로고

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยศุลการกร

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติศุลการกร พ.ศ. ๒๕๖๐”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่

วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิก

(๑)

พระราชบัญญัติศุลการกร พุทธศักราช ๒๔๖๙

(๒)

พระราชบัญญัติศุลการกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๔๗๐

(๓)

พระราชบัญญัติศุลการกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๗๐

(๔)

พระราชบัญญัติศุลการกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๗๑

(๕)

พระราชบัญญัติศุลการกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๔๗๓

(๖)

พระราชบัญญัติศุลการกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๔๗๔

(๗)

พระราชบัญญัติศุลการกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๖) พุทธศักราช ๒๔๗๕

(๘)

พระราชบัญญัติศุลการกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๗) พุทธศักราช ๒๔๗๖

(๙)

พระราชบัญญัติศุลการกรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๘) พุทธศักราช ๒๔๘๒

(๑๐)

พระราชบัญญัติศุลการกร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๐๒

(๑๑)

พระราชบัญญัติศุลการกร (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๐๕

(๑๒)

พระราชบัญญัติศุลการกร (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๐๘

(๑๓)

พระราชบัญญัติศุลการกร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๑๗

(๑๔)

ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๙ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ * ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๕๓ ก/หน้า ๘๘/๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ``` - ๒ -

(๑๕)

พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๔ พ.ศ. ๒๕๒๘

(๑๖)

พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๒๙

(๑๗)

พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๓๔

(๑๘)

พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๓๔

(๑๙)

พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๓๔

(๒๐)

พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๔๔

(๒๑)

พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๒๑) พ.ศ. ๒๕๔๕

(๒๒)

พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๔๘

มาตรา ๖ ในพระราชบัญญัตินี้

“อากร” หมายความว่า อากรศุลกากรที่เก็บกับของที่นำเข้ามาในหรือส่งออกไป นอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัตินี้และกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรหรือกฎหมายอื่นที่ กำหนดให้เป็นอากรศุลกากร “ผู้นำของเข้า” ให้หมายความรวมถึง เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ส่งต่อไป ของใด ๆ บนเรือเดินทะเลนั้นเข้ามาในราชอาณาจักรจนกว่าของนั้นจะได้ส่งมอบให้ โดยถูกต้องพ้นจากอารักขาของพนักงานศุลกากร “ผู้ส่งของออก” ให้หมายความรวมถึง เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ส่งต่อไป ของใด ๆ บนเรือเดินทะเลนั้น เพื่อส่งของนั้นออกนอกราชอาณาจักรจนกว่าของนั้นจะได้ส่งออกไปนอก ราชอาณาจักร “ของต้องห้าม” หมายความว่า ของที่มีกฎหมายกำหนดห้ามมิให้เข้ามาในหรือ ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือผ่านด่านศุลกากร “ของต้องกำกัด” หมายความว่า ของที่มีกฎหมายกำหนดว่า ทางจะมีการนำเข้า ในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือผ่านด่านศุลกากร จะต้องได้รับอนุญาตหรือปฏิบัติให้ ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย “ด่านศุลกากร” หมายความว่า ที่ หรือบริเวณซึ่งเจ้าพนักงานศุลกากรเข้า ส่งของออก การคนแดน การคลังสินค้า และการตรวจเรือ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการศุลกากร “ค่าพาหนะเดิน” หมายความว่า ค่าขนส่งถึง ณ บริเวณเขตแดนทาง บกทาง อนุมัติ เพื่อประโยชน์ในการตรวจของที่ขนส่งโดยทางนั้น “เรือ” หมายความรวมถึงเรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือกำปั่น เรือก

(ก)

บุคคลซึ่งรับราชการในกรมศุลกากรและได้รับการแต่งตั้งจากอธิบดีให้ปฏิบัติ หน้าที่ที่ต้องพิจารณาแผนหรือให้ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกรณี

(ข)

บุคคลซึ่งรับราชการในกรมศุลกากร ข้าราชการอื่น หรือเจ้าหน้าที่อื่น ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษ จากอธิบดีให้กระทำการแทนกรมศุลกากร

(ค)

เจ้าพนักงานซึ่งได้รับการแต่งตั้งหรือมอบอำนาจจากรัฐมนตรีให้กระทำการเป็นพนักงาน ศุลกากร "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้และ ให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานศุลกากร กับออกกฎกระทรวงในเรื่องดังต่อไปนี้

(ก)

กำหนดท่าเรือ ท่าอากาศยาน ที่ หรือเขตใดเป็นด่านศุลกากร โดยจะ กำหนดหรือเปลี่ยนแปลงด่านการทางศุลกากรตามที่เห็นสมควรให้ช่วยได้ รวมทั้งเขตศุลกากร ของด่านศุลกากรนั้น

(ข)

กำหนดหลักเกณฑ์ใด ๆ ให้เป็นไปตามพระบรมราชโองการกำหนดเพื่อใช้ในการดำเนินการทาง ศุลกากรตามที่เห็นสมควรไว้ด้วยก็ได้

(ค)

กำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ หรือออกเป็น ค่าธรรมเนียม

(ง)

กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นคำร้องและคืนค่าอากรเสียอากร สำหรับของที่นำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความเสียหายหรือ เหตุจำเป็น

(จ)

กำหนดชนิดหรือประเภทของสินค้าหรือของที่ต้องห้าม การเห็นสมควรให้มีการนำเข้า อันตรายที่อยู่ในเขตศุลกากรและที่ต้องออกไปจากเขตศุลกากร รวมทั้งการกำหนดค่าธรรมเนียมสินค้า อันตรายดังกล่าว (b) กำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้รับประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑

บททั่วไป

มาตรา ๖ ในกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการตาม

พระราชบัญญัตินี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้วแต่กรณี มีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ผู้อนุญาต ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยอาจกำหนดเงื่อนไข ไว้ด้วยก็ได้ ในกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษตามวรรคหนึ่งเกิดขึ้นนอกอาณาเขต และมีความจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองคนงานหรือลูกจ้างในประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ ผู้อนุญาต ผู้สั่งจ้างออกหรือผู้ควบคุมตามกฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติหรือไม่ต้องปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ใน

หมวด ๑ การเข้าออกและการส่งตัวของออก โดยอาจกำหนดเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้

