로고

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

มาตรา ๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิก (๑) พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒

*ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๐/หน้า ๑๐/๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๐* (b) พระราชบัญญัติเครื่องแบบกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒

(ค)

คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๓/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการแก้ไข ปัญหาความขัดแย้งของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิ มนุษยชนแห่งชาติ

มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ประกอบด้วยรัฐธรรมนูญ

“สิทธิมนุษยชน” หมายความว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความ เสมอภาคของบุคคล บรรดาที่ได้รับการรองรับคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย หรือตาม หนังสือสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และให้หมายความ รวมถึงประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ “เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า เลขาธิการ เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ พนักงานราชการ และ ลูกจ้างของสำนักงาน และให้หมายความรวมถึงกรรมการและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๕ ในกรณีที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ได้กำหนดให้แจ้งเป็น

ประกาศ หรือส่งหนังสือ หรือเอกสารให้บุคคลใด ณ ภูมิลำเนาหรือที่อยู่ที่ปรากฏตามหลักฐานทาง ทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ให้ถือว่าได้แจ้ง ยื่น หรือส่งโดยชอบด้วย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้แล้ว และในกรณีที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ กำหนดให้ประกาศหรือเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา ให้ดำเนินการผ่านในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศหรือวิธีการอื่นใดที่เป็นวิธีการทั่วไปในการเข้าถึงได้โดยสะดวก เป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้แล้ว ในกรณีที่มีการแจ้ง ยื่น ส่งหนังสือ หรือเอกสารให้บุคคลใดตามวรรคหนึ่ง หรือ เลขาธิการมีคำสั่งตามมาตรา ๖๓ หรือมาตรา ๖๔ ถ้าได้ทำตามวิธีการในวรรคหนึ่งแล้ว ให้ถือว่าแจ้ง หรือเอกสารถึงบุคคลโดยเป็นประโยชน์ ประกาศ หรือคำสั่ง แล้วแต่กรณี และจะถือว่า ประกาศ หรือคำสั่งนั้นเป็นอันใช้บังคับแก่บุคคลนั้นไป ให้ประกาศหรือคำสั่งตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง เป็นที่สุดด้วย ทั้งนี้ เว้นแต่เป็น ประกาศ หรือคำสั่งที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอน คณะกรรมการหรือเลขาธิการต้องกำหนดระยะเวลาการดำเนินการให้เหมาะสม

มาตรา ๖ ในการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการต้องให้ความร่วมมือและประสานงานเพื่อ

องค์การสหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศ หรือองค์กรอิสระอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องใน หน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระนั้น ให้คณะกรรมการมีหนังสือแจ้งองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องเพื่อ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไปโดยไม่ล่าช้า ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นว่าการดำเนินการเรื่องใดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการอาจนำมาซึ่งผลเป็นการกระทบต่อปัญหาในส่วนต่าง ๆ ขององค์กรอิสระอื่นด้วย ให้คณะกรรมการปรึกษาหารือร่วมกับองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต่อไป ทั้งนี้ ให้ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นผู้ประสานงานกับองค์กรอิสระอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การปรึกษาหารือร่วมกันได้ และให้องค์กรอิสระดังกล่าวจัดการปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว

มาตรา 7 ให้ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้

หมวด 1

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

มาตรา 8 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการจำนวนหนึ่งคน ซึ่งทรงคุณวุฒิและมีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ หลากหลายกันตามความเหมาะสม และประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ทั้งนี้ อย่างน้อยต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

(1) มีประสบการณ์ในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนต่อเนื่องกัน (2) มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านสิทธิมนุษยชนหรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้องในระดับอุดมศึกษา (3) มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ (4) มีความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารการจัดการที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (5) มีความรู้และประสบการณ์ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของไทยเป็นที่ประจักษ์ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ระยะเวลาในการสมัครกรรมการ ให้เป็นวันสมัครหรือวันที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหา แล้วแต่กรณี

มาตรา 9 กรรมการต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 8 แล้ว กรรมการต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ด้วย

(1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด (2) ขาดคุณสมบัติสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด (3) มีลักษณะการกระทำไม่ดีที่กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ (4) มีลักษณะต้องห้ามอื่นที่รัฐธรรมนูญกำหนด (5) มีคุณสมบัติหรือการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เอื้ออำนวยประสิทธิภาพ

มาตรา 10 กรรมการต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(1) เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการหรือรัฐธรรมนูญหรือเจ้าหน้าที่ในองค์กรอิสระใด (2) ต้องโทษทางอาญา (3) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (4) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการที่มีผลประโยชน์ขัดกันกับการปฏิบัติหน้าที่ (5) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือบำบัด (6) อยู่ในระหว่างถูกพักหรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวร (7) ขาดวิจารณญาณหรือเป็นโรคจิตไม่สมประกอบ (8) อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราว หรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (9) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล (10) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตร้ายแรงในวงราชการ (11) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้คืนหรือชดใช้เงินของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ชดใช้เงินจากการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (12) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อหน้าที่ในตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตในโอกาสปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการฟอกเงินในความผิดฐานเป็นเจ้ามือ หรือเจ้าสำนักกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานดังกล่าวข้างต้น (13) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง (14) อยู่ในระหว่างต้องห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (15) เคยพ้นจากตำแหน่งกรรมการรัฐธรรมนูญด้วยการเสนอ การแสดง หรือการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรอิสระ หรือการบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน (16) เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลฎีกามีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งเพราะการแสดงหรือการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรอิสระ หรือการบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน (17) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (18) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการสรรหา

(๑๔)

เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมืองในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการสรรหา

(๑๕)

เป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ

(๑๖)

เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือกรรมการหรือที่ปรึกษาของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ

(๑๗)

เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ หรือองค์กรอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน หรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายที่มีหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ในลักษณะเดียวกัน

(๑๘)

เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน

(๑๙)

มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

(๒๐)

เป็นผู้ที่มีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

มาตรา ๑๓ เมื่อกรณีที่ต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วย

(ก)

ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ

(ข)

ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ

(ค)

ผู้แทนองค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรภาคเอกชน ซึ่งเลือกกันเองให้เหลือสามคนเป็นกรรมการ

(ง)

ผู้แทนสภานายจ้างและผู้แทนสภาแรงงานแห่งชาติ ซึ่งเลือกกันเองให้เหลือคนละหนึ่งคนเป็นกรรมการ

