로고

องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๑”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“รายการ” หมายความว่า เนื้อหาที่ผลิตขึ้นเพื่อเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่ไม่ใช่โฆษณา “สื่อสาธารณะ” หมายความว่า ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับรายการทั้งหมดที่จะเผยแพร่ ช่วงเวลาเผยแพร่ของแต่ละรายการ และประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของแต่ละรายการ “ผู้ผลิตรายการ” หมายความว่า ผู้ผลิตรายการเพื่อการเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๖ ก/หน้า ๙/๔ มกราคม ๒๕๕๑* “ผู้ผลิตรายการอิสระ” หมายความว่า ผู้ผลิตรายการที่มิได้สังกัดหรือเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของสถานีวิทยุหรือโทรทัศน์หรือบริษัทในเครือของสถานีวิทยุหรือโทรทัศน์แห่งใดหรือองค์กรสื่อสารมวลชนใด และให้หมายความรวมถึงผู้ผลิตรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ในลักษณะธุรกิจแบบต่อยอดและผู้ผลิตรายการกระจายเสียงอื่นด้วย “ผู้สนับสนุนองค์กร” หมายความว่า ผู้ให้การสนับสนุนการเงิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นแก่องค์กรเพื่อประโยชน์ขององค์กร “เงินนำส่งขององค์กร” หมายความว่า เงินที่เรียกเก็บจากผู้ที่นำเข้าเครื่องรับวิทยุ กฎหมายว่าด้วยสุราษฎร์และกฎหมายว่าด้วยสุราอากรซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของหรือผู้ที่ใช้ในประเทศไทย “องค์กร” หมายความว่า องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย “คณะกรรมการนโยบาย” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย “กรรมการนโยบาย” หมายความว่า กรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย “คณะกรรมการบริหาร” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย “กรรมการบริหาร” หมายความว่า กรรมการบริหารองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย “ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย

มาตรา 4 ให้คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมวด 1

การจัดตั้งและเงินทุน

มาตรา 5 ให้จัดตั้งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล เรียกโดยย่อว่า “ส.ส.ท.” และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Thai Public Broadcasting Service” เรียกโดยย่อว่า “TPBS” ทำหน้าที่ที่เป็นอิสระด้านวิทยุโทรทัศน์และสื่อสารมวลชนที่ไม่แสวงหากำไร มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐสังกัดนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ แต่ดำเนินการภายใต้เงื่อนไข ทรัพย์สิน และรายได้ของตนเอง

มาตรา 6 ให้คณะกรรมการสรรหากำหนดผู้ใหญ่ในฐานะผู้แทนตามเงื่อนไขหรือข้อใดได้เสมอ และจะจัดตั้งสำนักงานสาขาขึ้น ต่อเมื่อจำเป็น

มาตรา 7 ให้องค์การมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

ดำเนินกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่มุ่งสนับสนุนการพัฒนาสังคมที่มีคุณภาพและคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทย โดยผ่านทางบริการวิชาการที่เกี่ยวข้อง รอบด้าน สมดุล และยึดมั่นจรรยาบรรณ

ผลิตรายการทางด้านวิชาการ สารประโยชน์ทางด้านวิชาการศึกษา และสาระบันเทิงที่มีเนื้อหาสอดคล้องเหมาะสมและมีคุณภาพสูง เน้นความหลากหลายเป็นสำคัญ โดยมุ่งเน้นเป็นการอย่างปราศจากอคติทางการเมืองและผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลาย อันจะเป็นประโยชน์ทั้งระดับปัจเจกและระดับองค์รวมผ่านทางการให้บริการสาระความรู้และสาระบันเทิงที่ได้รับข่าวสารอย่างเท่าเทียมกัน

ส่งเสริมเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารเพื่อสู่การสังคมประชาธิปไตยที่ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างเท่าเทียมกัน

สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมในการกำหนดทิศทางการให้บริการขององค์กรเพื่อประโยชน์สาธารณะ

๑๐

สนับสนุนกิจกรรมสาธารณประโยชน์อื่น การดำเนินการตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔) ให้คำนึงถึงการบังคับและการใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรมของประชาชน

มาตรา ๖ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา ๕ ให้องค์การมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

ระบบบริการสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับความต้องการของสังคมและประชาชน โดยให้มีการจัดทำแผนแม่บทการบริหารงานขององค์กรที่กำหนดทิศทางและเป้าหมายการดำเนินงานขององค์กรให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์กร และให้มีการทบทวนแผนแม่บทดังกล่าวอย่างน้อยทุก ๕ ปี นับแต่มีการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนองค์กร

ให้บริการคลื่นสื่อโสตทัศน์ หรือบริการระบบเครือข่ายสารสนเทศอื่น หรือบริการอื่นใดที่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่รายการ

ให้การสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพและการสร้างสรรค์สารคดีรายการของผู้ผลิตรายการอิสระ

ร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ องค์กรภาคเอกชน ชุมชน หรือหน่วยงานต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ หรือสถานีวิทยุหรือโทรทัศน์ขององค์กรสื่อสารมวลชนของต่างประเทศ ในการผลิตรายการหรือสื่อความรู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หรือสร้างความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกัน

กระทำการอื่นอันจำเป็นเกี่ยวกับหรือเนื่องไปในการจัดการให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร

มาตรา ๗ นอกจากอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๖ ให้องค์การมีอำนาจดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ด้วย

(ก) ถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิเก็บผลประโยชน์ และมีทรัพย์สินต่าง ๆ (ข) ต้องสิทธิ หรือกระทำสิทธิกรรมใด ๆ ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการขององค์กร (ก) เข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือคณะบุคคลอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ขององค์กร (ข) เรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าบริการ หรือค่าตอบแทนอื่นใดในการให้บริการ (ค) ดำเนินการอื่นใดที่จำเป็นหรือสมควรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร

มาตรา ๑๑ กิจการขององค์กรไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน ทั้งนี้ ผู้ว่าจ้างคนงาน พนักงาน และลูกจ้างขององค์กรต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน

มาตรา ๑๒ ทุน ทรัพย์สิน และรายได้ขององค์กร ประกอบด้วย

(ก) เงินบำรุงองค์กรที่จัดเก็บตามมาตรา ๑๖ (ข) เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนตามมาตรา ๔๕ หรือกฎหมายอื่น (ค) ทุนประเดิมที่รัฐจัดให้แก่ในการจดทะเบียนตามมาตรา ๖๐ (ง) เงินหรือทรัพย์สิน อื่นๆ เช่น ค่าบำรุง ค่าบริการ หรือค่าตอบแทนอื่นใดในการให้บริการ (จ) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากผู้สนับสนุนองค์กร (ฉ) รายได้ที่อาจทราบประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาขององค์กร (ช) ดอกผลที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินขององค์กร การรับเงินและทรัพย์สิน (๑) ต้องไม่เป็นการกระทำที่ทำให้องค์กรตกอยู่ในอิทธิพลการดำเนินงาน หรือให้กระทบต่อการยึดมั่นต่อวัตถุประสงค์ขององค์กร รายได้ในการดำเนินกิจการขององค์กรนอกจาก (ฉ) และ (ช) ต้องนำไปใช้ในการสนับสนุนพัฒนา ศึกษา และให้โอกาสสร้างสรรค์แก่ผู้ด้อยโอกาส อิสระในชีวิตที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด แต่ต้องไม่เกินร้อยละสิบของรายได้ขององค์กร รายได้ขององค์กรตามวรรคหนึ่งที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

มาตรา ๑๓ ให้องค์กรมีอำนาจจัดเก็บเงินบำรุงองค์กรจากผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ในอัตราร้อยละหนึ่งของค่าภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ และจัดสรรให้เป็นรายได้ขององค์กร โดยให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บรวมไว้และนำส่งองค์กรตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ การจัดสรรรายได้ดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อการรับเงินหรือรายได้สูงสุดตามมาตรา ๑๒ เพื่อให้องค์กรสามารถใช้เพื่อพัฒนา ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ โดยให้มีการกำหนดสัดส่วนเงินเพื่อรองรับที่เหมาะสมประกอบกับขอบเขตการดำเนินงานขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไปและรายได้จากการดำเนินงานขององค์กรตามมาตรา ๑๒

รายได้ขององค์กรตามวรรคหนึ่งจะต้องไม่เกินการคาดการณ์รายได้สูงสุดที่กำหนดไว้ ให้องค์กรนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา การคำนวณเงินบำรุงองค์กรตามอัตราที่กำหนดในวรรคหนึ่ง จากมูลค่าของสงฆ์ทรัพย์ให้ดังนี้

มาตรา 13 เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บและส่งเงินบำรุงองค์กร

1

ให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเป็นผู้เรียกเก็บเงินบำรุงองค์กรที่ต้องส่งเป็นรายได้ขององค์กร โดยส่วนที่ไม่เกินกว่าร้อยละที่รัฐมนตรีกำหนดในราชกิจจานุเบกษา แต่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด

2

เงินบำรุงองค์กร ให้ถือเป็นรายจ่าย แต่ไม่ให้นำไปรวมคำนวณเป็นมูลค่าสินค้าในการคำนวณเงินบำรุงองค์กร ให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรหักค่าใช้จ่ายในอัตราตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด แต่ไม่เกินร้อยละหนึ่งจุดห้าของเงินบำรุงองค์กรที่เก็บได้

มาตรา 14 ให้ผู้แทนที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ และกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ มีหน้าที่ส่งเงินบำรุงองค์กรตามอัตราที่กำหนดตามมาตรา 12 วรรคหนึ่ง พร้อมคำรายงานตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด

มาตรา 15 ในกรณีที่ผู้แทนที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ และกฎหมายว่าด้วยสัญชาติด้วยฐานะเป็นตัวการร่วมใน ยกเว้น ลดหย่อน หรือคืนเงิน ให้ให้บริการเงิน เช่น ยกเว้น ลดหย่อน หรือคืนเงินบำรุงองค์กรด้วย ตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด

มาตรา 16 ในกรณีที่มีการส่งเงินบำรุงองค์กรไม่ครบจำนวนหรือส่งเงินบำรุงองค์กรไม่ครบจำนวนที่ต้องส่ง นอกจากจะมีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้เสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งจุดห้าต่อเดือนของจำนวนเงินที่ไม่ส่งหรือส่งเกินกำหนดระยะเวลาที่กำหนดหรือจำนวนที่ส่งขาดไป แล้วแต่กรณี จนถึงครบกำหนดที่ส่งเงินนั้นเป็นเงินบำรุงองค์กร แต่เงินเพิ่มที่กล่าวจะได้ไม่เกินจำนวนเงินบำรุงองค์กร และให้ถือว่าเงินเพิ่มนั้นเป็นเงินบำรุงองค์กรด้วย

ในการคำนวณระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง เศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือน

หมวด 2

การบริหารและการดำเนินกิจการ

ส่วนที่ 1

คณะกรรมการนโยบาย

มาตรา 17 ให้มีคณะกรรมการนโยบายองค์กรประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการนโยบายคนที่หนึ่ง และกรรมการโดยตำแหน่งอื่น ๆ

อีกแง่คนที่สรรหาและแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นบุคคลผู้มีความรู้ ประสบการณ์ และเป็นผู้ที่มีผลงานหรือเคยปฏิบัติงานที่แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญ ดังต่อไปนี้