มาตรา ๗ อธิบดีอาจเรียกให้ผู้อนุญาต ผู้สั่งจ้างออก หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับ

การศุลกากรให้ประกันภัยอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์ของราชการเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ เกี่ยวกับการศุลกากร การเรียกประกันภัยตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดี ประกาศกำหนด

มาตรา ๘ บรรดาบัญชี เอกสารและหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเสียอากร หรือ

การปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศ อธิบดีอาจสั่งให้ผู้อนุญาต เอกสารหรือ หลักฐานดังกล่าว จัดการแปลเป็นภาษาไทยให้เสร็จและส่งภายในกำหนดเวลาที่เห็นสมควร

มาตรา ๙ ในกรณีที่ผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออก หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง ร้องขอให้

เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรพิจารณาหรือกระทำการใด ๆ ในการศุลกากร การพิจารณาหรือการกระทำดังกล่าว จะต้องกระทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดี กำหนด

มาตรา ๑๐ การดำเนินการปรับปรุง ใบอนุญาต หนังสือ หรือเอกสารใดที่เกี่ยวข้องกับ

การศุลกากร ซึ่งมิใช่เป็นการดำเนินการเพื่อยื่นต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรโดยให้ถือว่าเป็นการดำเนินการที่ ต้องเสียค่าธรรมเนียม การดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดี กำหนด

มาตรา ๑๑ การกระทำใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่า

เป็นการกระทำผิดโดยชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกับการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ การนำ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการศุลกากรให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มาตรา 12 การดำเนินการโดยเอกสารซึ่งพระราชบัญญัตินี้บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ถ้าโครงสร้างในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ให้ถือว่าเป็นความผิดและมีโทษเช่นเดียวกับการกระทำให้ได้ดำเนินการโดยทางเอกสาร

หมวด 2

การจัดเก็บอากร

ส่วนที่ 1

การเสียอากร

มาตรา 13 การนำของเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้เรียกเก็บอากรจากผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกตามพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร

ความรับผิดในเงินอากรและเสียอากรสำหรับของที่นำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเกิดขึ้นในเวลาที่ของเข้าถึงหรือส่งของออกถึงจุดหมายปลายทาง ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกต้องชำระเงินอากรเมื่อได้ยื่นใบขนสินค้าต่อพนักงานศุลกากรและพนักงานศุลกากรได้รับและออกใบอนุญาตแล้ว

มาตรา 14 การคำนวณอากรสำหรับของที่นำเข้ามาในรายการของนำเข้า ให้คำนวณตามสภาพแห่งของ ราคาศุลกากร และพิกัดอัตราศุลกากร ที่เป็นอยู่ในเวลาที่นำของเข้าถึงจุดหมายปลายทาง เว้นแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(ก)

กรณีของที่เก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน ให้คำนวณอากรตามสภาพแห่งของ ราคาศุลกากร และพิกัดอัตราศุลกากร ที่เป็นอยู่ในเวลาที่นำเข้าถึง แต่ต่อศุลกากรให้ออกของดังกล่าวจากที่ใช้อยู่ในเวลาที่ไม่ต่อเนื่องกันนับออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะปล่อยให้ออกไปในสภาพเดิมหรือในสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป

(ข)

กรณีของที่เก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อการแปรรูปหรือถูกทำลาย ให้คำนวณอากรตามสภาพแห่งของ ราคาศุลกากร และพิกัดอัตราศุลกากร ที่เป็นอยู่ในเวลาที่นำของเข้าถึงจุดหมายปลายทาง เว้นแต่กรณีดังกล่าวในคลังสินค้าทัณฑ์บน

(ค)

กรณีของที่นำเข้ามาในรายการอากรสำหรับของที่นำเข้ามาในรายการที่คนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรนำติดตัวเข้ามา ให้คำนวณอากรตามสภาพแห่งของ ราคาศุลกากร และพิกัดอัตราศุลกากร ที่เป็นอยู่ในเวลาที่นำของเข้ามาถึงจุดหมายปลายทาง

มาตรา 15 การคำนวณอากรสำหรับของที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ให้คำนวณตามสภาพแห่งของ ราคาศุลกากร และพิกัดอัตราศุลกากร ที่เป็นอยู่ในเวลาที่พนักงานศุลกากรได้รับและออกใบอนุญาตในใบขนสินค้านั้นแล้ว

มาตรา ๑๖ เพื่อประโยชน์ในการคำนวณอากรตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ "ราคาศุลกากร" หมายถึงราคาดังต่อไปนี้

(ก)

กรณีนำของเข้า หมายถึงราคานำของเพื่อความมุ่งหมายในการจัดเก็บอากรตามราคาขายใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(๑)

ราคาซื้อขายของถึงหน้าเรือ

(๒)

ราคาซื้อขายของถึงท่าเรือ

(๓)

ราคาซื้อขายของถึงที่คลังสินค้า

(๔)

ราคาทำหีบห่อ

(๕)

ราคาค่าขนส่ง

(๖)

ราคาค่าประกัน

(ข)

กรณีส่งของออก หมายถึงราคาขายส่งเงินสด ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลา และที่ที่ส่งของออกโดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด

(ค)

กรณีของของกลางตกเป็นของอากร หรือของในความครอบครองของเจ้าพนักงานศุลกากรแผ่นดินไทย หรือเขตดินใดในหน่วยเดียวกัน เพื่อให้หรือจำหน่ายภายในราชอาณาจักร ให้ใช้ราคาศุลกากรตาม (ก) โดยอนุโลม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้ราคาและการกำหนดราคาศุลกากรตาม (๑) ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๗ การกำหนดราคาศุลกากรในกรณีที่นำของเข้าหรือส่งของออกจะต้องกระทำพร้อมกันกับการส่งของ หรือการส่งใบขนสินค้าออก หรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการนำของเข้าหรือส่งของ

ในกรณีที่ไม่มีมูลค่าของรายการค่าเผื่อกันหรือค่าเผื่อส่งของ หรือไม่มีค่าขนของลง ค่าขนของขึ้น หรือค่าจัดการต่าง ๆ ตามที่กำหนดในวรรคหนึ่ง การกำหนดมูลค่าของรายการดังกล่าวให้เป็นไปตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๘ ผู้ใดประสงค์จะขอทราบราคาศุลกากร ถ้าเห็นว่ามีเหตุแห่งข้อ หรือหลักอัตราศุลกากร ผู้มีอำนาจยื่นคำร้องขอด้วยตนเองต่ออธิบดีเพื่อให้พิจารณาในการสอบสวนในเรื่องดังต่อไปนี้