(จ)

อาจารย์ประจำหรือผู้เคยเป็นอาจารย์ประจำในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งสอนหรือทำงานวิจัย หรือทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี ซึ่งกรรมการตาม (ก) (ข) (ค) และ (ง) มีมติเลือกด้วยคะแนนเสียงสองในสามเป็นกรรมการ ให้เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นเลขานุการของคณะกรรมการสรรหา และให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชนตาม (ค) และสภาผู้แทนตาม (ง) ต้องเป็นองค์กรหรือสภาที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย โดยคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้พิจารณาว่าองค์กรหรือสภานั้นมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในวรรคหนึ่งหรือไม่ และการเลือกกันเองให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการสรรหากำหนด โดยต้องกำหนดให้มีการตกลงกันเองให้แล้วเสร็จภายในสิบวันนับแต่วันที่มีหนังสือแจ้งให้สรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ วิธีการเลือกกรรมการสรรหาตาม (ง) ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการสรรหากำหนด

(๓)

และ (๔) ตลอดระยะเวลา ในกรณีที่มีหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหาตาม (ง) หรือ (๔) จะถือเป็นว่าได้ดำเนินการตามหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหาตาม (๔) อย่างต่อเนื่อง ให้กรรมการสรรหาทำหน้าที่อยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการสรรหาตาม (๔) ให้แล้วไป โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กำหนดระยะเวลาตามวรรคสาม ในกรณีที่พ้นกำหนดเวลาการเลือกกรรมการสรรหาตาม (3) แล้ว ยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการสรรหาตาม (4) (5) หรือ (6) หรือมีแต่ครบวาระในตำแหน่งโดยสมบูรณ์แล้วผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการสรรหาตาม (4) อย่างน้อยหนึ่งคน ให้คณะกรรมการสรรหาที่อยู่ในตำแหน่งดำเนินการและใช้อำนาจไปพลางก่อนได้ โดยในระหว่างนั้นให้อ่านคณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยกรรมการสรรหาเท่าที่มีอยู่

มาตรา 12 ให้กรรมการสรรหาตามมาตรา 11 (4) (5) และ (6) อยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งจนถึงวันสิ้นปีที่มีการสรรหากรรมการใหม่ แต่ในกรณีที่มีการสรรหากรรมการสรรหาเพิ่มเติมตามมาตรา 13 วรรคหนึ่ง มาตรา 14 วรรคสองและวรรคสาม และมาตรา 15 และให้กรรมการสรรหาดำลำพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระเมื่อขาดคุณสมบัติ ลาออก ถูกถอดถอน หรือมีลักษณะต้องห้าม

ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสรรหาตามวรรคหนึ่งแล้ว จะเป็นกรรมการสรรหาในคณะกรรมการสรรหาสำหรับการสรรหาผู้ตรวจการอัยการหรือจะเป็นในคณะเดียวกันก็ได้ ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการสรรหาว่าง ให้ดำเนินการสรรหากรรมการสรรหาแทนโดยเร็ว ในระหว่างยังไม่ได้กรรมการสรรหาใหม่ ยังถือกรรมการสรรหาที่ดำเนินตำแหน่งได้ คณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยกรรมการสรรหาเท่าที่มีอยู่ ให้ประธานกรรมการสรรหาแต่งตั้งกรรมการสรรหาใหม่ในกรณีที่ว่างจากตำแหน่งตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 13 ในการสรรหากรรมการ ให้คณะกรรมการสรรหาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่ลำเอียง และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาของการดังต่อไปนี้

(ก)

ประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปถึงกระบวนการสรรหากรรมการ โดยอย่างน้อยต้องระบุจำนวนตำแหน่งกรรมการที่ต้องสรรหา หลักเกณฑ์ วิธีการ และรายละเอียดที่จะใช้ในการสรรหาทุกขั้นตอน และเพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ให้คณะกรรมการสรรหาสามารถจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ หรือวิธีการอื่นใดที่เหมาะสม เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย

(ข)

การสรรหากรรมการให้กระทำโดยการประกาศรับสมัครหรือการเสนอชื่อบุคคลซึ่งมีความเหมาะสมเข้ามาเพื่อเข้ารับการสรรหาตามที่ต้องการโดยเปิดเผย โดยในกรณีที่มีการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาจะต้องได้รับความยินยอมของบุคคลนั้นด้วยและให้มีการประกาศรายชื่อผู้สมัครจะเข้ารับการสรรหาให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปเพื่อรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครจะเข้ารับการสรรหาดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณา โดยกรรมการสรรหาจะต้องพิจารณาคัดสรรไปยังจุดมุ่งหมายของการพิจารณาด้วย

(ค)

ในการสรรหา ให้คณะกรรมการสรรหาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบ มีความสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ และมีเหตุผลในการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมตลอดถึงให้คำนึงถึงความเหมาะสม และผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติหน้าที่ของผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกด้วย ทั้งนี้เพื่อประกอบการพิจารณาคัดเลือกไปยังจุดมุ่งหมายของการพิจารณาด้วย การกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ต้องเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้บุคคลสามารถสมัครหรือเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาได้อย่างทั่วถึง และทำให้กรรมการสรรหาสามารถพิจารณาคัดกรองบุคคลให้ครบถ้วนตามที่เห็นสมควรและมีประสิทธิภาพ ในการสรรหา ให้ถือเสียงข้างมากโดยเปิดเผยและให้กรรมการสรรหาทุกคนต้องบันทึกเหตุผลในการเลือกไว้ด้วย ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของคณะกรรมการสรรหา ถ้ามีบุคคลใดไม่ได้รับคะแนนเสียงตามวรรคสี่ หรือยังไม่ได้จำนวนที่ต้องการ ให้กรรมการสรรหาคัดกรองและเสนอชื่อบุคคลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดอีกครั้งหนึ่ง ในกรณีที่กรรมการสรรหาเสนอชื่อบุคคลเพิ่มเติมตามคำขอของผู้จัดสรรหา ให้ดำเนินการสรรหาใหม่สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่

มาตรา 14 ผู้ได้รับการสรรหาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้สอบบัญชีและไม่ขัดต่อกฎหมายหรือข้อบังคับของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของจุฬาสภา

ในกรณีผู้สอบบัญชีไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหารายใด ให้ดำเนินการสรรหาบุคคลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้จำนวนที่ต้องการตามที่กำหนดไว้ โดยผู้ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้สอบบัญชีจะไม่สามารถเข้ารับการสรรหาใหม่ได้ ในกรณีที่กรรมการสรรหามีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ได้รับการสรรหา ให้กรรมการสรรหาทุกคนลงมติในที่ประชุมเพื่อให้ได้ข้อยุติ โดยให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหามีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ได้รับการสรรหา ให้กรรมการสรรหาทุกคนลงมติในที่ประชุมเพื่อให้ได้ข้อยุติ โดยให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม่สามารถลงมติได้ ให้ประธานกรรมการสรรหาเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีที่กรรมการสรรหาไม

มาตรา 16 ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครหรือผู้ได้รับการสรรหา ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาที่แต่งตั้ง คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด

การเสนอเรื่องให้คณะกรรมการสรรหาวินิจฉัยตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการสรรหากำหนด การวินิจฉัย ให้กระทำโดยเปิดเผย ให้ความตามในวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับแก่กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการสรรหาด้วยโดยอนุโลม ทั้งนี้ ให้ถือว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาเป็นที่สุดและต้องทำบันทึกไว้ในรายงานการประชุมและจะต้องนำมาอ้างอิงในที่ประชุมในขณะพิจารณาและวินิจฉัย

มาตรา 17 ให้ประธานกรรมการสรรหาและกรรมการสรรหาได้รับเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนอื่นตามที่ประธานผู้มีสิทธิกำหนด แต่สำหรับเบี้ยประชุมให้กำหนดให้ได้รับเป็นรายครั้งที่มีการประชุมไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้สำหรับประธานกรรมการหรือกรรมการในคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภาได้ในแต่ละเดือนในอัตราเดียวกัน

มาตรา 18 การดำรงตำแหน่งเมื่อรับการได้มา คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้ผู้แทนที่ได้รับการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหา และให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา และให้ถือว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาเป็นที่สุด

มาตรา 19 กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ กรรมการพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

(1) ตาย (2) ลาออก (3) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8 หรือมาตรา 9 หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 20 (4) (4) พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 60 วรรคสาม เมื่อประธานกรรมการหรือกรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการด้วย ในกรณีที่มีปัญหาว่ากรรมการผู้ใดพ้นจากตำแหน่งตาม (3) (ก) หรือ (3) หรือไม่ ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาที่แต่งตั้ง คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่แทนประธานกรรมการ ในระหว่างที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ และยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการ แทนตำแหน่งที่ว่าง ให้กรรมการที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แต่ถ้ากรรมการที่เหลืออยู่ไม่ถึงสี่คน ให้กระทำได้เฉพาะการที่จำเป็นต่อการดำเนินการเท่านั้น ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้ดำเนินการสรรหากรรมการใหม่ ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับตั้งแต่วันที่กรรมการครบวาระ แต่ถ้ากรรมการพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุอื่น ก่อนครบวาระ ให้ดำเนินการสรรหากรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง

มาตรา ๒๒ เมื่อมีผู้ซึ่งจะตอบโดยหลักฐานตามสมควรว่าอาจถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ตามมาตรา ๒๐ (๒) (๓) หรือ (๔) ให้เลขาธิการชี้มูลกล่าวโทษต่อประธานกรรมการสรรหา ภายในกำหนดเวลาที่ได้รับการร้องขอ และให้คณะกรรมการสรรหาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ใน การวินิจฉัยให้คณะสรรหาสามารถแต่งตั้งอิสระคนหนึ่งโดยเป็นเอกฉันท์ ในกรณีที่มีเสียงเท่ากันให้ประธาน กรรมการสรรหาตกลงเสียงข้างต้นถือเป็นเสียงชี้ขาด หลักฐานควรพิจารณาที่เห็นชอบในความเห็นคณะกรรมการสรรหากำหนด

มาตรา ๒๓ ในกรณีที่กรรมการซึ่งพฤติปฏิบัติหน้าที่เพราะถูกกล่าวหาและหลักฐาน หรือคำกล่าวหานั้นมีผลต่อความน่าเชื่อถือของกรรมการ ให้กรรมการนั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง ให้ประธานกฎหมายประธานคณะกรรมการสูงสุดร่วมกันตั้งผู้มีคุณสมบัติ เหมาะสมตามที่กำหนดในกฎหมายนี้มาทำหน้าที่แทนในตำแหน่งกรรมการที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยให้มีอำนาจหน้าที่เหมือนกับกรรมการที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้ถือว่าผู้ที่ได้รับแต่งตั้งทำหน้าที่แทน เป็นกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายนี้ หรือจนกว่ากรรมการที่หยุดปฏิบัติหน้าที่จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ หรือจนกว่าจะมีการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่แทน