ด้านการสื่อสารมวลชน จำนวนสองคน

ด้านการบริหารจัดการองค์กร จำนวนสองคน

ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การส่งเสริมและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของสังคมจำนวนสองคน ให้ผู้อำนวยการเป็นเลขานุการของคณะกรรมการนโยบาย

มาตรา ๑๔ ให้มีคณะกรรมการสรรหาคณะหนึ่งจำนวนสิบห้าคน ทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบาย ประกอบด้วย

ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

นายกสมาคมสื่อมวลชนด้านวิทยุและโทรทัศน์และวิทยุโทรทัศน์

ประธานสภาสถาบันนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย

ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน

ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ประธานสภาทนายความ

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

๑๐

นายกสภามหาวิทยาลัยของรัฐ

๑๑

นายกสภามหาวิทยาลัยเอกชน

๑๒

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

๑๓

ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

๑๔

ปลัดกระทรวงการคลัง

๑๕

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม

๑๖

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งตาม (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) หรือ (๑๐) ไม่สามารถเข้าประชุมได้ ผู้ที่ได้รับมอบหมายโดยเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมของสภาคณะกรรมการ หรือสภานั้นขององค์กรนั้นเป็นผู้เข้าประชุมแทน ในกรณีที่ไม่มีสภาหรือกรรมการตามตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในเวลาสามสิบวันนับแต่มีหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการสรรหา ให้คณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยกรรมการสรรหาที่เหลืออยู่ แต่ต้องไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ กรรมการสรรหาไม่สามารถใช้สิทธิในการเสนอชื่อเป็นกรรมการนโยบาย ให้คณะกรรมการสรรหาเลือกกรรมการสรรหาคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการสรรหา และเลือกกรรมการสรรหาอีกคนหนึ่งเป็นเลขานุการของคณะกรรมการสรรหา หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการสรรหากำหนด ทั้งนี้ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใสและความเป็นธรรมในกระบวนการสรรหา ให้คณะกรรมการทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนการรับการเสนอชื่อในการดำเนินการสรรหา

มาตรา 19 ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการนโยบายต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

1

มีสัญชาติไทย

2

มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปีบริบูรณ์

3

สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยความเป็นอิสระ เป็นกลาง และสุจริต

4

ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

5

ไม่เป็นบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกและต้องเข้ารับโทษโดยพ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันที่ได้รับการเสนอชื่อ เว้นแต่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท

6

ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงหรือกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ

7

ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากงาน เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในการปฏิบัติงาน

8

ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ

มาตรา 20 ในการสรรหากรรมการนโยบาย ให้คณะกรรมการสรรหาคัดกรองและเลือกบุคคลผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อ โดยพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 19 และยื่นขออนุมัติให้เสนอชื่อถึงนายกรัฐมนตรี จำนวนหนึ่งเท่าของจำนวนกรรมการนโยบายที่จะได้รับแต่งตั้ง

ในกรณีที่คณะกรรมการสรรหาไม่สามารถคัดกรองและเลือกบุคคลผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อได้ ให้คณะกรรมการสรรหาแจ้งรายชื่อประธานกรรมการนโยบายและกรรมการนโยบายพร้อมเหตุผลที่สมควรสนับสนุนการไม่คัดกรองและเลือกตามความเห็นชอบของบุคคลดังกล่าวอย่างชัดเจน เพื่อแจ้งไปยังคณะกรรมการนโยบาย ให้นายกรัฐมนตรีประกาศรายชื่อคณะกรรมการนโยบายในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา 21 ในขณะดำรงตำแหน่ง กรรมการนโยบายต้อง

1

ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ในหน่วยงานผู้มีอำนาจอนุมัติอนุญาต

2

ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง

3

ไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ

4

ไม่เป็นผู้ถือหุ้น กรรมการ พนักงานในหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม เว้นแต่ในหน่วยงานอื่นของรัฐที่ประกอบกิจการเป็นผู้ผลิตรายการให้ผู้อื่น ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรีเป็นกรรมการนโยบายผู้ใดมีลักษณะต้องห้าม ตามวรรคหนึ่งหรือพ้นจากการเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวในระหว่างที่ ผู้นั้นได้ออกจากตำแหน่งตามที่กำหนด ให้ถือว่าผู้นั้นพ้นแต่เฉพาะจากตำแหน่งกรรมการนโยบาย และให้ดำเนินการสรรหากรรมการนโยบายใหม่แทน

มาตรา ๒๒ ประธานกรรมการนโยบายและกรรมการนโยบายซึ่งมิใช่ผู้บริหาร ให้สละได้เฉพาะกิจการที่ทำหน้าที่ของกิจการ หรือในกิจการที่เป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจการของกิจการ ซึ่งมิใช่ ว่าด้วยมาตรการหรือทางอ้อม เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ในกิจการของนิติ บุคคลตามบทบัญญัติของกรรมการนโยบายตามบทบัญญัติ

มาตรา ๒๓ กรรมการนโยบายส่วนน้อยการดำรงตำแหน่งกรรมการจะสิ้น ในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปี ให้กรรมการนโยบายออกจากตำแหน่งจำนวน สิ้น โดยวิธีการจับสลาก และให้ถือว่าการออกจากตำแหน่งโดยการจับสลากดังกล่าวเป็นการพ้นจาก ตำแหน่งตามวาระ

เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังไม่มีแต่งตั้งกรรมการนโยบาย ขึ้นใหม่ให้กรรมการนโยบายซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้น อยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่ากรรมการนโยบายซึ่งแต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่ กรรมการนโยบายซึ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งตามวาระจะอยู่ได้จนสิ้นวาระที่เหลือ วาระติดกันอัน