(ก)

กำหนดค่าเผื่อกันหรือค่าเผื่อส่งของที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยอันกำหนดค่าเผื่อกันหรือค่าเผื่อส่งของตามอัตราศุลกากรของประเทศ

(ข)

ตีความหมายของข้อกำหนดในอัตราศุลกากร ประการแห่งมูลค่าของรายการค่าเผื่อกันหรือค่าเผื่อส่งของ การยื่นคำร้องตาม (ก) และ (ข) ให้กระทำเป็นหนังสือและยื่นต่ออธิบดี หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขข้ออื่นประกาศกำหนด ผลการพิจารณาอธิบดีของอธิบดีถือเป็นที่สุด ผู้เห็นแย้งสามารถยื่นอุทธรณ์ตามระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด

ส่วนที่ ๒

การประเมินอาการ

มาตรา ๑๕ เมื่อพบว่าผู้มีหน้าที่เสียอาการไม่เสียอาการหรือเสียอาการไม่ครบจำนวน ให้พนักงานคุ้มครองการมีอาการทำการประเมินอาการตามพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองศุลกากร

การประเมินอาการตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการได้ภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้ยื่นใบขนสินค้า เว้นแต่กรณีมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งการประเมินอาการได้ภายในกำหนดดังกล่าว ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ตามที่จำเป็น ในกรณีปรากฏหลักฐานอันเชื่อได้ว่าผู้มีหน้าที่เสียอาการมีเจตนาในการร้องออก ให้พนักงานคุ้มครองการมีอาการประเมินอาการได้ออกไปภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคสอง

มาตรา ๑๖ เมื่อประเมินอาการแล้ว ให้พนักงานคุ้มครองการส่งแบบแจ้งการประเมินอาการให้แก่ผู้มีหน้าที่หรือผู้ส่งของออกไปภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ประเมินอาการเสร็จ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

ผู้มีหน้าที่หรือผู้ส่งของออกมีสิทธิอุทธรณ์การเสียอาการให้กรมศุลกากรพิจารณาได้ภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแบบแจ้งการประเมินอาการนั้น

มาตรา ๑๗ สิทธิในการเรียกเก็บอาการที่ระบุในใบขนสินค้าที่ได้เสียแล้วในกรณีที่มีข้ออุทธรณ์ตามมาตรา ๑๖ ให้ระงับไว้จนกว่าการพิจารณาอุทธรณ์จะเสร็จสิ้น เว้นแต่การอุทธรณ์นั้นเกิดจากการคำนวณอาการผิด ให้ผู้อุทธรณ์ชำระอาการนั้นในวันที่ได้ยื่นใบขนสินค้า

ในกรณีที่สิทธิในการเรียกเก็บอาการที่เสียไว้ไม่ครบจำนวนตามวรรคหนึ่ง มีจำนวนไม่เกินสองร้อยบาทต่อใบขนสินค้าหนึ่งฉบับ อธิบดีจะสั่งให้การเรียกเก็บอาการที่เสียไม่ครบจำนวนนี้ให้หากองต้นให้เป็นไปจากการทำของศุลกากรแล้ว

มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่หรือผู้ส่งของออกไม่เสียอาการหรือเสียอาการไม่ครบจำนวน ให้เรียกเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของจำนวนอาการที่ยังไม่ได้เสียหรือไม่ครบจำนวน นับแต่วันที่ของออกไปจากการทำของศุลกากรหรือส่งของออกไปจากราชอาณาจักรจนถึงวันที่ชำระอาการที่ยังไม่ได้เสียหรือไม่ครบจำนวนนั้น แต่เงินเพิ่มรวมทั้งหมดต้องไม่เกินจำนวนอาการที่ยังไม่ได้เสียหรือไม่ครบจำนวนนั้น

ในกรณีที่เงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งไม่ถึงห้าสิบบาท ให้เสียเงินเพิ่มในอัตราห้าสิบบาท วันที่ได้รับแบบแจ้งการประเมินอาการตามมาตรา ๑๖ ให้เสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเสียเพิ่ม เงินเพิ่มและเบี้ยปรับที่เกิดจากการเสียอาการไม่ครบจำนวนหรือไม่เสียอาการ ให้ตกเป็นรายได้ของแผ่นดิน เงินเพิ่มตามวรรคสองได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง สำหรับกรณีปรับจากจดหรือลดได้ตามระเบียบหรือคำสั่งที่กำหนดโดยอธิบดีกรมศุลกากร ``` - 8 - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มาตรา 23 ในกรณีที่ผู้บังคับคดีหรือผู้สั่งของออกคำสั่งจ่ายค่าอากร ให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดผู้ที่มีหน้าที่ชำระหรือจ่ายอากรและกำลังสินทรัพย์ทรัพย์ศุลกากร หรืออยู่ในความครอบครองของศุลกากรให้มอบวัตถุของอันจำเป็นหรือผู้สั่งของออกเสียอากรที่ค้างให้ครบจำนวน และให้เสียภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบนั้น ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรขายทอดตลาดได้

เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าว ให้หักไว้ใช้จ่ายค่าอากรที่ค้างชำระ สำหรับของที่ขายทอดตลาด ค่าเก็บรักษา ค่าขนย้าย หรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขายทอดตลาดตามที่กรมศุลกากรกำหนดหรือกฎหมายอื่นๆ เหลือเท่าใดให้คืนเจ้าของหรือผู้มีสิทธิในของนั้น ถ้าผู้รับเงินไม่มารับเงินภายในกำหนดสามปีนับแต่วันที่ขายทอดตลาดแล้ว เงินนั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน

มาตรา 24 ในกรณีบังคับคดีอากรที่ค้างชำระ หากกรมศุลกากรได้ดำเนินการตามมาตรา 23 แล้วไม่ได้รับค่าอากรหรือได้รับไม่ครบจำนวน ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องเสียอากรเพื่อชำระค่าอากรนั้น โดยมิจำต้องให้ศาลออกคำสั่ง

วิธีการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม ส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ใช้จ่ายตามมาตรา 23 วรรคสอง เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าว ถ้ายังเหลืออยู่หลังจากหักค่าอากรและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขายทอดตลาดและค่าอากรที่ยังไม่ได้เสียหรือไม่ครบจำนวน ถ้ามีเงินเหลือให้คืนเจ้าของหรือผู้มีสิทธิในของนั้น

ส่วนที่ 3

การคืนอากร

มาตรา 25 ในกรณีที่ปรากฏว่าการเสียอากรไว้เกินจำนวนที่ต้องเสีย ให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(ก)

ให้อธิบดีคืนอากรส่วนที่เสียไว้เกินแก่ผู้ที่มีใบเสร็จรับเงินหรือใบขนสินค้าโดยไม่มีดอกเบี้ยคืนอากร แต่ไม่ล่วงพ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่กรมศุลกากรได้รับคำขอคืนอากรหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือ

(ข)

ให้ผู้ขอคืนอากรหรือผู้สั่งของออกมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนอากรภายในกำหนดสามปีนับแต่วันที่นำของเข้าในราชอาณาจักรหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

มาตรา 26 ในกรณีที่ได้ยื่นคำร้องเพื่อขอคืนอากรไปยังกระทรวงการคลังแล้ว แต่ยังมิได้รับคำสั่งของกระทรวงการคลังให้คืนอากรหรือได้รับคำสั่งให้คืนอากรไม่ครบจำนวนในกำหนดสามปีนับแต่วันที่ยื่นคำร้อง ให้ผู้ขอคืนอากรมีสิทธิฟ้องร้องต่อศาลปกครอง

การคืนอากรตามมาตรา 25 และการคืนอากรตามมาตรานี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ``` ```

มาตรา ๒๗ ในกรณีที่ต้องคืนอากรหรือเงินประกันค่าอากรเพราะเหตุที่ได้เรียกไว้เกินจำนวนอันพึงต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ให้คืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละหกต่อปีนับตั้งแต่วันที่ได้เสียอากรหรือวางเงินประกันการครั้งสุดท้ายจนถึงวันที่มีการคืนเงินดังกล่าว

ในกรณีที่มีการนำของเข้ามาในราชอาณาจักรและเสียอากรแล้ว หากต้องขอนำกลับออกไปนอกราชอาณาจักร หรือส่งไปยังเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี ให้คืนเงินอากรที่ได้เสียไว้โดยหักค่าภาษีอากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