มาตรา ๒๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๐ วรรคห้า การประชุมของคณะกรรมการต้องมี กรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่มีอยู่ จึงจะเป็นองค์ประชุมใน กรณีที่กรรมการคนใดไม่อาจมาประชุมได้ ให้คณะผู้แทนไปประชุมแทนกรรมการ การลงมติในการประชุมของคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก โดยประธาน ในที่ประชุมและกรรมการที่มาประชุมต้องลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ และให้ ถือเสียงข้างมากเป็นเสียงชี้ขาดในกรณีที่มีเสียงเท่ากัน ในกรณีมีเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมมี สิทธิออกเสียงเพิ่มเติมซึ่งถือเป็นเสียงชี้ขาด การไม่ไปประชุมจะไม่อยู่ในที่ประชุมคณะกรรมการและจะไม่กระทำกิจการตาม วินิจฉัยตามมาตรา ๒๐ (๒) หรือ (๔) โดยไม่ต้องมีมติเอกฉันท์ ให้ถือว่าเป็นการลงโทษในที่ประชุมตามมาตรฐานจรรยาของกรรมการ ให้ประธานกรรมการแจ้งให้ทราบในที่ประชุม ให้กรรมการที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการประชุมที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๒๕ ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง กรรมการต้องไม่รับเงิน ทรัพย์สิน หรือ ประโยชน์อื่นใดจาก

```

(๑)

บุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย

(๒)

นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจหรือกิจการหรือจดทะเบียน สาขาอยู่ในหรือนอกราชอาณาจักร

(๓)

นิติบุคคลที่จดทะเบียนในราชอาณาจักรโดยบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยถือหุ้นหรือ เป็นผู้ถือหุ้นในอัตราและลักษณะอื่นใด ในกรณีที่เป็นบริษัทมหาชนจำกัดให้พิจารณาตามที่ปรากฏในทะเบียน ผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนจำกัดนั้น ๆ หากปรากฏว่ามีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยถือหุ้นในอัตราและลักษณะอื่นใด ให้ถือว่า เป็นหุ้นที่ถือโดยผู้ไม่มีสัญชาติไทย

(๔)

องค์กรหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ได้รับสัญญาจากหน่วยงานของรัฐของต่างประเทศ ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับกรณีที่กรรมการได้รับเชิญจากองค์กรระหว่าง ประเทศหรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศให้ไปประชุมหรือสัมมนาในต่างประเทศโดยได้รับเชิญเป็นผู้ออก ค่าใช้จ่ายให้ ทั้งนี้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแล้ว

มาตรา ๒๕ คณะกรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา และการปฏิบัติหน้าที่และการใช้จ่าย อำนาจของคณะกรรมการต้องเป็นไปด้วยสุจริต ยุติธรรม กล้าหาญ และคำนึงถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นในการ ใช้จุดมุ่งหมาย และปฏิบัติหน้าที่ทุกข้อด้วยมาตรฐานจริยธรรม ทั้งต้องมุ่งผลลัพธ์ความสูงของ ประชาชนชาวไทยและผลประโยชน์ส่วนรวม ของชาติเป็นสำคัญ ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง กรรมการต้องไม่ดำรงตำแหน่งกรรมการในองค์กรหรือหน่วยงานอื่นใด เว้นแต่เป็นตำแหน่งใน โครงการที่คณะกรรมการมีมติให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวหรือกรรมการ

ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการ ต้องดำเนินการให้เกิดความโปร่งใส และเป็นธรรมตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏด้วย

มาตรา ๒๖ คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(๑)

ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทุกกรณีโดยไม่ล่าช้า และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขหรือแก้ไขการ ละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการเยียวยาให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อ หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้อง

(๒)

จัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย เสนอรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และเผยแพร่ต่อประชาชน

(๓)

เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน

(๔)

ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา การวิจัย การเผยแพร่ความรู้ และการรณรงค์เพื่อสร้าง ความตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนของเด็ก สตรี คนพิการ และผู้สูงอายุ

(๕)

สร้างเสริมความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรต่างประเทศในเรื่องสิทธิ มนุษยชน

มาตรา ๒๗ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๖ ให้คณะกรรมการ มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ด้วย

``` ```

(๖)

ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมมือกับบุคคล หน่วยงานของรัฐ และภาคเอกชนใน การศึกษา วิจัย และเผยแพร่ความรู้และพัฒนาความเชื่อมั่นด้านสิทธิมนุษยชน รวมตลอดถึงในการ ให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

(๗)

ส่งเสริมและเผยแพร่ให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปตระหนักถึงสิทธิ มนุษยชนของตนและบุคคลที่เกี่ยวข้อง และการปกป้องสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นอาจแตกต่าง กันในทางวัฒนธรรม ประเพณี หรือศาสนา

(๘)

ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างประเทศกับองค์การ เอกชน และองค์การระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน

(๙)

เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประเมินประเทศไทยของเขาในปากหรือ การปฏิบัติตามพันธสัญญาสากลที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

(๑๐)

ออกรายงานหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือกฎหมายอื่น

(๑๑)

หน้าที่และอำนาจอื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือกฎหมายอื่น

มาตรา ๒๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ คณะกรรมการที่ปรึกษาที่ปรึกษาซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งเพื่อให้คำปรึกษาในกรณีการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ มนุษยชน ทั้งนี้ คณะกรรมการที่ปรึกษาต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ในด้านสิทธิ มนุษยชน การพัฒนาสังคม หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง และต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวน คณะกรรมการที่ปรึกษาทั้งหมดที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ในด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการเป็นไปด้วยความถูกต้องและเหมาะสม คณะกรรมการอาจแต่งตั้ง ผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาเฉพาะเรื่องเพื่อให้คำปรึกษาหรือร่วมดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมข้อเท็จจริงในด้านแทนคณะกรรมการก็ได้

มาตรา ๒๙ ในกรณีที่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลหรือมีการศึกษาเรื่องใด คณะกรรมการอาจขอให้ สำนักงานเจ้าของบุคคลหรือองค์กรที่มีความรู้หรือความชำนาญดำเนินการในเรื่องนั้นให้ตามที่จำเป็น หรือ ในกรณีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายนี้ โดยต้อง คำนึงถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพที่เหมาะสมที่สุด ทั้งนี้ ก่อนการว่าจ้างดังกล่าว คณะกรรมการต้อง กำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และระยะเวลาการปฏิบัติงานที่ชัดเจน