มาตรา ๒๔ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการนโยบายพ้นจาก ตำแหน่งเมื่อ

ตาย (๒) ลาออก (๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๙ (๔) กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๒๑ หรือมาตรา ๒๒ (๕) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ เว้น แต่เป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้รอการลงโทษโดยความผิดนั้นเกิดจากการกระทำโดยประมาท ความผิด ลหุโทษหรือความผิดฐานในระมาด เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งแทน เว้นแต่ผู้ดำรง ตำแหน่งอยู่ไม่สามารถกลับมา และให้ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้ถือว่าผู้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่ เหลืออยู่ของกรรมการนโยบายซึ่งตนแทน ในระหว่างดำเนินการสรรหากรรมการกรรมการนโยบายตามวรรคสอง ให้กรรมการนโยบาย เท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยให้ถือว่าคณะกรรมการนโยบายประกอบด้วย กรรมการนโยบายเท่าที่เหลืออยู่ เว้นแต่กรรมการนโยบายจะมีเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง

มาตรา ๒๕ ในกรณีที่ประธานกรรมการนโยบายพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง หรือมาตรา ๒๔ ให้ที่ประชุมกรรมการนโยบายเลือกกรรมการนโยบายคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานกรรมการนโยบายไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการแต่งตั้งประธานกรรมการนโยบายคนใหม่ และเลือกผู้ทำหน้าที่ประธานกรรมการนโยบายต่อไป

มาตรา ๒๖ การประชุมกรรมการนโยบายต้องมีกรรมการนโยบายมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าในระหว่างการประชุมกรรมการนโยบายไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการนโยบายเลือกกรรมการนโยบายคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม

มาตรา ๒๗ การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการนโยบายคนหนึ่งมีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา ๒๘ คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

กำหนดนโยบายให้แก่ฝ่ายขององค์กร

กำหนดแนวทางและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระเบียบของกรรมการบริหาร ผู้อำนวยการ และพนักงานให้สอดคล้องตามกรอบพระราชบัญญัติ

ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะในการบริหารกิจการขององค์กรให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร

ความคุมการดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารให้เป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบาย

กำหนดให้มีการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพของรายการ

กำหนดนโยบายรับค่านิยมจริยธรรมของกรรมการบริหาร ผู้อำนวยการ ผู้บริหารขององค์กร พนักงานและลูกจ้างขององค์กร และการแก้ไข

กำกับดูแลเพื่อให้ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะและคำติชม ตลอดจนข้อร้องเรียนของประชาชนต่อองค์กร ให้สามารถตรวจสอบการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว

กำหนดหรือเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การเงิน การงบประมาณ และทรัพย์สิน การมอบอำนาจให้คณะกรรมการบริหารดำเนินการต่าง ๆ และการดำเนินกิจการโดยทั่วไป

แต่งตั้งและถอดถอนกรรมการบริหารตามมาตรา ๓๐

๑๐

แต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการตามมาตรา ๓๓

๑๑

กำหนดค่าตอบแทนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการ และของผู้ทำหน้าที่ตามมาตรา ๓๖

๑๒

กำหนดนโยบายค่านิยมจริยธรรมของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการผลิต และการเผยแพร่รายการขององค์กรตามมาตรา ๓๖

๑๔

แต่งตั้งคณะอนุกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชนตาม มาตรา ๕๘

๑๕

จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และเผยแพร่ต่อสาธารณชนตามมาตรา ๕๕

๑๖

ปฏิบัติการอื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น

ส่วนที่ ๒

คณะกรรมการบริหาร

มาตรา ๒๕ ให้คณะกรรมการนโยบายแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารคณะหนึ่ง ประกอบด้วยผู้อำนวยการเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง ผู้ดำรงตำแหน่งระดับบริหารของ องค์การจำนวนไม่เกินห้าคนเป็นกรรมการ และกรรมการวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เป็นพนักงาน ขององค์การจำนวนไม่เกินห้าคนเป็นกรรมการ รวมทั้งให้มีกรรมการคนหนึ่งซึ่งมิใช่พนักงานของ องค์การเป็นกรรมการและเลขานุการ

มาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ ให้ใช้บังคับกับการพ้นจากตำแหน่งของ กรรมการบริหารด้วยโดยอนุโลม

ให้คณะกรรมการบริหารปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกรอบนโยบายที่ คณะกรรมการนโยบายกำหนด และมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

ควบคุมดูแลการผลิตรายการหรือการสร้างสรรค์รายการขององค์การให้เป็นไป ตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบาย

กำกับดูแลการบริหารปฏิบัติงานขององค์การให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบ ข้อบังคับขององค์การในการที่มิให้กระทบต่อเรื่องร้องเรียนของประชาชน

จัดทำแผนการบริหารกิจการและแผนการจัดทำรายการขององค์การเสนอต่อ คณะกรรมการนโยบายเพื่อให้ความเห็นชอบ

จัดทำแผนแม่บทขององค์การ แผนพัฒนารายการ และแผนงบประมาณเสนอต่อ คณะกรรมการนโยบาย

จัดทำแผนแม่บทพัฒนาบุคลากร

ประสานกับคณะกรรมการนโยบายเพื่อการเผยแพร่

ดำเนินการอื่นใดตามที่คณะกรรมการนโยบายมอบหมาย

มาตรา 30 ให้ประธานกรรมการนโยบาย กรรมการนโยบาย และกรรมการบริหารอื่นตามมาตรา 29 ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

ส่วนที่ 3

ผู้อำนวยการ

มาตรา 31 ให้องค์กรมีผู้อำนวยการคนหนึ่ง และรองผู้อำนวยการตามจำนวนที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

คณะกรรมการนโยบายเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการ หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้อำนวยการให้เป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการนโยบาย ในกรณีที่ไม่มีผู้อำนวยการหรือผู้อำนวยการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองผู้อำนวยการที่มีอาวุโสตามลำดับปฏิบัติหน้าที่แทน ถ้าไม่มีรองผู้อำนวยการ ให้คณะกรรมการนโยบายแต่งตั้งกรรมการบริหารคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน

มาตรา 32 ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการจะต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้

1

มีสัญชาติไทย

2

มิใช่ผู้มีไม่สามารถหรือวิกลจริต

3

มิใช่บุคคลล้มละลาย

4

มิใช่ผู้เคยถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

5

มิใช่ผู้เคยถูกคำพิพากษาถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินในคดีทุจริตหรือคดีอาญาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ

6

มิใช่ผู้เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน เพราะทุจริตต่อหน้าที่

7

มิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

8

มิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารหรือเจ้าหน้าที่บริหารของพรรคการเมือง

9

มิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในกิจการหรือผลประโยชน์ขององค์กร หรือในกิจการที่เกี่ยวข้องแข่งขันกับกิจการขององค์กร ทั้งนี้ ไม่ให้ถือว่าการพ้นจากองค์กรเป็นการกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ขององค์กร หรือเป็นการกระทำที่เป็นการบริหารงานภายใน ในการบริหารกิจการขององค์กร ผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการนโยบาย

มาตรา 33 การแต่งตั้งผู้อำนวยการต้องทำเป็นสัญญาจ้างตามแบบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด โดยประธานกรรมการนโยบายเป็นผู้ลงนามในสัญญาจ้าง

สัญญาจ้างตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่ง เพื่อเน้นการทำงาน การประเมินผลการงาน การพัฒนาตำแหน่ง การเลิกจ้าง ค่าจ้าง และผลประโยชน์อื่นของผู้อำนวยการ

มาตรา ๑๔ ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายจะเสนอแต่งตั้งรองผู้อำนวยการตามที่ผู้สมัครมีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๒ (๑) (๒) (๓) และ (๕) และไม่เข้าข่ายมาตรฐานคณะกรรมการนโยบายกำหนด เพื่อช่วยเหลือผู้อำนวยการในการปฏิบัติหน้าที่ได้ การแต่งตั้งรองผู้อำนวยการให้ทำเป็นสัญญาจ้างกำหนดระยะเวลา และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย โดยให้ผู้อำนวยการเป็นผู้ลงนามในสัญญาจ้างตามที่กำหนดในมาตรา ๑๓ วรรคสอง มาใช้บังคับกับสัญญาจ้างรองผู้อำนวยการโดยอนุโลม

มาตรา ๑๕ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการอยู่ในตำแหน่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง ซึ่งต้องไม่เกินคราวละสี่ปี แต่อาจได้รับแต่งตั้งใหม่ได้

มาตรา ๑๖ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

ตาย

ลาออก

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๒ หรือมาตรา ๑๓ แล้วแต่กรณี

ไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงาน

คณะกรรมการนโยบายมีมติให้ออกตามด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนคณะกรรมการนโยบายทั้งหมดในขณะนั้น มีมติให้ออกเนื่องด้วยเหตุผลซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยหนึ่งข้อจึงเป็นสาระสำคัญ ข้อจรรยาบรรณ และข้อสนับสนุนการใช้ดุลพินิจ ทั้งนี้ในกรณีรองผู้อำนวยการ ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้ลงนามในหนังสือออก โดยเสนอเรื่องจริงและให้เหตุผลของการถอดถอนด้วย

ถูกเลิกจ้างตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง

มาตรา ๑๗ ค่าตอบแทนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด โดยคำนึงถึงความสำคัญภาระงาน ประสบการณ์ และธรรมของงาน และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนดไว้ในคำสั่งหรือหลักเกณฑ์เฉพาะที่กำหนดสำหรับตำแหน่งดังกล่าว

มาตรา ๑๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้ผู้อำนวยการมีอำนาจ

ออกระเบียบไปการบริหารกิจการขององค์กร รวมทั้งระเบียบและวิธีปฏิบัติในการบริหารกิจการขององค์กร ทั้งนี้โดยไม่ขัดหรือแย้งกับนโยบายที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

ทำสัญญาจ้าง เลิกจ้าง เลื่อน ลด หรือตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ตลอดจนลงโทษทางวินัยแก่พนักงานและลูกจ้างขององค์กรตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารกำหนด

แต่งตั้งพนักงานและคณะกรรมการบริหารสถานี

มาตรา ๔๗ ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้แทนองค์กรเพื่อกระทำการหรือร่วมลงนามในนามองค์กร

เพื่อการนี้ ผู้อำนวยการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดกระทำการแทนได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารกำหนด นิติกรรมที่ผู้อำนวยการกระทำโดยฝ่าฝืนระเบียบที่ออกตามมาตรา ๒๘ (๔) หรือมาตรา ๓๗ (๑) และ (๖) ย่อมไม่ผูกพันองค์กร เว้นแต่คณะกรรมการนโยบายหรือคณะกรรมการบริหาร แล้วแต่กรณี จะให้สัตยาบัน

มาตรา ๔๘ ในกรณีที่ไม่มีผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการพร้อมกัน ให้คณะกรรมการนโยบายแต่งตั้งกรรมการบริหารหรือพนักงานขององค์กรคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ

ให้ผู้รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้อำนวยการ

มาตรา ๔๙ ให้ประธานกรรมการนโยบาย ประธานกรรมการบริหาร ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และพนักงานขององค์กร เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

ให้ประธานกรรมการนโยบาย กรรมการนโยบาย กรรมการบริหาร ผู้อำนวยการ และรองผู้อำนวยการ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ

หมวด ๗

ข้อบังคับด้านจริยธรรมของวิชาชีพ

มาตรา ๕๐ ให้คณะกรรมการนโยบายจัดทำข้อบังคับด้านจริยธรรมของวิชาชีพเกี่ยวกับการผลิตและการเผยแพร่รายการโดยคำนึงถึงความเหมาะสมของเนื้อหากับหน้าที่งานและจรรยาบรรณขององค์กร ผู้ผลิตรายการ ผู้รับจ้างผลิตรายการ และผู้ประกอบวิชาชีพ ด้านนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน การผลิต การจัดหาและการเผยแพร่รายการขององค์กร

ข้อบังคับด้านจริยธรรมของวิชาชีพตามวรรคหนึ่ง อย่างน้อยต้องครอบคลุมเนื้อหาสาระในเรื่องดังต่อไปนี้

ความเที่ยงตรง ความเป็นกลาง และความเป็นธรรม

ความเป็นอิสระของวิชาชีพ และความรับผิดชอบต่อจรรยาบรรณ

การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นส่วนตัว และการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล

การคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากรายการที่แสดงออกถึงความรุนแรง การกระทำอันผิดกฎหมายหรือศีลธรรม อนาจาร และภาษาที่หยาบคาย

การปฏิบัติต่อหญิงผู้กระทำหรือถูกกระทำซึ่งอยู่ในภาวะเศร้าหรือโศก

การรายงานแนะแนวเกี่ยวกับ การรับรางวัลหรือผลประโยชน์อื่นใดเพื่อให้เสนอข่าว หรือมีส่วนร่วมในการกระทำใดอันกระทบให้ขาดความเป็นธรรมและความเป็นอิสระของวิชาชีพ

การป้องกันและปรับปรุงแก้ไขการกระทำอันไม่เหมาะสมดังกล่าว ให้คณะกรรมการปฏิบัติและเผยแพร่ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมที่ดีทางวิชาชีพสวรรค์นี้ต่อสาธารณชน

หมวด ๔

การเผยแพร่รายการ

มาตรา ๑๓ รายการที่ให้บริการผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงหรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ขององค์กรต้องมีเนื้อหาครอบคลุมดังนี้

ข่าวสารที่มีผลกระทบต่อสาธารณะซึ่งเสนออย่างเที่ยงตรง รอบคอบ ทันต่อเหตุการณ์รอบด้าน และเป็นธรรม ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือผู้มีส่วนและเกี่ยวข้อง

รายการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นซึ่งจะเป็นที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณะหรือแสดงความคิดเห็นแตกต่างกันในสังคม บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง มีสมดุลของความคิดเห็นแตกต่าง ๆ และการเคารพต่อข้อคิดเห็น

รายการที่ส่งเสริมการศึกษาในวิทยาการสาขาต่าง ๆ และการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนอย่างเพียงพอ โดยคำนึงถึงเวลาที่สะดวกต่อการรับชมและรับฟัง

รายการกีฬา นันทนาการ และรายการที่ส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน

รายการที่ส่งเสริมเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความสมานฉันท์ในสังคม ตลอดจนสนับสนุนให้ผู้ด้อยโอกาสในสังคมมีโอกาสแสดงความคิดเห็นหรือเข้าเสนอข้อมูลของตน

รายการบันเทิงที่สร้างสรรค์ ส่งเสริมคุณค่าที่ดีงามของสังคม หรือยกระดับสุนทรียภาพของประชาชน

รายการที่เป็นการสนับสนุนผู้ผลิตรายการอิสระ ซึ่งต้องจัดสรรเวลาให้อย่างเพียงพอ การจัดทำผังรายการเป็นอำนาจขององค์กร และต้องไม่ลักลอบเพื่อเอื้อประโยชน์หรือตอบแทนในเชิงพาณิชย์ ผู้อำนวยการต้องจัดทำผังรายการเสนอคณะกรรมการวิทยุเพื่ออนุมัติทุกสามเดือน ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงผังรายการอย่างมีนัยสำคัญ ให้ผู้อำนวยการจัดทำผังรายการที่มีการเปลี่ยนแปลงต่อคณะกรรมการวิทยุเพื่ออนุมัติ ในการจัดทำรายการตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการนโยบายกำหนดมาตรการโดยรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการที่เหมาะสมในการส่งเสริมให้คนพิการสามารถเข้าถึงหรือใช้ประโยชน์จากการตรวจสอบสิทธิและกิจการโทรทัศน์ขององค์กรได้

มาตรา ๔๔ ให้องค์กรจัดเก็บข้อมูลที่เป็นบริการที่สามารถให้คนพิการที่สนใจของประชาชนทั่วไปประโยชน์ตามวรรคสองจัดสรร ให้องค์กรให้บริการแก่ประชาชนในการรับฟังและประชาชนที่เป็นคนในลักษณะวรรคหนึ่งโดยเท่าเทียมกันกับบริการได้

หมวด ๕

สถาบันชุมชนและผู้ทรงการ และการรับเรื่องร้องเรียน

มาตรา ๔๕ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการให้บริการและการผลิตรายการขององค์กรให้สอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะและสังคม และสะท้อนความต้องการของผู้ใช้บริการ รวมทั้งส่งเสริมสิทธิเสรีภาพส่วนรวมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย ให้สถาบันชุมชนและผู้ทรงการมีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้บริการและการผลิตรายการขององค์กร รวมทั้งการปรับเปลี่ยนรายการขององค์กรให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่มีการเปลี่ยนแปลงไป

