로고

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๕๕ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ หน้า ๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตร

พันธสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๐”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศ

ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“ระบบเกษตรพันธสัญญา” หมายความว่า ระบบการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร ที่เกิดขึ้นจากสัญญาการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรโดยมีการประกันความเสี่ยงระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ ทางการเกษตรฝ่ายหนึ่งกับบุคคลธรรมดาซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรือผลิตผลที่ผลิตขึ้นใน หรือกับ สหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ หรือกับวิสาหกิจชุมชนหรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมฝึกเกษตรหนึ่งที่มีลักษณะในการผลิต จำหน่าย หรือรับจ้างผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรอย่างน้อยหนึ่งในเกษตรกรรม เช่น เป็นผู้เพาะปลูก จัดหาพันธุ์ ผลิตพันธุ์ทางการเกษตร หรือป้องกันการผลิตให้แก่เกษตรกร ในกรณีนี้ที่มีความจำเป็นต้องทำสัญญาในการผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรระหว่างผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรกับบุคคลธรรมดาซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมไม่ว่าจะทำสัญญาในรูปแบบใด ต้องนำระบบเกษตรพันธสัญญามาพระราชบัญญัตินี้ไปใช้บังคับให้ครบถ้วน “ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร” หมายความว่า บุคคลซึ่งประกอบธุรกิจการผลิต แปรรูป จำหน่าย หรือการส่งผลผลิตทางการเกษตร หรือได้รับการดำเนินการระบบเกษตรพันธสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา “เกษตรกรรม” หมายความว่า การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือเกษตรกรรมอื่นที่คณะกรรมการประกาศกำหนด “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามกฎหมายจัดตั้ง “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา “คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท” หมายความว่า คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกรุงเทพมหานคร หรือคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประจำจังหวัด แล้วแต่กรณี “ข้อพิพาท” หมายความว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากสัญญาเกษตรพันธสัญญา และสัญญารับผลิตพันธสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ระเบียบและประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑

คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา

มาตรา ๖ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา” ประกอบด้วย

(๑)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ

(๒)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธานกรรมการ

(๓)

ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย อัยการสูงสุด ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการหอการค้าไทย ประธานกรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายกสมาคมเกษตรกร และผู้แทนจากการเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง

(๔)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกินเก้าคน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากเกษตรกร จำนวนสามคน ผู้ประกอบธุรกิจเกษตร พ่อค้าคนกลาง และผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านบริหารธุรกิจ เทคโนโลยีทางการเกษตร หรือเศรษฐศาสตร์ จำนวนสามคน และผู้แทนองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคหรือการคุ้มครองสิทธิของเกษตรกร จำนวนสามคน ให้ผู้แทนองค์กรเอกชนตามวรรคหนึ่งได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมด้วยหลักฐานการจดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนและสำเนาข้อบังคับขององค์กรเอกชนที่รัฐมนตรีกำหนดโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการ

มาตรา ๗ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

ก. คุณสมบัติ

(๑)

มีสัญชาติไทย

(๒)

มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานด้านเกษตรกรรม ธุรกิจทางการเกษตร บริหารธุรกิจ เทคโนโลยีทางการเกษตร หรือเศรษฐศาสตร์ ข. ลักษณะต้องห้าม

(๑)

เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(๒)

เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

(๓)

เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๔)

เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งหรือรับเงินเดือนประจำ เว้นแต่ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในสถาบันอุดมศึกษา

(ข)

เป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งซึ่งรับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง ที่ปรึกษาพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง

มาตรา ๘ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระหรือในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมระหว่างการแต่งตั้งตามวาระปกติของกรรมการ ให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างหรือเป็นกรรมการเพิ่มเติมอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการที่ตนไปแทน

เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินการต่อไป จนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้

มาตรา ๙ นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) รัฐสภามีมติให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือขาดความสามารถ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๗