หลักเกณฑ์และวิธีการว่าจ้าง และการปฏิบัติงานต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพที่เหมาะสมที่สุด อนุกรรมการ การพิจารณาดำเนินงาน คำตอบแทน และประโยชน์ตอบแทนอื่นและวิธีปฏิบัติงานของ อนุกรรมการที่ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๓๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้กรรมการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา กรรมการไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครอง เนื่องจากการที่ตน ได้ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้

```

มาตรา ๑๒ เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของกรรมการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น และให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเท่ากับกรรมการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยปฐมวัยกรรมการ

ให้กรรมการได้รับเงินค่ารักษาราชการแทนตามข้อกำหนดของกระทรวงการคลัง กำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าค่าประจำตำแหน่งของประธานกรรมการหรือกรรมการ แล้วแต่กรณี

มาตรา ๑๓ กรรมการซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่อเนื่องอาจมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาราชการแทนเป็นเงินซึ่งจ่ายครั้งเดียวเมื่อพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก)

ครบวาระ

(ข)

ตาย

(ค)

ลาออก

(ง)

มีอายุครบเจ็ดสิบปี ในการคำนวณบำเหน็จตอบแทนนี้ ให้คำนวณเงินเดือนตามมาตรา ๑๒ คูณด้วยจำนวนปีที่ดำรงตำแหน่ง เศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี สิทธิในบำเหน็จตอบแทนนี้ เป็นสิทธิเฉพาะตัว จะโอนมิได้ ในกรณีสิ้นสุด ให้ตกได้แก่คู่สมรสและทายาทที่ได้แจ้งไว้ และถ้ากรรมการยกเลิกคำแจ้งเพราะการปฏิบัติหน้าที่หรือในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการแทนที่กำหนดไว้ตามระเบียบ

หมวด ๒

การดำเนินการตามหน้าที่ของคณะกรรมการ

มาตรา ๑๔ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะกรรมการดำเนินการโดยมุ่งหมายที่จะส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ และให้เฝ้าระวังและติดตามเหตุการณ์หรือสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศอย่างต่อเนื่อง

ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการดำเนินการโดยการประสานหรือแสดงความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน และภาคประชาสังคม

มาตรา ๑๕ เมื่อคณะกรรมการมีคำตัดสินหรือกรรมการไม่ดำเนินการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้แจ้งหรือผู้ร้องเรียนหรือไม่ก็ตามว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้คณะกรรมการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะ และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่เหมาะสม

ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้คณะกรรมการแจ้งให้หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยา และให้คณะกรรมการติดตามผลการดำเนินการดังกล่าว ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตามวรรคสอง ให้ถือเป็นข้อเสนอแนะที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ให้คณะกรรมการรายงานต่อรัฐสภาและไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ที่เกิดขึ้นต่อผลของการไม่ดำเนินการดังกล่าว ขอผู้แจ้งหรือผู้ร้องเรียน เว้นแต่เป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับประโยชน์ของผู้ร้องเรียนเป็นการเฉพาะตัว ซึ่งจำเป็นต้องทราบข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการติดต่อข้อมูลหรือแจ้งผลการดำเนินการ ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้ามีกรณีที่สมควรให้แจ้งชื่อผู้แจ้งหรือผู้ร้องเรียน เมื่อผลการพิจารณาเป็นประการใด ให้คณะกรรมการแจ้งให้ผู้แจ้งหรือผู้ร้องเรียนทราบด้วย เว้นแต่ผู้แจ้งหรือผู้ร้องเรียนมิได้แจ้งสถานที่อยู่หรือที่ติดต่อได้

มาตรา ๔๕ ในการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือพยานหลักฐานตามมาตรา ๔๓ คณะกรรมการอาจดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ ที่ซึ่งยังไม่สำเร็จหรือยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ให้คณะกรรมการมีอำนาจแจ้งให้หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จหรือให้ครบถ้วนสมบูรณ์ หรืออาจดำเนินการเองก็ได้ โดยคณะกรรมการอาจมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือบุคคลใดเป็นผู้ดำเนินการแทนก็ได้

เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งต่อไปนี้ ซึ่งต้องกระทำหน้าที่จำเป็น

(๑)

สั่งให้หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานดังกล่าว หรือบุคคลใด นำหนังสือหรือสิ่งของซึ่งจำเป็นต้องใช้หรือให้ความเห็นในการปฏิบัติงาน หรือดำเนินการอื่น ๆ ออกมาให้ หรือให้ส่งมอบสำเนาหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่หน่วยงานหรือบุคคลไม่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการสั่ง คณะกรรมการอาจออกคำสั่งให้ดำเนินการตามที่กำหนด

(๒)

เข้าไปในสถานที่ตามมาตรา ๑๔ เพื่อรวบรวมข้อมูลหรือพยานหลักฐาน หรือรวบรวมข้อมูลหรือพยานหลักฐานใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง

(๓)

สั่งให้บุคคลใดให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา ในการดำเนินการตาม (๑) หรือ (๒) คณะกรรมการอาจมอบหมายให้กรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ดำเนินการแทนคณะกรรมการได้ ในกรณีการออกคำสั่งตาม (๑) ให้มอบหมายได้เฉพาะกรรมการ ที่มีตำแหน่งที่คณะกรรมการกำหนด ในการดำเนินการตาม (๒) ให้ดำเนินการต่อหน้าผู้ครอบครองหรือผู้ดูแลสถานที่หรือผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง หรือถ้าบุคคลดังกล่าวไม่อยู่ ให้ดำเนินการต่อหน้าบุคคลซึ่งอยู่ในสถานที่ดังกล่าวหรือซึ่งเกี่ยวข้องในขณะนั้น ในกรณี ให้ผู้ครอบครองหรือดูแลสถานที่หรือผู้ซึ่งเกี่ยวข้องเข้าร่วมมือเพื่อให้การปฏิบัติงานที่ดังกล่าวเป็นไปโดยสะดวก

มาตรา ๔๖ ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบแล้วเห็นว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีใดเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือร้ายแรง ให้แจ้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาโดยทันที และให้แจ้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาโดยทันที และให้แจ้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาโดยทันที

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามที่ได้รับแจ้งภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง แล้วแจ้งผลการดำเนินการให้คณะกรรมการทราบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดและมีความจําเป็นต้องขยายระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง หรือเป็นการร้องเรียนโดยใช้สิทธิในเชิงจินตนาการหรือในกรณีอื่นใดที่ไม่อยู่ในปัญหาของมนุษยชน ให้แจ้งเหตุผลความจำเป็นต่อคณะกรรมการทราบก่อนพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องมิได้ดำเนินการให้แล้วเสร็จหรือขอขยายระยะเวลาในระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คณะกรรมการจัดทำรายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรี

มาตรา 37 ในกรณีที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนเรื่องใดเป็นความผิดอาญาและผู้เสียหายไม่อยู่ในฐานะที่จะร้องทุกข์หรือกล่าวโทษด้วยตนเองได้ ให้คณะกรรมการหรือผู้ซึ่งสูงคณะกรรมการมอบหมายมีอำนาจร้องทุกข์หรือกล่าวโทษได้โดยให้ถือว่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 38 ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการโดยเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะเป็นอุปสรรคต่อสิทธิของผู้ร้องหรือต่อบุคคลอื่นหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ให้คณะกรรมการหรือผู้ซึ่งสูงคณะกรรมการมอบหมายมีอำนาจสั่งให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่เห็นสมควรเพื่อบรรเทาความเสียหายหรือเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ร้องหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องทราบโดยเร็ว

ให้เจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งตามวรรคหนึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้น

มาตรา 39 ในกรณีบัญญัติมาตรา 5 ห้ามมิให้คณะกรรมการรับเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าลักษณะดังต่อไปนี้ไว้พิจารณา

(ก)

เรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาลหรือเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษา คำสั่ง หรือคำวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว เว้นแต่เป็นการศึกษาเพื่อประโยชน์ในการเสนอแนะให้แก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน

(ข)

เรื่องที่ไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ

(ค)

เรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระอื่น หรือขององค์กรอิสระอื่นซึ่งมีไว้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระนั้น แต่ไม่ได้ดำเนินการในกรณีร้องขอรับการพิจารณาขององค์กรอิสระนั้นหรือองค์กรอิสระนั้นไม่ดำเนินการ

(ง)

บันทึกเรื่องเรียนโดยใช้สิทธิไม่สุจริตและการพิจารณาจะไม่มีประโยชน์ต่อประชาชนโดยส่วนรวม

(๕)

เรื่องที่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว

(๖)

เป็นเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เว้นแต่จะปรากฏพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใหม่อันอาจทำให้คณะกรรมการพิจารณาเปลี่ยนแปลงไป

(๗)

เรื่องอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด ในกรณีที่คณะกรรมการปฏิเสธคำร้องดังกล่าวเป็นเรื่องที่สิ้นสุดและผูกพันคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชน

มาตรา ๔๐ ให้คณะกรรมการจัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศ

ประจำปีให้เสร็จภายในกลางปีถัดจากปีที่ประเมินเพื่อเสนอต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี และเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการเสนอรายงานดังกล่าวต่อรัฐสภาด้วย ในกรณีที่มีสถานการณ์อันกระทบหรือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างร้ายแรงให้คณะกรรมการจัดทำรายงานผลของสถานการณ์ดังกล่าวเสนอรายงานสถานการณ์ต่อ คณะรัฐมนตรีของประเทศในเรื่องนั้น ๆ ทั้งในกรณีเฉพาะ หรือรายงานที่รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว พร้อมทั้งเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ในกรณีที่คณะกรรมการจัดทำรายงานตามวรรคหนึ่งไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา สามารถขยายระยะเวลาได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ การจัดทำรายงานตามมาตรา ๔๐ ให้กระทำเป็นการลับ โดยอย่างน้อยประกอบด้วย ข้อเท็จจริง ข้อมูล สรุปผลการประเมิน และข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไขปรับปรุงหรือพัฒนา ระบบอุดมการณ์เกี่ยวกับการป้องกันและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศให้มีประสิทธิภาพ และต้องดำรงถึงความถูกต้อง เป็นธรรม และผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นสำคัญด้วย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐที่คณะกรรมการร้องขอ แจ้งข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับลักษณะการละเมิดสิทธิ มนุษยชนในส่วนที่อยู่ในความที่และอำนาจให้คณะกรรมการทราบ และให้ความร่วมมือมาตรา ๔๕ (๑) มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๔๑ ให้คณะกรรมการจัดให้มีแผนแม่บทด้านการตามมาตรา ๔๐ เพื่อให้การ

ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องเป็นไปโดยไม่ล่าช้า และเสริมสร้างกระบวนการที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ๔๒ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นว่าการแก้ไขปัญหาหรือการดำเนินการนั้นเพื่อให้

เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนในเรื่องใดหรือประเด็นใดตามมาตรา ๔๐ คณะกรรมการมีอำนาจจัดทำแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดถึงการแก้ไขปรับปรุง กฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อพิจารณา เสนอรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

มาตรา ๔๓ ในกรณีรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับรายงาน

หรือข้อเสนอแนะตามมาตรา ๔๐ วรรคสี่ มาตรา ๔๒ หรือมาตรา ๔๓ แล้ว ให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามความเหมาะสมโดยเร็ว กรณีใดไม่อาจดำเนินการให้หรือข้อเสนอในการดำเนินการ ให้แจ้งเหตุผลให้คณะกรรมการทราบโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่เห็นสมควร คณะกรรมการอาจเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีหรือฝ่ายนิติบัญญัติ หรือคณะกรรมการหรือผลการดำเนินการของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปได้

มาตรา 44 เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการว่าไม่อาจหาข้อเท็จจริงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่มีประสิทธิภาพ ให้คณะกรรมการตรวจสอบและแจ้งเหตุผลต่อการรายงานข้อเท็จจริงทุกตอนของสถานการณ์โดยไม่ล่าช้า เพื่อเสนอแนะให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป และให้ระบุไว้ในรายงานตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง ด้วย ทั้งนี้ ให้เป็นความไม่ตามมาตรา 45 (1) มาใช้บังคับแก่การตรวจสอบโดยอนุโลม

มาตรา 45 ในกรณีที่เรื่องแปลกเป็นวินัยบังคับเป็นปัญหาราย ให้คณะกรรมการจัดทำรายงานประจำปีเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา โดยอย่างน้อยให้คณะกรรมการสรุปปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการด้วย และเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป

มาตรา 46 ห้ามมิให้ผู้ใดเป็นผู้ดำเนินการหรือมีส่วนร่วมในการตรวจสอบผู้แจ้ง หรือผู้ร้องเรียนรวมทั้งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เว้นแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือคำสั่งของศาล ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองผู้แจ้งหรือผู้ร้องเรียนให้ปลอดภัยจากการถูกคุกคามหรือถูกกลั่นแกล้ง ผู้ที่ฝ่าฝืนต้องรับผิดทั้งทางแพ่งทางอาญา ทางวินัย หรือทางการเมือง

หมวด 3

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

มาตรา 47 ให้มีสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นส่วนราชการและมีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการ

มาตรา 48 สำนักงานมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(1) รับผิดชอบงานธุรการและดำเนินการเพื่อให้คณะกรรมการบรรลุภารกิจและหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัตินี้ และกฎหมายอื่น (2) อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการและกรรมการ (3) ศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และสนับสนุนในด้านวิชาการที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการ รวมทั้งให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการ เพื่อให้เกิดผลในด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามหน้าที่ของคณะกรรมการ (4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดหรือที่คณะกรรมการมอบหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา 49 ในการกำกับดูแลสำนักงาน ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศ ในเรื่องดังต่อไปนี้