มาตรา ๔๖ ให้สถาบันชุมชนและผู้ทรงการจัดให้มีระบบการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในกรณีที่องค์กร ผู้ใช้บริการ หรือพนักงานขององค์กรกระทำการหรือมีการกระทำที่ขัดต่อข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของวิชาชีพตามมาตรา ๔๒ ทั้งนี้โดยคณะกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ และตรวจสอบให้เรื่องร้องเรียนดังกล่าวกระทำด้วยความรวดเร็ว

กระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งต้องครอบคลุมถึงวิธีการแก้ไขข้อบกพร่องในการผลิตหรือการจัดรายการที่ขัดต่อข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของวิชาชีพ รวมทั้งมีมาตรการแก้ไขข้อขัดแย้ง สิทธิการโต้แย้ง และการอุทธรณ์ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว การร้องเรียนตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อสิทธิของผู้ร้องเรียนหรือผู้ถูกร้องเรียนในการที่จะใช้ช่องทางอื่นตามกฎหมายเพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเสียหายที่เกิดจากเรื่องร้องเรียนนั้น

มาตรา ๔๙ องค์กรต้องจัดเก็บบันทึกบัญชีหลักและบัญชีของทุกรายการเป็นเวลาอย่างน้อยสามสิบวันนับแต่วันที่ยอมรับรายการนั้น

เมื่อรายการใดที่เป็นเหตุให้เกิดการณีพิพาทหรือข้อร้องเรียน ให้องค์กรเก็บบันทึกต้นฉบับของรายการนั้นไว้นานกว่าระยะเวลาดังกล่าวจนเสร็จสิ้น

หมวด ๖

การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผล

มาตรา ๕๐ ให้องค์กรจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการบริหารกำหนด และต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและการพัสดุขององค์กร และให้รายงานผลการตรวจสอบต่อคณะกรรมการนโยบายอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

ในการตรวจสอบรายปี ให้องค์กรแต่งตั้งพนักงานเพื่อทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบภายในโดยเฉพาะ และให้ประสานงานกับคณะกรรมการการเงินตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๕๑ ให้องค์กรจัดทำงบการเงินประจำปีอย่างน้อยต้องประกอบด้วยงบแสดงฐานะทางการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบกระแสเงินสด ผู้สอบบัญชีภายนอกที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอบบัญชี

ให้องค์กรจัดทำรายงานผลการดำเนินงานประจำปีซึ่งต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับงบการเงิน รายการจ่ายเงินและทรัพย์สินขององค์กร ในรายงานผลการสอบบัญชีให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอาคาระว่าการใช้งบดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ประหยัด คุ้มค่าและได้ผลตามเป้าหมายเพียงใด แล้วทำบันทึกรายงานผลการสอบบัญชีต่อคณะกรรมการนโยบาย ให้คณะกรรมการนโยบายประสานงานกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับแนวทางการตรวจสอบและการปรับปรุงกิจกรรมเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์มาตรฐานที่เกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน

มาตรา ๕๒ เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการดำเนินการขององค์กรให้เกิดประสิทธิภาพเกิดผลสัมฤทธิ์ สร้างความผิดชอบและความเชื่อถือแก่สาธารณชนในการบริหารขององค์กร ตลอดจนเกิดการติดตามความก้าวหน้าและการตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรเป็นระยะตามวัตถุประสงค์ โครงการ และแผนงานที่กำหนดไว้ ให้คณะกรรมการนโยบายจัดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานประจำปี โดยคณะกรรมการประเมินผลที่แต่งตั้งขึ้น

การประเมินผลการดำเนินงานจะต้องเปิดเผยจริงใจว่า ผู้ที่ไม่ผ่านประสิทธิผลในด้านประสิทธิภาพ ในด้านการพัฒนาขององค์กร ในด้านการสนับสนุนการระดมทุน และความมีส่วนร่วมของสาธารณชนในกิจกรรม และในรายละเอียดย่อที่ตามที่คณะกรรมการนโยบายจะได้กำหนดเพิ่มเติมขึ้น

มาตรา ๕๔ อย่างน้อยทุก ๆ สิบปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้องค์กรเสนอให้มีการทบทวนที่มาของรายได้และสัดส่วนของเงินบำรุงองค์กรให้มีความเหมาะสมกับความจำเป็นในการดำเนินการกิจการขององค์กร ทบทวนถึงความเหมาะสมในการให้องค์กรนำส่งและสมทบส่วนที่เกินจากความจำเป็นกลับคืนเป็นรายได้แผ่นดินหรือจัดสรรเพิ่มเติมเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม และทบทวนการสร้างแรงจูงใจในการสื่อสารสาธารณะของประชาชนผ่านทางการดำเนินการกิจขององค์กร รวมทั้งเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายนี้เท่าที่จำเป็น

หมวด ๗

การตรวจสอบและควบคุม

มาตรา ๕๕ เพื่อเป็นการตรวจสอบและควบคุมให้ชุมชนและผู้ที่รับบริการได้รับบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ และแสดงถึงความโปร่งใสในการขององค์กร ให้องค์กรทำรายงานผลการดำเนินงานประจำปีเป็นเอกสารต่อคณะกรรมการ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี และให้เผยแพร่ต่อสาธารณชน

รายงานตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา ๕๔ และผลการดำเนินการในปีที่ผ่านมา ดังต่อไปนี้

โครงการ แผนงาน และงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการอนุมัติ

ผลรายงานการประเมินผลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน

ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่องค์กรเป็นผู้จ้างหรือที่อยู่ในความควบคุมโดยตรงหรือโดยอ้อมและข้อมูลของบุคคลที่องค์กรเข้าร่วมกิจกรรมหรือร่วมลงทุน

รายการเกี่ยวกับการให้หรือสนับสนุนการตัดแต่งผลิตรายการวิทยุ วิธีนำเสนอผลิตรายการ พร้อมข้อมูลผู้ผลิตรายการเหล่านั้น และรายละเอียดในการเผยแพร่รายการที่สนับสนุน