มาตรา ๑๐ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) เสนอแผนการพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ (๒) กำหนดแนวทางหรือมาตรการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว (๓) กำหนดรูปแบบสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาและส่งเสริมให้ใช้รูปแบบสัญญาดังกล่าวไปใช้ (๔) ส่งเสริมให้มีการทำประกันภัยในระบบเกษตรพันธสัญญา (๕) เสนอแนะหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งตามกฎหมาย หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในระบบเกษตรพันธสัญญา (๖) ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามแผนการพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา (๗) ให้คำแนะนำหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการในระบบเกษตรพันธสัญญา โดยต้องจัดทำเรื่องนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามความจำเป็นและเหมาะสม

เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ดำเนินการตาม (๒) หรือ (๓)

(๔)

ออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในเรื่องต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้

(๕)

ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ประกาศตาม (๔) นั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

มาตรา ๑๑ การประชุมคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่ง เป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา ๑๒ ให้คณะกรรมการอำนวยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดแทนคณะกรรมการ หรือคณะกรรมการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดแทนคณะกรรมการ

การมอบอำนาจตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๓ ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอาจเชิญบุคคลใดมาเพื่อให้ข้อเท็จจริง ความเห็น คำแนะนำทางวิชาการ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาได้ตามที่เห็นสมควร

มาตรา ๑๔ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ รวมทั้งให้อำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(ก)

รับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ

(ข)

รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลและสภาพปัญหาเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมในระบบเกษตรพันธสัญญาเสนอคณะกรรมการ เพื่อประกอบการพิจารณาในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

(ค)

จัดให้มีการศึกษา วิจัย หรือสนับสนุนการศึกษา วิจัยเพื่อพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม

(ง)

พิจารณาปัญหาเกี่ยวกับระบบเกษตรพันธสัญญา และนำเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาดำเนินการตามมาตรา ๑๐ (๕)

(จ)

เผยแพร่ ให้ความรู้ ให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการทำสัญญา การเข้าถึงแหล่งเงินทุน เทคโนโลยีทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องในระบบเกษตรพันธสัญญา และการทำเกษตรกรรมในระบบเกษตรพันธสัญญา

(ฉ)

ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะกรรมการมอบหมาย หน้า 6 เล่ม 134 ตอนที่ 56 ก ราชกิจจานุเบกษา 26 พฤษภาคม 2560

มาตรา 15 ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติเกี่ยวพระราชบัญญัตินี้และผลของคดีถึงที่สุดแล้ว หรือปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพฤติกรรมเอาเปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม ให้คณะกรรมการมีอำนาจประกาศโดยระบุรายละเอียดของการฝ่าฝืนหรือพฤติกรรม รวมทั้งระบุชื่อบุคคล ที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนทราบได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

การดำเนินการตามวรรคหนึ่งโดยมติของคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องรับผิดแม้ต่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลใด เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำ โดยจงใจให้เกิดความเสียหายหรือเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

หมวด 2

ระบบเกษตรพันธสัญญา

ส่วนที่ 1

ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร

มาตรา 16 เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลการทำเกษตรกรรมในระบบเกษตรพันธสัญญา ให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรที่ประสงค์จะทำสัญญากับเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรในการประกอบธุรกิจ ต่อสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร

มาตรา 17 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจ ทางการเกษตรและเปิดเผยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ โดยต้องจัดทำและเผยแพร่ในระบบข้อมูล สารสนเทศรวมทั้งต้องขึ้นทะเบียนประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และต้องปรับปรุงระบบทะเบียนให้เป็นปัจจุบัน อย่างต่อเนื่อง

มาตรา 18 ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรประสงค์จะเลิกการประกอบธุรกิจ ในระบบเกษตรพันธสัญญาจะต้องแจ้งเป็นหนังสือต่อสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ประสงค์จะเลิกการประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญา

หลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งการขึ้นทะเบียนและการแจ้งการเลิกการประกอบธุรกิจ รวมทั้งการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับระบบเกษตรพันธสัญญา ไม่ว่าจะมีการแจ้งตามมาตรา 17 หรือไม่ ไม่มีผลให้สัญญา ในระบบเกษตรพันธสัญญาสิ้นสุดลง