(1) การส่งเสริมการทำงานเป็นของสำนักงานและขอบเขตหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการดังกล่าว (2) การกำหนดตำแหน่ง การจัดประเภทตำแหน่ง ระดับตำแหน่ง อัตราเงินเดือน เงินเพิ่มพิเศษสำหรับตำแหน่ง และค่าตอบแทนหรือสิทธิประโยชน์อื่นของข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของสำนักงาน (3) การกำหนดคุณสมบัติ การคัดเลือก การบรรจุ การแต่งตั้ง การออกจากราชการ วินัย และการลงโทษทางวินัย การร้องทุกข์ การอุทธรณ์การลงโทษทางวินัยหรือการอื่นที่จำเป็นในการบริหารบุคคลสำหรับข้าราชการและพนักงานราชการของสำนักงาน รวมทั้งวิธีการและเงื่อนไขในการจ้างลูกจ้างของสำนักงาน (4) การบริหารจัดการการเงินและทรัพย์สิน การงบประมาณ และการพัสดุของสำนักงาน (5) การจัดสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์แก่ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของสำนักงาน (6) การกำหนดคุณสมบัติ วิธีการสรรหา และการแต่งตั้งหรือเลิกจ้างกรรมการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของสำนักงาน (7) การจ้างและการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็นที่ปรึกษาหรือผู้ชำนาญการประจำคณะกรรมการ รวมทั้งเงื่อนไขการแต่งตั้งและฐานานุกรมประจำประธานกรรมการและกรรมการ และการกำหนดเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นให้แก่บุคคลดังกล่าว (8) การเปิดโอกาสเป็นอิสระในการกำกับหรือควบคุมการดำเนินงานของสำนักงานหรือการบังคับบัญชาเสมือนการ ผ่านราชการสำนักงานราชการ และลูกจ้างของสำนักงานหรือการทำให้บุคคลดังกล่าวมีความได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกำหนดตาม (6) (b) และ (4) ต้องคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และความคุ้มต่อรัฐ การกำหนดตาม (b) ต้องดำเนินการสำรวจชีพ และควบคุมเพียงพอในการดำรงชีพ และการควบคุมรับผิดชอบที่แตกต่างกันของบุคคลแต่ละรายตามความเหมาะสม ในกรณีของระเบียบหรือประกาศดังกล่าว ให้คณะกรรมการมีคำสั่งตามที่เห็นชอบว่า “ข้อมูลและหลักเกณฑ์ของบุคลากร” ให้ประธานกรรมการมีหน้าที่พิจารณาสั่งการเพื่อประโยชน์ของราชการที่คณะกรรมการมีมติเห็นชอบแล้ว และเมื่อมีประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้บังคับใช้

มาตรา 50 ข้าราชการสำนักงานฯ ได้แก่ บุคคลซึ่งได้รับบรรจุและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการตามพระราชบัญญัตินี้

ให้ข้าราชการสำนักงานเป็นข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ การปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลที่มิได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นไปตามระเบียบที่นายกฯช่วยระบบข้าราชการพลเรือนในสำนักบริหารงานบุคคลของข้าราชการโดยมุ่งผล การจ่ายเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งให้แก่ข้าราชการสำนักงาน ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

มาตรา 54 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 50 วรรคสาม ให้คณะกรรมการกำหนดที่เป็น ก.พ. ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน และยังคงวางแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่เป็นคณะอนุกรรมการบริหารงานสำนักงานได้ โดยมีองค์ประกอบและหน้าที่และอำนาจตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด

ให้คณะอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งทำหน้าที่แทนคณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการในฐานะคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและคณะอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้ง ให้เสมือนเป็นประชุมที่แต่งตั้ง ก.พ. หรือ อ.ก.พ. แล้วแต่กรณี

มาตรา 55 ให้คณะกรรมการออกข้อกำหนดทางจริยธรรมที่ใช้บังคับแก่ข้าราชการ พนักงานของสำนักงาน และลูกจ้างของสำนักงาน ทั้งนี้ ข้อกำหนดทางจริยธรรมดังกล่าวระบุถึงข้อห้ามการดำเนินการใดที่เป็นข้อโต้แย้งได้

มาตรา 56 ให้สำนักงานมีเลขาธิการคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของสำนักงาน และรับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักงาน ขึ้นตรงต่อคณะกรรมการโดยคณะกรรมการอาจกำหนดให้รองเลขาธิการเป็นผู้ช่วยและปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการก็ได้

ให้เลขาธิการทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ

มาตรา 57 การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในสำนักงาน และการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ให้ผู้มีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครบุคคลแต่ผู้เดียว

(ก)

การบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเมื่อได้ดำเนินการสรรหาและคัดเลือกตามมาตรา 48 (ข) โดยให้คณะกรรมการพิจารณาระดับสูงสุด (ก) หรือบังคับผู้สมัครบุคคลแต่ผู้เดียว

(ข)

เทียบเท่ากับตำแหน่งที่มีอยู่ในสำนักงานตามที่คณะกรรมการพิจารณาระดับสูงสุด (ก) หรือบังคับผู้สมัครบุคคลแต่ผู้เดียว

(ค)

การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่เปลี่ยนออกจาก (ก) และ (ข) ให้เลขาธิการเป็นผู้แต่งตั้งตามข้อบรรจุบุคคลแต่ผู้เดียว

มาตรา ๕๔ ในกิจการของสำนักงานที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้เลขาธิการเป็นผู้แทนของสำนักงาน เพื่อการนี้ เลขาธิการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดปฏิบัติราชการแทนก็ได้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นกิจการสำคัญเกี่ยวกับการประมูลของสำนักงานและกิจการอื่นที่มีผลต่อการปฏิบัติตามกิจของคณะกรรมการตามที่คณะกรรมการกำหนด ให้เลขาธิการเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาอนุมัติก่อน

มาตรา ๕๕ ให้คณะกรรมการเสนอประมาณรายจ่ายเพื่อจัดตั้งหรือขอรับทุนของคณะกรรมการและสำนักงานในรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ หรือรายการงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม แล้วดำเนินการให้การเสนอประมาณรายจ่ายดังกล่าวให้คณะกรรมการพิจารณาสภาตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตามมาตรา ๔๕ วรรคสองประกอบด้วย

ในกรณีคณะกรรมการเห็นชอบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรให้ไม่เพียงพอ ให้คณะกรรมการเสนอคำขอปรับลดต่อคณะกรรมการพิจารณางบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรได้โดยตรง ในการเสนอประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณหรือเพิ่มเติม ให้คณะกรรมการแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อเตรียมทรัพย์สินที่มีอยู่ด้วย

มาตรา ๕๖ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมมีผลใช้บังคับแล้ว ให้สำนักงานจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณหรือเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการและเลขาธิการเห็นชอบ และให้ปรับปรุงแผนการทำงานเป็นการทั่วไป

การใช้จ่ายเงินของสำนักงานต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามวรรคหนึ่ง ในแต่ละปีงบประมาณผู้ว่าคณะกรรมการเป็นการเฉพาะกรณี ในการเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร ให้สำนักงานส่งข้อมูลคำขอเบิกงบประมาณต่อกรมบัญชีกลาง โดยให้ระบุจำนวนเงินที่ขอเบิกแต่ละครั้ง วัตถุประสงค์ และให้กรมบัญชีกลางสั่งจ่ายเงินให้แก่สำนักงานภายในสามวันนับจากวันที่รับคำขอเงิน แต่ในกรณีที่สำนักงานมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าที่ขอเบิกไว้ในงวดใด ให้กรมบัญชีกลางจ่ายเงินให้ตามที่สำนักงานร้องขอ