ความคิดเห็นที่ได้รับจากสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการตามมาตรา ๕๔ และจากประชาชนทั่วไปและการปรับปรุงที่ดำเนินการตามความคิดเห็นที่ได้รับ

ข้อมูลหรือเรื่องร้องเรียนจากผู้ชมและผู้ฟังรายการ และผลและวิธีการแก้ไข

หมวด ๘

บทกำหนดโทษ

มาตรา ๕๖ ผู้ใดที่มิใช่เจ้าของกิจการมิได้ส่งเงินบำรุงองค์กร หรือส่งเงินบำรุงองค์กรไม่ครบถ้วนตามความในมาตรา ๕๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๕๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือโดยการละเว้นการสั่งการหรือการกระทำดังกล่าว กรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลนั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย

มาตรา ๕๕ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือเป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ เว้นแต่บทบัญญัติแห่งกฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา ๕๖ การกระทำใด ๆ ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมอันมีลักษณะเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงองค์กรให้แนะนำรายงานที่ขัดหรือแย้งต่อผู้ประสานตามมาตรา ๕๔ หรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามมาตรา ๘ และมาตรา ๙ หรือขัดขวางหรือแทรกแซงวิธีธรรมจรรยาที่ได้ดำเนินการตามมาตรา ๕๔ ให้ถือเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและไม่มีผลใช้บังคับในแง่ของการกระทำดังกล่าวในทางกฎหมาย

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๕๗ ให้อนุกรรมการกิจการ อำนวยการที่ ทรัพย์สิน บุคคลากร หน้าที่ สิทธิ ภารกิจและงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติที่เกี่ยวกับการดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมถึงหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติฉบับนี้โดยเฉพาะกิจ (หน่วยบริหารรูปแบบพิเศษ) ที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ในส่วนที่พระราชบัญญัตินี้บังคับไปเป็นขององค์กร แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินของหน่วยอื่นหรือที่อาจจะมีขึ้นระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติและบริษัท ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือบุคคลอื่นในระบบ ยู เอส เอพี และระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติและบริษัทชั้นนำอินโฟเมนเนจเมนท์ จำกัด ณวันดังกล่าว กรมกฎหมาย ๕๔๕๖ ไม่ว่าข้อเท็จจริงในการดำเนินการในขั้นตอนที่อาจเกิดการพิจารณา หรือหน่วยงาน หรือองค์กรสนับสนุนใดที่อาจอันเนื่องมาจากการดำเนินการดังกล่าวอันได้แก่หน่วยงานหรือพาหนะกล่าวไว้แล้วให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

มาตรา ๕๘ ในระหว่างเริ่มแรก ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการในยามเปลี่ยนการดำรงตำแหน่งตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อนจนกว่าจะมีคณะกรรมการนโยบายตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๗ มาใช้บังคับ

มาตรา ๕๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบทางอาญาของนิติบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๖

ให้คณะกรรมการที่ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการนโยบายตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ผู้ซึ่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการในเวลาที่ก่อนกฎหมายนี้มีผู้ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้หน้ามาตรา ๒๐ มาใช้บังคับ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ประธานกรรมการมอบหมายไปจนกว่าคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินี้จะจัดตั้งสำนักงานของตนเองเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังนี้

มาตรา ๔๕ ในระยะเริ่มแรก ให้ดำเนินการสรรหาคณะกรรมการนโยบายภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการในการสรรหา และให้คณะกรรมการนโยบายชุดแรกดำรงตำแหน่งโดยเปิดกว้างจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

การสรรหาผู้อำนวยการตามมาตรา ๔๔ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่คณะกรรมการนโยบายได้รับการแต่งตั้ง

มาตรา ๔๖ ให้รัฐมนตรีจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์การตามงบงานในปีนั้นที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๖

มาตรา ๔๗ ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการกิจการอวกาศและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติตามมาตรา ๔๔ ข้อความเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการวิทยุคมนาคมและกิจการโทรคมนาคม ให้ยังคงใช้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคมและกิจการโทรคมนาคม และให้บรรดาข้อความเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการอวกาศและกิจการโทรคมนาคมตามมาตรา ๔๔ ให้ยังคงใช้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคมและกิจการโทรคมนาคม

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในปัจจุบันองค์กรควรให้มีองค์การสื่อสารสารสนเทศที่เป็นผู้นำในการผลิตและสร้างสรรค์สาระการข่าวสารสาธารณะเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะและส่วนรวม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อส่งเสริมให้การให้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำและมีคุณสมบัติของการเรียนรู้ของประชาชนทุกกลุ่มให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ และสร้างความสัมพันธ์ให้แก่คนในสังคมเป็นแบบแผนส่งเสริมความร่วมมือของบริการข่าวสารสาธารณะและองค์กรในรูปแบบของการบริหารงานในทางวิทยาการต่างๆ ตามธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของชาติที่ส่งเสริมให้คนในชาติมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและเคารพในความแตกต่างของวัฒนธรรม และท้องถิ่นของตนเอง และกระตุ้นและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การผลิตรายการของผู้ผลิตรายการอิสระ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัตินี้ให้แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ศาสนาธรรมบัญญัติได้กำหนดไว้ว่าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติอันเกี่ยวกับการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๖ วรรคสอง เป็นอันใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยโดยไม่กล่าวถึงกฎหมายดังกล่าวว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๖ วรรคสอง ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งและปัญหาทางกฎหมายที่มีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๑๓ ก/หน้า ๑๐/๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปิฎกุลนิษฐ์/แก้ไข ศศิ/ตรวจ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ พรวิภา/เพิ่มเติม ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ พจนา/ตรวจ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