ส่วนที่ 2

การทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา

มาตรา 20 ก่อนการดำเนินการทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรต้องจัดทำเอกสารสำหรับการชี้ชวนและทำสัญญาให้เกษตรกรผู้เข้าทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาได้รับทราบเป็นการล่วงหน้าพร้อมทั้งส่งสำเนาของข้อมูลและเอกสารสำหรับการชี้ชวน และต้องส่งสำเนาเอกสารสำหรับการชี้ชวนดังกล่าวให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เก็บไว้เพื่อใช้เป็นเอกสารในการตรวจสอบจำนวนหนึ่งชุด

การจัดส่งและเก็บรักษาเอกสารตามวรรคหนึ่งให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เอกสารสำหรับการชี้ชวนตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีข้อความหรือคำรับรองเกี่ยวกับข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนและเข้าทำสัญญา ดังต่อไปนี้ (1) ข้อมูลทางการผลิต หรือข้อมูลอื่นในอันเป็นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับเกษตรกร

(ก)

ข้อมูลผลผลิตหรือบริการทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับสัญญา เช่น ชนิดและปริมาณผลผลิตหรือบริการทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับสัญญา ความเหมาะสมของพื้นที่ผลิต และสภาพความเสี่ยงที่อาจต้องแบกรับผิดชอบหรือรับผิดชอบร่วมกัน

(ข)

ข้อมูลอื่นจำเป็นในการประกอบการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องตามสัญญา และให้รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพมาตรฐานของพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ อาหาร ยา ขั้นตอนการผลิต สารเคมี เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือสิ่งที่ต้องนำมาใช้ในการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรตามสัญญานั้น ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าคุณภาพและมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด (2) ข้อมูลอื่นในด้านที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ให้ถือว่าเอกสารสำหรับการชี้ชวนตามวรรคหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา

มาตรา 21 สัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาต้องทำเป็นหนังสือ ใช้ภาษาไทยเข้าใจง่าย หากมีศัพท์เทคนิคจะต้องมีคำอธิบายประกอบ และอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

(ก)

ชื่อสัญญา สถานที่ตั้งหรือระหว่างที่ทำสัญญา และวันที่ทำสัญญา

(ข)

วัตถุประสงค์ของสัญญา โดยระบุลักษณะหรือประเภทของการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร และคุณภาพของผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร

(๓)

ระยะเวลาในการปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งต้องมีความสอดคล้องกับระยะเวลาในการผลิต ผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร หรือประมาณการระยะเวลาคืนทุน

(๔)

รายละเอียดของสถานที่ผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร โดยระบุขอบเขตพื้นที่ และที่ตั้งของสถานที่ดังกล่าว

(๕)

หน้าที่ของคู่สัญญา

(๖)

ราคาและวิธีการกำหนดราคาผลิตผลและผลิตผลทางการเกษตร หากมีการกำหนดราคา โดยอ้างอิงจากราคาตลาด ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าราคาตลาดนั้นจะกำหนดอย่างไร และใช้ราคาตลาด ณ เวลาใด ในกรณีที่เป็นสัญญาบริการทางการเกษตรต้องกำหนดค่าตอบแทนและวิธีการคำนวณค่าตอบแทนให้ชัดเจน

(๗)

วันและสถานที่ในการส่งมอบผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรและการชำระเงิน โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าให้ชำระเงินก่อนการส่งมอบ ในวันส่งมอบ หรือภายหลังวันส่งมอบที่กำหนดไว้

(๘)

เหตุผลในการไม่ปฏิบัติตามสัญญาและการบอกเลิกสัญญา หรือวิธีการจัดการกรณีที่ไม่สามารถคาดการณ์หรือไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และอยู่เหนือการควบคุมของคู่สัญญา

(๙)

กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนของการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร ว่าเป็นของฝ่ายใด

(๑๐)

ผู้รับความเสียหายในผลผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรอาจเสี่ยงหรือตกอยู่ในกรณีผลิตผลทางการเกษตรไม่ตรงตามที่กำหนดไว้

(๑๑)