มาตรา ๕๗ ให้สำนักงานจัดทำบัญชีบุคคล งบการเงิน และบัญชีการเงินที่ผู้สอบบัญชีภายในสำนักงานเป็นผู้ตรวจสอบ

ให้สำนักงานจัดทำรายงานแสดงผลการเงินและบัญชีการเงินที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบแล้วเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้สอบบัญชีภายนอกที่คณะกรรมการเห็นชอบให้ตรวจสอบตามที่เห็นสมควร และให้สำนักงานส่งรายงานดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่ชักช้า

หมวด ๔

บทกำหนดโทษ

มาตรา ๕๙ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตามมาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ วรรคสี่ หรือมาตรา ๕๔ โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือฝ่าฝืนมาตรา ๕๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๖๐ ให้ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ แต่ให้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขึ้นใหม่และเข้ารับหน้าที่

ให้ผู้ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามวรรคหนึ่งมีสิทธิได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นในอัตราที่ได้รับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ และในกรณีที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอีก ให้ถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องเพราะฉะนั้นโดยไม่ให้กระทบต่อสิทธิที่ได้รับไปแล้วในครั้งแรก แต่ในกรณีที่มิได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอีก ให้ถือว่าพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่เข้ารับหน้าที่ ในกรณีที่ผู้ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามวรรคหนึ่งไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด และมีผู้ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้ถือว่ามีความไม่ชอบด้วยบังคับโดยอุปไมย

มาตรา ๖๑ ในการเริ่มแรก ให้การดำเนินการเกี่ยวกับการสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ยกเว้นจากข้อกำหนดการตามมาตรา ๖ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดเดิม ให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

(๑)

ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการรับสมัคร การรับแจ้ง และการเลือกกันเองตามมาตรา ๖ วรรคสาม ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ และประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป

(๒)

ให้สำนักงานประกาศรับรองผลการเลือกกันเองตามมาตรา ๖ และส่งรายชื่อที่พิจารณาแล้วไปยังสามสิบวันนับแต่วันที่ระเบียบตาม (๑) ใช้บังคับ

(๓)

เพื่อจัดการคัดเลือกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนและส่งที่ได้รับการคัดเลือกตาม (๒) ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่หมดกำหนดเวลา (๒)

(๔)

ให้กรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๓ (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕) กำหนดวิธีการเลือกกรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๓ (๑) ให้แล้วเสร็จภายในสิบวันนับตั้งแต่วันที่หมดเวลาตาม (๓) และดำเนินการเลือกกรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๓ (๑) ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่มีข้อกำหนดวิธีการเลือกดังกล่าว

(๕)

เมื่อพ้นกำหนดเวลาตาม (๔) แล้ว ให้กรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๓ (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕) ที่เหลืออยู่ดำเนินการเลือกกรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๓ (๑) ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับตั้งแต่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว (๔)

(๖)

ให้กรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับตั้งแต่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว (๕) ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการตาม (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด และให้ถือความในมาตรา ๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๒๓ ให้เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๒๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตามพระราชบัญญัตินี้

บรรดางบประมาณ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และภาระผูกพันของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้โอนมาเป็นของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๒๕ ให้อนุกรรมการอนุญาโตตุลาการ หรือที่ปรึกษา เจ้าหน้าที่ พนักงานราชการ และลูกจ้างของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยังคงดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตามพระราชบัญญัตินี้ต่อไป โดยให้ได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน หรือค่าจ้างลักษณะอื่นใดในอัตราและสิทธิประโยชน์อื่นใดที่ได้รับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตามมาตรา ๒๖ (๒) กำหนดให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับไป จากข้อกำหนดในมาตรา ๓๔ (๔) ใช้บังคับ

มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ยังไม่มีบทกฎหมายกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของกรรมการตามมาตรา ๑๓ ให้พระราชกฤษฎีกากำหนดให้รับ

เงินเดือนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นเช่นเดียวกับ ประธานกรรมการหรือกรรมการ ในองค์กรอิสระอื่น แล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๖ บรรดาระเบียบ ประกาศ และคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งใช้บังคับในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ให้ใช้บังคับได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีระเบียบข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๒๗ บรรดาการดำเนินการใด ๆ ตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติหรือสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งดำเนินการก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ถ้าการดำเนินการนั้นและอำนาจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการดำเนินการนั้นเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ และให้การดำเนินการต่อไปได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้

ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายนเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๓๑ (๑๐) มาตรา ๒๖๗ มาตรา ๒๖๘ และมาตรา ๒๗๖ บัญญัติให้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ องค์ประกอบ หลักการ การสรรหา การพ้นจากตำแหน่ง หน้าที่และอำนาจ ตลอดจนการปฏิบัติงานที่ต้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้มีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเป็นอิสระ และความเป็นกลาง รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นไปตามหลักการสากลเกี่ยวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วเหมาะสม โดยการดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต้องมีกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มีบทบัญญัติที่เหมาะสม และเป็นไปตามหน้าที่ของการปฏิบัติงานประกอบกับเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากลเกี่ยวกับกระบวนการให้มีสภารมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ต้องมาจากความหลากหลายของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ``` - ๒๔ - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณา/อนุมัติ/จัดทำ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ นุสรา/ตรวจ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ ```