตามบทบัญญัติแห่งหมวดนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้ว่าจะมีการฟ้องเป็นคดีอาญาแล้วก็ตาม ศาลที่พิจารณาคดีแบบกลุ่ม

มาตรา ๒๖๒/๖๗ ให้โดยพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติมเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๖๒/๖๘ ให้โดยพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติมเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๖๒/๖๙ ให้โดยพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติมเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๖

``` สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - ๕๗ - อาจพิจารณาคดีต่อไปโดยไม่ต้องรอให้ศาลคดีอาญามีคำพิพากษาก่อน และหากศาลในคดีอาญาให้มีคำพิพากษาแล้ว ให้ปฏิบัติ ดังนี้

ในกรณีที่คำพิพากษาศาลคดีอาญานั้นได้วินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิด ศาลที่พิจารณาคดีแบบกลุ่มต้องถือข้อวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุดในคดีพิจารณาคดีแบบกลุ่ม

ในกรณีที่คำพิพากษาศาลคดีอาญานั้นได้วินิจฉัยเป็นอย่างอื่น ศาลที่พิจารณาคดีแบบกลุ่มไม่จำต้องถือข้อวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุดในคดีพิจารณาคดีแบบกลุ่ม

ส่วนที่ ๒ การขออนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม

มาตรา ๒๒๖/๒๕๔ คดีที่มีสมาชิกกลุ่มจำนวนมากดังต่อไปนี้ โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มอาจร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มได้

(ก) คดีละเมิด (ข) คดีสัญญา (ค) คดีอื่นใดที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับกฎหมายต่าง ๆ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองผู้บริโภคแรงงาน หลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ การแข่งขันทางการค้า

มาตรา ๒๒๖/๒๕๕ การร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ให้โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมคำฟ้องหรือเมื่อเริ่มต้นพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น โดยให้ระบุข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าคดีนั้นสมควรได้รับการดำเนินคดีแบบกลุ่ม คำร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มต้องมีสำเนาคำฟ้องแนบมาด้วย

มาตรา ๒๒๖/๒๕๖ คำฟ้องของโจทก์ต้องทำเป็นหนังสือและแสดงโดยแจ้งชัดถึงสถานแห่งข้อหาคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์และของกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะเดียวกันโจทก์ด้วย และในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงิน คำขอบังคับจำนวนเงินดังกล่าวจะต้องระบุการคำนวณและรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงสถานะของกลุ่มที่เกี่ยวข้องและจำนวนเงินที่สามารถคำนวณได้แต่ละรายจะต้องระบุไว้ด้วย

ในการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ให้โจทก์ผู้เริ่มคดีเลือกทำคำขอคำบังคับเฉพาะในส่วนของโจทก์ผู้เริ่มดำเนินคดีเท่านั้น

มาตรา ๒๒๖/๒๕๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๒๖/๒๕๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๒๒/๑๑๙ ในกรณีที่ไดพากย์ยื่นคำร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม หากศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลหรือข้อเท็จจริงที่อ้างยังไม่พอเพียงตามมาตรา ๘๔ หรือมีข้อขัดข้องแห่งคดีที่ไม่อาจให้ฟ้องคดีนั้นได้ ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งรับคำฟ้อง ให้ศาลพิจารณาสั่งคำร้องของโจทก์ตามมาตรา ๒๒๒/๑๑๖ แล้วดำเนินการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มโดยไม่ชักช้า

มาตรา ๒๒๒/๑๒๐ ในการพิจารณาสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ให้ศาลสั่งส่งสำเนาคำฟ้องและคำร้องเช่นว่านั้นไปให้จำเลย เผื่อมีคำคัดค้านจากจำเลยและเข้า การไต่สวนตามที่เห็นสมควรแล้ว ศาลจะอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ต่อเมื่อเห็นว่าคำร้องนั้นมีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่า

สภาพแห่งข้อหา คำขอหรือคำบังคับ และข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องเป็นกรณีเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน และของกลุ่มบุคคล มีลักษณะตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๒๒/๑๑๐

โจทก์และโจทก์แทนที่ยื่นคำร้องมีลักษณะและเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนของกลุ่มบุคคลที่ดำเนิน เพียงพอเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่มบุคคลได้

กลุ่มบุคคลมีสมาชิกผู้จำนวนมาก ซึ่งการดำเนินคดีแบบกลุ่มจะทำให้เกิดความยุ่งยากและไม่สะดวก

การดำเนินคดีแบบกลุ่มย่อมเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากกว่าการดำเนินคดี อย่างคดีสามัญ

โจทก์และโจทก์แทนได้แสดงให้เห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรที่ศาลจะสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ห้ามการใช้สิทธิการดำเนินคดีแบบกลุ่มตามข้อกำหนดของกฎหมายหรือศาลอื่น ถ้าเห็นได้ว่าการดำเนิน คดีแบบกลุ่มจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม คำสั่งศาลที่สั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ให้ศาลมีคำสั่งกำหนดขอบเขตของกลุ่มบุคคลที่ดำเนินคดีได้ คำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มอาจจะอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ภายในกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลสั่ง และให้การพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ในกรณีที่ศาลสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ให้ศาลสั่งกำหนดให้โจทก์หรือโจทก์แทน เมื่อได้ส่งหมายเรียกให้จำเลย ให้จำเลยคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายในกำหนดเวลาเดียวและให้ ถือว่าหมายความปรองดองกันตามระเบียบของศาลด้วย ในกรณีที่ศาลสั่งที่ยังไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ให้ศาลดำเนินกระบวน พิจารณาต่อไปอย่างคดีสามัญ

มาตรา ๒๒๒/๑๒๑ ในกรณีที่มีการยื่นคำร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มเกี่ยวกับ สิทธิอย่างเดียวกันหลายรายในคดีเดียวกันหรือหลายคดีต่างศาลกัน ให้ศาลรวมการพิจารณาคำร้องขอ

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เหล่านั้นเข้าด้วยกัน และมีคำสั่งให้ผู้ร้องรายหนึ่งรายใดเป็นโจทก์ในการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาตามมาตรา 222/6 คำสั่งของศาลตามมาตรานี้เป็นที่สุด เว้นแต่จะเป็นกรณีตามมาตรา 222/12 วรรคสาม

ส่วนที่ 3

การพิจารณาคดีแบบกลุ่ม

มาตรา 222/10 เมื่อศาลสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มที่สมบูรณ์แล้ว ให้ศาลสั่งให้โจทก์แจ้งข่าวเกี่ยวกับการดำเนินคดีแบบกลุ่มว่าข้อคำถามจำนวนที่เกี่ยวข้องภายในเขตนั้นเป็นที่ศาลสั่งให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ในกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวและไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุผลการเพิกเฉยตามนั้น ให้ศาลสั่งเรียกโจทก์รายนั้นมาดำเนินคดีแบบกลุ่ม และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างรวดเร็ว

หากต่อมาปรากฏว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบไม่เพียงพอ ศาลจะสั่งให้มีการจ่ายเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพิ่มเติมตามความเห็นที่สมควรได้ ในกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวและไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุผลการเพิกเฉยตามนั้น ให้ศาลกำหนดให้ฟัง

มาตรา 222/11 ให้ศาลส่งคำบอกกล่าวคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มให้สมาชิกกลุ่มที่ทราบ และประกาศคำสั่งดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายทั่วไปอย่างน้อยหนึ่งฉบับ โดยคำบอกกล่าวและประกาศดังกล่าวต้องมีข้อความอย่างน้อยดังต่อไปนี้

(ก) ชื่อศาลและเลขคดี (ข) ชื่อและที่อยู่ของโจทก์และทนายความฝ่ายโจทก์ (ค) ข้อความโดยย่อของคำฟ้องและลักษณะของกลุ่มบุคคลที่ดำเนินคดี (ง) ข้อความที่แสดงว่าศาลอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม และวันเดือนปีที่ศาลมีคำสั่ง คำสั่ง

1

สิทธิของสมาชิกกลุ่มตามมาตรา 222/10 และมาตรา 222/11

2

กำหนดวันเพื่อให้สมาชิกกลุ่มแสดงเจตจำนงว่าจะขอถอนจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม ทั้งนี้ ตามที่ศาลเห็นสมควรแต่ต้องไม่เกินกว่าสี่สิบห้าวัน

3

ผลของการออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม

4

ผลของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล

5

ชื่อและตำแหน่งผู้พิพากษาที่ออกคำบอกกล่าวหรือประกาศ

มาตรา 222/12 เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2558

มาตรา 222/13 เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2558

มาตรา 222/14 เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2558

มาตรา ๒๒/๑๒๖ สมาชิกกลุ่มมีสิทธิออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มได้โดยแจ้งความประสงค์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการประสานสหกรณ์ตามมาตรา ๒๒/๑๒๕ (๒) และให้ถือว่าสมาชิกกลุ่มผู้นั้นพ้นจากสมาชิกกลุ่มนับแต่วันที่แจ้งความประสงค์ดังกล่าว เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาสามวรรคหนึ่ง สมาชิกกลุ่มจะออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะ และสิ้นสุดผลตามที่เห็นสมควร บุคคลที่ออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มแล้ว จะร้องขอกลับเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มอีกไม่ได้ สมาชิกกลุ่มและบุคคลที่ออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มจะร้องขอเข้าเป็นหุ้นในกิจการร่วมในการดำเนินคดีแบบกลุ่มโดยอาศัยสิทธิตามมาตรา ๔๕ ไม่ได้

มาตรา ๒๒/๑๒๗ สมาชิกกลุ่มที่ไม่ได้ออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มตามมาตรา ๒๒/๑๒๖ ย่อมมีสิทธิดังต่อไปนี้ (๑) เข้าฟังการพิจารณาคดี (๒) ร้องขอให้หลักฐานแสดงว่าตนก็มีในคดีส่วนได้เสีย รวมตลอดทั้งการได้มาซึ่งสิทธิเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มตามบัญญัติในมาตรา ๒๒/๑๒๕ (๔) (๓) ขอตรวจเอกสารทั้งหมดหรือบางส่วนในส่วนความรับผิดชอบที่ศาลกำหนดเท่านั้น (๔) จัดหาทนายความคนใหม่มาดำเนินคดีแทนทนายความของกลุ่มตามมาตรา ๒๒/๑๒๘ วรรคสอง (๕) ร้องขอเข้ามาแทนที่ทนายความโดยอาศัยสิทธิมาตราในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย (๖) ดำเนินการแทนทนายความในกรณีที่ศาลอนุญาตให้ดำเนินการแทนตามมาตรา ๒๒/๑๒๘ (๗) การที่มีความตกลงกันเสนอข้อพิพาทให้อยู่ในอำนาจผู้ตัดสินตามมาตรา ๒๒/๑๒๙ (๘) ตรวจและได้รับคำชี้ขาดรับชำระหนี้ตามมาตรา ๒๒/๑๓๐ สมาชิกกลุ่มแต่งตั้งทนายความเพื่อดำเนินการตามวรรคหนึ่งได้

มาตรา ๒๒/๑๒๘ สมาชิกกลุ่มที่ไม่ได้ออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มตามมาตรา ๒๒/๑๒๖ ยื่นฟ้องหรือยื่นเรื่องด้วยตนเองในกรณีที่เกี่ยวข้อง ในกรณีสมาชิกกลุ่มที่ไม่ได้ออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มใช้สิทธิฟ้องคดีในส่วนอื่น กำหนดระยะเวลาของการออกจากสมาชิกกลุ่ม ให้ศาลที่ได้รับฟังไว้ชี้ขาดสิทธิว่าผ่านคดีออกจากสารบบความ

* มาตรา ๒๒/๑๒๙ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ * มาตรา ๒๒/๑๓๐ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ * มาตรา ๒๒/๑๓๑ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มาตรา ๒๒๒/๑๙๙ ในกรณีที่มีการดำเนินคดีแบบกลุ่มและไม่คุ้มครองหรือเยียวยาประโยชน์ของสมาชิกกลุ่มอย่างเพียงพอ หรือไม่สามารถจำแนกข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับสมาชิกกลุ่มต่อไป เมื่อความปรากฏต่อศาลโดยการนำเสนอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งยกเลิกการดำเนินคดีแบบกลุ่มและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างคดีสามัญ โดยให้คำนึงถึงกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำไปแล้วและสมควรพิจารณาต่อไปในฐานะคดีสามัญเพียงใด

หากความปรากฏต่อศาลในระหว่างการพิจารณาหรือภายหลังคำพิพากษาในคดีแบบกลุ่มว่าการดำเนินคดีไม่คุ้มครองสิทธิของสมาชิกกลุ่มได้อย่างเพียงพอและเป็นธรรม หรือการดำเนินคดีแบบกลุ่มเกิดข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถจำแนกข้อเท็จจริงของสมาชิกกลุ่มได้ ศาลอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนการดำเนินคดีแบบกลุ่มใหม่มาดำเนินคดีแบบกลุ่มในระยะเวลาที่ศาลกำหนด จากกรณีและสภาพของคดีที่เกิดและไม่จำเป็นในการฟ้องคดีใหม่ ให้กำหนดในวรรคสามให้ใช้บังคับโดยอนุโลม คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด

มาตรา ๒๒๒/๒๐๐ เมื่อศาลได้สั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มและจำเลยได้ยื่นคำให้การแล้ว ให้ศาลกำหนดวันพร้อมโดยให้คู่ความทุกฝ่ายมาศาลเพื่อดำเนินการดังนี้

ไกล่เกลี่ยหรือหาวิธีระงับข้อพิพาทโดยการเห็นพ้องให้เพิกถอนหรือทุเลาคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มหรือการดำเนินคดีแบบกลุ่มทั้งหมดหรือบางส่วน และอยู่ในความครอบครองของศาลตามที่คู่ความทุกฝ่ายตกลงกัน หรือที่ศาลเห็นสมควรด้วยความเห็นชอบของคู่ความฝ่ายที่ร้องขอ ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ตกลงในความครอบครองของศาลตามข้อย่อยของวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีคำสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นนำหลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทมาแสดงต่อศาลพร้อมกับการยื่นบัญชีระบุพยานเพื่อให้ศาลพิจารณาก่อนวันนัดพร้อม ในกรณีที่มีเหตุขัดข้องซึ่งทำให้คู่ความไม่สามารถนำพยานหลักฐานซึ่งอยู่ในความครอบครองของตนหรือซึ่งไม่ได้ส่งมอบแก่ศาลตามที่ศาลออกคำสั่งเรียกจากคู่ความฝ่ายอื่นหรือบุคคลภายนอก หรือมีเหตุขัดข้องอื่นใด ถ้าศาลเห็นสมควร ให้ศาลเลื่อนวันนัดพร้อมออกไปตามที่เห็นสมควร หากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลดังกล่าวนั้นหรือพร้อมด้วยวันนัดพร้อมได้เสื่อมไป คู่ความฝ่ายนั้นไม่มีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาเสนอต่อศาลในภายหลัง เว้นแต่ศาลเห็นสมควรด้วยเหตุผลอันสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงเห็นควรต้องมีการพิจารณาหลักฐานดังกล่าวที่คู่ความฝ่ายนั้นประสงค์จะนำเสนอในภายหลังเป็นพิเศษตามที่ศาลกำหนด ให้ศาลมีอำนาจที่จะพิจารณาพยานหลักฐานดังกล่าวนั้นได้

ให้ศาลตรวจสอบคำฟ้องและคำให้การของคู่ความฝ่ายจำเลย และคำให้การของคู่ความฝ่ายจำเลยและคำแถลงของจำเลยเกี่ยวกับข้อสอบถามจากโจทก์หรือจำเลย และพยานหลักฐานที่มีอยู่เกี่ยวกับว่าโจทก์โดยชอบหรือไม่ที่จะดำเนินคดีแบบกลุ่ม “ข้อยกเว้น” และ “ข้อยกเว้น” มีข้อยกเว้น “ข้อยกเว้น” มีข้อยกเว้น “ข้อยกเว้น” มีข้อยกเว้น แก้ มาตรา ๒๒๒/๑๙๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๖ แก้ มาตรา ๒๒๒/๒๐๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๖ คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง แต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาท ศาลพิจารณาให้ข้อเท็จจริงนั้นเป็นประเด็นข้อพิพาทและกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายนำสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้ ในการสอบถามคู่ความต่อหน้าศาล คู่ความแต่ละฝ่ายต้องตอบคำถามที่ศาลถามเอง หรือถามคู่ความฝ่ายตรงข้ามตามที่ศาลอนุญาตและต้องตอบคำถามนั้นด้วยตนเอง เว้นแต่ศาลจะเห็นว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในสภาพจะตอบหรือแสดงเหตุผลการปฏิเสธคำตอบเองไม่ได้ ในระบั้นั้นและเป็นข้อที่จริงจำเป็นต่อการพิจารณาประเด็นข้อพิพาท ศาลจะสั่งให้ส่งข้อซักถามนั้นพร้อมเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องไปยังบุคคลอื่น และให้บุคคลผู้นั้นตอบคำถามและเกี่ยวข้องนั้นมายื่นต่อศาลภายในเวลาที่ศาลสั่งควรเห็นสมควรก็ได้

กำหนดระยะเวลาการพิจารณาในกรณีที่มีมากขึ้นเกินกลุ่ม

กำหนดวัน เวลา สถานที่ และแผนพิจารณาในกรณีที่มีมากขึ้นเกินกลุ่ม เช่น จำนวนและรายชื่อของผู้เกี่ยวข้องที่ต้องเข้ามาปรากฏ บันทึกข้อความแทนการสืบพยานบุคคล พยานผู้เชี่ยวชาญ พยานเอกสาร และพยานวัตถุที่ต้องการให้ศาลเรียกจากคู่ความฝ่ายตรงข้ามหรือบุคคลอื่น รวมทั้งการพิจารณาเพื่อการไกล่เกลี่ย การพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น การพิจารณาเพื่อการชี้ขาดข้อพิพาท และการพิจารณาเพื่อการสืบพยานในศาลหรือในที่อื่น

มาตรา ๒๒๖/๒๕๖๓ ในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณาศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดไปโดยฝ่ายเดียวตามคำขอฝ่ายโจทก์โดยจำเลยไม่ต้องมาศาลก็ได้ ให้ศาลสั่งพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เท่าที่ศาลเห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

ถ้าโจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาแสดงในวันนัดพิจารณา หรือแสดงพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้ ให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

มาตรา ๒๒๖/๒๕๖๔ นอกจากที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้บาบัญญัติตามด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดมาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๒๒๖/๒๕๖๕ ในการพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้ศาลสั่งถอนหมายจับของจำเลยเสียก่อน ในกรณีที่ ศาลจะสั่งพิพากษา บุคคล หายสาบสูญ หรือพยานหลักฐานที่แสดงต่อศาลมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยถึงแก่ความตายแล้ว แต่ยังมิได้มีคำสั่งศาลให้จำเลยถึงแก่ความตายหรือมีความเป็นไปอย่างอื่นที่แสดงว่าจำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะถูกฟ้องคดีได้อีกต่อไป

การสั่งถอนหมายจับของศาลดังกล่าวมิให้กระทบต่อการกระทำของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่ได้กระทำไปก่อนหน้านั้น หรือการกระทำของบุคคลดังกล่าวที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ในภายหลัง

มาตรา ๒๒๖/๒๕๖๖ ไม่ว่าการพิจารณาคดีจะได้ดำเนินไปแล้วเพียงใด ศาลอาจมีคำสั่งให้รวมเอาเรื่องเกี่ยวกับลักษณะของความเสียหายที่เหมาะสมกับกรณีบุคคลในกลุ่ม และในกรณีเช่นนี้ศาลอาจสั่งให้มีการนำสืบถึงความเสียหายของกลุ่มย่อยให้ชัดเจนด้วยก็ได้ คำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด

มาตรา ๒๒๖/๒๕๖๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๓

มาตรา ๒๒๖/๒๕๖๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๓

มาตรา ๒๒๖/๒๕๖๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๓

มาตรา ๒๒๒/๕๕๐ ในกรณีดังต่อไปนี้ ให้ศาลกำหนดวันความที่เห็นสมควรแต่ต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่สมาชิกกลุ่มยื่นคำขอเข้าแทนที่โจทก์ รวมทั้งกำหนดวันส่งคำคัดค้านแทนที่โจทก์วันหนึ่งด้วยตามแต่เห็นสมควร และส่งคำบอกกล่าวให้สมาชิกกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับประกาศโดยใช้วิธีการตามที่เห็นสมควร

เมื่อโจทก์มีโดยคุณสมบัติสมาชิกกลุ่มที่เป็นไปตามมาตรา ๒๒๒/๕ (๔)

เมื่อโจทก์ประสงค์จะถอนฟ้องหรือขอระงับการพิจารณาคดี

เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์

เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตาย

เมื่อมีความจำหรือต้องส่งทรัพย์โจทก์ตามคำพิพากษา

เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามที่บัญญัติในมาตรา ๒๒๒/๕

เมื่อโจทก์ร้องขอต่อศาลว่าไม่ประสงค์ที่จะเป็นโจทก์ดำเนินคดีแทนกลุ่มอีกต่อไป ในกรณีตาม (๒) นอกจากสมาชิกกลุ่มแล้ว บุคคลตามมาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ แล้วแต่กรณี อาจร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ได้ด้วย โดยให้บังคับมาตรา ๒๒๒/๖ และมาตรา ๒๒๒/๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๒๒๒/๕๕๑ ในการพิจารณาของศาลผู้ขอเข้าแทนที่โจทก์ในแทนที่โจทก์ต้องเป็นผู้ยื่นฟ้องในศาลที่สมาชิกกลุ่มยื่นคำขอเข้าแทนที่โจทก์ ถ้าศาลมีคำสั่งให้ผู้ขอเข้าแทนที่โจทก์ได้เข้าแทนที่โจทก์ ให้ศาลมีคำสั่งแจ้งให้สมาชิกกลุ่มตามที่เห็นสมควรทราบและอาจกำหนดให้มีการประชุมสมาชิกกลุ่มเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยให้ถือว่ากระบวนพิจารณาที่ได้กระทำไปแล้วมีผลผูกพันการดำเนินคดีสำหรับสมาชิกของโจทก์ต่อไปด้วย

คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด

มาตรา ๒๒๒/๕๕๒ ห้ามมิให้สมาชิกกลุ่มที่เข้าแทนที่โจทก์ตามมาตรา ๒๒๒/๕๕๐ ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่อยู่ในกลุ่มที่เข้าแทนที่โจทก์ตามกระบวนพิจารณาในคดีนั้น และห้ามมิให้ใช้สิทธินั้นในทางที่ทำให้เกิดสิทธิของโจทก์เดิม เว้นแต่เป็นไปเพื่อให้เกิดการคุ้มครองผลประโยชน์ของสมาชิกกลุ่มที่เข้าแทนที่โจทก์ที่เกิดจากการดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์ที่เข้าแทนที่โจทก์ในลักษณะที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกกลุ่มที่เกิดจากความไว้วางใจหรือประมาทเลินเล่อของโจทก์ในกรณี เช่นนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจสั่งสิ่งใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา ๒๒๒/๕๕๓ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๒๒/๕๕๔ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๒๒/๕๕๕ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๒๒/๘๔๙ เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มแล้วโจทก์จะถอนคำฟ้องไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต

ในกรณีที่จำเลยยื่นคำให้การแล้ว ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้องโดยมิได้ฟังจำเลยก่อน ในกรณีที่ได้มีการส่งคำบอกกล่าวไปยังสมาชิกในคดีแบบกลุ่มตามมาตรา ๒๒๒/๘๔๗ แล้ว หากศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนคำฟ้อง ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ศาลจะต้องพิจารณาเห็นว่าการถอนคำฟ้องดังกล่าวมิได้มีผลเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายใด และมิได้ทำให้เงินค่าใช้จ่ายตามคำสั่ง รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับสิทธิของกลุ่มผู้รวมการฟ้องคดีแบบกลุ่มเสียไปตามมาตรา ๒๒๒/๘๔๕ วรรคหนึ่ง ในกรณีเช่นว่านี้ หากศาลเห็นว่าการถอนคำฟ้องดังกล่าวจะทำให้เกิดความเสียหายแก่กลุ่มผู้รวมการฟ้องคดีแบบกลุ่ม ศาลจะต้องมีคำสั่งให้มีการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กลุ่มผู้รวมการฟ้องคดีแบบกลุ่มด้วย

มาตรา ๒๒๒/๘๕๐ เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มและพ้นระยะเวลาตามมาตรา ๒๒๒/๘๔๗ (๒) แล้ว ก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้มีการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้พิจารณาตามบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ ให้มีความเป็นมาในมาตรา ๒๒๒/๘๔๘

มาตรา ๒๒๒/๘๕๑ เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มและพ้นระยะเวลาตามมาตรา ๒๒๒/๘๔๗ (๒) แล้ว ก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้มีการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้พิจารณาตามบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ ให้มีความเป็นมาในมาตรา ๒๒๒/๘๔๘

หมายเหตุ มาตรา ๒๒๒/๘๔๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๖ หมายเหตุ มาตรา ๒๒๒/๘๕๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๖ หมายเหตุ มาตรา ๒๒๒/๘๕๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๖ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มาตรา ๒๒๒/๓๐ คำบอกกล่าวและประกาศตามมาตรา ๒๒๒/๒๘ มาตรา ๒๒๒/๒๙ และมาตรา ๒๒๒/๓๐ อย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้

ชื่อสมาชิกและเลขคดี

ชื่อและที่อยู่ของผู้กล่าวหา

ข้อความโดยย่อของคำฟ้องและลักษณะของกลุ่มบุคคลที่ตั้งตน

ข้อความโดยย่อของการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำไปแล้วและเหตุที่ต้องมีคำบอกกล่าวและประกาศ

สิทธิของสมาชิกกลุ่มและของกลุ่มบุคคลตามมาตรา ๒๒๒/๒๘ หรือมาตรา ๒๒๒/๒๙ แล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๒๒/๓๑ หรือมาตรา ๒๒๒/๓๐ แล้วแต่กรณี

ผลของการออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มตามมาตรา ๒๒๒/๒๘ หรือมาตรา ๒๒๒/๒๙ แล้วแต่กรณี

ชื่อและตำแหน่งผู้พากษาลงชื่อในคำบอกกล่าวและประกาศ

มาตรา ๒๒๒/๓๑ ในการพิจารณาสิทธิ์ตามมาตรา ๒๒๒/๒๘ มาตรา ๒๒๒/๒๙ หรือมาตรา ๒๒๒/๓๐ ให้ศาลคำนึงถึง

ความจำเป็นในการดำเนินคดีแบบกลุ่มต่อไป

ความเหมาะสมของวิธีการดำเนินคดีแบบกลุ่มต่อไป

ความเสียหายหรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแก่สมาชิกกลุ่มต่อไป

ความเหมาะสมของการดำเนินคดีและสิทธิในการดำเนินคดีแบบกลุ่มต่อไป

ความสะดวกและความเหมาะสมในการดำเนินคดีแบบกลุ่มต่อไปในกรณีที่มีการดำเนินคดีหรือประมวลผลของความในประเด็นแห่งคดี

การตกลงกันหรือประมวลผลของความกันในประเด็นแห่งคดีของคู่ความมีความเป็นธรรมและเป็นประโยชน์กับสมาชิกกลุ่ม

มาตรา ๒๒๒/๓๒ ในกรณีที่ศาลสั่งคำสั่งที่สุดอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มให้ถ้อยความในการฟ้องคดีของสมาชิกกลุ่มสะดุดหยุดลงนับแต่วันที่เจ้าพนักงานร้องขออนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม

ในกรณีที่ศาลสั่งคำสั่งที่สุดไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม หากปรากฏว่าอายุความการฟ้องคดีของสมาชิกกลุ่มครบกำหนดไปแล้วในระหว่างการพิจารณาร้องขออนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม หรือครบกำหนดภายในกำหนดเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลสั่งคำสั่งที่สุด

มาตรา ๒๒๒/๓๓ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๒๒๒/๓๔ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๒๒๒/๓๕ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๒๒๖/๑๓๘ ในกรณีที่ข้ออุทธรณ์ของลูกหนี้ตามพระราชกฤษฎีกามาตรา ๒๒๖/๑๓๓ หากมีกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าข้ออุทธรณ์ไม่เคยระงับเหตุผล

ศาลมีคำสั่งว่าทางฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญให้คำเพียงพอ

ศาลมีคำสั่งว่าผลการดำเนินคดีเป็นเท็จ

ศาลมีคำสั่งว่าผลการดำเนินคดีเพราะเหตุอันพึงพอใจ

ศาลมีคำสั่งว่าผลการดำเนินคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลหรือโดยมิได้ผลัดการสมาชิกลุ่ม จะฟ้องคดีใหม่

สมาชิกกลุ่มออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มตามมาตรา ๒๒๖/๑๒ หรือมาตรา ๒๒๖/๑๐ ในกรณีตาม (๒) (๓) (๔) และ (๕) หากปรากฏว่าข้ออุทธรณ์ทางหรือคำพิพากษาที่ต้องสมาชิกลุ่มควบคุมกำหนดในส่วนของการพิจารณาคดี หรืออธิบายตามกฎหมายในภาพเฉพาะตามฉบับบันทึกที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นสิ้นสุด ให้สมาชิกลุ่มมีสิทธิฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งระงับเหตุผลภายในกำหนดวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งสิ้นสุดรวมถึงวันที่สมาชิกลุ่มไม่เป็นสมาชิกกลุ่ม ความในวรรคสองไม่ใช้บังคับในกรณีที่สมาชิกลุ่มมีปฏิบัติการรับชำระหนี้โดยอ้างเหตุว่าไม่เป็นสมาชิกกลุ่มตามวรรคหนึ่ง เนื่องจากการรับชำระหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนเหตุของการอุทธรณ์ตามพระราชกฤษฎีกามาตรา ๒๒๖/๑๒ วรรคสอง หรือในกรณีที่สมาชิกลุ่มมีสิทธิฟ้องคดีตามมาตรา ๒๒๖/๑๒ วรรคสอง โดยให้ถือว่าสิทธิฟ้องคดีนั้นเป็นสิทธิที่สมาชิกลุ่มมีสิทธิรับชำระหนี้ที่สิ้นสุด

ส่วนที่ ๕

คำพิพากษาและการบังคับคดี

มาตรา ๒๒๖/๑๓๙ คำพิพากษาของศาลมีผลเป็นการผูกพันคู่ความและสมาชิกลุ่มและในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ฟ้องคดี ให้โจทก์หรือทนายความฝ่ายโจทก์มีอำนาจดำเนินการบังคับคดีแทนโจทก์และสมาชิกกลุ่ม

สมาชิกกลุ่มมีสิทธิร้องขอรับชำระหนี้ แต่ไม่มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีตามส่วนนี้ด้วยตนเอง หากความปรากฏต่อศาลว่าทนายความฝ่ายโจทก์ไม่สามารถดำเนินการบังคับคดีเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของสมาชิกกลุ่มได้อย่างเพียงพอและเป็นธรรม ศาลอาจมีคำสั่งให้โจทก์และสมาชิกกลุ่มจัดหาทนายความคนใหม่มาดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้

มาตรา ๒๖๒/๒๖๒ คำพิพากษาของศาลต้องกล่าวหรือแสดงรายการดังต่อไปนี้

รายการทรัพย์ที่กำหนดให้บังคับคดีตามคำพิพากษา

ค่าฤชาธรรมเนียมของกลุ่มบุคคลที่จำเลยต้องชำระให้แก่สมาชิกกลุ่ม

ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินเป็นเงินรวมจำนวนเดียวกัน ศาลจะต้องจำระเงินให้แก่โจทก์ รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและวิธีการกำหนดในการชำระเงินให้แก่สมาชิกกลุ่ม

จำนวนเงินรางวัลของทนายความโดยให้ความตามมาตรา ๒๖๒/๑๐๐

มาตรา ๒๖๒/๒๖๒ ในกรณีที่ศาลสั่งให้พิพากษาให้จำเลยกระทำการหรือเว้นกระทำการหรือส่งมอบทรัพย์สิน ให้ศาลกำหนดจำนวนเงินรางวัลซึ่งจำเลยต้องชำระให้แก่ทนายความโดยให้ความตามมาตรา โดยคำนึงถึงความยากลำบากของคดีระยะเวลาและการดำเนินงานของทนายความฝ่ายโจทก์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ซึ่งไม่ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมที่ศาลกำหนดตามคำพิพากษาให้ได้เสีย และเพื่อประโยชน์แห่งการนี้ เมื่อการชำระเงินเสร็จสิ้นให้ทนายความฝ่ายโจทก์นำเงินรางวัลที่ได้รับไปแบ่งให้แก่สมาชิกกลุ่มตามสัดส่วนที่ศาลกำหนดไว้ในคำพิพากษา

ถ้าคำพิพากษาให้จำเลยกระทำการหรือเว้นกระทำการหรือส่งมอบทรัพย์สินและให้เงินรางวัลอยู่ด้วย ให้กำหนดจำนวนเงินรางวัลที่แน่ชัดและชำระลงในคำพิพากษา ในการกำหนดจำนวนเงินรางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์ตามมาตรานี้ หากมีการเปลี่ยนทนายความฝ่ายโจทก์ ให้ศาลกำหนดจำนวนเงินรางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์ส่วนของการทำงานและค่าใช้จ่ายที่ทนายความแต่ละคนเสียไป ให้ถือว่าทนายความฝ่ายโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและอยู่ในลำดับที่เท่ากับคำพิพากษาในส่วนของเงินรางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์ด้วย และเงินรางวัลดังกล่าวจะต้องเสียค่าธรรมเนียม

มาตรา ๒๖๒/๒๖๒ ในกรณีที่ศาลสั่งให้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ให้ศาลมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปฏิบัติตามคำพิพากษา โดยจะกำหนดให้โจทก์พิพากษา

แผน (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ แผน (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ แผน (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ แผน (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือโดยคำสั่งในภายหลังก็ได้ และในระหว่างการบังคับคดีให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งบังคับเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ตามที่เห็นสมควร ให้ศาลต้นนั้นมีอำนาจพิจารณาสั่งคำร้องของคู่ความในการบังคับตามคำพิพากษาคำสั่งของศาลต้นนั้นได้เป็นที่สุด

มาตรา ๒๘๖/๔๔ ให้ศาลแจ้งคำบังคับแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาชำระหนี้เป็นเงินหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โดยคำร้องยื่นคำขอคำบังคับต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น

เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาความชำระหนี้ สมควรให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับสิทธิขอเลี่ยงหรือเลื่อนระยะเวลาการบังคับคดีตามคำพิพากษา เช่นในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย สมาชิกกลุ่มที่ไม่ใช่คู่ความในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดระยะเวลา อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ภายในเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะเวลา

มาตรา ๒๘๖/๔๕ คู่ความในคดีหรือสมาชิกกลุ่มอื่นๆ มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ภายในกำหนดระยะเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะเวลาไปอีกไม่เกินสามสิบวัน

มาตรา ๒๘๖/๔๖ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถือว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดี สมาชิกกลุ่ม ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาสอบสวนในเรื่องคำขอรับชำระหนี้ของสมาชิกกลุ่มเพื่อพิจารณาสั่งต่อไปได้

มาตรา ๒๘๖/๔๗ คำขอรับชำระหนี้ของสมาชิกกลุ่มหรือบุคคลใดๆ ที่คู่ความในคดีและสมาชิกกลุ่มรายอื่นไม่คัดค้าน ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้นั้น เว้นแต่เหตุอันสมควรซึ่งเป็นอย่างอื่นโดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ศาลทราบเพื่อการดำเนินการจัดการด้วย

มาตรา ๒๘๖/๔๘ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๘๖/๔๙ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๘๖/๕๐ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๘๖/๕๑ เพิ่มเติมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คำอธิบายประกอบที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใด ถ้ามีผู้ยื่นแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

ให้พักการบังคับชำระหนี้

อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน

อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เป็นบางส่วน สมาชิกกลุ่มที่ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้และไม่มีผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๒๖๒/๔๔ คำขอรับชำระหนี้นั้นจะมีผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา ๒๖๒/๔๔ หรือมิใช่ อาจยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีพิจารณาได้ภายในกำหนดหกวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งดังกล่าว คำสั่งของศาลตามมาตราสามให้จบธรรมและถูกต้องโดยทันทีในทุกกรณี

มาตรา ๒๖๒/๔๕ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้นแล้ว ให้พนักงานอัยการแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบโดยทันทีเพื่อดำเนินการตามคำสั่งศาลที่เกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น เพื่อให้ความสำคัญให้เฉลี่ยทรัพย์เท่าเทียมตามมาตรา ๒๖๒/๔๖ และสมาชิกกลุ่มตามมาตรา ๒๖๒/๔๗ ตามขั้นตอนที่มีสิทธิได้รับ

ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากกว่าหนี้ที่ยังไม่ชำระ ให้ศาลที่มีคำสั่งให้เฉลี่ยทรัพย์ตามธรรมที่มีมูลค่ามากกว่าหนี้ที่ยังไม่ชำระนั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามคำสั่งศาลที่เกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นโดยเร็ว และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง

มาตรา ๒๖๒/๔๖ เมื่อมีรายได้เงินหรือทรัพย์สินมาจากการขายทอดตลาดหรือจากการขายทรัพย์สินตามคำสั่งศาล ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรวบรวมทรัพย์สินนั้นโดยรวดเร็ว และให้ดำเนินการชำระธรรมแบ่งเฉลี่ยให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามลำดับ ดังนี้

(ก) ผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนตามมาตรา ๒๖๒ และมาตรา ๒๖๒/๔๗ (ข) เงินรายได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ตามมาตรา ๒๖๒/๔๗ (ค) ค่าใช้จ่ายธรรมเนียมในชั้นบังคับคดี (ง) โทษค่าปรับจากกลุ่ม และเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับเฉลี่ยทรัพย์ตามมาตรา ๒๖๒

มาตรา ๒๖๒/๔๗ เพิ่มเติมรายบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๖๒/๔๘ วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๖๒/๔๙ เพิ่มเติมรายบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๖

ส่วนที่ 5

อุทธรณ์และฎีกา

มาตรา 226/48 ให้คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล โดยไม่จำกัดข้อกำหนดเรื่องทุนทรัพย์ของการอุทธรณ์และฎีกาในเขตอำนาจของศาลใช้บังคับ

มาตรา 226/49 สมาคมคู่ความไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ยกเว้นในกรณีตามมาตรา 226/48

มาตรา 226/50 ในกรณีที่นายอัยการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องหรือฎีกา ให้เสนอปลัดกระทรวงยุติธรรมเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการเฉพาะในส่วนที่จำเลยยังรับผิดชอบที่เห็นได้ชัดเจน แต่ไม่ต้องนำเงินมาชำระหรือวางประกันให้ไว้ต่อศาลสำหรับเงินรางวัลอำนวยตามที่กฎหมายกำหนด

มาตรา 226/51 คดีที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฎีกา ให้ส่งให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา หากศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเห็นแต่แรกมีเหตุรับฟังว่าอุทธรณ์หรือฎีกานั้นต้องห้ามหรือมีข้อห้ามรับฟัง ให้หยุดพิจารณาชั่วคราว โดยไม่จำต้องส่งเรื่องให้ศาลชั้นต้นพิจารณาอีก และให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีอำนาจสั่งยกคำร้องอุทธรณ์หรือฎีกานั้นเองและให้ถือคำสั่งของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเป็นที่สุด

ส่วนที่ 6

ค่าธรรมเนียม

มาตรา 226/52 ให้ค่าธรรมเนียมตามอัตราดังต่อไปนี้

มาตรา 226/53 (1) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

2

แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 31) พ.ศ. 2560

3

แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 32) พ.ศ. 2560

4

แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 33) พ.ศ. 2560

5

แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 34) พ.ศ. 2560 (ก) ค่าธรรมเนียมขอรับชำระหนี้สองร้อยบาท แต่การขอรับชำระหนี้ที่ไม่เกินสองหมื่นบาทไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม (ข) ค่าติดตามคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อศาลในเรื่องการขอรับชำระหนี้เรื่องละสองร้อยบาท (ค) ค่าทำคำสั่งในกรณีที่มีคำสั่งกรณีเรื่องการขอรับชำระหนี้ หรือกรณีเรื่องเงินราชสกุลหมายเหตุ เรื่องละสองร้อยบาท (ง) ค่าธรรมเนียมอื่นนอกจาก (ก) (ข) และ (ค) ให้คิดอัตราเดียวกับค่าธรรมเนียมตามมาตราที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายนี้ ภาค 3 อุทธรณ์และฎีกา

ลักษณะ 1

อุทธรณ์

มาตรา 223 ภายใต้บังคับบัญญัติแห่งมาตรา 138, 148, 188 และ 222 แห่งลักษณะนี้ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ เว้นแต่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นที่สุด

มาตรา 223 ทวิ (ยกเลิก)

มาตรา 224 ในคดีที่มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่คู่พิพาทฝ่ายที่ไม่แพ้คดีจะยื่นคำร้องแสดงให้ศาลเห็นได้ว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นมีเหตุที่อาจจะเป็นเหตุให้การอุทธรณ์นั้น หรือถ้าไม่มีความเห็นเป็นธรรมต่อคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรืออาจจะเป็นเหตุให้คู่กรณีฝ่ายนั้นเสียเปรียบอย่างร้ายแรง และแม้แต่ในกรณีที่ศาลอนุญาตให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องยื่นคำร้องแสดงเหตุผลประกอบคำร้องนั้นด้วย

ครอบครัวและคดีพิเศษที่เกี่ยวเนื่องซึ่งๆ กฎหมายบัญญัติให้มีการพิจารณาในศาลชั้นต้น ให้ยื่นคำร้องแสดงเหตุผลประกอบคำร้องนั้นด้วย ในกรณีที่ศาลอนุญาตให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องยื่นคำร้องแสดงเหตุผลประกอบคำร้องนั้นด้วย ในกรณีที่ศาลอนุญาตให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องยื่นคำร้องแสดงเหตุผลประกอบคำร้องนั้นด้วย ให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนพิจารณาคำร้องนั้นในศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งให้คู่ความทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ยื่นคำร้องนั้น เมื่อศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้แล้ว ให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคดีไปยังศาลอุทธรณ์ต่อไป หมายเหตุ มาตรา 223 ทวิ ยกเลิกโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2558 หมายเหตุ มาตรา 224 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2558 เช่นนั้น ให้ศาลส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาองค์คณะเพื่อพิจารณารับรอง

มาตรา ๒๕๓ ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างในการชี้ขาดชี้นั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้ในคำชี้แจงในชั้นอุทธรณ์และต้องเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่นำมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งต้องอยู่ในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์รับพิจารณาด้วย คู่ความฝ่ายใดมิได้กล่าวในคำชี้แจงในชั้นอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์จะเรียบเรียงข้อเท็จจริงขึ้นกล่าวในคำพิพากษาหรือคำสั่งเองไม่ได้ เว้นแต่จะเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนความนั้น เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ หรือเพราะเหตุแห่งความยุติธรรมที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควร คู่ความฝ่ายใดจะยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมได้ คู่ความฝ่ายเดียวกันจะยอมสละทรัพย์ของตนอย่างชัดแจ้งเท่านั้น

มาตรา ๒๕๔ ก่อนศาลชั้นต้นไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี ศาลนั้นให้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๕๒ และ ๒๕๓ (๑) ห้ามมิให้คู่กรณีหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกระทำการระหว่างพิจารณา (๒) กำหนดจำนวนค่าใช้จ่ายในคดีและกำหนดให้คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชำระค่าใช้จ่ายนั้น (๓) ให้คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำการหรือไม่ทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในระหว่างพิจารณา หรือ (๔) สั่งอย่างอื่นใดที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในระหว่างพิจารณา

เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจมีคำสั่งให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมคำฟ้องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้ถือว่าคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามวรรคหนึ่ง เป็นคำสั่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามมาตรา ๒๕๒ และ ๒๕๓ เป็นคำสั่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามมาตรา ๒๕๒ และ ๒๕๓

มาตรา ๒๕๕ ก่อนศาลชี้ขาดคดี ศาลอาจมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ (๑) ให้พักคดี หรือปรับไหม หรือจำคุกผู้ใด ตามประมวลกฎหมายนี้ (๒) มีคำสั่งรับฟังคำสั่งหรือคำอุทธรณ์ของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือมีคำสั่งอื่นที่เกี่ยวด้วยความยุติธรรมในระหว่างพิจารณา หรือ (๓) ไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามมาตรา ๑๘ หรือวินิจฉัยคำคู่ความในเรื่องต้นตามมาตรา ๒๔ ซึ่งมีได้ให้คำสั่งหรือไม่ให้รับคำร้องในเรื่องนั้น ๆ ตามแต่จะเห็นสมควร คำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง คู่ความอยู่ระหว่างการพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้น ให้เป็นคำสั่งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งชี้ขาดคดี

มาตรา ๒๕๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๒๕๗ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๒

แม้ถึงว่าจะมีอุทธรณ์ในระหว่างพิจารณา ให้ศาลดำเนินการติดต่อไป และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดข้อโต้แย้งนั้น แต่ถ้าในระหว่างพิจารณา คู่ความอุทธรณ์จะสั่งการหรือดำเนินไปในอนุมาตรา (3) ถ้าคู่ความอุทธรณ์เห็นว่า การกลับหรือแก้คำสั่งที่คู่ความอุทธรณ์นั้น จะเป็นการรอชี้ขาดข้อเท็จจริงหรือวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวใดที่ศาลจะสั่งได้ด้วยข้อให้ ให้ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาไปในระหว่างอุทธรณ์ หรือการกลับข้อสั่งใดในทางที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอุทธรณ์นั้น ถ้าคู่ความมิได้อุทธรณ์คำสั่งในระหว่างพิจารณา ตามที่บัญญัติในอนุมาตรา (3) ก็ให้ถือว่าได้เป็นเมื่อศาลพิจารณาสั่งแล้วตามความในมาตรา 23

มาตรา 24 การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้นหรือส่งถึงศาลชั้นต้น หรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้มีอุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมส่งด้วยไม่ใช่ค่าความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งจากศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ให้ผู้ชำระเงินค่าธรรมเนียมต่อศาล เพื่อที่ให้แก่เจ้าของอุทธรณ์ (ศิลา) เจ้าพนักงานหรือจำเลยความเดิมที่เสียหายที่ได้ยกร้องความใน ตามที่บัญญัติในมาตรา 23 และ 26

มาตรา 25 คดีตามมาตรา 24 ถ้าคู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจริง ให้ศาลชั้นต้นตรวจสอบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรับฟังการพิจารณา

ถ้าผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีนั้นมีความเห็นแย้ง หรือไม่รองรับได้ หรือรับรองในเวลาที่ตรวจอุทธรณ์นั้นให้คู่ความส่งคำร้องอุทธรณ์ไปยังศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นนั้นให้พิจารณาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นต่อไป ให้ศาลชั้นต้นนั้นให้พิจารณาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นต่อไป ถ้าในเวลาที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ให้ศาลชั้นต้นไม่รับรองหรือรับรองในปัญหาข้อเท็จจริงที่พิจารณาแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ถ้าถึงผู้พิพากษาหรือถึงผู้พิพากษาหรือถึงผู้พิพากษาศาลได้เป็นคนละในคำสั่งนั้น ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือข้อเท็จจริงที่พิจารณาแล้วให้ส่งคำร้องหรือคำร้องนั้นร้องต่อศาลหรือถึงผู้พิพากษาหรือถึงผู้พิพากษาหรือถึงผู้พิพากษาศาลในวันหนึ่ง เมื่อศาลหรือเจ้าของเจ้าหน้าที่นั้นให้คำสั่งหรือรับรองคำร้องนั้นร้องต่อไปยังข้อพิพากษาหรือรองรับผู้พิพากษาหรือเจ้าหน้าที่นั้นให้เป็นที่สุด บทบัญญัติแห่งมาตรา 25 นี้ไม่ให้ศาลใดพิจารณาคดีที่ส่งตามมาตรา 23 ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์เหตุอื่น หรือในข้อที่ศาลจะสั่งให้ส่งอุทธรณ์นั้นไปทำเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย

มาตรา 26 การยื่นอุทธรณ์ย่อมไม่เป็นเหตุในการบังคับคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่คู่ความที่ยื่นอุทธรณ์อาจยื่นคำขอต่อศาลอุทธรณ์ในเวลาต่าง ๆ ก่อนพิจารณา โดยกำหนดไว้ในสิ่งแวดล้อมเหตุผลของคำร้องนั้นว่า ให้ศาลอุทธรณ์สั่งการบังคับคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นไว้ก่อน ให้ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วสั่งการให้ส่งข้อมูลให้ศาลอุทธรณ์ ถ้าคำสั่งศาลได้สั่งไว้ก่อนแล้ว ให้ศาลสั่งต่อศาลอุทธรณ์ ถ้าได้สั่งคำต่อศาลอุทธรณ์ก็ให้ศาลสั่งคำต่อไปในสิ่งต่าง ๆ ในกรณีที่มีเหตุอุทธรณ์อย่างอื่น เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคำร้องไว้ ก็ให้ส่งคำร้องคำสั่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาในสิ่งต่าง ๆ นั้นต่อไป

มาตรา 27 (ยกเลิก) เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2549

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถ้าผู้จุทาธรจ่ายเงินต่อศาลล่าช้ากันเป็นจำนวนพอที่จะระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในการพิจารณาและการบังคับคดี หรือไม่ทราบประกันให้ชำระเงินบังคับตามนั้นจนเป็นที่พอใจของศาลที่กล่าวมาแล้วตามคำบังคับคดีที่ถึงที่สุดอยู่ในมาตรา ๒๔๒ (๒) เมื่อได้รับคำขอบังคับนี้ ศาลอุทธรณ์จะอนุญาตให้ผู้แทนการบังคับไว้ในกรณีที่เหตุถูกบังคับก็ได้ โดยต้องพิจารณาความผิดฐานนี้ แก้การเสนอบันทึก ให้ถือว่าคำสั่งนั้นเป็นคำพิพากษาอุทธรณ์ในคดีนั้นๆ และคำพิพากษาอุทธรณ์นั้นให้ถือว่าเป็นคำพิพากษาในคดีนั้นๆ หรือไม่ก็ได้ ศาลอาจสั่งให้ผู้จุทาธรจ่ายเงินที่ค้างชำระอยู่ไปเสียภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือไม่ก็ได้ ศาลอาจสั่งให้ผู้จุทาธรจ่ายเงินที่ค้างชำระอยู่ไปเสียภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือไม่ก็ได้ ศาลอาจสั่งให้ผู้จุทาธรจ่ายเงินที่ค้างชำระอยู่ไปเสียภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือไม่ก็ได้

มาตรา ๒๔๒ เมื่อได้รับคำขอบังคับแล้ว ให้ศาลชั้นต้นตรวจดูว่าคำขอบังคับนั้นได้ส่งหรือปฏิบัติไปแล้วหรือไม่อย่างไรและให้ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในสำนวนคดีนั้นๆ ถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าคำขอบังคับนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแก้ไขคำขอบังคับนั้นให้ถูกต้องหรือสมบูรณ์

มาตรา ๒๔๓ ถ้าศาลชั้นต้นรับรองคำขอบังคับแล้ว ผู้ร้องขอบังคับจะต้องชำระเงินเป็นจำนวนพอที่จะระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในการพิจารณาและการบังคับคดี หรือไม่ทราบประกันให้ชำระเงินบังคับตามนั้นจนเป็นที่พอใจของศาลที่กล่าวมาแล้วตามคำบังคับคดีที่ถึงที่สุดอยู่ในเวลานั้น ถ้าผู้ร้องขอบังคับไม่ชำระเงินในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือไม่ทราบประกันให้ชำระเงินบังคับตามนั้นจนเป็นที่พอใจของศาลที่กล่าวมาแล้วตามคำบังคับคดีที่ถึงที่สุดอยู่ในเวลานั้น ศาลอาจสั่งให้ผู้ร้องขอบังคับชำระเงินที่ค้างชำระอยู่ไปเสียภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด หรือไม่ก็ได้

มาตรา ๒๔๔ ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับรอง ผู้ร้องขอบังคับจะต้องชำระเงินเป็นจำนวนพอที่จะระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในการพิจารณาและการบังคับคดี หรือไม่ทราบประกันให้ชำระเงินบังคับตามนั้นจนเป็นที่พอใจของศาลที่กล่าวมาแล้วตามคำบังคับคดีที่ถึงที่สุดอยู่ในเวลานั้น

มาตรา ๒๔๕ เมื่อศาลชั้นต้นรับรองคำขอบังคับแล้ว ให้ส่งคำขอบังคับนั้นให้เจ้าพนักงานอุทธรณ์ในเขตนั้นๆ เป็นผู้ดำเนินการต่อไป

มาตรา ๒๔๖ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๔๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๖

อุทธรณ์ได้สิ้นสุดลง ให้ศาลส่งอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์ทั้งหมด พร้อมทั้งสำนวนและหลักฐานต่าง ๆ ไปยังศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับพิจารณาเสร็จแล้วตามความไม่ล่าช้า ให้บันทึกผลสรุปบความของศาลอุทธรณ์โดยพลัน

มาตรา 23 เมื่อมีความจำเป็นหรืออุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ ให้ศาลส่งคำร้องนั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยไม่ล่าช้า พร้อมทั้งสำเนาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำร้องอุทธรณ์ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าการยื่นคำร้องดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย ให้ส่งคำสั่งให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ ในกรณีเช่นนี้ให้ศาลอุทธรณ์แจ้งการออกคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความฝ่ายตรงข้ามทราบด้วย การปฏิบัติของศาลชั้นต้นหรือศาลที่รับอุทธรณ์ คล้ายเป็นปกติสุด แต่ละฝ่ายให้ศาลชั้นต้นออกคำสั่งเมื่อได้อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้รับอุทธรณ์แล้ว ให้จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อแก้คำร้องอุทธรณ์ และภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้คำร้องอุทธรณ์ หรือวันอื่นแต่ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 27 สำหรับกรณียื่นคำแก้อุทธรณ์ได้สิ้นสุดลง ให้ศาลส่งคำแก้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์พร้อมทั้งสำนวนไปไม่ล่าช้าเมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับคำแก้อุทธรณ์หรือแจ้งความเห็นอื่นแล้ว ให้บันทึกผลสรุปความของศาลอุทธรณ์โดยพลัน

มาตรา 24 จำเลยอุทธรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดในคำอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นได้กล่าวในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ๆ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งนี้ไม่ให้ศาลสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์ตามคำเพราะไม่ล่าช้าแก่คำอุทธรณ์

มาตรา 25 ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ในคดีที่คู่กรณีมิได้แย้งแยกแยะในปัญหาข้อกฎหมายบานั้น การวินิจฉัยปัญหานั้นว่าศาลอุทธรณ์จำต้องอาศัยข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาก่อนตามหลักฐานในจำนวน

มาตรา 26 อุทธรณ์ดังกล่าวนั้นจะต้องพิจารณาก่อนอุทธรณ์คำพิพากษาหาเท่าที่สามารถจะทำได้ และคำอุทธรณ์คำพิพากษานั้นจะได้สิ้นไปในสารบัญความของศาลอุทธรณ์ก่อนอุทธรณ์คำพิพากษานั้นที่มีคำ

มาตรา 27 ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะวินิจฉัยคดีโดยพิจารณาเพียงแต่คำร้องคำอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ เอกสารและหลักฐานทั้งปวง ในคำอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นที่ยื่นขึ้นมา เว้นแต่ (1) ศาลอุทธรณ์ได้เห็นพ้องกันและการดำเนินความด้วยอาจขัดบัญญัติไว้ในมาตรา 24 แต่คำคู่ความฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายไม่มาสืบพยานในคำพิจารณานั้น ศาลอุทธรณ์อาจดำเนินคดีได้ และ

มาตรา 28 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2549

มาตรา 29 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2549

คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้น ไม่ให้ถือเป็นคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์ (ข) ถ้าศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำพิพากษาไปการพิจารณาคำฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ และพยานหลักฐาน ที่ปรากฏในสำนวน ภายในหกสิบวันนับแต่เวลาที่ ๒๓๒ และเวลานั้นไปยังที่ศาลอุทธรณ์ ให้ศาลมีอำนาจที่จะดำเนินการเกี่ยวกับการสืบพยานที่มีส่วนเหลือ หรือพยานที่เห็นควรสืบต่อไป และพิจารณาคดีโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งนี้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในภายหลังนี้ และให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม (ค) ในคดีที่ศาลวางพฤติการณ์ไปตามข้อกฎหมาย ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำพิพากษานั้นยังมิได้พิจารณาวางข้อวินิจฉัยปัญหาข้อที่จริงซึ่งเป็นสาระสำคัญในประเด็น ให้ศาลอุทธรณ์วางข้อวินิจฉัยคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาปัญหาข้อที่จริงดังกล่าวเสียนานั้น แล้วพิจารณาไปตามรูปความ

มาตรา ๒๔๐/๑ ถ้าคู่ความฝ่ายใดประสงค์จะแถลงการณ์ด้วยวาจาในนั่งพิจารณาอุทธรณ์ ให้ยื่นขอในตอนท้ายคำฟ้องอุทธรณ์ หรือคำแก้อุทธรณ์ แล้วแต่กรณี และให้ศาลอุทธรณ์กำหนดวันพิจารณาและการดำเนินการอย่างอื่น เช่นเดียวกับศาลชั้นต้นในกรณีที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโดยวิธีพิจารณาคดีด้วยวาจา คู่ความฝ่ายที่ยื่นขอจะต้องไปแถลงการณ์ด้วยวาจาในวันพิจารณาที่ศาลกำหนด มิฉะนั้นศาลจะมีคำสั่งให้แถลงการณ์เป็นหนังสือ

การแถลงการณ์ด้วยวาจา ให้กระทำต่อศาลโดยเปิดเผย แล้วศาลอาจอนุญาตให้คู่ความแถลงการณ์ด้วยวาจาได้อีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าคู่ความฝ่ายนั้นร้องขอ และต้องให้ศาลมีคำสั่ง

มาตรา ๒๔๐/๒ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือพยานหลักฐานในสำนวนไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือฟังไม่ได้ ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจ

(ก) สั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีนั้นใหม่ (ข) สั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีนั้นใหม่โดยพิจารณาเฉพาะส่วน กลับบางส่วน และสั่งให้พิจารณาใหม่แทนเฉพาะส่วนนั้น

มาตรา ๒๔๐/๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๒๔๐/๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๙

มาตรา ๒๕๔/๒ ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย คือ

เมื่อคดีปรากฏเหตุที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคำพิพากษาและคำสั่ง และศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุอันสมควร ที่ให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชั้นต้นนั้นเสีย แล้วส่งส่วนคดีไปยังศาลชั้นต้นเพื่อให้พิพากษาหรือสั่งใหม่ ในกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นอาจประกอบด้วยผู้พิพากษาที่มอบจากศาลอุทธรณ์หรือที่ศาลชั้นต้นตั้งขึ้นใหม่ หรือศาลชั้นต้นอาจดำเนินการพิจารณาคดีนั้นเองก็ได้ตามที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควร

เมื่อคดีปรากฏเหตุที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคำพิพากษาและคำสั่ง และศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุอันสมควร ที่ให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชั้นต้นนั้นเสีย แล้วส่งส่วนคดีไปยังศาลชั้นต้นเพื่อให้พิพากษาหรือสั่งใหม่ หรือศาลชั้นต้นอาจดำเนินการพิจารณาคดีนั้นเองก็ได้ตามที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควร

ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงของคดีนั้นผิด คำวินิจฉัยดังกล่าวจะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้น และศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น แล้วสั่งคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลชั้นต้นนั้น หรือ

ใช้บังคับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นหลักในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของคดีนั้น และศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น แล้วสั่งคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลชั้นต้นนั้น โดยถือว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นเอง

มาตรา ๒๕๔/๓ ศาลอุทธรณ์จะอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ให้คู่ความฟังในกรณีที่เห็นว่าคำพิพากษานั้นสำคัญมากกว่าคำพิพากษาชั้นต้น

มาตรา ๒๕๔/๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๔ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด

มาตรา ๒๕๔/๕ คำพิพากษาหรือคำสั่งชั้นอุทธรณ์ให้มีผลและระยะเวลาต่างๆ ตามชั้นอุทธรณ์ ในแต่ละกรณีต่อไปนี้

ถ้าคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นนั้นไม่อาจแยกได้ และคู่ความไม่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลชั้นต้นนั้นเสียในที่สุดจะระงับข้อพิพาทนั้น

มาตรา ๒๕๔/๖ ให้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๕๔/๗ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๖

อื่น ๆ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าควรกลับคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลชั้นต้น ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจชี้ขาดว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ ให้มีผลระหว่างคู่ความในคดีเท่านั้นต่อไปด้วย

ถ้าไม่มีการอนุญาตให้ฟ้องร้องต่อศาลในคดีแทนบุคคลผู้ตาย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมมีผลรับกันแก่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดด้วย

มาตรา ๒๔๕/๒ เรื่องแย้งที่ไม่อยู่ในปัญหาที่ได้กล่าวมาในวรรคหนึ่ง บางปัญหาซึ่งมิใช่ปัญหากฎหมายแม้ว่าอาจมีความพิการและการขัดต่อคำตัดสินในคดีนั้น ให้ถือเป็นข้อเท็จจริงหรือการพิจารณา และการชี้ขาดสิ้นสุดในคดีนี้โดยปริยาย

ลักษณะ ๒

ฎีกา

มาตรา ๒๔๕/๓ การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

การขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมคำคัดค้านต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ แต่ถ้าศาลชั้นต้นส่งคำร้องพร้อมคำคัดค้านดังกล่าวไปยังศาลฎีกา และให้ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยข้อร้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

มาตรา ๒๔๕/๔ คำร้องตามมาตรา ๒๔๕/๓ ให้พิจารณาและวินิจฉัยโดยองค์คณะผู้พิพากษาที่ประธานศาลฎีกาแต่งตั้ง ซึ่งประกอบด้วยรองประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งจำกัดจำนวนไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาอีกจำนวนสองคน

การวินิจฉัยให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ถือเป็นไปตามความเห็นของฝ่ายที่เห็นควรอนุญาตให้ฎีกา

มาตรา ๒๔๕/๕ ให้ศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาตามมาตรา ๒๔๕/๓ ได้ เมื่อเห็นว่าเป็นปัญหาตามกฎหมายที่มีความสำคัญที่ควรมีการวินิจฉัย หรือปัญหาที่มีความสำคัญควรพิจารณาเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือความเรียบร้อยของประชาชน

ปัญหาตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงกรณีดังต่อไปนี้

ปัญหาที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ หรือความเรียบร้อยของประชาชน

มาตรา ๒๔๕/๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๔๕/๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๔๕/๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๕๘

(b) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกัน หรือขัดกันในแนวการตีความข้อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา

3

คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มี แนวคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกามาก่อน

4

เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่นำคดีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึง ที่สุดของศาลอื่น

5

เพื่อเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมาย

6

ปัญหาสำคัญอื่นอันเกี่ยวกับความสงบของประเทศและศีลธรรมอันดีของประชาชนของประเทศตามรัฐธรรมนูญ

7

เพื่อได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้ใช้บังคับได้ ในกรณีที่ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา ให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ เป็นที่สุดเช่นเดียวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น

มาตรา ๒๕๔ หลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นคำร้อง การพิจารณาวินิจฉัยและ ระยะเวลาในการพิจารณาตามมาตรา ๒๕๓ การตรวจสำนวน การแก้ไข การพิจารณา และ การพิพากษาคดี รวมทั้งการสั่งคดีกรณีระงับยอมความ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา โดยให้คำนึงถึงความรวดเร็วในการพิจารณาและพิพากษาคดี และการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความและประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - ๑๔๕ -

ลักษณะ ๑

วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา

หมวด ๓

หลักทั่วไป

มาตรา ๒๕๓ ถ้าโจทก์ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับถิ่นที่อยู่ของจำเลยในราชอาณาจักร และไม่มีทรัพย์สินที่สามารถบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร หรือถ้ามีแต่ไม่พอแก่การบังคับคดีแล้ว จะสั่งเสียไม่ให้ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ก่อนได้หรือไม่ก็ตาม ก่อนพิพากษาอนุโลมให้ศาลสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือวางประกันเท่าที่พอการชำระค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ล่วงหน้าได้

ถ้าศาลได้สั่งแล้วเช่นนั้นว่า มีเหตุอันสมควรหรือมีเหตุเป็นที่เชื่อได้แล้วแต่กรณี ก็ให้ศาลสั่งให้โจทก์ทำงานชดใช้ต่อศาลหรือวางประกันเท่าที่พอจำนวนและภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยคำนึงถึงเหตุอันสมควรได้ ตามที่เห็นสมควรแก่คดี โจทก์ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลดังกล่าว ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียได้ สารบบความ ให้แน่ชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่งในการพิจารณาคดีนั้น หรือมีการพิจารณาคดีนั้นต่อไป

มาตรา ๒๕๔ ในกรณีที่โจทก์ไม่อยู่ในราชอาณาจักรหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศ ให้ศาลสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือวางประกันเท่าที่พอแก่การชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ล่วงหน้าได้ ก่อนพิพากษา

ในระหว่างที่ศาลสั่งให้โจทก์วางเงินหรือวางประกันตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลสั่งงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน และให้ศาลดำเนินการไต่สวน แล้วสั่งคำร้องนั้นหรือสั่งยกคำร้องตามความให้ศาลพิจารณาได้ ให้บังคับตามโมฆะมาตรา ๒๕๔ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับแก่การพิจารณาในชั้นอุทธรณ์และฎีกาโดยอนุโลม

มาตรา ๒๕๕ ในคดีอื่น ๆ นอกจากคดีในมาตรา ๒๕๓ โจทก์ย่อมชอบที่จะยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องหรือในเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษา ส่งคำร้องฝ่ายเดียว ร้องขอให้ศาลสั่งคุ้มครองในบังคับแห่งเงื่อนไขซึ่งจะกล่าวต่อไป เพื่อชั่วคราวให้มีวิธีชั่วคราวใด ๆ ดังต่อไปนี้

๑. มาตรา ๒๕๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๕ ๒. มาตรา ๒๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๕ ๓. มาตรา ๒๕๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๕

ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลยที่พอเพียงบางส่วนไว้ก่อนพิจารณา รวมทั้งจำนวนเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งจำเลยมีสิทธิเรียกร้องเอาได้

ให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยหรือบุคคลภายนอกซึ่งจำเลยมีสิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์สิน หรือการชดใช้บุญหรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง หรือมีคำสั่งอื่นในลักษณะเดียวกันภายในเขตอำนาจศาล หรือในเขตอำนาจศาลอื่นที่เกี่ยวข้อง

ให้ศาลสั่งให้จำเลยชำระเงิน พักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หรือการเพิกถอนการจดทะเบียนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลยหรือที่เกี่ยวกับการกระทำที่ถูกฟ้องร้องไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ให้บังคับและกำกับเจ้าพนักงานในระหว่างกระบวนพิจารณาไม่ให้ยักย้ายถ่ายเท หรือกระทำการใด ๆ ที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลย หรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง

มาตรา ๒๕๔/๒ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งตามมาตรา ๒๕๔ (๑) ต้องให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของศาล

(ก) กำหนดให้โจทก์หรือผู้ร้องขอวางเงินประกันหรือหลักประกันอื่นตามที่ศาลเห็นสมควร (ข) มีเหตุจำเป็นอันสมควรที่ศาลจะพิจารณาเห็นเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควร (ค) ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งตามมาตรา ๒๕๔ (๒) ต้องให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของศาล (ก) กำหนดให้โจทก์หรือผู้ร้องขอวางเงินประกันหรือหลักประกันอื่นตามที่ศาลเห็นสมควร (ข) มีเหตุจำเป็นอันสมควรที่ศาลจะพิจารณาเห็นเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควร

มาตรา ๒๕๔/๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๖๕

(ง) มีเหตุตาม (๑) (ก) หรือ (ข) (จ) ในกรณีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งตามมาตรา ๒๕๔ (๓) ต้องให้เป็นที่พอใจของศาลว่า (ก) เป็นที่น่ารังเกียจอย่างร้ายแรงต่อกันในการจัดการทรัพย์สิน แก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หรือเพิกถอนการจดทะเบียนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินส่วนตัวที่กระทบเกี่ยวกับการพิจารณาคดี หรือสุจริตการจัดการทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินส่วนตัว (ข) มีเหตุตาม (๑) (ก) หรือ (ข) (จ) ในกรณีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งตามมาตรา ๒๕๔ (๓) ต้องให้เป็นที่พอใจของศาลว่า เพื่อช่วยประวิงหรือขัดขวางการพิจารณาคดีหรือการบังคับตามคำบังคับใด ๆ ซึ่งอาจจะออกบังคับเองตามคำสั่งศาล หรือเพื่อจะทำให้เกิดเสียเปรียบ (ค) สายสะดวกไม่พร้อมจะไม่รับมอบหมายหรือคำสั่งของศาล (ง) ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปให้พ้นจากวงการพิจารณาคดีของศาลใด ๆ ซึ่งพิจารณาเห็นให้ชะลอเงินในหมายบังคับคดีในคดีที่มีประจักษ์ระหว่างเจ้าพนักงาน หรือทรัพย์สินที่พิพาท หรือทรัพย์สินส่วนตัวที่มีหมายบังคับคดี หรือเป็นที่น่ารังเกียจอย่างร้ายแรงต่อกันระหว่างคู่ความ หรือทรัพย์สินในหมายบังคับคดี หรือทรัพย์สินในบังคับคดี หรือ (ค) บรรดาคู่ความสิ้นสภาพชีวิตตามวิธีที่ศาลและประกอบการพิจารณาคดีหรือคำพิพากษาว่าจำเลยจะหลีกเลี่ยงหรือพ้นที่ได้ว่าคำพิพากษานั้นให้พ้นอำนาจศาล

มาตรา ๒๕๕ ในกรณีที่มีคำขอให้ศาลมีคำสั่งตามมาตรา ๒๕๔ (๓) หรือ (๔) ถ้าเห็นสมควรศาลอาจสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับตามคำขอได้

มาตรา ๒๕๖ ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งอนุญาตตามคำขอที่ได้ยื่นตามมาตรา ๒๕๔ ได้ภายในระยะเวลาซึ่งโดยปกติจะกำหนดไว้ได้ แล้วแต่จะเห็นสมควร

ในกรณีที่ศาลสั่งอนุญาตตามคำขอที่ได้ยื่นตามมาตรา ๒๕๔ (๔) ให้ศาลแจ้งคำสั่งนั้นให้จำเลยทราบ ในกรณีที่ศาลสั่งที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้ส่งมอบโอน ขาย ยักย้าย หรือจำหน่ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินส่วนตัวดังกล่าว ศาลอาจกำหนดวิธีการโดยเหมาะสมที่เห็นสมควรเพื่อป้องกันการอำพรางได้ ในกรณีที่ศาลสั่งที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดส่งมอบโอน ขาย ยักย้าย หรือจำหน่ายทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินส่วนตัวดังกล่าว ศาลอาจกำหนดวิธีการโดยเหมาะสมที่เห็นสมควรเพื่อป้องกันการอำพรางได้

มาตรา ๒๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒

มาตรา ๒๕๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการกระทำที่ลูกหนี้จะร้อง ให้ศาลแจ้งคำสั่งนั้นให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายทราบ และให้บุคคลดังกล่าวบันทึกสิ่งของตามคำสั่งในทะเบียน ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก่อนที่ศาลจะออกหมายยึด หมายอายัด หมายห้ามชำระหนี้ หมายจับ หรือคำสั่งใด ๆ ศาลจะสั่งให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการดำเนินการตามคำสั่ง เพื่อการชำระหนี้ในหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเจ้าหนี้ตามมาตรา ๒๓๓ ก็ได้

มาตรา ๒๕๔/๒ คำสั่งศาลซึ่งอนุญาตตามคำขอที่ได้ยื่นตามมาตรา ๒๕๔ (๒) นั้น ให้แจ้งคำสั่งนั้นให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการทราบโดยให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการ ซึ่งพิจารณาได้ว่าใครเป็นครอบครัวและเสียภาษีตอบแทนตามการแจ้งคำสั่งให้จ่ายเลยทราบได้

คำสั่งศาลซึ่งอนุญาตตามคำขอที่ได้ยื่นตามมาตรา ๒๕๔ (๒) ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่มีการยึดหรืออายัดไว้แล้วนั้น ให้แจ้งคำสั่งนั้นให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการทราบ เว้นแต่กรณีที่คำสั่งนั้นจะให้เพิกถอนการให้คำสั่งยึดหรืออายัดนั้นเสียหรือคำสั่งนั้นจะให้บังคับตามคำสั่งนั้นแล้ว พิพากษาทรัพย์สินบางอย่างนั้น ให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการที่เกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น หรือบุคคลอื่นผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายทราบและได้รับแจ้งคำสั่งนั้นแล้ว ให้ดำเนินการตามคำสั่งนั้น พิพากษาพฤติการณ์แห่งคดีแต่ละกรณีและการให้คำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินแก่บุคคลดังกล่าวให้ถือว่าได้บังคับแล้ว คำสั่งศาลซึ่งอนุญาตตามคำขอที่ได้ยื่นตามมาตรา ๒๕๔ (๓) ที่เกี่ยวกับการกระทำถูกฟ้องร้อง ให้แจ้งคำสั่งนั้นให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการทราบ และให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการหรือบุคคลดังกล่าวบันทึกสิ่งของตามคำสั่งในทะเบียน ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก่อนที่ศาลจะออกหมายยึด หมายอายัด หมายห้ามชำระหนี้ หมายจับ หรือคำสั่งใด ๆ ศาลจะสั่งให้เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการดำเนินการตามคำสั่ง เพื่อการชำระหนี้ในหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเจ้าหนี้ตามมาตรา ๒๓๓ ก็ได้

มาตรา ๒๕๔/๓ ทรัพย์ การที่จำเลยได้ก่อให้เกิด โอน หรือเปลี่ยนแปลงส่งสิทธิในทรัพย์สินพิพาท หรือทรัพย์สินของจำเลยภายหลังที่ศาลมีคำสั่งตามคำขอของเจ้าหนี้ให้ก่อ โอน ขาย ยักย้าย หรือจำหน่าย ซึ่งออกตามคำขอที่ได้ยื่นตามมาตรา ๒๕๔ (๒) มีผลใช้บังคับได้ ให้ถือว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับคำสั่งศาลได้ ให้ถือว่าการก่อ โอน ขาย หรือยักย้ายทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับคำสั่งศาลได้

การที่เจ้าพนักงานหรือพนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายรับจดทะเบียนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ หรือเกิดจากการจดทะเบียนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจำเลยภายหลังที่ศาลมีคำสั่งตามคำขอของเจ้าหนี้ตามมาตรา ๒๕๔ (๓) ให้ถือว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับคำสั่งศาลได้ และเสียค่าตอบแทนก่อนที่นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจะได้รับแจ้งคำสั่ง

มาตรา ๒๕๔/๒ ที่เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๒๕๔/๓ ที่เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๖๕ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา การที่นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลอื่นซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายรับจดทะเบียน หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หรือเพิกถอนการจดทะเบียนที่เกี่ยวกับการกระทำที่ถูกฟ้องร้องภายหลังที่บุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งคำสั่งของศาลที่ส่งออกตามคำขอให้เป็นตามมาตรา 254 (3) แล้วนั้น ยังไม่มีผลใช้บังคับตามกฎหมายในระหว่างใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา

มาตรา 254 ให้บังคับใช้เป็นการเฉพาะ แห่งการดำเนินการชั่วคราวก่อนพิพากษาหรือคำพิพากษาหรือคำสั่งในไปบังคับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาด้วยโดยปริยาย

มาตรา 255 ในกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งขาดตัดสินคดีได้โดยลำพังวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาที่ได้ใช้ไว้ในระหว่างการพิจารณา

(ก) ถ้าคำสั่งศาลดังกล่าวไม่อาจลงเป็นคำสั่งในคดีเดิมตามข้อยกหรือบางส่วนคำสั่งของศาลเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวในส่วนที่มีผลบังคับเฉพาะคดีนั้น ให้ถือว่าเป็นอันยกเลิกเมื่อมีบทบัญญัติเฉพาะแห่งบทบัญญัติวิธีการชั่วคราวที่ศาลกำหนดไว้ เช่นเดียวกับให้ยกเลิกคำขอที่เกี่ยวกับบทบัญญัติแห่งบทบัญญัติวิธีการชั่วคราว แสดงความประสงค์ของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความทั้งสองฝ่ายที่มีผลบังคับเฉพาะคดีนั้น (ข) ถ้าคำสั่งศาลดังกล่าวมีผลบังคับในกรณีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งขาดตัดสินคดีได้โดยลำพังวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ให้ถือว่าคำสั่งนั้นมีผลบังคับในกรณีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งขาดตัดสินคดีได้โดยลำพังวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา

มาตรา 256 จำเลยหรือบุคคลรายนอกซึ่งได้รับหมายเรียก หมายอายัด หรือคำสั่งตามมาตรา 254 (2) หรือ (3) หรือจะต้องเสียหายเพราะหมายเรียก หมายอายัด หรือคำสั่งดังกล่าว อาจมีคำขอต่อศาลให้ถอนหมาย เก็บถอนคำสั่ง หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่ง หมายเรียก หรือหมายอายัด ซึ่งอาจมีผลบังคับลำพังได้ แต่บุคคลดังกล่าวนั้นจะต้องไม่ยอมให้ยึดทรัพย์สินที่ยึด หรือผิดคำสั่งคำสั่งที่เกี่ยวกับหมายอายัด หรือหมายอายัด 254 แล้วศาลมีคำสั่งให้ถอนอยู่แล้ว

จำเลยหรือบุคคลรายนอกอาจมีคำขอต่อศาลให้ถอนคำสั่งตามมาตรา 254 (4) อาจมีคำขอต่อศาลให้ถอนคำสั่งตามมาตรา หรือแก้ไขคำสั่งโดยไม่ต้องเป็นไปในเรื่องในข้อใดข้อหนึ่ง อาจกระทำโดยหลักเกณฑ์นั้นตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควรหรือไม่ก็ได้ ---

มาตรา 254 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2543

มาตรา 255 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2543

มาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2543

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถ้าปรากฏว่าวิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๒๕๔ นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประกอบอื่น ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตแก่จำเลยหรือจำเลยที่ส่งไปตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ได้ ทั้งนี้ ศาลอาจกำหนดให้จำเลยไม่ต้องกระทำหรือกระทำบางประการในระหว่างงาน และภายในระยะเวลาที่เห็นสมควรหรือจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้เมื่อกรณีเช่นนี้เป็นการฟ้องเรียกเงิน ห้ามไม่ให้ศาลเรียกประกันเกินกว่าจำนวนเงินฟ้องรวมค่าฤชาธรรมเนียม

มาตรา ๒๕๖/๒ ถ้าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ศาลอาศัยเป็นหลักในการมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอไปด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้นโดยจำเลยนั้นเปลี่ยนแปลงไป เมื่อมีเหตุอันสมควร ศาลจะเรียกจำเลยหรือบุคคลตามคำขอที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕๖/๑ มาศาลอาจสั่งตามที่อยู่ในระหว่างการสอบจะกำหนดเงื่อนไขหรือแก้เงื่อนไขก็ได้

ในระหว่างระยะเวลานั้นเมื่อศาลสั่งยกหรือถอนคำสั่งเดิมหรือคำสั่งใหม่ตามมาตรา ๒๕๖/๑ ซึ่งจำคดีหรือชื่อจำเลยหรือบุคคลที่ศาลสั่งนั้นได้ส่งตามความที่ศาลสั่งหรือวิธีการไปยังศาลอุทธรณ์หรือฎีกา แล้วศาลมีคำสั่งตามมาตรานี้ให้ยกคำสั่งนั้นและให้เป็นอำนาจของศาลนั้นที่จะมีคำสั่งดังกล่าวขึ้นมาใหม่ได้อีก

มาตรา ๒๕๖/๓ ในกรณีที่ศาลได้สั่งยกหรือถอนคำสั่งเดิมหรือคำสั่งใหม่ตามมาตรา ๒๕๖/๑ หรือมาตรา ๒๕๖/๒ แล้วศาลจะมีคำสั่งให้จำเลยหรือบุคคลตามคำขอที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕๖/๑ หรือมาตรา ๒๕๖/๒ ปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวนั้น ต่อไปหรือไม่ก็ได้โดยให้ศาลมีคำสั่งในกรณีเช่นนี้แต่ในกรณีต่อไปนี้

(ก) คดีนั้นศาลตัดสินให้จำเลยหรือบุคคลนั้นมีความผิดและให้จำเลยหรือบุคคลนั้นมีความแพ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้น (ข) ไม่ว่าคำสั่งที่ศาลจะยกคำสั่งเดิมไปทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนก็ดี ถ้าปรากฏว่าศาลมีคำสั่งโดยมีความเห็นควรไปว่าวิธีการเช่นว่านี้มีเหตุผลเพียงพอ โดยความผิดหรือเส้นอย่างอื่น เมื่อได้มีคำขอจากอรรถคดีหนึ่ง ศาลมีอำนาจสั่งให้แยกการพิจารณาเป็นจำนวนต่างหากจากคดีเดิม และเมื่อมีคำขอจากการไต่สวนแล้วศาลเห็นสมควร อำนาจที่ศาลสั่งให้จำเลยหรือบุคคลนั้นตามเดิมให้แก่จำเลยหรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควร อาจกำหนดให้จำเลยหรือบุคคลนั้นปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวเป็นการชั่วคราวก็ได้ เมื่อศาลสั่งนั้นให้จำเลยหรือบุคคลนั้น ให้ส่งสำเนาให้แก่อธิบดีกรมราชทัณฑ์แล้วแต่กรณีในชั้นนี้ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปอีก ทั้งการไต่สวนที่ศาลสั่งให้จำเลยหรือบุคคลนั้นปฏิบัติตามเดิมจนกว่าศาลจะมีคำสั่งใหม่ ให้จำเลยหรือบุคคลนั้นปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวนั้นต่อไปอีก คำสั่งของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ตามวรรคสอง ให้ศาลอุทธรณ์หรือฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์หรือฎีกา

มาตรา ๒๕๖/๒ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๒๕๖/๓ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๒๕๔/๔ นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕๔ และมาตรา ๒๕๔/๓ คู่ความของคู่พิพาทอาจยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่พิพาทในระหว่างการพิจารณาคดีหรือเพื่อรับฟังคดีพิพาท เช่น ให้เก็บทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาฝากต่อศาลหรือหน่วยงานกลางก่อน หรือให้ผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกระทำพิพาท หรือให้ออกให้บุคคลใดประกาศขายทอดในความปกครองของบุคคลกลาง

คำสั่งของศาลตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามมาตรา ๒๕๔ วรรคสอง และมาตรา ๒๕๔/๓ วรรคสอง

มาตรา ๒๕๔ และมาตรา ๒๕๔/๓

มาตรา ๒๕๔/๕ ในกรณีที่ศาลสั่งยอมรับเอาบุคคลเป็นโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้ และบุคคลนั้นแสดงเจตจำนงของตนไว้แล้วว่าจะทำให้เกิดเสียเปรียบ หรือจะหลีกเลี่ยง หลีกล้าง หรือกระทำให้เกิดข้อขัดขวางปฏิบัติตามหน้าที่ของตน ให้ศาลบัญญัติแห่งหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด ๒ คำขอในเหตุฉุกเฉิน

มาตรา ๒๕๔/๖ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินเมื่อมีโจทก์ยื่นคำขอตามมาตรา ๒๕๔ โจทก์จะยื่นคำร้องรวมไปเพื่อให้ศาลสั่งหรือวินิจฉัยข้อพิพาทที่ขอโดยไม่ล่าช้าก็ได้

เมื่อได้รับคำร้องเช่นว่านี้แล้ว ให้ศาลระลึกและพิจารณาโดยเร็ว ให้คู่ความในคดีนั้นรับบางบัญญัติแห่งมาตรา ๒๕๔ มาตรา ๒๕๔/๓ และมาตรา ๒๕๔/๔

มาตรา ๒๕๔/๗ ให้ศาลพิจารณาคำขอเป็นการด่วน ถ้าเป็นที่พึงใจจากคำแถลงของโจทก์หรือพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสนับสนุน หรือศาลได้เรียกสืบสวนว่าคดีนั้นเป็นเหตุฉุกเฉิน และคำขอนั้นสมเหตุสมผลควรเป็นเช่นวัง ให้ศาลสั่งสำเร็จออกหมายโดยภายในของเขตและเงื่อนไขไปตามที่เห็นจำเป็นเท่านั้น ถ้าศาลสั่งสำเร็จให้ยกคำขอ คำสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด

จำเลยอาจยื่นคำขอโดยพลัน ให้ศาลยกเลิกคำสั่งหรือวางเงื่อนไขเสีย และให้บังคับบัญญัติแห่งระวางหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม คำขอนั้นต้องยื่นภายในกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตตามควร ถ้าศาลสั่งสำเร็จตามคำขอคำขอนั้นให้เป็นที่สุด การที่ศาลสั่งยกคำขอในเหตุฉุกเฉินหรือยกเลิกคำสั่งที่ได้ออกตามคำขอในเหตุฉุกเฉิน

มาตรา ๒๕๔/๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๒๕๔/๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๕

มาตรา ๒๕๔/๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๕