การเยียวยาความเสียหายจากการผิดสัญญา

(๑๒)

สิทธิในการบอกเลิกสัญญาของคู่สัญญา

(๑๓)

รายละเอียดอื่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรที่รับทำสัญญาให้เกษตรกรในวันทำสัญญา

มาตรา ๒๐ ในกรณีที่สัญญาเกี่ยวกับการผลิตผลิตผลทางการเกษตรหรือบริการทางการเกษตรที่ทำขึ้นไม่มีระยะเวลาสิ้นสุดตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๑ ให้เกษตรกรมีสิทธิเลือกที่จะให้เพิ่มความในสัญญาให้ครอบคลุมถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๑ และให้ถือว่าคู่สัญญาได้บอกเลิกสัญญานั้น ทั้งนี้ ให้เกษตรกรต้องแจ้งสิทธิของตนในลักษณะนั้นเพิ่มเติมกับคู่สัญญาก่อนส่งมอบผลิตผลทางการเกษตร แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาในข้อใดข้อหนึ่ง

มาตรา ๒๑ ให้คณะกรรมการประกาศกำหนดแบบสัญญาเกี่ยวกับการเรียกร้องหรือสิทธิยกทรัพย์หรือค่าแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาให้เป็นไปตามแบบสัญญาโดยเร็วที่สุด

มาตรา ๒๒ ในกรณีที่มีการผิดสัญญาเกี่ยวกับการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรซึ่งมีผลกระทบอย่างสำคัญต่อระบบธุรกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม ให้คณะกรรมการมีอำนาจกำหนดให้คู่สัญญาดำเนินการแก้ไขตามแบบที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

การกำหนดแบบของสัญญาตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยคณะกรรมการต้องกำหนดสิทธิ หน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาให้ชัดเจนเพื่อป้องกันและเยียวยาผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม การกำหนดแบบของสัญญาไม่ส่งผลกระทบกับสัญญาที่คู่สัญญาได้จัดทำขึ้นก่อนวันที่ประกาศตามวรรคหนึ่งมีผลใช้บังคับ

มาตรา ๒๕ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรจัดทำสัญญาไม่เป็นไปตามแบบที่คณะกรรมการประกาศกำหนดตามมาตรา ๒๓ ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ให้ถือว่าสัญญาส่วนนั้นไม่มีผลใช้บังคับและให้มีความตามแบบที่คณะกรรมการกำหนดใช้บังคับแทน ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิเกษตรกรในการเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการหรือการดำเนินการตามสัญญาส่วนนั้นไม่มีผลใช้บังคับโดยสุจริต

มาตรา ๒๖ ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรแบ่งสัญญาระหว่างผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรกับเกษตรกรหรือการทำคำสั่งใด เพื่อให้การทำสัญญาไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาตามพระราชบัญญัตินี้

กรณีที่มีการทำสัญญาตามวรรคหนึ่งถือว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา

มาตรา ๒๗ ให้ถือว่าข้อตกลงหรือข้อใดในสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาต่อไปนี้ไม่มีผลใช้บังคับ

(๑)

ข้อตกลงที่กำหนดให้เกษตรกรต้องซื้อหรือรับบริการปัจจัยการผลิต เช่น อาหาร ยา และเวชภัณฑ์ สารเคมี เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือสิ่งที่ต้องนำมาใช้ในการผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรใด ๆ ที่ไม่มีคุณภาพ ตามที่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรจัดหา หรือไม่เป็นไปตามที่กำหนดในสัญญา หรือที่ไม่มีฉลากหรือไม่มีใบรับรองมาตรฐานสินค้า ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ กำหนด

(๒)

ข้อตกลงที่เกี่ยวกับหรือจำกัดความรับผิดของผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรต่อเกษตรกรในความชำรุดบกพร่องหรือไม่เป็นไปตามมาตรฐานของพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ อาหาร ยา สารเคมี เครื่องมือ อุปกรณ์ ปัจจัยการผลิต หรือสิ่งที่ต้องนำมาใช้ในการผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรใด ๆ แก่เกษตรกรที่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรเป็นผู้จัดหา