``` - 122 - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นั้น ย่อมไม่ตัดสิทธิ์โจทก์ที่จะเสนอคำขอตามมาตรา 254 นั้นใหม่

มาตรา 252 ในกรณีที่คำขอในเหตุฉุกเฉิน ให้ศาลสั่งอนุญาตหรือไม่สั่งตามที่เห็นว่าสมควรโดยไม่ต้องฟังพยานหรือไม่ ส่วนวิธีการที่ศาลจะดำเนินนั้น หากจำเป็นต้องเสียสิทธิของคู่ความในประเด็นแห่งคดี ก็ให้เสียเฉพาะที่จำเป็นแก่กรณี

มาตรา 253 คำสั่งศาลที่สั่งอนุญาตตามคำขอในเหตุฉุกเฉินนั้น ให้ถือเป็นคำสั่งตามที่บัญญัติในมาตรา 254 และมาตรา 255 ด้วย ทั้งนี้ ศาลจะสั่งเช่นใดให้ถือการรับฟังไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่รวมคำขอไว้ทุกกรณี

มาตรา 254 บทบัญญัติในหมวดนี้ ให้ใช้บังคับแก่คำขออื่น ๆ นอกจากคำขอตามมาตรา 254 ไว้ด้วยโดยอนุโลมตามที่ศาลเห็นสมควรและไม่ขัดต่อบทบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง

ลักษณะ 12

การรับคำคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่ง

หมวด 3

หลักทั่วไป

ส่วนที่ 1

ศาลที่มีอำนาจในการรับคัดค้าน

มาตรา 255 ศาลที่มีอำนาจในการรับคัดค้านคดีซึ่งมีอำนาจกำหนดวิธีการรับคัดค้านตามมาตรา 255 และมีอำนาจพิจารณาข้อเท็จจริงหรือคำสั่งในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการรับคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่ง คือศาลที่ได้พิจารณาตัดสินคดีในชั้นต้น หรือศาลที่มีตามกฎหมายบัญญัติ

มาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542

มาตรา 257 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542

มาตรา 258 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542

มาตรา 259 การรับคำคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา 256 ถึงมาตรา 259 มีลักษณะเป็นการรับคำคัดค้านโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542

``` ถ้าศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาได้ส่งคำสั่งเปลี่ยนคำสั่งชั้นต้นแห่งที่มีได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์และจากคำสั่งตามมาตรา ๒๓ (๒) และ (๓) ให้ศาลที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นเป็นศาลที่รับผิดชอบในการบังคับคดี เว้นแต่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี จะได้กำหนดให้เป็นอย่างอื่น ในกรณีที่ต้องบังคับคดีตามคำสั่งศาล ให้ศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีมีอำนาจตั้งให้ศาลอื่นบังคับคดีแทนได้ หรือมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่รายงานให้ศาลทราบถึงการบังคับคดีแทนทรัพย์หรือข้อขัดข้องในการบังคับคดีทั้งหมด วิธีการบังคับคดี ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลดังกล่าวแจ้งให้ศาลที่มีอำนาจบังคับคดีโดยไม่ชักช้า และให้ศาลผู้มีอำนาจบังคับคดีแต่งเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อไป ถ้าเป็นการยึดทรัพย์หรืออายัดทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้อง ให้ศาลที่บังคับคดีแต่งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการไปตามคำสั่งศาลที่มีอำนาจบังคับคดีนั้น แล้วแต่กรณี ไปยังศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีต่อไป ในกรณีที่มีการบังคับคดีตามคำสั่งศาลโดยความผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ให้ศาลที่บังคับคดีแทนมีอำนาจแจ้งหรือยกเลิกการบังคับคดีนั้นได้ในระหว่างวิธีการบังคับคดีนั้นหรือวิธีการบังคับคดีใด ๆ โดยเฉพาะ หรือมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานหรือวิธีการอื่นใดแก้ไขการบังคับคดีเพื่อเป็นการบังคับคดีให้เป็นธรรมและเป็นไปตามคำสั่งศาลที่มีอำนาจบังคับคดีนั้น ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลที่มีอำนาจบังคับคดีนั้น คำบังคับ

มาตรา ๒๒๒/๒ ถ้าศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ให้หลีกออกจากบังคับคดีที่ได้อ่านหรือข้อใดข้อหนึ่งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และให้ถือว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ครบกำหนดบังคับคดีแล้วในวันนั้น

ในกรณีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำพิพากษา หมายความ หรือรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยบุคคลที่ได้รับคำพิพากษาหรือคำสั่ง มีได้อยู่ในศาลในเวลาที่ออกคำบังคับ ให้บังคับตามมาตรา ๑๕๔ ทวิ หรือมาตรา ๒๘๗ แล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๒๒/๓ ถ้าคำบังคับได้กำหนดให้ใช้เงิน หรือให้ส่งทรัพย์สิน หรือให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างใด ๆ ให้ศาลระบุไว้ในคำบังคับเป็นเงื่อนไข ซึ่งระยะเวลาและ

มาตรา ๒๒๒/๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒๒๒/๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

เนื้อหาในภาพ: - 125 - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เงื่อนไขอื่น ๆ อันจะต้องใช้เงิน ส่งทรัพย์สิน กระทำการ หรือเว้นกระทำการใด ๆ นั้น แต่ถ้าเป็นศิลปินสาธารณะไม่ว่าจะโดยให้เวลาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเกินกว่ากำหนดนั้นเพื่อจะปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ในกรณีที่มีเหตุความจำเป็น วรรคสอง ให้ศาลให้เวลาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งไม่เกินกว่าหกเดือน ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เริ่มนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง พิพากษาให้การบังคับคดีนั้นได้กระทำได้ในเขตหรือในเวลาที่ออกคำบังคับหรือในภายหลังตามให้เป็นไปในวันที่ศาลมีคำสั่งและศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ในระหว่างระยะเวลาตามความในวรรคหนึ่งไม่กระทบต่อการปฏิบัติการหรือเงื่อนไขใด ๆ ในคำบังคับไม่ใช่เงื่อนไข ให้ศาลมีคำสั่งให้การบังคับคดีนั้นอยู่ในดุลยพินิจของศาลให้ศาลสั่งกำหนดวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อผู้บังคับคดีจะได้รับประโยชน์ของตนก็ได้ ในกรณีที่ศาลสั่งสิ่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคสี่แล้ว คำสั่งนั้นย่อมมีผลต่อไปเท่าที่จำเป็นแก่การปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ๆ แต่หากคำสั่งนั้นคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นจะกลับกลายไปในทางที่เป็นคุณแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เป็นไปในทางนั้นย่อมให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้ถือว่าคำสั่งนั้นเป็นอันยกเลิกเมื่อมีเงื่อนไขระยะเวลาเช่นว่านั้น

ส่วนที่ 3 การขอบังคับคดี

มาตรา 284 พิพากษาหรือคำสั่งให้จำระหนี้ (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้รับประโยชน์ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ย่อมมีสิทธิร้องขอให้การบังคับคดีโดยวิธีการหรือยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์หรือขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นตามที่บัญญัติแห่งกฎหมายในส่วนนี้ในวันที่มีคำสั่งพิพากษาหรือคำสั่ง และถ้าคำบังคับตามคำพิพากษาใช้ระยะเวลาให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องขออายัดหรือยึดทรัพย์หรือร้องขอวิธีการใด ๆ ให้ร้องขอได้ในกำหนดวันคดีและวิธีใด ๆ ในส่วนที่ศาลเห็นสมควรให้การบังคับคดีนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ๆ

ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลให้กระทำให้ระยะเวลา เป็นการละเมิด หรือเป็นรายปีหรือกำหนดให้กระทำการใด ๆ ให้ศาลมีคำสั่งให้การบังคับคดีนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ๆ ถ้าลืมเรียกร้องตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นการให้ทรัพย์สิน ให้ทรัพย์สิน หรือส่งมอบทรัพย์สินแก่บุคคลที่ได้รับโดยตรงหรือรับส่งมอบทรัพย์สินตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ๆ ตามความในมาตรา 2 การบังคับคดีในกรณีที่เป็นเช่นนั้น หรือหากขาด การบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืนต่อไปจนเสร็จสิ้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มาตรา 125/4 ถ้าเจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาจะขอให้มีการบังคับคดี ให้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลให้บังคับคดีโดยระบุให้ชัดแจ้งถึง

1

ที่มูลคำพิพากษาที่เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติการบังคับคดี

2

วิธีการที่ขอให้ดำเนินการบังคับคดี ในระหว่างที่ศาลยังมิได้กำหนดวิธีการบังคับคดีตามที่เจ้าหน้าที่ขอไว้ตามวรรคหนึ่ง ถ้ามีเหตุจำเป็น เจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอแยกต่อศาลเพื่อขอให้ศาลกำหนดวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ผู้ต้องครบประโยชน์ในมูลแห่งคำพิพากษาได้ก่อน และศาลอาจมีคำสั่งอนุญาตโดยไม่ต้องไต่สวนก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ ถ้าศาลมีคำสั่งอนุญาต เจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งอนุญาตดังกล่าวได้ คำขอยกเลิกคำสั่งอนุญาตฝ่ายเดียวไม่ต้องไต่สวนก็ได้ คำสั่งของศาลตามวรรคนี้ให้เป็นที่สุด ในกรณีที่ศาลสั่งให้ผู้ต้องครบประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาตามวรรคสองแล้ว คำสั่งนั้นย่อมมีผลราวกับเป็นคำสั่งในปฏิบัติการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล

ส่วนที่ 4

การพิจารณาคำขอบังคับคดี

มาตรา 125/5 เมื่อเจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษายื่นคำขอบังคับคดี ศาลตามที่ระบุในคำขอนั้นตามคำพิพากษาได้ทราบหรือถือว่าได้ทราบคำขอบังคับแล้ว ทั้งระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นได้สิ้นสุดลงไปแล้ว และศาลอาจมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินการตามวิธีการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้และตามมาตรา 23 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังต่อไปนี้

(ก) ถ้าการบังคับคดีต้องทำโดยการนำเจ้าหน้าที่บังคับคดี ให้ศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าหน้าที่บังคับคดีและแจ้งให้เจ้าหน้าที่บังคับคดีทราบเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามที่กำหนดไว้ในหมายบังคับ (ข) ถ้าการบังคับคดีต้องทำโดยวิธีใดที่มิใช่ต้องใช้เจ้าหน้าที่บังคับคดี ให้ศาลสั่งการให้ดำเนินการวิธีการที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ในคำขอบังคับคดีหรือคำขอเพิ่มเติม (ค) ถ้าเห็นว่าการบังคับคดีตามคำขอไม่อาจกระทำได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาแก้ไขคำขอบังคับคดีหรือคำขอเพิ่มเติม หรือให้ดำเนินการตามที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา 125/6 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

มาตรา 125/7 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

ในคดีโน้มน้าว ก่อนออกหมายจับคดี หากศาลเห็นเป็นการสมควร ศาลจะออกหมายเรียกบุคคลที่ต้องคำพิพากษาหรือบุคคลซึ่งมีเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาเพื่อพิจารณาสอบสวนตรวจสอบการปฏิบัติตามคำพิพากษา หรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่ผู้ขอจับคดีต้องให้คำในการร้องขอว่ามีเหตุอันใดเกี่ยวกับการจับคดี หากมีเหตุหรือจำเป็นสมควรจับคดีแก่ทรัพย์สินใดหรือมีเหตุสมควรอย่างอื่นซึ่งอาจมีผลต่อบุคคลภายนอกที่อาจได้รับความเสียหายจากการจับคดีนั้น ศาลอาจกำหนดจำนวนเงินหรือเงื่อนไขอื่นใดเพื่อให้ผู้ขอจับคดีนำมาวางไว้ต่อศาลหรือออกคำสั่งให้ผู้ขอจับคดีนั้นปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลสั่งเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าเสียหายอันเกิดจากการจับคดีนั้นแก่ผู้ขอจับคดีในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่มีความจำเป็นหรือสมควรอย่างอื่นในการจับคดีนั้นก็ได้ คำสั่งของศาลวรรณะให้เป็นที่สุด ในกรณีตามวรรคสาม ถ้าศาลวินิจฉัยว่าการจับคดีไม่ควรตามความผิดหรือเลินเล่อของผู้ขอจับคดี ผู้ที่ได้รับความเสียหายอาจร้องขอต่อศาลภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งในการจับคดีนั้นเพื่อเรียกค่าเสียหายจากผู้ขอจับคดีได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้ศาลกำหนดจำนวนเงินหรือเงื่อนไขอื่นใดเพื่อให้ผู้ขอจับคดีนำมาวางไว้ต่อศาลหรือออกคำสั่งให้ผู้ขอจับคดีนั้นปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลสั่งเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าเสียหายอันเกิดจากการจับคดีนั้นแก่ผู้ขอจับคดีในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่มีความจำเป็นหรือสมควรอย่างอื่นในการจับคดีนั้นก็ได้ คำสั่งของศาลวรรณะให้เป็นที่สุด

ส่วนที่ ๔

การร้องให้ศาลไต่สวนเกี่ยวกับการจับคดีและทรัพย์สินตามคำพิพากษา

มาตรา ๒๘๗/๔ ในการจับคดี ถ้าเจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาเห็นควรเชื่อได้ว่าผู้ตามคำพิพากษามีทรัพย์สินที่จำต้องถูกจับคดีมากกว่าที่ตามทราบ หรือว่าทรัพย์สินที่จำต้องถูกจับคดีแต่ไม่ทราบว่าทรัพย์สินนั้นอยู่ที่ใดหรือเก็บรักษาไว้ที่ใด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์สินใดเป็นของบุคคลที่ไม่ถูกตามคำพิพากษาหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอไปยังศาลโดยทำเป็นคำร้องเพื่อให้ศาลวินิจฉัยในเรื่องนั้น

เมื่อมีคำร้องตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่การจับคดีในคดีโน้มน้าว ศาลอาจออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษาหรือบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นมาให้ถ้อยคำอันจะเป็นประโยชน์แก่การตรวจสอบและพิสูจน์ทรัพย์สินที่ต้องจับคดีในฐานะทรัพย์สินของผู้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ ตามคำขอและเงื่อนไขใด ๆ ที่เห็นสมควร

ส่วนที่ ๕

อำนาจทั่วไปของเจ้าพนักงานจับคดี

มาตรา ๒๘๗/๕ ให้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒๘๔/๒๕ เมื่อศาลได้ออกหมายจับหรือคำสั่งเจ้าพนักงานจับกุมแล้ว ให้เจ้าพนักงานจับกุมซึ่งอาจเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายใดก็ตามดำเนินการจับกุมให้เป็นไปตามที่ศาลกำหนดไว้ในหมายจับหรือคำสั่งและตามหลักเกณฑ์ในลักษณะ ๒ แห่งภาคนี้ ทั้งนี้ จะเรียกให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ช่วยเหลือก็ได้ ครั้งเดียวกันเจ้าพนักงานจับกุมในการดำเนินการจับกุมต้องกล่าวระบุเหตุผลไว้ด้วย

ให้เจ้าพนักงานจับกุมจัดการจับกุมในรูปแบบที่เหมาะสมต่อหน้าที่และอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานจับกุม และให้เจ้าพนักงานจับกุมแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบโดยเร็วที่สุดหลังจากการจับกุม เงินที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือบุคคลที่ถูกควบคุมตัวมาโดยมิใช่เป็นผลจากการยึดหรืออายัด ให้ปฏิบัติว่าด้วยหลักเกณฑ์ทางบัญชีของจับกุม เว้นแต่ในกรณีที่เจ้าพนักงานจับกุมต้องดำเนินการตามมาตรา ๒๘๔ อยู่ก่อนแล้วในขณะที่มีการจับกุมเงินนั้น ก็ให้ถือว่าเป็นเงินที่ได้ยึดหรืออายัดตามบทบัญญัติในลักษณะ ๒ แห่งภาคนี้ ทั้งนี้ จะต้องมีการบันทึกไว้ในบันทึกจับกุม ให้เจ้าพนักงานจับกุมจัดทำบันทึกวิธีการจับกุมที่เจ้าพนักงานจับกุมได้จัดทำไปและเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย แล้วรายงานต่อศาลเสียโดยเร็ว ๆ ไป ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานจับกุม เจ้าพนักงานจับกุมต้องสอบถามคนที่บุคคลอื่นรู้จักการแนะนำได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้คำสรรพอรรถแปลเจ้าพนักงานจับกุมคดีตามมาตรา ๖ ขยายรวมถึงกฎหมายนี้ เพื่อให้เจ้าพนักงานจับกุมคดีตามมาตรา ๖ มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงการคลัง

มาตรา ๒๘๔/๒๖ ให้เจ้าพนักงานจับกุมจัดรักษาไว้โดยปลอดภัยซึ่งเงิน ทรัพย์สิน และเอกสารที่ได้มาจากอำนาจหน้าที่ของตน รวมทั้งให้อำนาจจับกุมว่ามีบุคคลใดขอต่อศาลเกี่ยวข้องโดยชอบด้วยกฎหมายกับเงินหรือทรัพย์สินหรือเอกสารเช่นว่านั้น ตลอดจนมีอำนาจติดตามและเอาคืนเงินหรือทรัพย์สินหรือเอกสารที่กล่าวมาจากบุคคลผู้ไม่สุจริตถือครองไว้

ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เมื่อมีคำสั่งศาลแล้ว ให้เจ้าพนักงานจับกุมดำเนินการแจ้งให้พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนช่วยเหลือได้ ในกรณีเช่นนี้ พนักงานในสังกัดกระทรวงมีอำนาจบังคับและควบคุมผู้ต้องหาเกี่ยวข้องหรือผู้ไม่สุจริตจะอธิบายความวรรคหนึ่งได้ทำหน้าที่เป็นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานจับกุมคดี หมายเหตุ มาตรา ๒๘๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ หมายเหตุ มาตรา ๒๘๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒๐๖/๒๖ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจส่งเอกสารเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ และให้กระทำการส่งเอกสารนั้นรวมไปถึงการบังคับคดีด้วย ทั้งนี้ ให้บังคับบัญญัติมาตรา ๒๖ มาตรา ๓๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๗๒ มาตรา ๗๗ มาตรา ๘๐ และมาตรา ๘๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

นอกจากการส่งเอกสารตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งเอกสารดังกล่าวให้ส่งโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีส่งเองหรือมอบให้ส่งโดยวิธีแบบใดก็ได้ กล่าวคือ เปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้ให้บุคคลที่รับเอกสารนั้นจากการงานของบุคคลผู้มีอาชีพอยู่ในใบเอกสารหรือมอบเอกสารในที่ทำงานฝ่ายปกครองหรือทหารหรือในประเทศและการที่ได้มอบเอกสารดังกล่าวแล้ว หรือส่งเอกสาร หรือมอบให้ส่งเอกสารในที่ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ส่งให้ต่อเนื่องกันตามลำดับชั้นหรือระยะเวลาตามความเหมาะสมที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร และให้ถือว่าการส่งเอกสารหรือการมอบเอกสารนั้นเป็นการแสดงการยอมรับแล้วในเรื่องการโฆษณาในวิธีอื่นใดตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นให้ทำหรือได้จัดทำแล้ว การส่งเอกสารให้แก่บุคคลที่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร หรือภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศของบุคคลดังกล่าวอาจหมายถึงการส่งเอกสารนั้นไปยังที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือที่อยู่ในต่างประเทศ หรือที่อยู่ในประเทศที่มีการส่งพิสูจน์หรือการส่งเอกสาร หรือโดยการส่งเอกสารไปยังที่อยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร และให้ถือว่าการส่งเอกสารนั้นเป็นการแสดงการยอมรับแล้วในเรื่องการโฆษณาในวิธีอื่นใดตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นให้ทำหรือได้จัดทำแล้ว

มาตรา ๒๐๖/๒๗ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องดำเนินการบังคับคดีในหน้าที่การงานปกติในเวลาราชการพระราชกฤษฎีกาและพระราชกฤษฎีกา ถ้าไม่แล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนดนั้นและสมควรจะกระทำต่อไปในเวลาสำหรับพระราชกฤษฎีกา

ในกรณีที่มีความจำเป็นและสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ดำเนินการบังคับคดีนอกวันทำการงานปกติในเวลาสำหรับพระราชกฤษฎีกาได้ ในการดำเนินการบังคับคดีในหน้าที่การงานปกติ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหมายถึงการบังคับคดีให้ถูกต้องตามคำพิพากษา ผู้ครอบครองหรือผู้ดูแลทรัพย์สินของลูกหนี้คดีทรัพย์สิน ถ้าบุคคลดังกล่าวไม่อยู่หรือไม่อาจพบหมายถึงลูกหนี้คดีลูกหนี้คดีอาจให้ดำเนินการใด ๆ ให้เจ้าพนักงาน (พระราชบัญญัติ) มาตรา ๒๐๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ (พระราชบัญญัติ) มาตรา ๒๐๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา บังคับคดีให้ตามหมายบังคับคดีไว้เท่าที่ได้จ่าย ณ สถานที่ที่ดำเนินการบังคับคดีนั้น ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ถือว่าเป็นการแสดงหมายบังคับคดีให้บุคคลดังกล่าวทราบแล้ว

มาตรา ๒๕๔ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบัญชี เอกสาร ตำหนิ หรือวัตถุอื่นใดเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ในสถานที่ใด ๆ ที่ศาลมีเขตอำนาจหรืออยู่นอกราชอาณาจักร ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอหมายค้นต่อศาลที่มีเขตอำนาจตรวจและยึดบัญชี เอกสาร ตำหนิ หรือวัตถุอื่นใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นมาเพื่อการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๒๕๔/๑ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบัญชี เอกสาร ตำหนิ หรือวัตถุอื่นใดเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ในสถานที่ของบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา และบุคคลนั้นไม่ยินยอมให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าตรวจค้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอหมายค้นต่อศาลเพื่อให้สามารถเข้าตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวได้ หากศาลเห็นสมควรให้มีการตรวจค้น ให้ศาลออกหมายค้นเพื่อการตรวจค้นดังกล่าวได้ ทั้งนี้ การตรวจค้นต้องกระทำในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลให้กระทำในเวลาอื่นได้

มาตรา ๒๕๔/๒ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบัญชี เอกสาร ตำหนิ หรือวัตถุอื่นใดเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ในสถานที่ของบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา และบุคคลนั้นไม่ยินยอมให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าตรวจค้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอหมายค้นต่อศาลเพื่อให้สามารถเข้าตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวได้ หากศาลเห็นสมควรให้มีการตรวจค้น ให้ศาลออกหมายค้นเพื่อการตรวจค้นดังกล่าวได้ ทั้งนี้ การตรวจค้นต้องกระทำในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลให้กระทำในเวลาอื่นได้

มาตรา ๒๕๕ ความรับผิดทางละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลภายนอกเพื่อความเสียหายที่เกิดจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการยึด อายัด หรือขายทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี ให้การรับผิดดังกล่าวอยู่ในกรณีที่มิใช่ความเสียหายอันเกิดจากการบังคับคดี แต่ถ้าอยู่ในกรณีที่เกิดจากคำพิพากษา ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือเจ้าหน้าที่กระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้

มาตรา ๒๕๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒๕๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

ในกรณีที่ศาลรับผิดตามคำขอที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง และเป็นเรื่องความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ การใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่หรือความรับผิดทางอาญาอื่นใดบุคคลใด ให้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมทำลายหรือยกเลิกสิทธิเรียกร้องหรือยกเลิกทรัพย์หรืออายัด หรือไม่ขายทรัพย์สิน หรือไม่แจ้งการบังคับคดีให้ศาลทราบ หรือไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดภายในเวลาที่ควรโดยไม่มีเหตุอันควร ศาลตามความระวังระไวของศาล รูปแบบใด ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับความเสียหาย ให้ถือความในวรรคสองนี้เป็นข้อยกเว้น

มาตรา ๒๘/๒ ในกรณีที่มีความจำเป็นบางประการที่บัญญัติให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในบัญชีของผู้มีส่วนในการดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอื่นที่ไม่ใช่ศาลยุติธรรม คำว่า ศาลยุติธรรม ตามมาตรา ๒๘/๑ วรรคสอง ให้หมายถึงศาลนั้น

ส่วนที่ ๗

ผู้เสียหายได้เสียในการบังคับคดี

มาตรา ๒๙ บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ได้แก่

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา และในกรณีที่มีการขายทอดตลาดสิทธิเรียกร้อง ให้รวมถึงผู้ซื้อสิทธิเรียกร้องด้วย

บุคคลซึ่งไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือผู้ซื้อสิทธิเรียกร้อง แต่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกบังคับคดี

บุคคลซึ่งไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือผู้ซื้อสิทธิเรียกร้อง แต่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกบังคับคดี

บุคคลอื่นซึ่งได้รับความเสียหายเพราะเหตุแห่งการดำเนินการบังคับคดีนั้น

มาตรา ๒๙/๑ ในกรณีที่มีความจำเป็นบางประการหรือมีบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้แล้ว ให้ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมีสิทธิที่จะตั้งต่อไปนี้

อยู่ในฐานะใดในฐานะหนึ่งในการดำเนินการบังคับคดีที่มีส่วนได้เสีย แต่ต้องไม่ทำการป้องกันหรือขัดขวางการบังคับคดี รวมทั้งการขัดขวางบุคคลผู้มีส่วนในการขายทอดตลาด

มาตรา ๒๙/๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒๙/๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๐

8

ขออนุญาตตรวจหรือคัดสำเนาเอกสารอื่นเกี่ยวด้วยการบังคับคดีหรืองบทรัพย์ หรือขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเอกสารนั้นโดยเสียค่าธรรมเนียม ตามที่ระบุไว้ในตาราง 2 ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้

ส่วนที่ 8

การงดการบังคับคดี

มาตรา 206 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการบังคับคดีในกรณีดังต่อไปนี้

1

เมื่อศาลได้สั่งให้งดการบังคับคดีเพราะเหตุที่มีการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ และได้แจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 145 เบญจ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 207 ในกรณีหลังคำสั่ง ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่าตนเองได้รับความเสียหาย จากการยื่นคำร้องดังกล่าวและศาลพิจารณาแล้วเห็นควรรับฟังแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นมาเพื่อ ประวิงการบังคับคดี ศาลมีอำนาจสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาวางเงินหรือประกันตามที่ศาล เห็นสมควรภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด เพื่อเป็นประกันการชำระค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการยื่นคำร้องดังกล่าวและยกเลิกคำสั่งงดการบังคับคดีที่ได้มีคำสั่งไว้ก่อนหน้านั้นเมื่อมีการยื่นคำร้องนั้น หรือกำหนดวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อคุ้มครองอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้ ผู้ยื่นคำร้อง คำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ตามคำพิพากษา หรือคำสั่งในกรณีเช่นว่านั้นโดยไม่ต้องมีคำสั่งศาลอีก ศาลกำหนด (ก) เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องแจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าตน ถูกลงการบังคับคดีให้ชะระระยะเวลาที่กำหนดไว้หรือภายในระยะเวลาที่แจ้งไว้เองอย่างใดอย่างหนึ่งโดยได้รับความ ยินยอมเป็นหนังสือจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี (ข) เมื่อเจ้าหนี้ยื่นขอให้บังคับคดีไม่ปฏิบัติตามมาตรา 145 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งคำขอการงดการบังคับคดีไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียทราบโดยไม่ชักช้า เว้นแต่จะได้รับการบังคับคดีตามคำขอของบุคคล นั้นเอง

มาตรา 207 คำที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้การบังคับคดีไว้ โดยอ้างว่าตนยังไม่อาจทำให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ได้เนื่องจากมีเหตุอันสมควรที่มิใช่ ความจงใจหรือความประมาทเลินเล่อของตนไม่ว่าจะมีหรือมิใช่กรณี อายัด ขายทอดตลาด หรือจำหน่าย ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่น เพราะสามารถจะพิทักษ์ทรัพย์สินนั้นให้ได้

มาตรา 208 ให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติมในส่วนความสูญเสียหรือ ความแพ่ง (ฉบับที่ 60) พ.ศ. 2560

มาตรา 209 ให้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติมในส่วนความสูญเสียหรือ ความแพ่ง (ฉบับที่ 61) พ.ศ. 2560

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - 132 - ถ้าศาลเห็นว่าเนื้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้ ศาลอาจมีคำสั่งให้ผลการบังคับคดีให้สิ้นสุดลงชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ ทรัพย์ใดที่ได้ และศาลอาจมีคำสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาวางเงินหรือทรัพย์ประกันต่อศาลตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควรภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาและค่าเสียหายแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสำหรับความเสียหายที่อาจได้รับเนื่องจากเหตุขัดขวางในการบังคับคดีอันเกิดจากการที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวได้ คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด

มาตรา 262/2 ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีการบังคับคดีในเวลาที่คำสั่งของศาลให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้รับการอุทธรณ์ โดยศาลสั่งให้งดคำสั่งนั้นเองหรือโดยคำสั่งศาลในชั้นอุทธรณ์ที่มิใช่คำสั่งถึงที่สุด เนื่องจากระยะเวลาที่ให้การบังคับคดีสิ้นสุดลงนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว หรือมิได้เป็นไปตามคำสั่งศาลได้กำหนดไว้ หรือกลับคำสั่งศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมิอาจบังคับคดีในส่วนของการบังคับคดีต่อไปแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการบังคับคดีในเวลาตามมาตรา 154 (2) หรือ (3) แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือเจ้าของทรัพย์สินหรือเงินนั้นแล้วแต่กรณี หรือมิใช่เป็นไปตามเงื่อนไขที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้กำหนดให้ หรือเจ้าหนี้ผู้ร้องขอให้บังคับคดีไม่ปฏิบัติตามมาตรา 154 แล้ว

ส่วนที่ 8 การออกหมายจับคดี

มาตรา 262/3 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกหมายจับคดีในกรณีดังต่อไปนี้ (a) เมื่อศาลได้คำสั่งให้ถอนการบังคับคดีเนื่องจากลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นอุทธรณ์หรือฎีกาและได้วางเงินต่อศาลเป็นจำนวนของราคาที่คำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชำระหนี้และค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี หรือได้ทายประกันให้จนเป็นที่พอใจของศาลสำหรับจำนวนเงินเช่นว่านี้ (b) เมื่อศาลได้คำสั่งให้ถอนการบังคับคดีเนื่องจากคำพิพากษาในระหว่างบังคับคดีได้ถูกยกเลิกหรือแก้ไข หรือการบังคับคดีได้ถูกยกเลิก แต่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นยังคงมีผลบังคับอยู่ การบังคับคดีที่ถูกต้องในการต่อไปในกรณีเช่นว่านี้ให้กระทำโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี (c) เมื่อศาลได้คำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีตามมาตรา 262/1 หรือให้เพิกถอนการบังคับคดีตามมาตรา 154 และกฎหมายว่าด้วยวิธีการพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 (d) เมื่อศาลได้คำสั่งให้ถอนการบังคับคดีตามมาตรา 262/2

เมื่อคู่กรณีขอคำพิพากษาให้จ่ายเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือมูลหนี้ที่ชำระธรรมเนียมและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี

เมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ยื่นเงินหรือส่งมอบสิ่งอื่นไว้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามสละสิทธิในการรับคืนคำในกรณีเช่นนี้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นจะบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาสำหรับหนี้นั้นอีกไม่ได้

เมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ยื่นเงินหรือส่งมอบสิ่งอื่นไว้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามขอถอนการบังคับคดี

มาตรา ๒๘๔/๔ ถ้าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเคยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำความให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาส่งมอบให้การสิ้นสุดการบังคับคดีนั้นเสีย

มาตรา ๒๘๔/๕ ในกรณีที่มีทรัพย์หรือสิ่งอื่นไม่ใช่เงิน หรือในกรณีที่มีทรัพย์หรือสิ่งอื่นไม่ใช่เงิน หรืออาจให้ทรัพย์สินและไม่สามารถหรือจำหน่ายเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีออกบังคับคดีนั้นเองหรือโดยคำสั่งศาล และยังคงให้สิทธิหรืออาจไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้หรือจำคุกตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือมีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

ภายใต้บังคับมาตรา ๓๓๓ วรรคสาม ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีในทรัพย์สินตามคำพิพากษา หรือคำสั่งในคดีอาญา เมื่อศาลมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้คืนทรัพย์สินหรือเงินซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดไว้ตามคำพิพากษา หรือวางตามคำสั่งศาล หรือขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าว ให้แก่บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิด หรือบุคคลซึ่งมีสิทธิในทรัพย์สินหรือเงินนั้น ให้การบังคับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือเงินดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลง และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนทรัพย์สินหรือเงินดังกล่าวให้แก่บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิด หรือบุคคลซึ่งมีสิทธิในทรัพย์สินหรือเงินนั้นตามคำสั่งศาลโดยไม่ชักช้า การยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งหรือศาลอุทธรณ์จะกระทำได้ไม่ว่าในระหว่างการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ถ้าศาลเห็นว่าคำร้องนั้นมีมูลและยื่นมาเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ทั้งนี้ ผู้ยื่นคำร้องต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าตนเป็นผู้มีสิทธิในทรัพย์สินหรือเงินดังกล่าว หรือเป็นผู้เสียหายเนื่องจากการกระทำความผิด และคำร้องนั้นจะต้องยื่นต่อศาลในเขตอำนาจที่มีการบังคับคดีในระหว่างวิธีพิจารณาคดีนั้น เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเมื่อได้มีการดำเนินการดังต่อไปนี้

ในกรณีที่มีคำบังคับคดีให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน กระทำการ หรือขอรับกระทำการอย่างใด เมื่อได้มีการปฏิบัติตามคำบังคับคดีที่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน กระทำการ หรือขอรับกระทำการอย่างนั้นแล้ว และได้มีการปฏิบัติตามคำบังคับคดีที่ให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น ๆ ได้ แต่ยังไม่ได้มีการปฏิบัติตามคำบังคับคดีในส่วนใดแล้ว ให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเฉพาะในส่วนที่ปฏิบัติแล้ว

ในกรณีที่มีคำบังคับคดีให้ชำระหนี้ ให้ถือว่าเมื่อได้มีการปฏิบัติตามคำบังคับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับการชำระหนี้นั้นแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการปฏิบัติตามคำบังคับคดีในส่วนใด ให้ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงเฉพาะในส่วนที่ปฏิบัติแล้ว ในการยื่นคำร้องต่อศาลตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าทรัพย์สินนั้นไม่มีมูลละเมิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือทรัพย์สินนั้นเป็นของบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิด หรือเป็นของบุคคลซึ่งมีสิทธิในทรัพย์สินนั้น ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ยื่นคำร้องโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องที่ยื่นไว้ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ถ้าบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดหรือบุคคลซึ่งมีสิทธิในทรัพย์สินนั้นไม่ยื่นคำร้องภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องนั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้คืนทรัพย์สินหรือเงินแก่ผู้ยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ถือว่าการบังคับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือเงินนั้นเป็นอันสิ้นสุดลง

หมวด 2

การบังคับคดีในกรณีเป็นหนี้เงิน

ส่วนที่ 1

อำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี

มาตรา 282 ในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ชำระเงิน ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจบังคับคดีโดยวิธีดังต่อไปนี้

1

ยึดหรืออายัดของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

2

อายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่จะเรียกให้บุคคลภายนอกชำระเงินหรือส่งมอบหรือโอนทรัพย์สิน

3

อายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่จะเรียกให้บุคคลภายนอกชำระหนี้อย่างอื่นนอกจากที่กล่าวมาแล้วใน (2)

4

ขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้โดยวิธีอื่นที่ไม่ได้มีการยึดหรือการอายัดทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องให้ตกได้ต่อไป ในกรณีที่ยังไม่อาจยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ก่อนให้ทำเช่นนี้เป็น และถ้าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่บุคคลภายนอกส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำสั่งให้บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นชำระเงิน ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องเช่นนั้นแทนทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่จะต้องจดทะเบียนหรือโอนตามที่บัญญัติไว้ตามกฎหมาย ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำสั่งให้ผู้คัดครองให้จดทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่จดทะเบียนตามกฎหมายดำเนินการนั้นตามคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบัญชีคดีตามมาตรา 14 และมาตรา 130 (1) และ (2) มาตรา 282 บังคับโดยอนุโลม ในกรณีเช่นนี้อันสมควร เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจสั่งให้เลิก หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าวได้ โดยให้นำบทบัญญัติมาตรา 282 และมาตรา 282 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุอื่นใดที่ทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาได้เลยไม่ว่าในกรณีอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งแก่ศาลที่มีคำพิพากษาเพื่อสั่งการส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

มาตรา ๒๕๔/๒๙ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจบังคับคดีเอาทรัพย์สินตั้งต่อไปนี้เพื่อชำระหนี้บุคคลผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา

สินสมรสของคู่สมรสของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เฉพาะในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและคู่สมรสเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนตามมาตรา ๑๔๕๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือทรัพย์สินของคู่สมรสของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจนำมาใช้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้

ทรัพย์สินของบุคคลอื่นซึ่งตามกฎหมายอาจนำมาใช้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ ให้บังคับชำระหนี้ในส่วนของทรัพย์สินนั้นได้เท่าที่เกี่ยวกับการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ทราบถึงบุคคลดังกล่าวก่อนการบังคับคดี

มาตรา ๒๕๔/๓๐ ในกรณีที่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่เจ้าพนักงานคำพิพากษาอาจนำเป็นของบุคคลที่มิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ในครอบครองของบุคคลอื่นในฐานะเป็นผู้แทนหรือในฐานะผู้ถือครองแทนลูกหนี้ตามคำพิพากษา และไม่อยู่ในกรณีการถือครองที่เจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดหรืออายัดไว้ตามคำสั่งของศาลหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้บุคคลดังกล่าวส่งมอบทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้น หรือแจ้งถึงการถือครองทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อพิจารณาดำเนินการบังคับคดีต่อไป หากบุคคลดังกล่าวไม่ส่งมอบหรือไม่แจ้งถึงการถือครองทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีเพื่อให้ได้ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นมา

ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวส่งมอบทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีต่อไป โดยให้ถือว่าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

มาตรา ๒๕๔/๓๑ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีตามมาตรา ๒๕๔/๒๙ และมาตรา ๒๕๔/๓๐ โดยไม่ต้องขออนุมัติศาล

เจ้าพนักงานคำพิพากษาอาจสั่งให้ร้องต่อศาลภายในกำหนดหกสิบวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งหรือกระทำการตามวรรคหนึ่ง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการบังคับคดีในทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้น ในกรณีเช่นนี้ ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีระงับการบังคับคดีในทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไว้ก่อนในระหว่างที่ศาลพิจารณา

มาตรา ๒๕๔/๓๒ ให้เพิ่มข้อความในส่วนของบัญญัติเดิมในส่วนของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒๕๔/๓๓ ให้เพิ่มข้อความในส่วนของบัญญัติเดิมในส่วนของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๖

ให้ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องแล้ว บุคคลดังกล่าวที่ไม่ยื่นคำคัดค้านตามวรรคหนึ่งจะใช้สิทธิตามมาตรา ๑๓๗ หรือมาตรา ๑๓๘ แล้วแต่กรณี อีกภายหลังไม่ได้ ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำพิกัดหรือรายงานในหมายบังคับคดีว่าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวที่ไม่ยื่นคำคัดค้านตามวรรคหนึ่งจะใช้สิทธิตามมาตรา ๑๓๗ หรือมาตรา ๑๓๘ แล้วแต่กรณี อีกภายหลังไม่ได้ ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยื่นคำคัดค้านหรือรายงานในหมายบังคับคดีว่าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป

มาตรา ๑๓๙ เริ่มแต่มีฎีกาหมายบังคับคดีให้ยึดหรืออายัดสิทธิเรียกร้องแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำพิกัดหรือรายงานในหมายบังคับคดีว่าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง

ในกรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุอันสมควรอย่างยิ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำพิกัดหรือรายงานในหมายบังคับคดีว่าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - 138 - แบ่งอาชัดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องรายใดแต่เพียงบางส่วนหรือเฉพาะส่วนแห่งกรรมสิทธิ์เท่านั้นที่จะชำระหนี้ในแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หรือเจ้าหนี้ตามคำสั่งศาลยอมเปลี่ยนในการบังคับคดี บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลตามความทราบหนึ่ง หรือวรรคสองของเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยสันติวิธีต่อกองบังคับการบังคับคดีทางอาญาตามกฎหมายวิธีอื่นที่เกี่ยวข้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีทรัพย์สินหรือกรรมสิทธิ์ในแนวทางนั้น คำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด

ส่วนที่ 2

ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี

มาตรา 310/3 ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปนี้ ย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี

1

เครื่องนุ่งห่ม ผ้าห่มคลุมตัว เครื่องใช้ในครัวเรือน หรือเครื่องใช้สอยส่วนตัว โดยประมาณรวมกันราคาไม่เกินประมาณห้าพันบาท แต่ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจกำหนดให้ทรัพย์สินแต่ละประเภทที่มีราคาสูงกว่านั้นเกินสองหมื่นบาทเป็นทรัพย์สินที่ไม่ต้องอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีได้ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความจำเป็นพื้นฐานของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

2

สัตว์ สิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้ ในการประกอบอาชีพหรือประกอบวิชาชีพที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงชีพของลูกหนี้ตามคำพิพากษา รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงชีพของครอบครัวของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งนี้ โดยประมาณรวมกันราคาไม่เกินประมาณหนึ่งแสนบาท แต่ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจกำหนดให้ทรัพย์สินแต่ละประเภทที่มีราคาสูงกว่านั้นเกินสองแสนบาทเป็นทรัพย์สินที่ไม่ต้องอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีได้ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความจำเป็นพื้นฐานของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

3

ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีลักษณะเป็นของส่วนตัวโดยแท้ เช่น หนังสือสำหรับใช้ประจำตัวและของใช้ประจำตัว อุปกรณ์การศึกษา ฯลฯ

4

ทรัพย์สินอย่างใดที่กฎหมายกำหนดให้ตกเป็นของแผ่นดิน หรือกฎหมายห้ามมิให้อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กำหนดให้เป็นทรัพย์สินที่ไม่ต้องอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีทรัพย์สินดังกล่าวไว้ในสำนวนคดีนั้น คำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองให้เป็นที่สุด

มาตรา 310 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในกรณีที่พฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินหรือจำนวนราคาทรัพย์สินที่ศาลกำหนดไว้เดิมได้ ประโยชน์แห่งข้อยกเว้นนั้นบัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๒ ให้ยกเว้นไว้ซึ่งทรัพย์สินบางประเภทหนึ่งอันเป็นของผู้มีสิทธิตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาของบุคคลอื่น ซึ่งทรัพย์สินเช่นว่านั้นมิอาจถูกขายอาจบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้

มาตรา ๓๐๒ ทรัพย์สินดังต่อไปนี้จะถูกบังคับคดีไม่ได้ เงินหรือสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปนี้ เว้นอยู่ในความเห็นแห่งศาลว่าเกินสมควรแก่คดี

เบี้ยเลี้ยงชีพซึ่งกฎหมายกำหนดให้ ส่วนเงินประเภทอื่นใดนอกจาก (๒) ซึ่งบุคคลตามกฎหมายกำหนดให้เพื่อเลี้ยงชีพนั้น ให้มีจำนวนไม่เกินเดือนละสองหมื่นบาทหรือความจำเป็นแห่งการบังคับคดีเห็นสมควร

เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ เบี้ยหวัด หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างในหน่วยราชการ และเงินและทรัพย์ บ้านอยู่ หรือบ้านเช่าในที่หน่วยราชการกำหนดให้แก่ผู้มีสิทธิตามคำพิพากษาหรือผู้ที่มีสิทธิตามคำพิพากษาเท่านั้น

เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ ค่าตอบแทน เงินสงเคราะห์ หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของพนักงาน ลูกจ้าง หรือคนงานที่นายจ้างกำหนดให้ใช้ (๔) รายได้อื่นในลักษณะเดียวกันให้แก่บุคคลตาม (๓) หรือผู้ที่มีสิทธิตามคำพิพากษาเท่านั้น เป็นจำนวนรวมกันไม่เกินเดือนละสองหมื่นบาทหรือความจำเป็นแห่งการบังคับคดีเห็นสมควร

เงินบำนาญหรือเงินสงเคราะห์ที่ผู้ที่มีสิทธิตามคำพิพากษาได้รับขึ้นเนื่องแต่ความตายของบุคคลอื่นเป็นจำนวนตามความที่จำเป็นในการดำเนินการตามปกติหรือตามฐานะของผู้ตายที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีเห็นสมควร ในกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำบังคับคดีเป็นผู้ที่ตามจำนวนเงินตาม (๑) (๒) และ (๔) ให้เจ้าหนี้ตามบังคับคดีที่มีสิทธินั้นมีสิทธิเฉพาะในทรัพย์สินครอบครัวของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและจำนวนบุพการีและผู้สืบสันดานที่อยู่ในความอุปการะของลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วย และสำหรับกรณีตาม (๓) และ (๔) ให้เจ้าหนี้ตามบังคับคดีที่มีสิทธินั้นมีสิทธิเฉพาะในอัตราส่วนเงินเดือนที่ผู้ตายซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนในขณะนั้นและเป็นเงินบำนาญหรือเงินสงเคราะห์ของข้าราชการพลเรือนในขณะนั้น ถ้าทรัพย์สินตามคำพิพากษา ถูกบังคับตามคำพิพากษา หรือบุคคลตามคำพิพากษาไม่ให้เสียในการบังคับคดีเห็นสมควรในจำนวนเงินที่เจ้าหนี้ตามบังคับคดีมีสิทธินั้น บุคคลดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับการบังคับคดีตามคำพิพากษาเพื่อขอให้ศาลกำหนดจำนวนเงินใหม่ได้ ในกรณีที่พฤติการณ์แห่งการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้เปลี่ยนแปลงไป บุคคลตามความวรรคย่อมมีสิทธิร้องให้ศาลหรือเจ้าหนี้ตามบังคับคดีสั่ง แล้วแต่กรณี กำหนดจำนวนเงินตาม (๑) และ (๓) ใหม่ได้

มาตรา ๓๐๒ นี้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

ส่วนที่ ๓

การยึดทรัพย์สิน

มาตรา ๑๓๐ ทวิ การยึดหรืออายัดทรัพย์สินรูปร่างของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดย

นำทรัพย์สินนั้นมาเก็บรักษาไว้ หรือฝากทรัพย์สินนั้น ณ สถานที่ใดหรือแก่บุคคลใดตามที่เห็นสมควร รวมทั้งอาจให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้รักษาทรัพย์สินนั้นโดยให้ทำความยินยอมไว้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี

แจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดได้ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและผู้ครอบครองหรือผู้ดูแลทรัพย์นั้นทราบ ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้ปิดประกาศแจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดไว้ ณ สถานที่ที่กระทำการยึด หรือแจ้งโดยวิธีอื่นตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร

แสดงให้เห็นประจักษ์ถึงการยึดโดยการประทับตราหรือโดยวิธีอื่นตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควรว่าได้มีการยึดทรัพย์สินแล้ว

มาตรา ๑๓๐ ตรี การยึด เรือ แพ สัตว์พาหนะ หรือสิ่งหวงห้าม หรือยึดรูปร่างอย่างอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจะต้องจดทะเบียนกรรมสิทธิ์หรือโอนทะเบียนกรรมสิทธิ์ได้ตามกฎหมาย ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการดังนี้

แจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดได้ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและผู้ครอบครองหรือผู้ดูแลทรัพย์นั้นทราบ ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้ปิดประกาศแจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดไว้ ณ สถานที่ที่กระทำการยึด หรือแจ้งโดยวิธีอื่นตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร

แจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดได้ให้หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่รับจดทะเบียนกรรมสิทธิ์หรือโอนทะเบียนกรรมสิทธิ์ทราบ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นทราบ ถ้าได้มีการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ไว้แล้ว ให้โอนทะเบียนหรือมอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดีการยึดไว้ในทะเบียน

มาตรา ๑๓๐ จัตวา การยึดหลักทรัพย์ที่เป็นหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดย

ในกรณีที่ยังไม่มีการออกใบสำคัญการ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งรายการและจำนวนหลักทรัพย์ที่ยึดได้ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นทราบ และเมื่อได้ดำเนินการยึดหลักทรัพย์ดังกล่าวเสร็จแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งให้ผู้ออกหลักทรัพย์ออกใบสำคัญการส่งให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี

ในกรณีที่มีการออกใบสำคัญการแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งรายการและจำนวนหลักทรัพย์ที่ยึดได้ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ออกหลักทรัพย์ และผู้ครอบครองทรัพย์ทราบ

มาตรา ๑๓๐ เบญจ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๓๐ ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑๓๐ จัตวา แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๕๘

ทราบ รวมทั้งบุคคลซึ่งต้องชำระหนี้ตามมาตราสามสิบ ทราบ และเมื่อได้ดำเนินการยึดหลักทรัพย์ดังกล่าวเสร็จแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานผลการยึดทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (ก) ในกรณีที่เป็นหลักทรัพย์ซึ่งส่งไปให้ศูนย์บริหารหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งรายการและจำนวนหลักทรัพย์ที่ยึดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ขายหลักทรัพย์ ผู้ฝากหลักทรัพย์และศูนย์บริหารหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ทราบ พร้อมทั้งส่งสำเนารายงานการยึดทรัพย์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (ข) ในกรณีที่เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ออกใบตราสาร ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งรายการและจำนวนหลักทรัพย์ที่ยึดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบตามที่ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับคดี ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งให้บุคคลตามวรรคหนึ่งได้ ให้ปิดประกาศแจ้งรายการและจำนวนหลักทรัพย์ที่ยึดไว้ในที่เห็นได้ง่าย ณ สำนักงานหรือสถานที่ทำการของบุคคลเช่นว่านั้น หรือแจ้งโดยวิธีอื่นตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร และให้ส่งให้ได้ในเวลาเท่าที่ระบุเท่านั้น ได้โดยวิธีการแจ้งโดยวิธีอื่นตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควรให้ถือว่าได้ส่งให้แล้ว

มาตรา ๑๐๘ การยึดเงินหรือรายการเช่นเดียวกันของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ให้บังคับบัญญัติมาตรา ๑๐๘ วรรคหนึ่ง (๒) และวรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้ผลเป็นการยกอัตราส่วนที่เกี่ยวข้องกับการยึดเงินหรือรายการเช่นเดียวกัน

ในกรณีที่เป็นเงินหรือรายการเช่นเดียวกันของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจสอบข้อเท็จจริงของบัญชีลูกหนี้ตามคำพิพากษาและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งข้อมูลให้ยกเลิกข้อ ให้บังคับบัญญัติมาตรา ๑๐๘ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๑๐๙ การยึดหุ้นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำกัดหรือความรับผิดในหุ้นส่วนจำกัด หรือผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดย

(ก) แจ้งการยึดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัดที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหุ้นส่วนอยู่ทราบ ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้ดำเนินการตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๘ วรรคสอง (ข) แจ้งให้ยกเว้นหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทในบัญชีการยึดไว้ในทะเบียน

มาตรา ๑๑๐ การยึดสิทธิในสิทธิบัตร สิทธิในเครื่องหมายการค้า หรือสิทธิอย่างอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับทรัพย์ที่เกี่ยวเนื่องกับสิทธิบัตรดังกล่าว ซึ่งได้จดทะเบียนหรือบันทึกไว้แล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดย

มาตรา ๑๑๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๑๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

```

แจ้งรายการสิทธิชื่อให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทราบ ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้ดำเนินการตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๕ วรรคสอง

แจ้งให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นบันทึกการยึดไว้ในทะเบียน

มาตรา ๑๐๘/๑ การยึดสิทธิการเช่าทรัพย์สินหรือสิทธิที่จะได้รับจากการต่าง ๆ ซึ่งอาจมีราคาและสามารถโอนให้บุคคลอื่นได้ตามคำพิพากษา เช่น บริการโทรศัพท์หรือโทรคมนาคม หรือบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือบริการดังกล่าว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งรายการสิทธิชื่อให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทราบ ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้ดำเนินการตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๕ วรรคสอง

ในกรณีที่ได้มีการจดทะเบียนประกอบการหรือบริการสิทธิชื่อดังกล่าว ให้แจ้งนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นบันทึกการยึดไว้ในทะเบียน

มาตรา ๑๐๘/๒ การยึดสิทธิของลูกหนี้ในจำนำคำพิพากษาตามใบอนุญาต ประทานบัตร อาชญาบัตร สัมปทาน หรือสิทธิอย่างอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษา ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดย

แจ้งรายการสิทธิชื่อให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทราบ ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้ดำเนินการตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๐๕ วรรคสอง

แจ้งให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นบันทึกการยึดไว้ในทะเบียน

มาตรา ๑๐๘/๓ การยึดสิทธิรวมในทรัพย์สินที่มีตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำดังนี้

(ก) มาตรา ๑๐๘/๑ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ (ข) มาตรา ๑๐๘/๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ ```

๑๓

นำหนังสือสำคัญสำหรับทรัพย์นั้นมาเก็บรักษาไว้ หรือหาได้ในบุคคลใดตามที่เห็นสมควร เว้นแต่ทรัพย์นั้นมิใช่หนังสือสำคัญหรือจำหน่ายหรือทำลายไปแล้ว

๑๔

แสดงให้เห็นประจักษ์แจ้งโดยการปิดประกาศให้ทรัพย์นั้นว่า ได้มีการยึดทรัพย์นั้นแล้ว

๑๕

แจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดให้บุคคลดังต่อไปนี้ทราบ (ก) ลูกหนี้ตามคำพิพากษา (ข) บุคคลอื่นซึ่งมีชื่อในทะเบียนว่าเป็นเจ้าของทรัพย์นั้น (ค) เจ้าพนักงานที่ดินหรือพนักงานอื่นในท้องที่ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์นั้น ถ้าทรัพย์นั้นมีทะเบียน ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่บันทึกการยึดไว้ในทะเบียน ในกรณีที่ไม่สามารถแจ้งตามวรรคหนึ่ง (ก) (ข) หรือ (ค) ได้ ให้เจ้าประกาศแจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดไว้ในหนังสือพิมพ์ได้ฉบับหนึ่ง ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่ทำการของบุคคลเช่นว่านั้น หรือแจ้งโดยวิธีอื่นใดตามที่เห็นสมควรในกรณีที่ไม่มีหนังสือพิมพ์ และให้ผลเช่นเดียวกับได้แจ้งแก่บุคคลนั้นแล้ว การแจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดให้แก่บุคคลดังกล่าวให้กระทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อได้แจ้งรายการทรัพย์ที่ยึดแก่บุคคลดังกล่าวแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งหรือปิดประกาศให้ผู้ซึ่งครอบครองทรัพย์นั้นอยู่และผู้ครอบครองทรัพย์อื่นๆ หรือพนักงานราชการในท้องที่ทราบว่าได้ยึดทรัพย์นั้นแล้ว

มาตรา ๓๓๔/๔ การยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีบันทึกการยึดโดยดำเนินการตามมาตรา ๓๓๔/๒ โดยอนุโลม

มาตรา ๓๓๔/๕ การยึดสิ่งก่อสร้างหรือทรัพย์ในรูปทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นให้ผลเป็นการยึดครอบไปถึงอาคารสาธารณูปโภคและอุปกรณ์อันเกี่ยวข้องกับทรัพย์นั้นด้วย

การยึดสิ่งก่อสร้างหรือทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่ส่งเป็นการยึดครอบไปถึง (ก) เครื่องอุปกรณ์และอาคารสาธารณูปโภคของทรัพย์นั้น (ข) อาคารสาธารณูปโภคของทรัพย์นั้นซึ่งตกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บเกี่ยว เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นชอบหรือปิดประกาศให้ผู้ซึ่งครอบครองทรัพย์นั้นอยู่และผู้ครอบครองทรัพย์อื่นๆ หรือพนักงานราชการในท้องที่ทราบว่าได้ยึดทรัพย์นั้นแล้ว

มาตรา ๓๓๔/๖ การยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นให้ผลดังต่อไปนี้

มาตรา ๒๓๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒๓๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๒๓๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิด โอน หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดอายัดหรือที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้แล้ว ทายาทโดยธรรมของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งให้ทราบตามที่พระธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าธรรมเนียมปกครองบังคับคดี และลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้กระทำการดังกล่าวแก่ทรัพย์สินที่ถูกยึดเพียงส่วนที่มีราคาคิดเป็นจำนวนหนึ่งที่กำหนด

ถ้าผู้ขายที่ดินหรือทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งถูกยึดตามคำพิพากษาได้กระทำการดังกล่าวแก่ทรัพย์สินที่ถูกยึดหรือทรัพย์สินอื่น ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้แล้ว แต่หากเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งให้ทราบตามที่พระธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าธรรมเนียมปกครองบังคับคดี และผู้ขายได้กระทำการดังกล่าวแก่ทรัพย์สินที่ถูกยึดเพียงส่วนที่มีราคาคิดเป็นจำนวนหนึ่งที่กำหนด

ส่วนที่ ๔

การอุทธรณ์สิทธิเรียกร้อง

มาตรา ๑๓๑ การอุทธรณ์สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่จะเรียกให้บุคคลรายงานว่ามีทรัพย์สินของตนหรือไม่อันเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ รายงานว่ามีทรัพย์สินหรือหนี้อื่น ๆ ที่จะเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลอื่น ๆ

มาตรา ๒๓๐/๒๐ การขอใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีจำนวนหรือจำกัดเป็นประเภท ให้ส่งรวมตลาดคำสั่งการดำเนินการหรือการจำหน่ายด้วย ถ้าหากยังมีจำนวนที่มิได้ ทะเบียน ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำสั่งต่อไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้แสดงไว้ในทะเบียน ในกรณีผู้จำนองหรือผู้จำนำใช้คำพิพากษาให้มีตามสิทธิเรียกร้อง เมื่อได้ดำเนินการจดแล้ว ให้แจ้งผู้จำนองหรือผู้จำนำเพื่อทราบด้วย

มาตรา ๒๓๐/๒๑ การขอใช้สิทธิเรียกร้องนั้นให้มีเงื่อนไขดังต่อไปนี้

การจู่โจมที่ตลาดคำพิพากษาได้ก่อให้เกิดผลกระทบแก่บุคคลภายนอกเนื่องจากเรียกร้องให้บุคคลชำระ โอน เปลี่ยนแปลง หรือระงับสิทธิเรียกร้องดังกล่าวหรือทำการอัดไว้แล้วนั้น หากอยู่ในชั้นเจ้าพนักงานคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แล้วไม่ว่าจะตามแห่ง สิทธิเรียกร้องนั้นจะเป็นการบังคับตามคำพิพากษาเก่าค่าธรรมเนียมและค่าธรรมเนียมอื่นใน การบังคับคดี และผู้ถูกคำพิพากษาได้กระทำการกล่าวละเมิดสิทธิเรียกร้องที่อาจเกี่ยวเนื่องส่วนนี้ มีราคาเกินจำนวนที่เหมาะสม ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ผู้จำนองหรือผู้จำนำซึ่งมิได้อยู่ในที่ดินตามสิทธิ เรียกร้องตามมาตรา ๑๓๕ วรรคสอง หากผู้จำนองหรือผู้จำนำพิสูจน์ว่าได้กระทำการรับสินในไม่เกินกว่า จำนวนที่อาจจะต้องชำระตามคำพิพากษาและได้ชำระเงินในส่วนที่เกินจำนวนที่เหมาะสมก่อนหน้านั้นแล้ว การบังคับคดีในส่วนนี้ให้ถือเป็นอันยุติ

การขอใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้นต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในระหว่างการตลาดคำพิพากษา เจ้าพนักงานคำพิพากษาต้องรับผิดชอบได้ตามแต่เห็นแก่เหตุที่เหมาะสมและจำเป็น เพื่อความเสียหายใด ๆ อันพึงจะเกิดขึ้นจากการตลาดคำพิพากษา

การกระทำที่เป็นบุคคลภายนอกตามที่ระบุไว้ในคำสั่งข้างต้นให้ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามกฎหมาย

ส่วนที่ ๕

การอนุโลมคำสั่งบุคคลลายเอกสารระหว่างสิทธิเรียกร้อง

มาตรา ๒๓๐/๒๒ อำนาจบุคคลลายเอกสารไม่ชำระหนี้ตามคำสั่งอย่างชัดเจนตามคำสั่งหรือเข้า พบเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา ๒๓๐ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้เจ้าพนักงานคำพิพากษาทราบ ใน กรณีสมควรนั้น เจ้าพนักงานคำพิพากษาอาจสั่งคำร้องขอตลาดให้เจ้าบุคคลลายเอกสารปฏิบัติการ ชำระหนี้ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งหรือชำระค่าใช้จ่ายในทางแทนเพื่อการชำระหนี้นั้น

- มาตรา ๑๓๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ - มาตรา ๑๓๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ เจ้าหน้าที่งานบังคับคดีที่ได้ เมื่อสาขาดำการได้ส่วนแล้วถ้าเป็นที่พอใจว่าลักษณะสิทธิร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นมีอยู่จริงและอาจบังคับให้มีผลสำเร็จได้ เจ้าหน้าที่บังคับคดีจะสั่งให้บุคคลรายงานปฏิบัติการที่มีผล เจ้าหน้าที่งานบังคับคดีมีสิทธิที่จะหรือให้ตรวจสิ่งใดในเขตแดนตามจำนวนที่เห็นสมควรก็ได้ ถ้าบุคคลรายงานปฏิบัติการที่มีผลสำเร็จ เจ้าหน้าที่บังคับคดีอาจร้องขอให้ศาลจับกุมคดีแก่บุคคลรายงานนั้นเมื่อยินยอมให้ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่บังคับคดีนั้น

ส่วนที่ 6

สิทธิของบุคคลรายงานและผู้เสียหายเกี่ยวกับทรัพย์สินที่นำมาซึ่งคดี

มาตรา 212 ภายใต้บังคับมาตรา 213 และมาตรา 214 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่กระทบกระทั่งสิทธิทรัพย์สิน สิทธิอื่นใด หรือสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของบุคคลภายนอกเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือการร้องขอให้บังคับแก่ทรัพย์สินนั้นตามกฎหมาย

มาตรา 213 ภายใต้บังคับมาตรา 55 บุคคลภายนอกซึ่งอ้างว่าทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดไว้ หรืออ้างว่าตนมีสิทธิจำนองหรือสิทธิครอบครองในทรัพย์สินนั้นย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาลในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรานี้เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึดหรืออายัด หรือขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดเว้นการขายทอดตลาดหรือการดำเนินการอื่นใดซึ่งมีผลกระทบต่อทรัพย์สินนั้น แต่ถ้าไม่สามารถยื่นคำร้องของภายในระยะเวลาดังกล่าว บุคคลนั้นจะยื่นคำร้องของตนตั้งพระระยะเวลานานกว่านั้นได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและได้แสดงให้ศาลวินิจฉัยว่าคำร้องของตนนั้นตั้งขึ้นในกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมตามพฤติการณ์ หรือว่าคำสั่งของศาลนั้นเป็นโมฆะสิ้นเชิง เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย บุคคลนั้นจะยื่นคำร้องของในภายหลังที่ศาลได้แต่ต้องยื่นเสียก่อนเวลาตลาดทรัพย์หรือการดำเนินการอื่นใดซึ่งมีผลกระทบต่อทรัพย์สินนั้น

ในการยื่นคำร้องเกี่ยวกับทรัพย์สินตามมาตรา 213 ผู้กล่าวอ้างอาจยื่นคำร้องของตนต่อศาลในท้องที่ซึ่งทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่หรือศาลที่มีเขตอำนาจในคดีนั้นก็ได้ แต่ถ้าศาลที่มีเขตอำนาจในคดีนั้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นแล้ว บุคคลนั้นจะยื่นคำร้องของตนต่อศาลอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลที่มีเขตอำนาจในคดีนั้นก่อน ทั้งนี้ไม่ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ดำเนินการขายทอดตลาดหรือการดำเนินการอื่นใดซึ่งมีผลกระทบต่อทรัพย์สินนั้นแล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อศาลสั่งรับคำร้องของแล้ว ให้ส่งสำเนาคำร้องของไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับสำเนาคำร้องของแล้วจะต้องงดเว้นการดำเนินการบังคับคดี เว้นแต่จะมีคำสั่งศาลเป็นอย่างอื่น ได้รับคำร้องขอเช่นนี้ทรัพย์สินที่ยึดนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินตามมาตรา ๑๓๐ ให้พนักงานขายทอดตลาด หรือจัดการทรัพย์สินนั้นในระหว่างรอคำวินิจฉัยชี้ขาด และให้หลีกเลี่ยงการเบียดเบียนคดีนั้นเหมือนอย่างคดีธรรมดา ในกรณีร้องขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ยึด ให้ศาลมีคำสั่งให้พนักงานขายทอดตลาดหรือจัดการทรัพย์สินนั้นในระหว่างรอคำวินิจฉัยชี้ขาด โดยให้หลีกเลี่ยงการเบียดเบียนคดีนั้นเหมือนอย่างคดีธรรมดา

มาตรา ๑๓๘/๑* นายกโปลิสหรือเจ้าพนักงานผู้ยึดทรัพย์สินตามมาตรา ๑๓๐ จะต้องจัดการทรัพย์สินที่ยึดนั้นให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดการทรัพย์สินนั้นด้วย

ในกรณีที่ผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินนั้นขอให้ขายทรัพย์สินนั้น ให้พนักงานขายทอดตลาดหรือจัดการทรัพย์สินนั้นตามกฎหมาย

ในกรณีที่มีคำสั่งให้ขายทรัพย์สินหรือจัดการทรัพย์สินนั้น ให้พนักงานขายทอดตลาดหรือจัดการทรัพย์สินนั้นตามคำสั่งศาล

ในกรณีที่มีคำสั่งให้ขายทรัพย์สินหรือจัดการทรัพย์สินนั้น ให้พนักงานขายทอดตลาดหรือจัดการทรัพย์สินนั้นตามคำสั่งศาล

ในกรณีที่เป็นผู้ทรงสิทธิเรียกร้องซึ่งไม่มีปัจจุบันสิทธิในทรัพย์สินที่ขายหรือจำหน่าย บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิร้องขอต่อศาลที่ออกคำสั่งชำระหนี้ในลักษณะนั้นให้ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นของให้นำเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายมาชำระหนี้แก่ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นที่ไม่มีปัจจุบันสิทธิในทรัพย์สินนั้น

ในกรณีอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (๑) (๒) และ (๓) ผู้ทรงสิทธิเรียกร้องย่อมร้องขอต่อศาลตามความในมาตรา ๓๑๓ เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้น และให้นำเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นมาชำระหนี้แก่ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นที่มี ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่น

มาตรา ๓๑๔/๒๘ เมื่อได้รับแจ้งคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องให้บุคคลลายบอกตามมาตรา ๓๑๓ แล้ว บุคคลลายนั้นย่อมมีคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้ดังกล่าวได้ภายในสิบห้าวัน บุคคลผู้จะต้องเสียหายเพราะคำสั่งดังกล่าวยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าวได้ภายในกำหนดเวลา สิบห้าวันเช่นเดียวกันนับแต่วันที่แจ้งคำสั่งชำระหนี้ดังกล่าว

ถ้าคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นเป็นการให้ชำระหนี้เป็นเงิน ให้ยื่นคำร้องต่อศาลบังคับคดีฝ่ายเจ้าหนี้คำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นและแนบสำเนาคำสั่งชำระหนี้มาพร้อมคำร้อง

ถ้าคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นเป็นการให้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สิน ให้ยื่นคำร้องต่อศาลก่อนขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้น

ถ้าคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นเป็นการให้ชำระหนี้อย่างอื่นนอกจาก (๑) และ (๒) ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่ออกคำสั่งชำระหนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องดังกล่าวแล้ว ให้ส่งสำเนาคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นให้แก่เจ้าหนี้คำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้น และกำหนดวันนัดไต่สวนคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นโดยเร็วที่สุด และให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นได้ ถ้าเห็นว่าคำร้องนั้นเสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นได้ ถ้าเห็นว่าคำร้องนั้นเสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นได้ ถ้าเห็นว่าคำร้องนั้นเสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นได้ ในระหว่างการพิจารณาคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องดังกล่าว เจ้าหนี้คำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นย่อมไม่มีสิทธิและย่อมไม่สามารถบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ตามคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นได้ เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งให้บังคับคดีได้ในระหว่างการพิจารณาคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้น และอาจกำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ให้แก่บุคคลลายบอกตามคำร้องคัดค้านคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้น ส่วนเงินหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากการบังคับคดีนั้นไม่อาจนำไปใช้ได้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งถึงที่สุด ถ้าศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลลายบอกปฏิบัติตามคำสั่งชำระหนี้เรียกร้องดังกล่าว และบุคคลลายบอกไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนด เจ้าหนี้คำสั่งชำระหนี้เรียกร้องนั้นย่อมมีสิทธิขอให้ศาลบังคับคดีแก่บุคคลลายบอกเช่นเดียวกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๖ ในกรณีที่คำร้องคำขัดคำทวงทรัพย์ธรรมดาแห่งชีวิตราษฎรไม่มีมูลและยื่นคำแถลงเพื่อประวิงการจับคดีนั้นให้พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยกคำร้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลได้สั่งยกคำร้องคำค้านของเจ้าหนี้ผู้ร้องคำค้านหรือตามแต่คำสั่งศาลในเหตุการณ์นั้น ๆ และหากคำร้องคำค้านนั้นเกิดขึ้นภายหลังในกรณีเช่นนี้ ให้พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งยกคำร้องคำค้านนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องคำค้านนั้น และเมื่อศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องคำค้านนั้นแล้ว ให้ศาลสั่งให้เจ้าหนี้ผู้ร้องคำค้านนั้นชำระค่าใช้จ่ายในการพิจารณาคำร้องคำค้านนั้นแก่ลูกหนี้ล้มละลายหรือแก่พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามแต่กรณี และในกรณีที่ศาลได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องคำค้านนั้น ให้ศาลสั่งบังคับคำสั่งนั้นแก่บุคคลนั้นเสมือนหนึ่งว่าเป็นคำพิพากษาในคดีแพ่ง

ส่วนที่ 7 การขอเลื่อนและการเข้าเป็นคู่ความในการรับจับคดีต่อไป

มาตรา 126 เมื่อมีการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้โดยจะถูกฟ้องตามคำพิพากษาแห่งเจ้าหนี้ในหน้าคดีคำพิพากษาหมายแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นดำเนินการให้การยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องนั้นดำรงสิทธิ แต่ให้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอความยินยอมเพื่อให้ศาลสั่งให้ดำเนินการต่อไปเฉพาะทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ได้จากการยึดทรัพย์หรือจำหน่ายทรัพย์สินตามการยึดทรัพย์นั้นหรืออายัดสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษา

ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตคำร้องเช่นว่านี้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำร้องนั้นไม่ใช่การกระทำเพื่อเอารัดเอาเปรียบหรือเพื่อการพิจารณาในทางที่ผิดกฎหมาย ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องตามมาตรานี้ไว้ก่อนแล้ว ให้สิทธิเข้าตามคำพิพากษาในส่วนที่เป็นเจ้าหนี้ตามบัญชีอุทธรณ์ของศาล แต่คำเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดหรืออายัดไว้ก่อน ให้สิทธิเข้าตามคำพิพากษานั้นได้และสั่งบังคับคำสั่งนั้นแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามนั้น ในกรณีที่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ยึดหรืออายัดไว้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่น คำร้องเช่นว่านี้ให้ยื่นก่อนสิ้นระยะเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่มีการขายทอดตลาดทรัพย์หรือหน้าที่ยายทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดหรือจำหน่ายได้ในกรณีเช่น ๆ ในกรณีที่ยึดหรืออายัดสิทธิเรียกร้อง ให้ยื่นคำร้องเช่นว่านี้ก่อนสิ้นระยะเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ชำระเงินหรือวันที่มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยสิทธิเรียกร้องที่ยึดหรืออายัดนั้นได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ยื่นคำร้องในหน้าคดีนั้นเสมือนหนึ่งว่าเป็นคำพิพากษาในคดีแพ่ง ในกรณีที่ศาลได้สั่งให้ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องตามมาตรานี้ไว้ก่อนแล้ว ให้ศาลสั่งบังคับคำสั่งนั้นแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามนั้น ในครั้งนี้ขอจบสิ้น และขอจดไว้ว่าอาจจะได้ใช้คำร้องคำขัดคำทวงทรัพย์ธรรมดาแห่งชีวิตราษฎร และสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ ให้เจ้าพนักงานจับคดีปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ๆ

มาตรา ๒๗๙/๔ ในกรณีที่มีการถอนการบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งคำบอกกล่าวถอนการบังคับคดีให้ผู้มีคำร้องขอที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๒๗๕ ตรี หรือเจ้าหนี้ผู้ขอเฉลี่ยให้แล้วเสร็จภายในตามมาตรา ๒๗๖ ทวิ โดยปฏิบัติให้เข้าเงื่อนไขตามคำสั่งศาลอาจขอเข้าดำเนินการบังคับคดีต่อไปจากเจ้าหนี้ผู้ขอเฉลี่ยหรือสิทธิเรียกร้อง โดยยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในลักษณะบังคับคดีในส่วนที่ตกลงจากการสิ้นสุดคดีของลูกหนี้บังคับคดี อันมีผู้มีคำร้องขอภายในกำหนดเวลาตามคำสั่งศาล ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกคำสั่งการบังคับคดีหรือสิทธิเรียกร้องนั้น

ในกรณีที่ผู้มีสิทธิคำร้องหลายคน ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้ยื่นคำร้องทุกคนมาทำความตกลงกัน เลือกคนคนหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป แต่หากไม่สามารถลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันได้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการจัดการตามความเหมาะสม โดยให้ผู้ที่มีสิทธิคำร้องที่มีจำนวนมากที่สุดเป็นผู้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป ถ้ายังมีผู้มีสิทธิคำร้องที่มีจำนวนมากที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ผู้ยื่นคำร้องที่มีประสบการณ์ในเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีต่อไป ในกรณีที่ผู้ยื่นคำร้องรายใดไม่แสดงความยินยอมให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป ให้ถือว่าผู้ยื่นคำร้องรายนั้นสละสิทธิที่จะเข้าดำเนินการบังคับคดีต่อไป ในกรณีที่การเข้าเป็นเจ้าหนี้ในบังคับคดีต่อไป ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไปเป็นไปในส่วนที่ผู้ขอเฉลี่ยหรือสิทธิเรียกร้องที่สิ้นสุด และให้เจ้าหนี้ตามคำบังคับคดีที่มีคำสั่งศาลให้ถอนการบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไปในส่วนที่ตกลงจากการสิ้นสุดคดีของลูกหนี้บังคับคดี โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้เจ้าหนี้ตามคำบังคับคดีที่มีคำสั่งศาลให้ถอนการบังคับคดีทราบถึงการบังคับคดีในส่วนที่ตกลงจากการสิ้นสุดคดีของลูกหนี้บังคับคดีนั้น

ถ้าในการถอนการบังคับคดีตามมาตรา ๒๗๙/๔ (๒) ไม่มีสิทธิได้รับเงินเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินในการบังคับคดี

ถ้าในการถอนการบังคับคดีตามมาตรา ๒๗๙/๔ (๓) เมื่อมีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอยู่อย่างล้นหลามหรืออาจก่อให้เกิดสิทธิให้คนใดรับชำระจากเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอเฉลี่ยในฐานะเดียวกันกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว

ถ้าในการถอนการบังคับคดีตามมาตรา ๒๗๙/๔ (๔) นอกจาก (๑) และ (๒) แต่มีสิทธิที่มีคำพิพากษาอยู่ อาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้ชำระเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินในการบังคับคดีครั้งนี้ ก่อนการขายในมาตรา ๒๗๖ ทวิ หรือก่อนคำบอกกล่าวตามมาตรา ๒๗๖ ตรี แล้วแต่กรณี

มาตรา ๑๒๔/๔๗ เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการบังคับคดีต้องไปตามมาตรา ๔๗ อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีให้โอนการบังคับคดีไปยังศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานคดีล้มละลายได้ หากศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีเห็นว่าการบังคับคดีในศาลที่จะรับโอนการบังคับคดีเป็นการสะดวกแก่คู่ความคู่ใดคู่หนึ่งและได้รับความยินยอมจากศาลที่จะรับโอนแล้ว ให้ศาลสั่งให้องค์คณะพิจารณาโอนการบังคับคดีไป ทั้งนี้ต้องสอดคล้องตามมาตราที่เห็นเป็นที่สุด

ในกรณีที่มีการโอนการบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าการรับโอนเป็นการตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง

มาตรา ๒๐๐ วรรคหนึ่ง

มาตรา ๑๒๔/๔๘ ในกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำร้องขอเมื่อมีการยื่นคำร้องขอภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๒๖๒ หรือภายใต้คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เหตุที่ยื่นไปทันภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งดังต่อไปนี้

ให้ถอนมติที่เจ้าราษฎรประชาชนไม่เห็นชอบคำสั่งที่ศาลหรือให้แก้ไขคำสั่งดังกล่าว หรือยื่นหรือขอคำสั่งศาลเรื่องร้องแย้งและเหตุแห่งมติของเจ้าราษฎรประชาชนตามมาตรา ๔๗

ในกรณีที่มีการยกเลิกการบังคับคดี และไม่ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการบังคับคดีไปตามมาตรา ๔๗ ให้ถือว่าคำสั่งที่ศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีต่อไปตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขออาจถือได้ว่าเป็นการร้องขอที่มีการยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ตามมาตรา ๔๗ คำร้องขอ (๑) ให้ยื่นก่อนการบังคับคดีตามมาตรา ๓๙๗ หรือก่อนส่งคำบอกกล่าวตามมาตรา ๓๙๘ แล้วแต่กรณี คำร้องขอ (๒) ให้ยื่นก่อนการออกบังคับคดี ในกรณีที่มีการยื่นคำร้องขอในกรณี (๑) และ (๒) หากศาลไม่สั่งให้มีคำสั่งตามคำร้องขอ และวรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้ามีผู้ยื่นคำร้องขอ (๒) หลายคน ให้ถือว่าผู้ยื่นคำร้องขออื่นนอกจากผู้ยื่นคำร้องซึ่งได้รับเลือกหรือมีความหมายกำหนดให้เป็นผู้ดำเนินการบังคับคดีไป และเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องขอซึ่งดำเนินการบังคับคดีต่อไปตามมาตรา ๔๗ นั้นเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินในลำดับถัดไป

มาตรา ๑๒๔/๔๙ คำสั่งของศาลตามมาตรา ๔๗ วรรคสามและวรรคสี่ และมาตรา ๑๒๔/๔๘ ให้เป็นที่สุด

ส่วนที่ ๘ การขายหรือจำหน่าย

มาตรา ๑๒๕/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติม/ประกาศมาตราวิธีการชำระความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๒๕/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติม/ประกาศมาตราวิธีการชำระความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๒๕/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติม/ประกาศมาตราวิธีการชำระความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๑/๑ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓๑ และมาตรา ๑๓๒ เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือข้ออ้างสิทธิเรียกร้องที่หมดหรือบางส่วนอาจบ่งชี้การนำพัสดุภัณฑ์ หรือได้แก่การส่งมอบทรัพย์สินตามสิทธิเรียกร้องที่บุคคลอื่นแทนเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ถ้าไม่มีเหตุสมควรเจ้าพนักงานบังคับคดีให้อำนวยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎกระทรวงว่าด้วยการบังคับคดีที่ศาลสำคัญกำหนด หรือด้วยโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งราคาทุนส่วน เวลา และสถานที่ที่จะทำการขายทอดตลาดไปยังบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีนั้นรวมถึงประกาศขายในสื่อมวลชนหรือประกาศอื่นที่เหมาะสมด้วย โดยจะทำการขายทอดตลาดในวันหยุดราชการหรือเวลาใด ๆ นอกจากเวลาทำการศาลก็ได้ ทั้งนี้ กำหนดวันและเวลาที่กล่าวจะต้องไม่เยิ่นเย้อกว่าวันบังคับคดี อายัด หรือส่งมอบทรัพย์สินนั้น เพื่อให้การขายทอดตลาดเป็นไปด้วยความยุติธรรม บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ และเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่าไม่อาจให้แก่ผู้เสนอราคาสูงสุดได้เพราะเหตุใด ๆ ท่านนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจสั่งการขายทอดตลาดใหม่หลายครั้งจนกว่าจะมีการขายทอดตลาดทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งได้ในราคาที่เหมาะสมหรือขอให้ศาลมีคำสั่งการขายทอดตลาดตามที่เห็นสมควร

มาตรา ๑๓๑/๒ ในกรณีที่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีอื่นตามมาตรา ๑๓๑/๑ เป็นของของผู้อื่นหรือข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าเป็นการเสียราคาหรือไม่เหมาะสม เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจสั่งการขายทอดตลาดใหม่หรือขอให้ศาลมีคำสั่งการขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นที่สมควร

ในกรณีที่การขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่ถูกยึดหรือที่ได้การส่งมอบตามคำสั่งอายัดกระทำได้โดยยาก หรือราคาขายหรือจำหน่ายสิทธิเรียกร้องนั้นกระทำได้โดยยากเนื่องจากการชำระหนี้นั้นต้องอาศัยการชำระหนี้ของแทนหรือเงื่อนไขอื่น ๆ และการบังคับคดีอาจทำให้เจ้าหนี้เสียหายเกินกว่าคุ้มทุนหรือข้อใดอย่างหนึ่ง หรือเป็นเหตุสุดวิสัยไม่อาจทำได้ เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควรหรือมีความจำเป็นในกรณีนั้นร้องขอ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะสั่งคำสั่งการขายทอดตลาดหรือการดำเนินการอื่นใดที่เห็นสมควร ทั้งนี้ บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีอาจยื่นคำสั่งการขายทอดตลาดหรือการดำเนินการอื่น ๆ ต่อศาล โดยยื่นคำร้องต่อศาลภายในเวลาวันนั้นได้ตามคำสั่งหรือการดำเนินการนั้น คำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด

มาตรา ๑๓๑/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๑) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๑/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๑) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๓๓/๓๗ ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติดังต่อไปนี้

ในการขายทรัพย์สินที่หลายสิ่งรวมกัน ให้แยกขายทีละสิ่งก่อนเมื่อทำได้ แต่ (ก) เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจจัดให้รวมทรัพย์หลายสิ่งราคาต่ำเพื่อรวมขายเป็นกอง ๆ ได้เลย (ข) เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจจัดให้รวมทรัพย์หรือรวมทรัพย์กับสิทธิเรียกร้องหรือรวมเข้าไปด้วยกันได้ ในเมื่อเห็นว่าทำเช่นนั้นจะได้ราคาสูงขึ้นหรือขายได้มากขึ้นเพราะเหตุนั้น

ในการขายอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนแยกออกได้เป็นส่วน ๆ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจขายทรัพย์สินนั้นเป็นส่วน ๆ ได้ ในเมื่อเห็นว่าทำเช่นนั้นจะได้จำนวนเงินจากการขายทรัพย์สินบางส่วนเพียงพอแก่การบังคับคดี หรือจำเป็นต้องได้เพิ่มจำนวนเงินเพียงพอแก่เหตุหนึ่งเหตุใด

ในการขายทรัพย์สินหลายสิ่งรวมกัน เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจกำหนดลำดับที่จะขายทรัพย์สินนั้น บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีในทรัพย์สินสูงสุดต้องขอ อาจร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรวมหรือแยกทรัพย์สิน หรือรวมให้ขายทรัพย์สินนั้นกับอย่างอื่นที่กำหนดให้ หรือจะร้องขอให้กำหนดลำดับที่จะขายทรัพย์สินนั้นก็ได้ การบังคับคดีตามมาตรานี้ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้คู่ความและบุคคลผู้มีส่วนได้เสียทราบถึงการดำเนินการดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อาจปฏิเสธการร้องขอของคู่ความหรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องดังกล่าวได้ เว้นแต่จะมีเหตุผลอันสมควรที่จะแสดงให้เห็นว่าการดำเนินการตามคำร้องขอนั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการบังคับคดี

มาตรา ๑๓๓๓/๓๘ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ หากทรัพย์สินที่โอนนั้นมีผู้ครอบครองอยู่ตามคำพิพากษาหรือราชการอยู่ก็ดี และลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารไม่ยอมออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้ซื้ออาจร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขอให้ศาลมีคำสั่งตามคำพิพากษาหรือราชการนั้นโดยให้บังคับคดีตามคำบังคับหรือคำพิพากษาหรือบริการออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยให้บังคับคดีปฏิบัติตามมาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง

มาตรา ๑๓๓๓/๓๙ มาตรา ๑๓๓๓/๓๗ และมาตรา ๑๓๓๓/๓๘ ให้ใช้บังคับแก่คดีที่มีคำพิพากษา หรือคำสั่งตามคำพิพากษา และลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริการต้องรับราชการอยู่ก็ดีในเรื่องทรัพย์สินนั้นในลักษณะตามคำพิพากษาหรือตามบังคับคดีนั้นก็ดี

มาตรา ๑๓๗/๕๕ เมื่อทำการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จดทะเบียนให้เจ้าพนักงานจัดเก็บงบทะเบียน เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ซื้อ

ถ้าทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดเป็นห้องชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ก่อนทำการขายทอดตลาด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอหนังสือรับรองการจดทะเบียนจากนายทะเบียนอาคารชุดที่แสดงว่ารายการการจดทะเบียนของห้องชุดดังกล่าวเป็นปัจจุบัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมอบสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อพร้อมกับสำเนาบัญชีค่าใช้จ่ายของนิติบุคคลอาคารชุดในส่วนที่เกี่ยวกับห้องชุดดังกล่าวที่ได้รับจากนิติบุคคลอาคารชุด ถ้าทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดเป็นที่ดินหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ก่อนทำการขายทอดตลาด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอหนังสือรับรองการจดทะเบียนจากสำนักงานที่ดินที่แสดงว่ารายการการจดทะเบียนของที่ดินหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นปัจจุบัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมอบสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อพร้อมกับสำเนาบัญชีค่าใช้จ่ายของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวที่ได้รับจากนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ถ้าผู้ซื้อไม่ชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อภายในกำหนดเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศไว้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ซื้อรายอื่นต่อไป การนำส่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามระเบียบที่อธิบดีกรมบังคับคดีกำหนด การนำส่งเงินที่ได้เข้ากองทุนค่าธรรมเนียมและค่าฤชาธรรมเนียม ให้ดำเนินการตามที่บัญญัติในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา ๑๑ แห่งกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดี

ส่วนที่ ๘

การตั้งผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์กิจการประกอบกิจการแทนการขายหรือจำหน่าย

มาตรา ๑๓๗/๕๖ การยกให้จากอสังหาริมทรัพย์หรือกิจการประกอบอุตสาหกรรมทางเกษตรกรรม เกษตรกรรม หรือการประกอบกิจการอื่นในลักษณะต่าง ๆ ตามที่เจ้าพนักงานอาจเพียง

(ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๗/๕๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยค่าฤชาธรรมเนียม และค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ภายในเวลาอันสมควรแต่ถ้าหนี้สมควรหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นตามคำพิพากษาหรือชอบ และไม่ใช่ข้อพิพาทจริง ว่าจะเป็นการประวิงการชำระหนี้ ศาลอาจสั่งให้ผู้ต้องคำพิพากษาชำระหนี้จากทรัพย์หรือรายได้จากการกระทำ การอื่น โดยอาจแบ่งรายได้ทั้งหมดหรือแบ่งรายได้บางส่วนแทนเจ้าพนักงานบังคับคดีในเวลาและเงื่อนไขที่ ศาลเห็นสมควรกำหนดแทนการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้

ส่วนที่ 10 การทำบัญชีรับจ่ายเสร็จ

มาตรา 137/1 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีรายละเอียดยแสดงจำนวนเงิน ทั้งหมดที่ได้มาจากการยึด อายัด ขาย หรือจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือที่ได้จาก เงินอื่นๆ นอกจากนี้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายรับและรายจ่ายที่ได้มาจากการขายหรือ จำหน่ายทรัพย์สินและรายจ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์ อายัดสิทธิ สิทธิเรียกร้อง หรือสิทธิอื่นๆ หรือ การแจ้งให้ทราบหรือประกาศแจ้งให้ทราบกับเจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา 127

ถ้ารายละเอียดของบัญชีรับจ่ายเสร็จไม่ถูกต้องหรือไม่ชัดเจน ให้เจ้าพนักงาน บังคับคดีตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้องหรือชัดเจนโดยเร็วที่สุด ในกรณีที่ต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เจ้าพนักงาน บังคับคดีทำบัญชีรับจ่ายเสร็จ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทราบถึงการบังคับคดีที่ได้กระทำไปแล้ว

มาตรา 137/2 ในกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคนเดียวร้องขอให้บังคับคดีแก่ ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและไม่เข้าข่ายเงื่อนไขมาตรา 127 แล้วให้เจ้าพนักงานบังคับคดี โดยวิธีขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นและให้หักค่าฤชาธรรมเนียมที่เสียไปในการบังคับคดีในครั้งนั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินส่วนที่เหลือแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่าที่เงินที่เหลืออยู่จะพอเพียง และการจ่ายเงินนั้นให้รายได้ตามความสุจริตของแต่การที่จะช่วยให้ได้

มาตรา 137/3 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

มาตรา 137/4 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

มาตรา 137/5 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

มาตรา ๑๓๔/๑๐ ในกรณีที่มีเจ้าพนักงานคดีพิทักษ์ทรัพย์ยกขอร้องขอให้บังคับแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ในกรณีตามมาตรา ๑๓๔ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดหรือทำการโดยวิธีอื่นที่ทรัพย์สินนั้นเสร็จ ให้ดำเนินการดังนี้

หักค่าใช้จ่ายรวมถึงเงินในการรับจำนำได้ แต่ถ้าทรัพย์สินนั้นเป็นของเจ้าของรวม ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแบ่งส่วนของเจ้าของรวมอื่นออกจากส่วนของลูกหนี้ตามคำพิพากษา หากเงินที่ได้จากการขายหรือวิธีการอื่นไม่เพียงพอ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีหักค่าใช้จ่ายในส่วนของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

จัดทำบัญชีส่วนเสียและแจ้งความในหนึ่งข้อให้แก่เจ้าพนักงานคดีพิทักษ์ทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินนั้นและคนกลางเงินตามสุทธิทรัพย์ของรายได้ตามสิทธิของบุคคลเช่นเจ้าหนี้ตามกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายที่ หรือกฎหมายอื่น โดยให้แสดงจำนวนเงินที่ค้างชำระในบัญชีของรวมไว้ในบัญชีส่วนเสียด้วย

ส่งคำบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าของรวม และบุคคลตาม (๒) ขอให้ตรวจสอบบัญชีส่วนเสียและให้ยื่นคำแถลงคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนดเวลา ถ้าไม่มีคำแถลงคำคัดค้านหรือคำแถลงคำคัดค้านไม่เป็นเหตุผล ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้แก่บุคคลตามบัญชีส่วนเสียเช่นนั้น

มาตรา ๑๓๔/๑๑ ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามมาตรา ๑๓๔ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกหมายเรียกเจ้าพนักงานคดีพิทักษ์ทรัพย์ตาม ผู้พิพากษาเจ้าของรวม และลูกหนี้ตามคำพิพากษา มาสอบสวนในเวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้ โดยคำสั่งที่กำหนดนั้นจะต้องไม่เกินความจำเป็น บุคคลดังกล่าวจะต้องไปตามหมายเรียกดังกล่าวและต้องให้ความร่วมมือในการทำการในกรณีนั้น

เมื่อได้ตรวจพิจารณาคำแถลงคำคัดค้านและให้คำสั่งแจ้งของผู้มีส่วนตามหมายเรียกแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการจัดทำบัญชีส่วนเสียขึ้นและส่งคำสั่งดังกล่าวให้ผู้มีส่วนตามหมายเรียกและให้แสดงชื่อหรือรับทราบไว้ ในกรณีที่ไม่อาจจัดทำคำสั่งได้ภายในวันที่กำหนด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้สูงมาตามหมายเรียกหรือออกหมายเรียกใหม่ดังกล่าวเพื่อเลื่อนและให้แสดงชื่อหรือรับทราบไว้ ถ้าบุคคลตามวรรคหนึ่งมีไปตามหมายเรียกหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ถือว่าได้ทราบวันนั้นและคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว

มาตรา ๑๓๔/๑๒ ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีสิ้นคำสั่งในบัญชีส่วนเสีย ผู้มีส่วนใดๆ และลูกหนี้ตามคำพิพากษามาตรา ๑๓๔ อาจยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในคำสั่ง

มาตรา ๔๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๔๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๔๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๐

ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งแก้ไขบัญชีส่วนเฉลี่ย บุคคลตามมาตรา ๓๔ อาจยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าวต่อศาลได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่ง ในกรณีที่ผู้ยื่นคำร้องคัดค้านตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเลื่อนการชำระเงินส่วนเฉลี่ยไปจนกว่าศาลจะได้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาแล้วเสร็จตามมาตรา ๓๔ ถ้าไม่มีผู้ยื่นคำร้องคัดค้านตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองให้ถือว่าบัญชีส่วนเฉลี่ยนั้นเป็นที่สุด และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการชำระเงินส่วนเฉลี่ยนั้น คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด

มาตรา ๓๖/๑๓ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่า ถ้าจะเลิกการขายอายัดเสียไป จะทำให้จำนวนทรัพย์หรือสินที่ประสงค์จะบังคับคดีพอจ่ายค่าร้องขอทั้งที่ค้างชำระอยู่ได้เสร็จเด็ดขาดแล้วจะทำให้บุคคลผู้มีส่วนเฉลี่ยไม่บางคนไม่ได้เพราะทรัพย์สินหรือเงินที่ค้างชำระอาจได้คืนที่ได้รับความเสียหายเจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งยกเลิกการขายอายัดเสียไปตามมาตรา ๓๔๑ วรรคสอง และมาตรา ๓๔๒ วรรคสอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้เสร็จสิ้นกระบวนการบังคับคดีในกรณีดังกล่าวตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ๓๖/๑๔ เมื่อผู้ชำระเงินได้เรียกทรัพย์สินที่ถูกอายัดคืนไปแล้ว ถ้าผู้ชำระเงินได้จากการขายทรัพย์สินที่อายัดไว้หรือถูกอายัดไว้แล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการชำระเงินให้แก่บุคคลผู้มีส่วนเฉลี่ยที่อยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว

ถ้าเงินรายได้จากการขายทรัพย์สินที่อายัดไว้หรือถูกอายัดไว้ไม่ต้องการใช้สำหรับการบังคับคดีต่อไปอีก หรือเงินได้จากการขายทรัพย์สินที่อายัดหรืออยู่ที่อายัดที่ให้การชำระค่าอุทธรณ์ในกรณีดังกล่าว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้แก่บุคคลผู้มีส่วนเฉลี่ยที่อยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว

ส่วนที่ ๑๓ เงินค้างจ่าย

มาตรา ๓๖/๑๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๓๖/๑๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๕/๓๓ บรรดาเงินต่าง ๆ ที่ค้างจ่ายอยู่ในทาสหรือที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ถ้ามีผู้มีสิทธิได้รับเอาภายในหนึ่งปี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

หมวด ๓

การบังคับคดีในกรณีที่มีคำสั่งหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ___________________________

มาตรา ๑๓๕/๓๔ การบังคับคดีในกรณีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แต่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ดำเนินการหรือการบังคับคดีไม่อาจเฉพาะ ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง

มาตรา ๑๓๕/๓๕ ในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งเพื่อชำระหนี้ตามวิธีการร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง

เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ในลักษณะเดียวกันกับการบังคับคดีในกรณีอื่นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชำระหนี้เป็นเงิน ทรัพย์เฉพาะสิ่งที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับมอบเป็นการชั่วคราวเพื่อชำระหนี้ในลักษณะเดียวกันกับการบังคับคดีในกรณีอื่นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชำระหนี้เป็นเงิน ทรัพย์เฉพาะสิ่งของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้เพียงพอ ทั้งนี้ ให้ศาลแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ และอาจมีคำสั่งงดการบังคับคดีในระหว่างทรัพย์ที่ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทรัพย์เฉพาะสิ่งที่เหลือคืนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นนั้น และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีอื่นนั้นได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ถ้าทรัพย์เฉพาะสิ่งตามคำพิพากษาไม่สามารถแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ตามกระบวนการศาล ให้ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามวิธีการเดียวกันกับการบังคับคดีในกรณีอื่นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นนั้น ในกรณีเช่นว่านี้ ให้บังคับมาตรา ๒๘๒ และมาตรา ๒๘๓ มาใช้บังคับ

มาตรา ๑๓๕/๓๖ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๕/๓๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๕/๓๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๔๕/๔๔ การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งที่ระบุในคำพิพากษา หรือที่ระบุในสิทธิหรือหนังสือรับรองทรัพย์หรือประโยชน์แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจดทะเบียนต่อไป

การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งที่ระบุในคำพิพากษา หรือที่ระบุในสิทธิหรือหนังสือรับรองทรัพย์หรือประโยชน์แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจดทะเบียนต่อไป

มาตรา ๑๔๕/๔๕ การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจดทะเบียนต่อไป

การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งที่ระบุในคำพิพากษา หรือที่ระบุในสิทธิหรือหนังสือรับรองทรัพย์หรือประโยชน์แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจดทะเบียนต่อไป

หมวด ๔

การบังคับคดีในกรณีที่ให้บังคับ

มาตรา ๑๔๕/๔๖ การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ขับไล่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา ๑๔๕/๔๓ มาตรา ๑๔๕/๔๔ และมาตรา ๑๔๕/๔๕

การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาหรือคำสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ไม่ยินยอม ไม่ล้มเลิกหรือชำระหนี้ หรือขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา ๑๔๕/๔๓

ส่วนที่ ๓

การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ขับไล่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง

มาตรา ๑๔๕/๔๗ การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ขับไล่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา ๑๔๕/๔๓

มาตรา ๔๕/๒๐ ในกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งของตกค้างให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่ของฝ่าย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง

ถ้าทรัพย์นั้นไม่มีบุคคลใดอยู่แล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา ๔๕/๒๕

ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารไม่ออกไปจากทรัพย์นั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา ๔๕/๒๕

มาตรา ๔๕/๒๕ ในกรณีตามมาตรา ๔๕/๒๐ (๑) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจส่งมอบทรัพย์นั้นพร้อมทรัพย์บางส่วนในทรัพย์ตามคำพิพากษาแก่ครอบครัวได้ทันที ถ้ามีสิ่งที่ควรอันเป็นปัจจัยสี่ควรสงวนไว้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำส่งบางส่วนถึงสิ่งที่ควรสงวนไว้ตามความจำเป็น

ถ้าสิ่งมีชีวิตของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือของบุคคลใดอยู่ในทรัพย์นั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำส่งสิ่งมีชีวิตนั้นไป และในกรณีที่ไม่สามารถส่งไปได้ (ก) ถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นมีลักษณะเหมาะสมที่จะขายได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำส่งจากที่ขายซึ่งจะนำไปให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงินหรือทรัพย์สินนั้น หรือถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นไม่สามารถขายได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำส่งสิ่งมีชีวิตนั้นไปยังสถานที่ที่เหมาะสมตามที่เห็นสมควร หรือให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามวิธีอื่นใดตามที่เห็นสมควร (ข) ถ้าสิ่งของนั้นไม่มีลักษณะเหมาะสมที่จะขายได้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำส่งสิ่งของนั้นไปยังสถานที่ที่เหมาะสมตามที่เห็นสมควร หรือให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามวิธีอื่นใดตามที่เห็นสมควร แล้วแจ้งหรือประกาศให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของมารับคืนไปภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของไม่มารับหรือไม่ยอมรับสิ่งของนั้นคืนไปภายในเวลาที่กำหนด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตาม (๑) โดยอนุโลม เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้จากการทำตามข้อ (ก) หรือ (ข) ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าของสิ่งของไม่ขอรับคืนภายในกำหนดที่กำหนด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินนั้นส่งแผ่นดิน ในกรณีที่สิ่งของตามมาตราของลูกหนี้ถูก ขาย ย้าย หรือทำลาย หรือจำหน่ายตามวิธีการจัดการก่อนพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือการบังคับคดีเสร็จ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำสิ่งของดังกล่าวไปเก็บไว้ ณ สถานที่ที่เห็นสมควร ทั้งนี้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งลูกหนี้หรือเจ้าของสิ่งของนั้นทราบโดยเร็ว ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะนำสิ่งที่เจ้าพนักงานบังคับคดีนำส่งแผ่นดินไปแล้ว และให้ถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินไป *มาตรา ๔๕/๒๐ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ *มาตรา ๔๕/๒๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๔๕๔/๑ ในกรณีตามมาตรา ๔๕๔ (๒) ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

รายงานต่อศาลพร้อมทั้งสำเนาคำสั่งของศาลและคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือวิธีการ และให้ศาลมีคำสั่งงดบังคับคดีในที่นั้น ในกรณีเช่นนี้ ให้เจ้าบ้านบัญชีตามมาตรา ๒๔๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ปิดประกาศให้บุคคลที่อยู่ในที่นั้นหรือครอบครองทรัพย์นั้นซึ่งอาจได้เป็น บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันปิดประกาศ แสดงว่าตนมีอำนาจพิเศษในการอยู่ที่หรือครอบครองทรัพย์นั้น เมื่อมีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือบริวารตาม (๑) แล้ว หรือในกรณีที่บุคคล ดังกล่าวหลบหนีไปจากทรัพย์นั้นแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามมาตรา ๔๕๔

มาตรา ๔๕๔/๒ เพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้เป็นไปตามมาตรา ๔๕๔ ให้ถือว่าบุคคลดังต่อไปนี้เป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา (๑) บุคคลที่อยู่ในที่หรือครอบครองทรัพย์นั้นและมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลภายใน กำหนดเวลาตามมาตรา ๔๕๔ (๒) หรือยื่นคำร้องต่อศาลแต่ศาลมีคำสั่งว่าตนมิได้มีอำนาจ พิเศษในการอยู่ที่หรือครอบครองทรัพย์นั้น (๒) บุคคลที่ในขณะอยู่ในทรัพย์นั้นในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการ บังคับคดีตามคำพิพากษาในที่หรือครอบครองทรัพย์นั้น

ส่วนที่ ๒ การบังคับคดีในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ไม่คืนต้น ไม่คืนลูกหนี้บัญชีจด หรือขนย้ายทรัพย์สิน ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง

มาตรา ๔๕๕ ในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตาม คำพิพากษากระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ไม่คืนต้น ไม่คืนลูกหนี้บัญชีจด หรือขนย้ายทรัพย์สิน ออกไป จากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่หรือที่ หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดี ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในทรัพย์นั้นได้โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำคำบอกกล่าวให้ลูกหนี้ การรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น และให้ถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจกระทำการดังต่อไปนี้

มาตรา ๔๕๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ (๒) มาตรา ๔๕๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ (๓) มาตรา ๔๕๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ การตีความวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศกำหนดการซื้อขายหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น ๆ ณ บริเวณนั้นไม่อย่างล่าช้ากว่าสิบห้าวัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการซื้อขายหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น ในการจัดการเกี่ยวกับการซื้อขายและทรัพย์สินที่ถูกบังคับขายทอดตลาดซึ่งทรัพย์ที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์ที่ครอบครองนั้น ให้บันทึกบัญชีตามมาตรา ๔๕ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด ๕

การบังคับคดีในกรณีให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ

มาตรา ๔๕๖ การบังคับคดีในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษากระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดนอกจากการที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาส่งมอบทรัพย์มอบทรัพย์หรือไม่ส่งมอบทรัพย์ การบังคับคดีในกรณีเช่นว่านี้ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเฉพาะสิ่งนี้ และมาตรา ๔ การบังคับคดีในกรณีเช่นนี้ให้เป็นไป ให้ศาลมีอำนาจกำหนดวิธีการบังคับคดีตามที่ผู้ขอให้บังคับคดีเสนอ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และเพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปโดยไม่ล่าช้าและไม่อาจบรรลุผลตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้ ให้ศาลสั่งบังคับคดีตามวิธีการบังคับคดีที่เสนอมาโดยเห็นสมควร ทั้งนี้ ศาลมีอำนาจสั่งให้บังคับคดีด้วยวิธีการอื่นใดที่เห็นสมควรตามที่เห็นสมควรได้

ส่วนที่ ๖

การบังคับคดีในกรณีให้กระทำการ

มาตรา ๔๕๗ การบังคับคดีในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษากระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งอาจต้องเกี่ยวข้องกับการของศาลแทนการแสดงแทนของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น และคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวไม่ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษากระทำการแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทนการแสดงแทน

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - 163 - สำหรับสื่อสำคัญ เช่น โฉนดที่ดิน ใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ในเขตป่า หรือเอกสารสิทธิอื่นจะต้องใช้ในการจดทะเบียนสูญหาย บุบสลาย หรือชำรุดไม่สามารถเหตุชัดใน ศาลจะสั่งให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายออกใบแทน หนังสือสำคัญดังกล่าวให้ เมื่อได้ออกใบแทนแล้ว หนังสือสำคัญเดิมเป็นอันยกเลิก

มาตรา 354 ** การบังคับคดีในกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งต้องการให้

ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทำการอย่างหนึ่งอย่างใดตามใจความในคำพิพากษาหรือคำสั่ง นอกจาก

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจร้องขอตามมาตรา 330 แล้ว ถ้าการกระทำนั้นเป็นการบังคับให้ บุคคลถ่ายถอนกระทำการแทนตามคำพิพากษาอาจเสนอคำขอให้ศาลสั่งอนุญาต ให้บุคคลถ่ายถอนกระทำการแทนบุคคลผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้เสีย ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการนี้จะถือเป็นของบุคคลถ่ายถอนกระทำการแทนตามพระราชกฤษฎีกา ให้ถือ ว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจะบังคับคดีต่อไป

ส่วนที่ 2

การบังคับคดีในกรณีที่ให้คืนทรัพย์การ

มาตรา 355 ** การบังคับคดีในกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งต้องการให้

ลูกหนี้ตามคำพิพากษาคืนทรัพย์การ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจร้องขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี

ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาคืนทรัพย์การตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดี ดำเนินการดังนี้ (ก) ให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาคืนทรัพย์การดังกล่าวในเทอมตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง จากการไม่ชำระหนี้ในกระบวนการนั้น (ข) รื้อถอนหรือทำลายทรัพย์สินอันเกิดจากการไม่ชำระหนี้ในกระบวนการนั้น ไว้แต่ใน กรณีที่กฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีทางอาญากำหนดวิธีการหรือกำหนดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการบังคับคดี ในกรณีตาม (ก) เมื่อศาลได้วินิจฉัยแล้วเห็นว่าคำวินิจฉัยนั้นไม่เป็นไป ให้ศาลมีคำสั่งให้ลูกหนี้ ตามคำพิพากษาชำระค่าใช้จ่ายในเทอมตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เหมาะสม ในกรณีที่ศาลสั่งดังกล่าว (ข) ให้ศาลแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ แล้วให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งศาล โดยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้รับผิดชอบใน ค่าใช้จ่าย การบังคับคดีในกรณีนี้การกระทำการ ไม่ต้องเสียธรรมเนียมศาล ส่วนค่าใช้จ่ายใน ทุกรายการที่เกิดจากความจำเป็นและเหมาะสมตามพระราชกฤษฎีกา ให้ถือว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจะ บังคับคดีต่อไป ** มาตรา 354 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 ** มาตรา 355 เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560

หมวด 6

การบังคับคดีในกรณีไม่สามารถบังคับคดีในทรัพย์สินที่จดทะเบียน

มาตรา 286 การบังคับคดีในกรณีที่ศาลสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาชำระหนี้หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยให้เอาทรัพย์สินที่จดทะเบียนไว้เป็นประกันการชำระหนี้ หรือทรัพย์สินที่จดทะเบียนไว้เป็นประกันการกระทำการนั้น หากทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์ที่มีผู้มีส่วนได้เสียอื่นร่วมอยู่ด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไม่อาจบังคับคดีในส่วนของทรัพย์สินนั้นตามคำพิพากษาได้ เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือบุคคลดังกล่าวอาจร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ขายทรัพย์สินนั้น แล้วนำเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินนั้นมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา หรือแบ่งให้แก่บุคคลผู้มีส่วนได้เสียอื่นตามกฎหมายต่อไปในการดำเนินการขายทรัพย์สินหรือแบ่งทรัพย์สินนั้นให้เป็นไปตามคำสั่งศาล

ให้นำบทบัญญัติมาตรา 287 วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 287

การบังคับคดีในกรณีที่มีข้อให้ศาลสั่งงบเงินและกำกับงบลูกหนี้ตามคำพิพากษา

มาตรา 286/1 การบังคับคดีในกรณีที่ศาลสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาชำระหนี้หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยให้เอาทรัพย์สินที่จดทะเบียนไว้เป็นประกันการชำระหนี้ หรือทรัพย์สินที่จดทะเบียนไว้เป็นประกันการกระทำการนั้น หากทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์ที่มีผู้มีส่วนได้เสียอื่นร่วมอยู่ด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไม่อาจบังคับคดีในส่วนของทรัพย์สินนั้นตามคำพิพากษาได้

พยานหลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินที่จดทะเบียนไว้เป็นประกันการชำระหนี้หรือประกันการกระทำการนั้น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาสามารถที่จะปฏิบัติตามคำบังคับได้หรือหากระหว่างการไต่สวนจริงๆ และเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีวิธีการบังคับคดีใดที่จะใช้บังคับได้ให้ศาลออกหมายบังคับคดีที่มีคำพิพากษา ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาแสดงเหตุอันสมควรว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำบังคับได้ แต่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่อาจแสดงเหตุอันสมควรในการที่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับได้ ศาลมีอำนาจสั่งให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นชำระหนี้หรือรับเงินที่รับคืนที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษายังต้องชำระอยู่ต่อไป หากลูกหนี้ตามคำพิพากษาแสดงเหตุอันสมควรในการที่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับได้ หรือหากทรัพย์สินที่จดทะเบียนไว้เป็นประกันการชำระหนี้หรือประกันการกระทำการนั้นมีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถปฏิบัติตามคำบังคับได้ ศาลจะมีคำสั่งให้ขายได้ หรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา 286/2 เมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีที่มีคำพิพากษาตามมาตรา 286/1 แล้ว ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษามีความสามารถชำระหนี้หรือชำระหนี้บางส่วน ให้ศาลสั่งบังคับคดีที่มีคำพิพากษา

(ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2560 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นั้นไว้ในระหว่างการพิจารณาคำขอปล่อยตัวชั่วคราวว่าจะมีประกัน หรือไม่มีประกันและหลักประกันใดตามที่ศาลเห็นสมควร ในกรณีที่ศาลสั่งอนุญาตให้ประกันตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจมีคำสั่งกำหนดหลักประกัน หรือทางจำนวนเงินที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟังผู้ที่ขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวเป็นคนใหม่

มาตรา ๑๓๔/๓ ในกรณีที่ศาลสั่งให้จำเลยหรือผู้ต้องหาปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโดยความในมาตรา ๑๓๔ หรือมาตรา ๑๓๔/๑ บุคคลนั้นต้องชำระค่าปรับในจำนวนที่ศาลกำหนดไว้ในคำสั่งนั้น หรือในกรณีที่ศาลกำหนดหลักประกันตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควรตามคำสั่งนั้นต้องนำค่าปรับนั้นมาหักจากจำนวนเงินที่ศาลกำหนดไว้ในคำสั่งนั้นก่อนที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของศาล

แต่ทั้งนี้ ห้ามไม่ให้ศาลผู้พิพากษาสั่งเกินกว่าหกเดือนนับแต่วันอนุญาตหรือวันเริ่มกำหนด แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ศาลสั่งอนุญาตให้ประกันตามวรรคหนึ่ง ให้บันทึกในบัญชีมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๑๓๔/๔ ในกรณีที่ศาลสั่งอนุญาตให้บุคคลเป็นประกัน และบุคคลนั้นจงใจขัดขวางการบังคับคำพิพากษาหรือคำพิพากษาที่กำหนดให้ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้บันทึกในบัญชีมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง และมาตรา ๑๓๔/๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๑๓๔/๕ ในกรณีที่ศาลสั่งอนุญาตให้บุคคลเป็นประกันและบุคคลนั้นมีลักษณะไม่ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือเจ้าพนักงานตำรวจสามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำพิพากษาที่กำหนดให้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลได้ ให้บันทึกในบัญชีมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง และมาตรา ๑๓๔/๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด ๘

การบังคับในการมีการประกันในศาล

มาตรา ๑๓๕ ถ้าบุคคลใดได้เข้าเป็นผู้ประกันในศาลโดยทำเป็นหนังสือหรือโดยวิธีอื่นเพื่อการระงับคำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมใช้บังคับแก่การประกันได้ โดยให้บังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น

มาตรา ๑๓๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๔/๓ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๔/๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

มาตรา ๑๓๔/๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

ร้องขอให้ศาลบังคับคดีแก่ผู้ประกันเมื่อผู้ประกันเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยไม่ต้องฟ้องผู้ประกันเป็นคดีใหม่ ให้บังคับบัญญัตินี้บรรดาหนี้มาบังคับแก่การประกันการปฏิบัติตามคำสั่งศาลในกรณีอื่นด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๓๐๗/๑ ในกรณีที่ผู้ชำระหนี้หรือผู้วางเงิน สงสัยในคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี หรือหนังสือประกาศ หรือคำประกาศเกี่ยวกับอายัดเงินหรือเงินฝาก สามารถขอต่อศาลตามบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือขอคำสั่งของศาล เช่น คำสั่งเกี่ยวกับวิธีการจัดการก่อนพิพากษาหรือบุคคลกรณีบังคับคดีในระหว่างชำระหนี้หรือกรณีอื่นใด เจ้าพนักงานคำพิพากษาในคดีนั้นยอมรับข้อร้องขอต่อศาลให้ส่งคำสั่งเกี่ยวกับการเรียกเงินหรือเงินมาจ่ายให้แก่ตนได้ การร้องและการดำเนินการตามมาตรานี้ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล

มาตรา ๓๐๗/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐

ลักษณะของคดี | ทุนทรัพย์ | อัตรา | หมายเหตุ

(ก) คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคามิได้ ให้คิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ ดังต่อไปนี้ (ก) คำฟ้องของกฎที่ระบุไว้ใน (ข) และ (ค) ไม่เกินห้าล้านบาท | ร้อยละ 2 แต่ไม่เกินสองแสนบาท

ส่วนที่เกินห้าล้านบาทขึ้นไป | ร้อยละ 0.1

(ข) คำร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศหรือที่ร้องขอให้ถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศ ไม่เกินห้าล้านบาท | ร้อยละ 0. 5 ของจำนวนที่ร้องขอให้ศาลบังคับ แต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท

ส่วนที่เกินห้าล้านบาทขึ้นไป | ร้อยละ 0.1

คำร้องขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศหรือที่ร้องขอให้ถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ ไม่เกินห้าล้านบาท | ร้อยละ 0. 5 ของจำนวนที่ร้องขอให้ศาลบังคับ แต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท

ส่วนที่เกินห้าล้านบาทขึ้นไป | ร้อยละ 0.1

ลักษณะของคดี | ทุนทรัพย์ | อัตรา | หมายเหตุ

---|---|---|--- (ก) คำฟ้องขอให้รับชำระหนี้บางส่วน หรือบังคับเอาหรือพิพากษาให้จำนองทรัพย์ | ส่วนที่เกินห้าล้านล้านบาทขึ้นไป | ร้อยละ 0. 1 | | ไม่เกินห้าล้านบาท | ร้อยละ 0. 1 ของจำนวนหนี้ที่เรียกร้องแต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท | | ส่วนที่เกินห้าล้านล้านบาทขึ้นไป | ร้อยละ 0. 1 | (ข) คดีที่คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ | | เรื่องละ 200 บาท | (ค) คดีที่ไปรวมพิจารณาไม่มีข้อพิพาท | | เรื่องละ 200 บาท | การอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งตามมาตรา 227 หรือมาตรา 228 (2) และ (3) (ง) คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย | | ให้คิดค่าขึ้นศาลตามอัตราใน (ก) แต่ไม่ให้น้อยกว่าอัตราใน (ข) หรือ (ง) แล้วแต่กรณี | (จ) คดีที่ขอให้ชำระค่าเสียหาย ค่าป่วยการเสียเวลา หรือค่าเสียหายที่ดี เงินเดือน เงินเบี้ยบำนาญ ค่าบำรุงรักษา หรือเงินอื่น ๆ ที่ดี | | 100 บาท | บรรดาที่ให้ชำระหนี้กันคนเป็นระยะเวลาในอนาคตนอกจากดอกเบี้ยค่าเช่า หรือค่าเสียหายที่ศาลสั่งเมื่อเวลาพิพากษาหรือสั่งตามมาตรา 145 แล้ว ถ้าศาลมิได้กำหนดให้ชำระหนี้ในเวลาปัจจุบัน หรือมิได้กำหนดในข้อก่อน ๆ ร่วมอยู่ด้วย ให้คดีจบในศาลสั่งหรือคำขอในข้อยื่นเมื่อสิ้นส่วนหนึ่ง ตาราง 2 ค่าธรรมเนียมศาล (ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) | ลักษณะแห่งกระบวนพิจารณา | ศาลฎีกา และศาลอุทธรณ์ | ศาลชั้นต้น | ชำระเมื่อใด | |--------------------------|-----------------------|------------|------------| | (ก) ค่าคำร้องขอตามมาตรา 131 ในกรณีที่ยังไม่มีข้อพิพาท | 100 บาท | 100 บาท | เมื่อยื่นคำร้อง | | (ข) ค่ารับรองสำเนาเอกสารต่าง ๆ โดยหัวหน้าสำนักงานประจำศาลยุติธรรม หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้รับรอง ฉบับละ | 50 บาท | 50 บาท | เมื่อยื่นคำร้อง | | (ค) ในสำเนาคู่แปลเอกสารคำพิพากษาหรือคำสั่งใดที่ศาลสั่งแล้ว ฉบับละ | 50 บาท | 50 บาท | เมื่อยื่นคำร้อง | ตาราง 2 ค่าธรรมเนียมศาล (ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558.

มาตรา ๓

คำสืบพยานหลักฐานนอกศาล ในกรณีที่มีการสืบพยานหลักฐานนอกศาล ให้ศาลกำหนดการให้ผู้พิพากษาในอัตราต่อหนึ่งนั่งพิจารณาเรื่อยไป และให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานในอัตราต่อหนึ่งนั่งพิจารณาเรื่อยไป โดยให้ทำรายงานสืบพยานหลักฐาน ในกรณีที่มีการรวมการพิจารณา ให้ศาลกำหนดการโดยชัดเจนว่าเป็นคดีเดียว ในกรณีที่มีผู้ถูกวางหลายฝ่ายหรือหลายคนเป็นผู้สูงอายุ ให้เลยลำดับชำระคดีบางกรณีในอัตราตามวรรคหนึ่งในกรณีส่วนย่อ ๆ กัน ในกรณีจำเป็น ศาลอาจสั่งให้คู่ความฝ่ายหนึ่งหรือฝ่ายที่แพ้หรือฝ่ายที่แพ้เป็นผู้จัดการพาทนาย ถ้าไม่จัดหาพาทนายให้ จะต้องตกให้คำพาทนายที่เสียไปตามสมควร

มาตรา ๓ คำสืบพยานหลักฐานนอกศาล แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๕๘

ตาราง ๔ ค่าป่วยการ ค่าพาหนะ และค่าเช่าที่พักของพยาน กับค่าราชการที่แต่งตั้ง (ก) ให้กำหนดค่าป่วยการพยานตามฐานะและฐานะของพยานซึ่งสมศักดิ์ตามหมายเรียก แต่ไม่เกินวันละสี่ร้อยบาท ค่าพาหนะเดินทางและค่าเช่าที่พักของพยานให้เสียไปตามสมควร (ข) ในกรณีที่ศาลสั่งให้รื้อวัตถุในคดี (ค) โดยเจ้าพนักงานศาล ให้ศาลกำหนดค่าป่วยการให้แก่เจ้าพนักงานศาลในอัตราต่อวันละสองร้อยบาท ค่าพาหนะเดินทางและค่าเช่าที่พักของเจ้าพนักงานศาลให้เสียไปตามสมควร (ง) โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่น ให้ศาลกำหนดค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามระเบียบของส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้น ถ้าส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้นไม่มีระเบียบดังกล่าวให้คิดตามข้อ (ก) ตาราง ๔ ค่าป่วยการ ค่าพาหนะ และค่าเช่าที่พักของพยาน กับค่าราชการที่แต่งตั้ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๙) พ.ศ. ๒๕๖๐ ตาราง 5 ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี | ค่าธรรมเนียม | จำนวน | หมายเหตุ | |---------------|--------|----------| | 1. ขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นซึ่งทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัด | ร้อยละ 3 ของจำนวนเงินที่ขายหรือจำหน่ายได้ | ทั้งนี้ ต้องเสียค่าประกาศและค่าใช้จ่ายต่างหาก | | 2. จ่ายเงินที่ยึดหรืออายัดแก่เจ้าหนี้ | ร้อยละ 2 ของจำนวนเงินที่ยึดหรืออายัด | | | 3. เมื่อมีทรัพย์สินยึดไม่ได้เงินและไม่มีการขายหรือจำหน่าย | ร้อยละ 2 ของราคาทรัพย์สินที่ยึด | ส่วนการคำนวณราคาทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดแพ้หรือเสีย ค่าธรรมเนียมตามหมายเลข 3 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนด ถ้าไม่ตกลงกันให้ค่าความที่เกี่ยวข้องเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติในมาตรา 26 | | 4. เมื่อยึดหรืออายัดเงินหรืออายัดทรัพย์สินแล้ว ไม่มีการขายหรือจำหน่าย | ร้อยละ 2 ของจำนวนเงินที่ยึดหรืออายัด หรือราคาทรัพย์สินที่อายัด | | | 5. ขายโดยวิธีประมูลระหว่างคู่ความ | ร้อยละ 2 ของราคาประมูลสูงสุด | | ตาราง 5 ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2548 - ๑๗๔ - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตาราง ๖ ค่าทนายความ

ให้ศาลกำหนดค่าทนายความตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควรไม่เกินอัตราขั้นสูง ดังระบุไว้ในตารางนี้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ

การกำหนดค่าทนายความตามที่ศาลจะต้องรับผิดนั้น ให้คำนึงถึงราคาทนายความ ยากง่ายแห่งคดีที่ยกขึ้นและงานที่ทนายความต้องปฏิบัติในการว่าคดีเรื่องนั้น | อัตรา | คดีมีทุนทรัพย์ | คดีไม่มีทุนทรัพย์ | | --- | --- | --- | | อัตราขั้นสูงในศาลชั้นต้น | ร้อยละ ๕ | ๓๐,๐๐๐ บาท | | อัตราขั้นสูงในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา | ร้อยละ ๓ | ๖๐,๐๐๐ บาท | ___________________________ ตาราง ๖ ค่าทนายความ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๙) พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๑๗๕ - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตาราง ๗ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ศาลอาจกำหนดให้คู่ความฝ่ายที่ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมตามมาตรา ๑๖๑ วรรคหนึ่ง ใช้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่คู่ความอีกฝ่ายตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควร โดยให้คำนึงถึงทรัพย์ที่ต้อง ไม่เกิน ร้อยละ ๕ ของจำนวนทุนทรัพย์ หรือในคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์ต้องไม่เกินห้าพันบาท การกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลกำหนดสิ่งต่าง ๆ ที่คู่ความได้เสียไป รวมทั้งลักษณะและวิธีการดำเนินคดีของคู่ความ ___________________________ ตาราง ๗ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๗๗

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๘๐

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๔๘๕

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๔๘๕

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๒ ในกรณีที่ศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่มีทนายความ และเห็นว่าชื่อของศาลและคู่ความในการดำเนินกระบวนพิจารณาในกรณีที่สำคัญ ทั้งสมควรปรับปรุงเป็นอัตราที่กำหนดไว้ในมาตราท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งให้เหมาะสมกับ

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๔๘๕

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา ๓ มาตรา ๔ และมาตรา ๑๐ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๑๐ การรับฟังคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งที่ถึงที่สุดในวันนี้ พระราชบัญญัตินี้บังคับ หากได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ หรือมาตรา ๒๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือมี

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๑/ตอนที่ ๐๔/หน้า ๐๔๐/๑๔ มกราคม ๒๔๗๗ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๔/ตอนที่ ๐๐/หน้า ๐๐๐/๐๐๐/๐๐๐ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๙/ตอนที่ ๐๐/หน้า ๐๐๐/๐๐๐/๐๐๐ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๑/ตอนที่ ๐๐/หน้า ๐๐๐/๐๐๐/๐๐๐ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๔/ตอนที่ ๐๐/หน้า ๐๐๐/๐๐๐/๐๐๐

ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเมื่อผู้เสียหายได้รับเสียไปในการบังคับคดีเกี่ยวข้องโดยทำเป็นคำร้องให้ศาลสั่ง แก้ไขคณะเสียหายทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไขความผิดสำเร็จในเรื่องนี้อย่างใดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องไปจนถึง บัญญัติบังคับคดีต่างๆ ทั้งนี้ ในแต่กรณีบังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งที่ศาลกำหนดหรือเรียกร้องเงิน เงินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา มิใช่เป็นอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามมาตรา ๒๗ (๒) หรือ (๓) หรือ (๔) ที่มีจำนวนเกินอัตราตามเงินเดือนขั้นต่ำสุดของข้าราชการพลเรือนในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เว้นแต่ในกรณีที่ศาลเห็นสมควรให้มีการบังคับคดีในส่วนที่เกินอัตราดังกล่าว และต้องมีคำสั่งให้บังคับคดีในส่วนที่เกินอัตราดังกล่าวนั้นด้วย ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสมแห่งการบังคับคดีในแต่ละกรณีเป็นสำคัญ

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาสามารถสั่งโดยเฉพาะสะสมและรวดเร็วซึ่งมีผลแผ่เผื่อในกรณีที่เกี่ยวกับการบังคับคดี ซึ่งของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ดีขึ้นกว่าเดิม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นใหม่เพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๒๒

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากค่าฤชาธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ค่าอากรแสตมป์ศาล ค่าใช้จ่ายการเดินทางของพยานหรือเจ้าพนักงานในการจัดทำแผนที่ และอัตราค่าทนายความที่กำหนดไว้ในราชกิจจานุเบกษาในปัจจุบัน สมควรแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และควรแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้สอดคล้องกันด้วย จึงเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๒๒

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บางบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน เช่น ค่าฤชาธรรมเนียมเอกสารโดยพนักงานประจำศาลหรือพนักงานอื่นๆในศาล ทำให้เกิดความล่าช้าและไม่สะดวกในการดำเนินคดีเพิ่มเติมจากเดิมไม่จำเป็น สมควรให้มีการกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมเอกสารโดยพนักงานประจำศาลหรือพนักงานอื่นๆในศาลให้เหมาะสมได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๒

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้กระบวนการอรรถคดีเริ่มต้นโดยวิธีปิดหมายในบางกรณีที่ต้องปิดไว้ในที่จำคัญความคดีอาจไม่ปรากฏหรืออาจมีที่อยู่ที่ไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าและไม่สะดวกในการเรียกกันและการชำระหนี้รวมถึงการระงับเยียวยาคดี และการตรวจสอบคำคู่ความของพยานหลักฐานหรือเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณและเป็นภาระในการจัดเก็บ และการเก็บรักษาเอกสารของศาลอีกด้วย สมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้การกระทำหรือการส่งหมายเป็นมาตรการที่เหมาะสมต่อเจ้าพนักงานศาลออกไปใช้ และสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการตรวจคำคู่ความของพยานหลักฐานด้วยกันกับการชำระหนี้รวมถึงการระงับเยียวยาคดีต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๒๕

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

มีหลักเกณฑ์และวิธีการในการเลื่อนการพิจารณาคดีของศาลที่ยังไม่รัดกุมพอ และเปิดโอกาสให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความทั้งสองฝ่ายร่วมกันขอเลื่อนคดีเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่สมควร

มีหลักเกณฑ์ในการที่ศาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่นำหมายพร้อมทั้งไปตรวจคำความคู่ความพยาน หรือบุคคลอื่นใดที่คู่กรณีให้มาศาลแต่บุคคลใดไม่ได้มาระหว่างวันซึ่งเป็นเหตุให้มีการขอเลื่อนการพิจารณาคดีโดยไม่สมควร

มีเงื่อนไขที่ศาลจะสั่งให้เจ้าพนักงานความคดี หรือมีความประสงค์จะขอตรวจจากการเป็นพยาน ซึ่งจะต้องให้มีความเหมาะสมก่อน อันเป็นเหตุให้มีการใช้วิธีในการถอดบังคับจากการเป็นพยานเพียงประการเดียวในคดีนี้ ทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า

มีเงื่อนไขที่ศาลให้มีการสืบพยานในคดีที่มีการฟ้องร้องในศาล และบัญญัติให้มีการกำหนดวิธีการสืบพยานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย กำหนดให้พนักงานที่มีคำสั่งฟ้องและผู้เกี่ยวข้อง แต่ในบางปัญหายังมีข้อสงสัย และบัญญัติให้มีความจำเป็นในข้อที่จะให้พนักงานที่มีคำสั่งฟ้องเข้าใจและนำไปปฏิบัติในทุกกรณีในกระบวนการอรรถคดีเป็นหลายอย่างนี้เอง

ถ้าหนดเวลาที่โจทก์จะร้องหรือช่องพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้หมายและสำนวนคำร้องไปให้เจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งกำหนดไว้สิ้นสุดในวันหนึ่งแต่วันนั้นเป็นวันหยุดทำการ ให้ขยายกำหนดเวลาที่กำหนดเกินไป

ถ้าหนดเวลาที่โจทก์จะร้องแจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยไม่ร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้หมายเรียกให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนดเวลา โดยที่การไม่ร้องขอตามกำหนดเวลาดังกล่าวถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้ศาลพิจารณาได้ว่าการเพิกเฉยนั้นเป็นการเพิกเฉยที่มีเหตุผลอันสมควรหรือไม่

มิให้กำหนดให้ผู้ควบคุมงานในวันหรือช่วงเวลา อันเป็นวันหรือช่วงเวลาที่ขอเลื่อนคดีในวันนั้นหรือพิจารณาเรื่องนั้น และศาลไม่อาจดำเนินการไต่สวนในคดีนั้นได้กลางประมวลระยะเวลาหรืออยู่ในประเด็นข้อพิพาทต่างจากศาลปกติ

มีหลักเกณฑ์การบังคับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับการอายัดทรัพย์สินที่ไม่ให้กฎหมายทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ผู้ขออายัดทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมาย อาจนำด้วยรายการใช้สิทธิอายัดทรัพย์สินนั้นไว้ก่อนแล้ว และในกรณีเจ้าหนี้ผู้ขออายัดทรัพย์สินจะสิทธิในการบังคับคดีหรือไม่จำเป็นในการบังคับคดีในขณะนั้นตามบังคับคำพิพากษา

มิให้กำหนดให้อำนาจศาลสั่งยกการบังคับคดี ถ้าเจ้าหนี้คำพิพากษาไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด

มิให้กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการบังคับคดีในกรณีที่มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ หรืออาจมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถขายทอดตลาดได้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา การพิจารณา การทำคำชี้ขาด และการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลไว้โดยเฉพาะแล้ว สมควรแก้ไขบทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการนอกศาลในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (มาตรา ๒๒) จึงเห็นสมควรพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๘

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่บทมาตรา ๗ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗ และมาตรา ๑๘ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้กำหนดรูปแบบและความไม่เป็นธรรม เนื่องจากการที่ศาลมีอำนาจในการเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีที่คำชี้ขาดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีลักษณะที่ไม่สามารถบังคับได้เท่านั้น แต่บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวยังมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพิจารณาและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาล ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการดำเนินคดีในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาล และอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนในกระบวนการยุติธรรมและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลได้ ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปโดยสะดวกและเป็นธรรมยิ่งขึ้น จึงสมควรปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการนอกศาลในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้ศาลมีอำนาจในการพิจารณาและบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลได้ในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดดังกล่าว และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพิจารณาและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาล เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปโดยสะดวกและเป็นธรรมยิ่งขึ้น และสมควรเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยค่าใช้จ่ายและเอกสารให้กับฝ่ายที่มิได้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยกำหนดให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นไปโดยสะดวกและเป็นธรรมยิ่งขึ้น อนึ่ง การปรับปรุงบทบัญญัติว่าด้วยอนุญาโตตุลาการนอกศาลในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวนี้ยังมุ่งที่จะให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปโดยสะดวกและเป็นธรรมยิ่งขึ้น และสมควรปรับปรุงบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้ศาลมีอำนาจในการพิจารณาและบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาลได้ในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดดังกล่าว และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพิจารณาและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนอกศาล เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปโดยสะดวกและเป็นธรรมยิ่งขึ้น อุทธรณ์และหลากฎีการรวมทั้งแก้ไขบทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันด้วย จึงจำเป็นต้องตรา พระราชบัญญัติฉบับนี้ขึ้น พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่มาตรา ๙ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๑๔ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับบรรดาคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้ให้อำนาจศาลพิจารณาคดีที่ยังฟ้องอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

มาตรา ๑๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบัน การพิจารณาคดีในศาลมีความล่าช้าและไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเนื่องมาจากกระบวนการพิจารณาคดีที่มีความซับซ้อนและไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาคดีในศาลมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกแก่คู่ความในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีและการส่งพยานหลักฐานไม่ให้ล่าช้าและเอื้ออำนวยแก่การชี้ขาดข้อพิพาท กล่าวคือ เปิดโอกาสให้มีการอ้างพยานหลักฐานนอกชั้นพิจารณา หรืออ้างพยานหลักฐานที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก หรือระงับข้อพิพาทนอกศาลด้วยส่งเรื่องไปยังศาลอื่นที่ไม่ใช่ศาลเดิมที่พิจารณาคดีนั้น รวมทั้งปรับปรุงลักษณะเกี่ยวกับการประจักษ์พยานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อให้ศาลสามารถสอบสวนให้คู่ความรับฟังในประเด็นที่พิพาทและนำไปสู่ข้อยุติข้อพิพาทได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวยังคำนึงถึงความสมดุลระหว่างสิทธิของคู่ความที่ไม่อาจมีสิทธิ์หรือมีปัญหาทางกฎหมายให้ได้รับการวินิจฉัยโดยศาลในฐานะผู้ใหญ่ของสาธารณะ สมควรกำหนดให้หลักการที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งพยานหลักฐานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สืบเนื่องจากการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าว จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งพยานหลักฐานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ของศาลฎีกาให้คณะรัฐมนตรีที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายดำเนินการวินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา และสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2565

มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 15 พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบต่อกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้กระทำไปแล้ว ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ส่วนกระบวนการพิจารณาใดที่ยังมิได้กระทำต่อหรือให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กฎหมายระบุไว้ยังคงอยู่ต่อไปยังคงอยู่ในกำหนดเวลาที่กฎหมายระบุให้ดำเนินกระบวนพิจารณานั้นได้ภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 12 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวด้วยวิธีการชำระหนี้แทนการใช้ใหม่ โดยกำหนดให้การชำระหนี้แทนการใช้ใหม่สามารถกระทำได้โดยการชำระหนี้ตามที่ศาลกำหนดไว้ในคำพิพากษาและให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา เพื่อให้การดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว อันจะเป็นการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความในกรณีที่มีการชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วไม่สามารถดำเนินการตามคำพิพากษาได้โดยสะดวกและรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาของศาลและการบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพิ่มอำนาจศาลและให้มีอำนาจสิทธิ์ชอบด้วยกฎหมายที่จะดำเนินการได้ในทุกเขตแดนเช่นเดียวกับการถูกบังคับโดยวิธีการอื่นๆ รวมทั้งการพิจารณาคดีของศาลด้วย เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของจำเลยชัดเจนยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

เหตุผล :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยกำหนดให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตำรวจสอบสวนผู้ต้องหาซึ่งเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ไม่สามารถสอบสวนได้ และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยกำหนดให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีพร้อมด้วยคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ เพื่อให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลหรือให้พนักงานฝ่ายปกครองและตำรวจสอบสวนดำเนินการต่อไป อันส่งผลให้เกิดความล่าช้าและเสียเวลาในคดีอันไม่สมควรแก่เหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า และผู้คนอาจเสียเวลาในการเดินทางไปยังศาลในเขตแดนที่ไม่สะดวกหรือไกลใดๆ จึงควรแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อประโยชน์แห่งกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๖๖

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๑๗ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับกรณีการรอคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้ถือกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันยื่นฟ้อง บังคับแก่คดีดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

มาตรา ๓๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

เหตุผล :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่เหมาะสมแก่เหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า และผู้คนอาจเสียเวลาในการเดินทางไปยังศาลในเขตแดนที่ไม่สะดวกหรือไกลใดๆ จึงควรแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อประโยชน์แห่งกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้คำนึงถึงการไกล่เกลี่ยและเข้าช่วยเหลือคู่ความซึ่งไม่มีความรู้ทางกฎหมายใด ๆ เพื่อให้คดีได้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายของคู่ความ ทั้งสมควรแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบางมาตราที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาล และการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งบางเรื่องไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ทำให้การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเป็นไปโดยล่าช้า สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

มาตรา 4 บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่อ้างถึงในบัญชีแนบท้าย การจัดการงานโดยขาดบทแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะดังกล่าวนั้นอ้างถึงบทบัญญัติในแนบท้าย โดยการพิจารณาโดยเทียบเคียงแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ในมาตราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกัน

มาตรา 5 พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่คดีที่มีฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้ใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันฟ้องนั้นบังคับแก่คดีดังกล่าวจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งบางเรื่องไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน สำเนาและไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งมีบทบัญญัติที่ขาดความชัดเจนในหลายประการ เป็นเหตุให้การดำเนินคดีในศาลที่มีคำขาดว่าต้องคืนที่ดินให้แก่ราษฎรหรือบุคคลที่ครอบครองที่ดินโดยสงบ และมีเจตน์มุ่งที่ดีว่าความจำเป็นของราษฎรในการประกอบอาชีพ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินให้เหมาะสมและ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักความยุติธรรมโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีใน เมื่อคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลถึงที่สุดให้คืนที่ดินแก่ราษฎร และเพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดิน เป็นไปด้วยความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย รวมทั้งราษฎร ประชาชน และจำเลย ตลอดจนทำให้คดีที่ศาลทำการพิจารณาในศาลลดน้อยลง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๒ บรรดากฎหมายกระทรวงหรือออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังใช้บังคับได้ต่อไปโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้หรือประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะมี กฎหมายกระทรวงหรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องที่ให้ใช้บังคับแทน

มาตรา ๓ ให้ประธานศาลฎีกาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตาม พระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๒๕๔ ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่าให้มีการปรับปรุงกฎหมายให้เหมาะสมกับสภาวการณ์และให้มีการจัดตั้ง สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานธุรการอิสระของศาลยุติธรรม แต่ได้มีบทให้ศาลรับผิดชอบเป็น หน่วยงานธุรการของศาลยุติธรรม รวมทั้งให้ศาลมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของศาลยุติธรรม ดังนั้น สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑) พ.ศ. ๒๕๕๘ ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของศาลยุติธรรมให้เหมาะสมกับสภาวการณ์และให้มีความชัดเจน ยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับหลักความยุติธรรม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๒๔๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนดให้สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานธุรการของศาลยุติธรรม แต่ไม่ได้กำหนดให้การบังคับคดีเป็นหน่วยงานธุรการของศาลยุติธรรม กรมบังคับคดีจึงยังอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรม ดังนั้น สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อให้การบังคับคดีเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลหรือศาลเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีบางประการยังไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน เช่น การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ให้ส่งมอบลูกหนี้ตามคำพิพากษาอย่างชัดเจน การบังคับคดีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้โดยสะดวก การบังคับคดีในกรณีที่เจ้าหนี้ร่วมไม่สามารถตกลงกันได้ หรือการบังคับคดีในกรณีที่เจ้าหนี้ร่วมไม่สามารถตกลงกันได้ หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก หรือการบังคับคดีในกรณีที่มีเจ้าหนี้ร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เป็นเหตุให้การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นไปด้วยความล่าช้า และผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมายและสุจริตชนในวงการกฎหมายไม่สามารถประกอบกับมาตรา ๖ ท้ายพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งให้ดำเนินการด้วยความเป็นธรรมเยี่ยงเจ้าพนักงานบังคับคดีศาลฎีกาในปี สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งให้มีความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งและอัตราค่าธรรมเนียมเพื่อเพิ่มพูนบทบาทของบังคับคดีให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ส่วนกระบวนพิจารณาใดที่ยังมิได้กระทำต่อจนสิ้นกำหนดเวลาต้องกระทำตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ก่อนพระราชบัญญัตินี้ แม้อยู่ในกำหนดเวลาที่อาจกระทำได้ตามบทบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ดำเนินกระบวนพิจารณานั้นได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวตามบทบัญญัติที่แก้ไข

มาตรา ๓ ให้ยกเลิกมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๗๗

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติมาตรา ๖ ลักษณะ ๑ ว่าด้วยอายุความที่ผู้ชนะในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของประเทศในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๔๘

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๒ บทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ในมาตรา ๖ ไม่ใช้บังคับแก่กรณีคดีที่ได้เริ่มฟ้องไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้ใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่การฟ้องคดีเริ่มขึ้นสำหรับคดีดังกล่าวต่อไป สำหรับค่าธรรมเนียมในคดีที่อยู่ในศาลในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดให้ลดให้ หรือลดให้ร้อยละค่าธรรมเนียมเยี่ยงนี้นำมาคำนวณสำหรับการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผู้แพ้คดีหรือพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับต่อไป

มาตรา 26 ให้ประธานศาลฎีกาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง มีลักษณะไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงผู้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเท่านั้น แต่ยังให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การแต่งตั้งผู้รับชำระหนี้รวมอยู่ด้วย รวมทั้งอำนาจหน้าที่ของผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน เป็นไปตามที่กำหนดในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา และให้มีการเพิ่มศักยภาพของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการบังคับคดีและการจัดการคำขอในกรณีที่มีการบังคับคดีหลายกรณีในทรัพย์สินเดียวกัน ตลอดจนแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับคดีให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558

มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง มีลักษณะไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงผู้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเท่านั้น แต่ยังให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การแต่งตั้งผู้รับชำระหนี้รวมอยู่ด้วย รวมทั้งอำนาจหน้าที่ของผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน เป็นไปตามที่กำหนดในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา และให้มีการเพิ่มศักยภาพของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการบังคับคดีและการจัดการคำขอในกรณีที่มีการบังคับคดีหลายกรณีในทรัพย์สินเดียวกัน ตลอดจนแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับคดีให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2558

มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การดำเนินคดีแพ่งในกลุ่มเป็นกระบวนการที่นำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน เนื่องจากเป็นวิธีการที่สามารถดำเนินคดีของผู้เสียหายจำนวนมากให้ได้บทสรุปจำนวนคดีที่เกี่ยวข้องเร็วขึ้น และสามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียหายที่ไม่มีความสามารถหรือศักยภาพที่จะดำเนินคดีเองตลอดจนได้หรืออยู่ในเสียหายที่ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย เช่น คดีที่เกี่ยวกับโรคติดต่อจากการบริโภคอาหารหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัย หรือคดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น ประกอบกับการดำเนินคดีแบบกลุ่มเป็นวิธีการที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพทั้งในด้านการดำเนินคดีแบบกลุ่ม และยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีและบังคับคดีของศาลและคู่ความตลอดจนเป็นมาตรการในการลดปริมาณคดีของศาลโดยอำนวยประสิทธิภาพจากงาน สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อกำหนดกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินคดีแบบกลุ่ม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ บรรดาคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้บังคับตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับจนกว่าคดีนั้นจะถึงที่สุด

มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนการบังคับคดีไม่สามารถกำหนดหลักเกณฑ์เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัยของศาลฎีกาได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาเกิดความล่าช้า ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอำนวยให้ความเป็นธรรมแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้อย่างแท้จริงและรวดเร็ว สมควรกำหนดให้หลักเกณฑ์การพิจารณาพิพากษาคดีที่ได้ยื่นฎีกาโดยตรวจสำนวนอยู่ในอำนาจของศาลฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๗) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมวดเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันมีคดีแพ่งที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นส่วนรวม เช่น คดีสิ่งแวดล้อม คดีผู้บริโภคเข้าสู่การพิจารณาของศาลเป็นจำนวนมาก ซึ่งคดีเหล่านี้เป็นคดีที่มีความสลับซับซ้อนสูง สมควรกำหนดให้สามารถโอนคดีเหล่านี้ไปยังศาลแพ่งในฐานะศาลพิจารณาคดี โดยกำหนดให้ศาลแพ่งพิจารณาคดีในลักษณะคดีแบบกระบวนการกลุ่มตามกฎหมายที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมหรือจัดตั้งศาลพิจารณาคดีเฉพาะขึ้นเพื่อให้การพิจารณาคดีมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และกำหนดให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมการเก็บรักษาข้อมูลคดีของศาลโดยการจัดเก็บในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือในการสืบค้นข้อมูลและเอกสารราชการสำหรับคู่ความ หรือระหว่างคู่ความด้วยกัน และกำหนดวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการส่งหมายเรียกและคำฟ้องซึ่งคดีในยังจำเลยหรือบุคคลภายนอกที่อยู่นอกราชอาณาจักรเพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๖ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาลปัจจุบัน พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ. ๒๕๖๖" มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันยังมิได้มีการกำหนดค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าใช้จ่ายที่พนักงานฝ่ายศาลอาจนำมาเบิกได้ตามที่จ่ายจริง สมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ความสุจริตธรรม จึงสมควรกําหนดค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของพยานที่ศาลเรียก มาให้ความเห็นต่อศาลให้มีความชัดเจนและเป็นธรรม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๖ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดสิบห้าวันนับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบถึงการบังคับตามกระบวนพิจารณาของศาลและ กระบวนวิธีการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ได้กระทําไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับ ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคําพิพากษา ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดี ในประเทศขายทอดตลาดได้ตามบัญชีอันเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่ใช้อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือเอาบัญชีอันเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งที่ใช้อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นบัญชีอันเป็นประมวลกฎหมาย วิธีการ และเงื่อนไขที่ใช้บังคับในการขายทอดตลาดดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ มาตรา ๓ บรรดากฎกระทรวง ระเบียบ หรือคําสั่ง ที่ออกตาม กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะมีการออกกฎกระทรวง ระเบียบ หรือ คําสั่งใหม่โดยพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติให้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ประกาศ หรือคําสั่ง ที่ออกตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มาตรา ๔ ให้ประธานศาลฎีกาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการ ตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บทบัญญัติของประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งที่ใช้อยู่ใน ปัจจุบันยังไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ทําให้การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือ คําสั่งของศาลเป็นไปโดยล่าช้าไม่สะดวกรวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควรจึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับ สภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันเพื่อให้การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลมีความสะดวก รวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายลดลง และเปิดโอกาสให้กรมบังคับคดีสามารถแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๖ มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ พระราชบัญญัตินี้ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนพิจารณาของศาลที่ได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ส่วนกระบวนพิจารณาของศาลซึ่งต้องดำเนินการต่อไปให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๔ ให้ประธานศาลฎีกาออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การวินิจฉัยปัญหาข้อขัดข้องที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องประชุมเพื่อพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับโครงสร้างศาลในระบบราชการศาลที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลและวิธีพิจารณาคดี จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัตินี้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๒) พ.ศ. ๒๕๖๖ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เหตุผล :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การสมานฉันท์ในระบบการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องคดีเป็นทางเลือกให้แก่ผู้มีข้อพิพาททางแพ่งใช้เป็นช่องทางในการยุติข้อพิพาทก่อนที่จะมีการฟ้องคดี โดยคู่กรณีสามารถร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้ประนีประนอมดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและหากตกลงกันได้ก็อาจขอให้ศาลสั่งให้พิพากษาตามข้อตกลงได้ทันที ทำให้ข้อพิพาททางแพ่งสามารถยุติลงได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องมีการฟ้องคดี ซึ่งทั้งเป็นการประหยัดเวลาและทรัพยากรต่าง ๆ ที่จะต้องสูญเสียในการดำเนินคดีด้วยยังส่งประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจและสังคม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - ๑๙๕๓ - ปริยานุช/บูรณะ/ผู้จัดทำ ปัญญา/ผู้ตรวจ ๙ กันยายน ๒๕๕๔ วศิน/เพิ่มเติม ปัญญา/ตรวจ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ นุสรา/ปรับปรุง ๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ พัชรา/เพิ่มเติม กรกฎา/ตรวจ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ วิชาพร/ตรวจ กรกฎา/ตรวจ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ พิชฌ์/เพิ่มเติม ๒๐ มกราคม ๒๕๖๒ นุสรา/ตรวจ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒ อัมพิกา/เพิ่มเติม ๙ กันยายน ๒๕๖๓ ภานุรุจ/ตรวจ ๙ กันยายน ๒๕๖๓