(๓)

ข้อตกลงที่กำหนดให้เกษตรกรต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญา หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรตามสัญญา

(๔)

ข้อตกลงที่ให้สิทธิผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรในการบอกเลิกสัญญาโดยเกษตรกรไม่ได้ผิดสัญญาในสาระสำคัญ

(๕)

ข้อตกลงที่เรียกร้องกำหนดให้เกษตรกรต้องมีภาระเพิ่มขึ้นมากกว่าการที่กำหนดไว้ในเวลาทำสัญญา

(ซ)

ข้อตกลงที่กำหนดให้จ่ายเงินชดเชยที่เกษตรกรได้รับจากทางราชการหรือค่าเสียหายแทน จากการประกันภัยให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร

(ฌ)

ข้อตกลงที่กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรเปลี่ยนแปลงราคาต่อหน่วยในการผลิต ผลผลิตหรือบริการทางการเกษตร หรือค่าจ้างแรงงานในการผลิตผลผลิตหรือบริการทางการเกษตร ได้เพียงฝ่ายเดียว

(ญ)

ข้อตกลงที่มีลักษณะหรือมีผลให้เกษตรกรต้องปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่จะพึงคาดหมายได้ ตามปกติตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา ๒๘ การรอบเกลี้ยกล่อมในระบบเกษตรพันธสัญญา ก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรหรือเกษตรกรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากการหาพื้นที่ ที่ทำการผลิตผลผลิตหรือบริการทางการเกษตรตามสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา หรือภาวะตลาด ของผลผลิตทางการเกษตรดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป จะกระทำไม่ได้ เว้นแต่มีการตกลงกันตามเงื่อนไข ของสัญญาหรือคำชี้ขาดที่ได้แจ้งให้เกษตรกรฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทราบล่วงหน้าเป็นธรรม

มาตรา ๒๙ ข้อตกลงที่ได้ทำขึ้นในนามของผู้บัญชียินยอมให้ใช้บังคับได้ในบัญชีไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ข้อบัญญัตินั้นไม่สมบูรณ์

หมวด ๓

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

มาตรา ๓๐ เมื่อมีข้อพิพาทในการปฏิบัติตามสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา ถ้าคู่สัญญา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสงค์จะใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ก่อน จึงจะมีสิทธินำข้อพิพาทไปสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ หรือยกคดีไปสู่ศาลได้

ให้คู่สัญญาซึ่งประสงค์จะใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทยื่นคำร้องต่อประธานกรรมการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาท ประธานกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแต่งตั้งคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามที่กำหนด

มาตรา ๓๑ ให้มีคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงสูงสุด ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมี ความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการหรือการปฏิบัติการเกษตรและผลผลิตทางการเกษตร จำนวนไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ

ให้นำเสนอสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นกรรมการและเลขานุการ

มาตรา 32 ให้มีคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประจำจังหวัด ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ อัยการจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย พาณิชย์จังหวัด ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม นายอำเภอในท้องที่ที่มีข้อพิพาท และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรหรือการบริหารธุรกิจที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจำนวนไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ

ให้สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเป็นกรรมการและเลขานุการ

มาตรา 33 ให้นำบทบัญญัติมาตรา 7 มาตรา 8 และมาตรา 13 มาใช้บังคับแก่การจัดตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และการประชุมของคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยอนุโลม

มาตรา 34 ในกรณีที่พื้นที่ในการผลิตผลผลิตหรือบริการทางการเกษตรตามสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาที่มีข้อพิพาทครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สองจังหวัดขึ้นไป ให้คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในจังหวัดที่พื้นที่ในการผลิตผลผลิตหรือบริการทางการเกษตรส่วนใหญ่ตั้งอยู่เป็นผู้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น แต่ในแต่ละกรณีคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้อาจนำไปในการพิจารณาของคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในจังหวัดอื่นที่เป็นประธานร่วม

มาตรา 35 ให้คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้แล้วเสร็จภายในสิบวันนับแต่วันที่ประธานกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้รับคำร้อง เว้นแต่มีเหตุอันควรไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมีหนังสือแจ้งให้ผู้ยื่นคำร้องทราบก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าว ในกรณีนี้ขยายระยะเวลาในการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออกไปได้อีกไม่เกินสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาดังกล่าว

มาตรา 36 คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอาจให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อคิดเห็นหรือส่งเอกสารหรือหลักฐานอื่นใดเพื่อประกอบการพิจารณาในระหว่างการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้

มาตรา 37 ในระหว่างกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท นับแต่วันที่ประธานกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้รับคำร้องตามมาตรา 35 จนถึงวันที่คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงหรือวันที่ผู้ยุติข้อพิพาทสรุปประมวลผลความเห็น คู่พิพาทต้องไม่กระทำการดังต่อไปนี้

(1) กระทำการใด ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพที่แท้จริงของทรัพย์ที่พิพาทหรือทรัพย์อันเกี่ยวเนื่องกับข้อพิพาท (2) ทำข้อตกลงเพิ่มเติมหรือแก้ไขสัญญาเพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้รับความเสียหาย รับภาระหรือมีหน้าที่เพิ่มเติม โดยไม่มีกฎหมายอย่างอื่นบังคับเป็นธรรม ในกรณีที่มีการทำข้อตกลงหรือแก้ไขสัญญาตาม (๓) ให้ถือว่าข้อตกลงนั้นไม่มีผลใช้บังคับ

มาตรา ๓๗ ในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม

จัดให้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างคู่สัญญา และให้ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอม ยอมความมีผลผูกพันคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ในกรณีที่คู่สัญญาไม่อาจตกลงกันได้ ให้คณะกรรมการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทสั่งว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ศาลพิจารณาแล้วว่าการทำข้อตกลงประนีประนอมยอมความหรือแก้ไขสัญญาที่จะนำข้อพิพาทไปสู่การพิจารณา ของอนุญาโตตุลาการหรือศาลที่ไม่สุจริต และในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าความเสียหายจากการปฏิบัติ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือการร้องขอให้มีการดำเนินคดีในกลุ่ม ให้คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้นส่งเรื่องแจ้งกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพดำเนินการประสานงาน เพื่อให้มีการดำเนินคดีแทนกลุ่มต่อไป ในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้บังคับตามข้อตกลงประนีประนอมยอมความได้ โดยให้กฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ ออกคำสั่งบังคับให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามคำขอ โดยให้กฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ มาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทลงมติให้มีการทำข้อตกลงให้ไว้ข้อกำหนด ให้คณะกรรมการในการฟ้องคดี สรุปเหตุผลที่คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเห็นสมควรที่จะร้องขอให้คณะกรรมการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและการจัดทำสัญญาประนีประนอม ยอมความ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

หมวด ๔

บทกำหนดโทษ

มาตรา ๓๘ ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๔

มาตรา ๒๐ หรือมาตรา ๒๓ วรรคสอง หรือที่ฝ่าฝืนมาตรา ๒๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท

มาตรา ๓๙ คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืนมาตรา ๒๘ (๓) หรือ (๔) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน

สามแสนบาท และปรับอีกไม่เกินวันละห้าหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน

มาตรา ๔๐ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๓๙ เป็นนิติบุคคล

ให้กรรมการผู้จัดการหรือผู้มีอำนาจในการจัดการของนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ การดำเนินงานของนิติบุคคลนั้นด้วย หรือในกรณีที่ผู้กระทำความผิดดังกล่าวมิใช่กรรมการหรือผู้จัดการและมิใช่ ไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นเหตุให้เกิดความผิดตามมาตรา ๓๘ หรือมาตรา ๓๙ ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย

มาตรา ๑๓ ในกรณีที่การผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรในระบบเกษตรพันธสัญญาได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอันเนื่องมาจากการใช้ของการผลิตหรือกระบวนการผลิตดังต่อไปนี้ ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรกำหนด ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายหรือค่าเสียหายเพื่อการนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าผลกระทบนั้นเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัย หรือเป็นการกระทำหรือละเว้นการกระทำของเกษตรกรในการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนหรือเงื่อนไขที่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรกำหนด

คำสั่งในหมายเหตุแทนหรือค่าเสียหาย ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรที่มีหน้าที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ทางราชการต้องรับภาระจริงในการขจัดผลกระทบหรือฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม

มาตรา ๑๔ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบมีอำนาจเปรียบเทียบได้

คณะกรรมการเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่ง ให้ประกอบด้วย ผู้แทนอัยการสูงสุดเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกรรมการ และผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นกรรมการ โดยให้เจ้าหน้าที่ในเขตกรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาคที่ได้ดำเนินการเปรียบเทียบความผิดตามวรรคหนึ่ง การเปรียบเทียบความผิดตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบที่เป็นเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบความผิดโดยให้ดำเนินถึงสถานภาพความร้ายแรงของการกระทำความผิด การกระทำความผิดซ้ำ และการป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดกระทำความผิดซ้ำอีก เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเปรียบเทียบแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา บทเฉพาะกาล

มาตรา ๑๕ เมื่อมีประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งตามมาตรา ๑๒ แล้ว ให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรซึ่งประกอบธุรกิจในลักษณะนี้เป็นประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญาตามรูปแบบที่กำหนดไว้ในประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งตามมาตรา ๑๒ ให้แจ้งการประกอบธุรกิจต่อไปนี้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่มีประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งตามมาตรา ๑๒

มาตรา ๑๖ ในกรณีจำเป็น ให้จัดทำงบประมาณจัดการทางเกษตรและเกษตรกรที่มิได้จดทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรตามมาตรา ๑๗ ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งตามมาตรา ๑๒

มาตรา ๔๕ ในวาระแรก ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามระเบียบสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๕ (๔) ทั้งนี้ ต้องไม่เกินกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๔๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๖ ให้สัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ มีผลผูกพันคู่สัญญาต่อไปจนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดลง และในกรณีที่มีข้อพิพาทในการปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว ให้นำบทบัญญัติตามหมวด ๓ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และบทกำหนดโทษตามมาตรา ๓๙ มาใช้บังคับ

มาตรา ๔๗ บรรดาระเบียบหรือข้อเรียบร้อยตามระเบียบสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรมได้ออกไว้แล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการตามระเบียบหรือข้อเรียบร้อยดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นระเบียบหรือข้อเรียบร้อยตามพระราชบัญญัตินี้ และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๕๗ ดำเนินการตามระเบียบหรือข้อเรียบร้อยดังกล่าวต่อไป

มาตรา ๔๘ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการออกประกาศหรือระเบียบตามพระราชบัญญัตินี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้รัฐมนตรีรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันมีการนำระบบเกษตรพันธสัญญามาใช้ในกระบวนการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย ซึ่งหากมีการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาให้มีความเป็นธรรมตามหลักสากลจะช่วยสร้างความไว้วางใจ ความร่วมมือ ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพในการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรอย่างยั่งยืน ส่งผลให้เกษตรกรมีความมั่นคงทางรายได้ และได้เข้าถึงกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและเหมาะสมกับต้นทุนในการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร มีการป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในทางการเกษตรสามารถประกอบธุรกิจโดยได้รับผลิตผลที่มีคุณภาพมาตรฐานตามความระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้มแข็งทางธุรกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าเสรีได้ต่อไปอย่างไรก็ตาม โดยที่การดำเนินการในระบบเกษตรพันธสัญญามีลักษณะผสมผสานระหว่างสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างแรงงาน และสัญญาซื้อขายซึ่งมีความซับซ้อนและยุ่งยากในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าและต้นทุนในการผลิตผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร ส่งผลให้เกษตรกรมีสถานะที่เสียเปรียบอย่างยิ่งจากต่อรองในการทำสัญญาซึ่งอาจนำผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร ร่วมสมคบกันในการปฏิเสธไม่ทำหน้าที่ในสัญญา สมควรที่รัฐจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการทำสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญาให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายรวมทั้งกำหนดกลไกในการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้