มาตรา ๒๘ ผู้ขอนำของเข้ามาในราชอาณาจักรและเสียอากรแล้ว เพื่อใช้สำหรับผลิต ผล ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใด หากส่งของนั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักร หรือส่งไปยังเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี ให้คืนอากรหรือเงินประกันค่าอากรที่ได้เสียไว้โดยหักค่าภาษีอากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

``` (b) ต้องพิสูจน์ได้ว่าของที่นำไปใช้ในการผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใดนั้นมีปริมาณไม่เกินกว่าที่ระบุในประกาศกำหนด

(ค)

ให้ส่งของที่ได้จากการผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใดนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนดหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่นำของที่ใช้ในการผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใดนั้นเข้ามาในราชอาณาจักร เว้นแต่เหตุสุดวิสัยที่มิใช่ความผิดของผู้นำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเหตุอื่นใดที่อธิบดีเห็นสมควรให้ขยายระยะเวลาออกไป โดยให้ผู้นำของเข้ามาในราชอาณาจักรยื่นคำขอขยายระยะเวลาเป็นหนังสือต่ออธิบดีพร้อมด้วยเหตุผลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องก่อนครบกำหนดระยะเวลา

(ง)

ต้องขอคืนอากรภายในกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร เว้นแต่มีเหตุอันสมควรซึ่งจะขยายเวลาให้แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี การขอคืนอากร การพิสูจน์ของ การส่งของออกไป และการคืนอากร ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 30 ผู้นำของเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้สำหรับผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใดตามมาตรา 29 เพื่อส่งของไปนอกราชอาณาจักรหรือส่งคืนไปยังของใช้สิ้นเปลืองในเรือหรืออากาศยานตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรหรือกฎหมายอื่นใด ต้องวางประกันหรือวางหลักประกันอย่างอื่นไว้ต่อกรมศุลกากรเพื่อประกันการชำระอากร อาจร้องขอคืนอากรหรือประกันอย่างหนึ่งอย่างใดแทนการเสียอากรขาเข้า ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

การส่งของที่ได้มาหรือทำตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งแต่เดิมจะต้องทำอากรขาเข้าและให้เก็บบัญชีแยกเกี่ยวกับการนำของเข้ามาใช้บังคับโดยอนุโลม การโอนของเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บน การจำหน่ายของแก่ผู้มีสิทธิได้รับยกเว้นอากร และการรับของดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

ส่วนที่ 4

การวินิจฉัยอากรและการอุทธรณ์การประเมินอากร

มาตรา 31 ให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยอากรศุลกากร ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดี

กรมสรรพากร อธิบดีกรมสรรพากร สมาชิก ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ ให้อธิบดีแต่งตั้งข้าราชการในกรมสรรพากรคนหนึ่งเป็นเลขานุการและอาจแต่งตั้งคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ

มาตรา ๑๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๑๒ มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปีและอาจได้รับแต่งตั้งใหม่ได้

ในกรณีที่กรรมการตามวรรคหนึ่งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้แต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในคณะทำงานกับวาระที่เหลือของกรรมการที่ได้แต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระในวรรคหนึ่ง หากยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่ากรรมการที่ได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่

มาตรา ๑๔ นอกจากกรณีการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

(ก)

ตาย

(ข)

ลาออก

(ค)

รัฐมนตรีให้ออกเนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือขาดความสามารถ

(ง)

เป็นบุคคลล้มละลาย คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(จ)

ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

มาตรา ๑๕ การประชุมคณะกรรมการวิจัยข้อย่อการศึกษาภาษีอากรต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมคณะกรรมการวิจัยข้อย่อการศึกษาภาษีอากร ถ้ามีกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานคณะกรรมการที่เป็นประธานในที่ประชุม ในการปฏิบัติหน้าที่ ถ้ามีกรรมการคนใดประสงค์จะขอถอนตัวจากการพิจารณาก็ได้ แต่ต้องไม่เสียประโยชน์แก่การพิจารณาของคณะกรรมการ

มาตรา ๑๖ คณะกรรมการวิจัยข้อย่อการศึกษาภาษีอากรมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(ก)

กำหนดขอบเขตการใช้อำนาจของพนักงานกรมสรรพากร

(ข)

กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการตรวจสอบและประเมินการ

(๓)

วิจัยปัญหาเกี่ยวกับอากรที่กรมศุลกากรขอความเห็น

(๔)

ให้คำปรึกษาหรือเสนอแนะรัฐบาลในกรณีการจัดเก็บอากร การดำเนินตาม (๑) และ (๒) เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลแล้วเสนอใน ราชกิจจานุเบกษาแล้วให้พนักงานศุลกากรปฏิบัติตาม คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยอากรศุลกากรตาม (๓) ให้เป็นที่สุด

มาตรา ๓๗ ผู้ขออนุญาตหรือผู้ส่งของออกมีสิทธิคัดค้านการประเมินอากรต่อ

คณะกรรมการวินิจฉัยอากรศุลกากรโดยทำคำคัดค้านภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับ การยื่นอุทธรณ์และวิธีพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๓๘ การอุทธรณ์การประเมินอากรตามมาตรา ๓๗ ไม่เป็นเหตุให้การเสีย

อากรตามที่พนักงานศุลกากรประเมินไว้ เว้นแต่ผู้ยื่นอุทธรณ์ได้รับอนุญาตจากอธิบดีให้ร้องขอ อุทธรณ์หรือคำพิพากษาสูงที่สุด ผู้ยื่นอุทธรณ์ที่ได้รับอนุญาตให้เสนอการเสียอากรตามวรรคหนึ่ง ต้องเสียอากรให้ ครบถ้วนภายในกำหนดกำหนดสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการพิจารณาอุทธรณ์หรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือวันอื่นที่อธิบดีกำหนด ในกรณีที่ผู้ยื่นอุทธรณ์ไม่เสียอากรตามที่ได้แจ้งการพิจารณาอุทธรณ์ ผู้ยื่นอุทธรณ์จะต้องเสียอากรใน กำหนดระยะเวลานับแต่วันที่ได้รับแจ้งการพิจารณาอุทธรณ์

มาตรา ๓๙ ในกรณีที่มีการอุทธรณ์การประเมินอากรตามมาตรา ๓๗ ประกอบด้วย อธิบดีกรมศุลกากร

เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกรมสรรพากร ผู้แทนกรมสรรพสามิต ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา และผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ ให้อธิบดีแต่งตั้งข้าราชการในกรมศุลกากรคนหนึ่งเป็นเลขานุการและอีกไม่เกินสอง คนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ

มาตรา ๔๐ ในกรณีที่มีความจำเป็นและรัฐบาลเห็นเป็นการสมควรกำหนดให้

มีคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เพิ่มเติมอีกคณะหนึ่งหรือหลายคณะก็ได้ โดยให้คณะกรรมการ พิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวมีองค์ประกอบตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓๙

มาตรา ๔๑ ให้อธิบดีกรมศุลกากรออกข้อบังคับหรือกรอบอุทธรณ์เพื่อให้แล้วเสร็จภายใน

กำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมและให้แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้ผู้ยื่นอุทธรณ์ทราบโดยเร็ว การอุทธรณ์ ในกรณีที่เหตุจำเป็น คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์อาจมีมติให้ขยายระยะเวลาพิจารณา อุทธรณ์ออกไปได้ แต่ต้องไม่เกินกำหนด

มาตรา ๕๕ หากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่พิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง ผู้เกี่ยวข้องนำหรือผู้ร้องของอาจยื่นคำฟ้องคดีไปยังต่อศาลได้

ในกรณีที่ผู้ร้องของแจ้งหรือผู้ร้องของออกคำสั่งให้ฟ้องคำคดี ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกเลิกการของผู้ร้องของเข้าหรือผู้ร้องของออกนั้น

มาตรา ๕๖ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๔๗ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์โดยอนุโลม

มาตรา ๕๗ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์อาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๔๘ มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะอนุกรรมการตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม

มาตรา ๕๘ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่งมีอำนาจออกหนังสือเรียกผู้ร้องหรือพยานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้ หรือส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาให้

มาตรา ๕๐ การนำของเข้าและการส่งของออกเป็นอันสำเร็จ ในกรณีดังต่อไปนี้

(๑)

การนำของเข้าทางทะเล ให้ถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อเรือที่นำของเข้ามาในได้เข้า มาในเขตท่าที่จะขนถ่ายของขึ้นตามเอกสารที่เกี่ยวข้อง ส่วนการส่งของออกทางทะเล ให้ถือว่า เป็นอันสำเร็จเมื่อเรือที่ส่งของออกไปได้ออกจากเขตท่าที่จะขนถ่ายของลงตามเอกสารที่เกี่ยวข้อง

(๒)

การนำของเข้าทางบก ให้ถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อยานพาหนะที่นำของเข้ามา นั้นได้เข้ามาถึงเขตด่านศุลกากร ส่วนการส่งของออกทางบก ให้ถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อยานพา หนะที่ส่งของออกไปได้ออกจากเขตด่านศุลกากรตามเอกสารที่เกี่ยวข้อง

(๓)

การนำของเข้าทางอากาศ ให้ถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่ออากาศยานที่นำของเข้ามา นั้นได้เข้ามาถึงเขตพื้นที่ด่านศุลกากร ส่วนการส่งของออกทางอากาศ ให้ถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่ออากาศ ยานที่ส่งของออกไปได้ออกจากสนามบินที่เป็นด่านศุลกากรที่ขนถ่ายของขึ้นไปบนอากาศยาน

(๔)

การนำของเข้าทางไปรษณีย์ ให้ถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อได้รับของในเขตพื้นที่ ส่วน การส่งของออกทางไปรษณีย์ ให้ถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อได้จัดส่งไปยังประเทศปลายทาง ตาม (๑) (๒) หรือ (๓) แล้วแต่กรณี โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดี ประกาศกำหนด

มาตรา ๕๑ ก่อนที่ของขอได้ไปจากการนำของเข้าหรือก่อนที่ของส่งของได้ ออกไปจากราชอาณาจักร ผู้นำของหรือผู้ส่งของต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามพระราชบัญญัตินี้ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องชำระอากรให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเสียค่าใช้จ่าย ครบถ้วนตามที่กำหนด

การยื่นใบขนสินค้า การเสียอากร และการวางประกันตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด เมื่อมีเหตุตามข้อร้องขอและร้องเรียนที่เห็นว่าความจำเป็นต้องนำของโดยด่วนจาก อารักขาของศุลกากรหรือต้องส่งของโดยด่วนไปนอกราชอาณาจักรโดยเร่งด่วน อธิบดีอาจอนุญาต ให้ทำของนั้นไปจากอารักขาของศุลกากรหรือส่งของนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรโดยยังไม่ต้องไป ขนสินค้าให้สมบูรณ์หรือยังไม่เสียอากรครบถ้วน ทั้งนี้ อธิบดีอาจกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ร้องขอ วางประกันหรือให้คำรับรองไว้ก่อนก็ได้ และในกรณีดังกล่าว ให้ผู้ร้องขอปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๕๒ เมื่อมีของนำเข้าในหรือส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร ให้เจ้าพนักงานศุลกากรต้องตรวจสอบของนั้นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ซึ่ง อย่างน้อยต้องมีรายการดังต่อไปนี้

(๑)

ชนิดแห่งของ

(๒)

ปริมาณ น้ำหนัก และคุณภาพแห่งของ

(๓)

ราคาศุลกากร

(๔)

ประเทศต้นทางหรือประเทศปลายทาง เมื่อพนักงานศุลกากรได้ตรวจสอบรายการที่แสดงไว้ในใบขนสินค้าแล้วเห็นว่า รายการที่แสดงไว้เป็นครบถ้วน ให้พนักงานศุลกากรลงนามรับรองในใบขนสินค้าหรือใช้วิธีการอื่นใด ตามที่อธิบดีศุลกากรกำหนดเพื่อรับรองว่ารายการที่แสดงไว้เป็นครบถ้วนแล้ว

มาตรา ๔๓ ของเจ้าหน้าที่ในราชอาณาจักร หากใบขนสินค้าอยู่ที่ตัวผู้โดยสารและมี มูลค่าไม่เกินจำนวนที่อธิบดีศุลกากรกำหนด ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรอนุญาตให้ผู้โดยสารนำของเข้าได้ ในกรณีของความธรรมดาเป็นของเพื่อเฉลียงการ ให้ผู้โดยสารต้องเสียอากรเต็มจำนวน สำนักงานดังกล่าวต้องทำตามคำของศุลกากร หรือเมื่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่ต้องเสียอากร

มาตรา ๔๔ ในกรณีที่ผู้นำของเข้าไม่สามารถทำใบขนสินค้าสำหรับของได้ เพราะไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับของนั้นทั้งหมด ผู้นำของเข้าต้องยื่นคำขออนุญาตเปิดตรวจของที่อยู่ใน อารักขาของศุลกากรนั้นได้ โดยให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

เมื่อการดำเนินการตามสินค้าบนใบขนที่ผู้นำของเข้าได้รับอนุญาตให้เปิดตรวจของตาม วรรคหนึ่งแล้วผู้นำของเข้ายังไม่ยื่นใบขนสินค้าและไม่เสียอากรหรือวางประกันให้ถูกต้องครบถ้วน ภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคสอง ให้ถือว่าของนั้นเป็นของต้องห้ามนำเข้าของศุลกากร

มาตรา ๔๕ ในกรณีที่พนักงานศุลกากรเห็นว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการแจ้งรายการ หรือการคำนวณอากรในใบขนสินค้า ให้พนักงานศุลกากรแจ้งให้ผู้นำของเข้าทราบและแก้ไขรายการ หรือคำนวณอากรให้ถูกต้องภายในกำหนดระยะเวลาที่พนักงานศุลกากรกำหนด หากผู้นำของเข้าไม่ดำเนินการแก้ไขรายการ หรือคำนวณอากรให้ถูกต้องภายในกำหนดระยะเวลานั้น ให้พนักงานศุลกากรคำนวณอากรและแจ้งให้ผู้นำของเข้าทราบเพื่อชำระอากรดังกล่าว รวมทั้งให้เสียอากรตามจำนวนที่แสดงไว้ในใบขนสินค้า และได้ความเงินเพิ่มเติมเป็นประกันหรือวางประกันเป็นอย่างอื่นตามจำนวนเงินอากรสูงสุดที่อาจ ต้องเสียสำหรับของนั้น

เมื่อพนักงานศุลกากรได้ประเมินอากรที่ต้องเสียและแจ้งจำนวนเงินอากรที่ผู้นำของ ออกให้เสียอากรแล้ว ผู้นำของเข้าต้องชำระอากรดังกล่าวภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้รับแจ้งให้ครบถ้วน ภายในกำหนดตามสินค้าบนใบขนที่ได้รับแจ้ง ในกรณีที่มีการวางเงินประกันตามพระราชบัญญัติ และเงินดังกล่าวคุ้มครองการเสียอากรได้ ให้พนักงานศุลกากรคืนเงินประกันหรือเงินอากรส่วนเกิน ที่ประเมินได้ และให้ของที่นำเข้าหรือส่งออกได้เมื่อศุลกากรรับเงินครบถ้วนแล้ว

มาตรา ๔๖ ให้ผู้อนุญาตพิเศษหรือพนักงานศุลกากรพิจารณาหรืออนุมัติของหรือการดำเนินการ อย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับของที่นำเข้าหรือส่งออกหรือของที่อยู่ในอารักขาของศุลกากรตาม กำหนดในกฎหมายราชการ วันเดียวกับวันอนุญาตหรือพิจารณาให้ดำเนินการดังกล่าวใน เวลาสั้นได้

มาตรา ๔๗ การบรรทุกของหรือขนขึ้นจากยานพาหนะ การขนถ่ายของ การนำ ของไปยังที่สำหรับตรวจ การขนของ การขนถ่ายใหม่ นำมารวม คัดเลือก แบ่งแยก ทำเครื่องหมาย และ

ลงเลขหมายหรือการอนุญาตให้กระทำการนั้น หรือการขนย้ายของไปเก็บในที่สำหรับเก็บจนอาจจะได้รับมอบไปให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของเจ้าหรือผู้ส่งของออก โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง

มาตรา ๕๔ การขนย้ายของที่นำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ต้องขนถ่ายในด่านศุลกากรของเขตนั้น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากกรมศุลกากรให้ขนถ่ายในสถานที่อื่นได้โดยอนุมัติ อาจกำหนดให้เจ้าของของนำเข้าหรือผู้ส่งของออก แล้วแต่กรณี หรือเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรเป็นผู้ควบคุมการขนถ่ายนั้นตามประสงค์ได้

มาตรา ๕๕ พัสดุหรือภาชนะบรรจุของซึ่งจะนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรต้องมีเครื่องหมายหรือเลขหมายกำกับที่พัสดุหรือภาชนะบรรจุนั้น และต้องแสดงเครื่องหมายหรือเลขหมายที่ใบเอกสารที่เกี่ยวกับของนั้นด้วย

มาตรา ๕๖ ของที่นำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๐ (๔) ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเข้าหรือส่งออกแสดงการกระทำเกี่ยวกับของนั้นในกรณีที่มีความผิดเกิดขึ้นกับการนำเข้าหรือส่งออกตามกฎหมายศุลกากรหนึ่ง ให้ความรับผิดและโทษที่เกิดกับบุคคล ดังต่อไปนี้

(ก)

ผู้ส่งของออก

(ข)

ผู้ส่งของส่งออกไปในนามของผู้ส่งของออก ณ ที่ทำการไปรษณีย์ สำหรับการส่งของออก

มาตรา ๕๗ ให้เจ้าพนักงานศุลกากร หรือบุคคลอื่น ซึ่ง มาตรา ๕๔ และ มาตรา ๕๕ ได้กล่าวถึง มาใช้บังคับกับของที่นำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรทางไปรษณีย์ด้วย

มาตรา ๕๘ พนักงานศุลกากรอาจตรวจพัสดุไปรษณีย์ที่นำเข้ามาในหรือจะส่งออกไปนอกราชอาณาจักรได้

ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัย พนักงานศุลกากรจากด่านศุลกากรพัสดุไปรษณีย์ให้ได้ตามที่วางผู้จะส่งออกไปหรือผู้รับของส่ง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องรับของ ได้แสดงต่อพนักงานศุลกากรว่าไม่มีของต้องห้าม ของต้องจำกัด หรือของที่มิได้เสียอากรในตามกฎหมายหรือในพัสดุภัณฑ์

มาตรา ๕๙ ผู้ประกอบกิจ ผู้ส่งของออก ผู้รับของ และบุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่อธิบดีประกาศกำหนด ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าหรือส่งออกของผ่านด่านศุลกากรที่กำลังผ่านด่านศุลกากรในกรณีที่พนักงานศุลกากรไม่อนุมัติให้ผ่านด่านนั้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๘

ในกรณีที่มีความผิดเกิดขึ้น ให้ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าหรือส่งออกของนั้น และต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีได้ออกประกาศบังคับเกี่ยวกับการเก็บและรักษาซึ่งบัญชี เอกสาร หลักฐาน และข้อมูลที่จำเป็นต่อกิจการ การเก็บและรักษาซึ่งบัญชี เอกสาร หลักฐาน และข้อมูลที่อธิบดีประกาศบังคับ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

ส่วนที่ 2

การนำของเข้าและการส่งของออกทางทะเล

มาตรา 24 เรื่องที่เข้ามาในราชอาณาจักรในแต่ละเรือของทางราชการ ให้เจ้าหน้าที่ทำรายงานเรือเข้ายื่นบัญชีสินค้าต่าง ๆ หรือเรือและแสดงใบทะเบียนเรือต่อพนักงานศุลกากรเพื่อตรวจสอบ

การทำรายงานเรือเข้าและการยื่นบัญชีสินค้าต่าง ๆ กับเรือของทางราชการ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ในกรณีที่เรือของทางราชการหนึ่งลำซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานศุลกากร และมีของจากต่างประเทศอยู่ในเรือและประสงค์จะส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร หรืออื่นของที่จะขนขึ้น ณ ที่อื่นภายในราชอาณาจักร นายเรือต้องแสดงข้อความเกี่ยวกับของนั้นไว้ในรายงานเรือเข้า

มาตรา 25 ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจสั่งห้ามเคลื่อนย้ายของในเรือที่ได้แสดงไว้ในรายงานเรือเข้าจนกว่าจะได้รับรายงานที่ถูกต้องจากนายเรือหรือจนกว่านายเรือจะได้ชี้แจงเหตุผลที่ไม่สามารถแสดงข้อความดังกล่าวไว้ในรายงานเรือเข้าได้

มาตรา 26 เรื่องเดินทางมาจากต่างประเทศถึงเขตท้องที่หยุดลอยลำ ณ ด่านตรวจที่กำหนดไว้ และให้นายเรือมีหน้าที่ดังต่อไปนี้

(ก)

อำนวยความสะดวกแก่พนักงานศุลกากรในการที่จะขึ้นบนเรือและเข้าไปในเรือ

(ข)

ทอดสมอเรือ เมื่อพนักงานศุลกากรสั่ง

(ค)

ตอบคำถามของพนักงานศุลกากรเกี่ยวกับเรือ คนประจำเรือ ตนโดยสาร การเดินทางและลักษณะแห่งของในเรือ

(ง)

รายงานเกี่ยวกับอาวุธปืน กระสุนปืน ดินปืน หรือวัตถุระเบิดอื่นซึ่งมีในเรือและสำหรับกรณีเป็นของใช้ในเรือ ให้แสดงรายการของนั้นด้วย และพนักงานศุลกากรมีสิทธิ์ตรวจสอบของดังกล่าวได้

(จ)

อำนวยความสะดวกแก่พนักงานศุลกากรในการตรวจสอบของที่มีอยู่ในเรือ

(ฉ)

ปฏิบัติการอื่นใดตามที่จำเป็นต่อการตรวจของพนักงานศุลกากรที่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการทางศุลกากร

มาตรา 27 เมื่อพนักงานศุลกากรระบุเวลาใดในวันนั้น ณ เวลาที่เรือถึงเขตที่กำหนดไว้ ศุลกากรจะเริ่มดำเนินการตรวจเรือและของในเรือ หรือผู้บังคับเรือดำเนินการอื่น ๆ

ใบขนสินค้าหรือมีได้ดำเนินการเพื่อให้พนักงานศุลกากรตรวจของหรือส่งของไปโดยถูกต้อง พนักงานศุลกากรจึงสั่งให้มีการนำของขึ้นบนที่ในสถานที่ที่พนักงานศุลกากรกำหนด โดยให้ นายเรือหรือผู้บังคับของเรือเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวทั้งสิ้น พนักงานศุลกากรอาจอนุญาตให้นำของผ่านเข้าไปในอาคารหรือที่เก็บของซึ่งนำเข้า ของได้ต่อเมื่อมีการชำระค่าภาษีอากรที่เกี่ยวกับของนั้นเสร็จสิ้นแล้ว

มาตรา ๔๙ เมื่อพนักงานศุลกากรตรวจเวลาที่เรือถึงวันนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่เป็นหน้าที่นายเรือหรือผู้บังคับเรือจะต้องรายงานเรือของตนให้แล้วเสร็จ พนักงานศุลกากรอาจสั่ง ให้เรือคลาดจากลานโดยตามนายเรือจะได้จบของจนจบจากเรือจนหมด โดยนายเรือต้องชำระ ค่าใช้จ่ายในการใช้ทรัพยากรดังกล่าว รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นอันพึงมีด้วย อธิบดีอาจสั่งยกเว้นการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามวรรคหนึ่งได้ หากนายเรือได้แสดง หลักฐานต่อสมควรว่าการชักนำสินค้าเข้ามาในศุลกสถานด้วยวิธีหรือเหตุอันมีอาจหลีกเลี่ยงได้

มาตรา ๕๐ ห้ามมิให้หน่วยงานซึ่งส่งของบรรทุกลงในเรืออีกใดนำมาพนักงาน ศุลกากรได้ออกใบปล่อยเรือขาเข้าให้แก่เรือลำนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เดินทางบรรทุกสินค้าลำนั้น ใดก่อนที่จะได้รับใบปล่อยเรือขาเข้า ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

มาตรา ๕๑ เรือใดที่จอดในอาณาเขตของการท่าหรือศุลกสถานเพื่อขนถ่ายของนั้น แต่เรือของการท่าศุลกากรจะต้องได้รับใบปล่อยเรือขาออก โดยใบแสดงนี้เท่านั้นที่พนักงานศุลกากรจะยื่นบัญชีสินค้าสำหรับเรือลำนั้นให้แก่พนักงานศุลกากรที่เกี่ยวข้อง เมื่อพนักงานศุลกากรได้ลงลายมือชื่อรับรองในรายงานเรือออกแล้ว ให้ถือว่ารายงาน ดังกล่าวเป็นใบปล่อยเรือขาออก การทำรายงานเรือออกและการยื่นบัญชีสินค้าสำหรับเรือคงวรรคหนึ่ง ให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๕๒ ถ้าเรือที่ได้รับใบปล่อยเรือขาออกแล้วได้ออกจากท่าที่เป็นด่านศุลกากร หรือท่าเรือไปยังท่าที่เป็นด่านศุลกากรแห่งอื่นที่เป็นท่าศุลกากร ให้พนักงานศุลกากรยื่นและส่งบัญชีสินค้าสำหรับเรือลำนั้นที่บรรทุกทั้งหมดให้พนักงานศุลกากรที่เป็นด่านศุลกากรแห่งอื่นนั้น พร้อม ทั้งใบปล่อยเรือขาออกที่ออกให้แก่เรือลำนั้นให้ต่อไปยังด่านศุลกากรแห่งอื่น และต้องดำเนินการให้เป็นไปทุก ๆ ท่าที่เป็นด่านศุลกากรจนกว่าจะได้รับใบปล่อยเรือขาออกจากพนักงานศุลกากรแห่งสุดท้าย เมื่อพนักงานศุลกากรได้ลงลายมือชื่อรับรองในรายงานเรือออกแล้ว ให้ถือว่ารายงาน ดังกล่าวเป็นใบปล่อยเรือขาออกของท่าที่เป็นด่านศุลกากรนั้น เพื่อให้เรือเดินทางออก จากราชอาณาจักรได้ การทำรายงานเรือออกและการยื่นบัญชีสินค้าสำหรับเรือคงวรรคหนึ่ง ให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๓๗ ในกรณีที่มีการส่งมอบอาวุธปืน กระสุนปืน ดินปืน หรือวัตถุระเบิดไว้แก่พนักงานศุลกากรตามมาตรา ๑๓๖ (๔) เมื่อเรือสำนั้นจะออกจากเขตท่าที่เป็นด่านศุลกากร ให้คืนของดังกล่าวแก่นายเรือ

มาตรา ๑๓๘ เรือทุกลำเมื่อเดินทางผ่านด่านตรวจของกรมศุลกากรเพื่อออกสู่ทะเลต้องลดความเร็วลง และให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจเรียกให้เทียบเรือของตน ณ ที่ตรวจและสถานที่ที่จะเดินทางไปได้

มาตรา ๑๓๙ เมื่อพนักงานศุลกากรสั่งให้เรือเทียบเรือ ณ ที่ตรวจทุกของจากออกลงเรือ ไม่ว่าจะบรรทุกของลงในเรือหรือบรรจุในลังหรือไม่ แต่เรือยังอยู่ในเขตท่า พนักงานศุลกากรอาจเรียกค่าธรรมเนียมสำหรับการประจำการในเรือนั้นได้

อธิบดีอาจให้อำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่งได้ หากนายเรือได้แสดงหลักฐานอันสมควรว่าการล่าช้าดังกล่าวเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเหตุที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ พนักงานศุลกากรอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนายเรือที่ได้ออกจากเขาเขตท่าแล้วได้ ชำระค่าธรรมเนียมแต่ละเที่ยวที่เข้ามายังการท่าเรือนั้น

มาตรา ๑๔๐ ในกรณีที่เรือซึ่งได้ผ่านด่านศุลกากรแล้วเดินทางออกจากเขตท่า พนักงานศุลกากรอาจสั่งให้เรือเทียบเรือได้เมื่อเห็นว่าเรือดังกล่าวได้บรรทุกของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียม หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีของที่ต้องห้ามหรือของต้องกำกัดบรรทุกอยู่ในเรือ

ในกรณีที่ปรากฏว่าของดังกล่าวนั้นได้ทำลายทิ้งหรือระงับไว้ หากผู้ส่งของออกไม่ดำเนินการตามที่กำหนดในวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ริบของนั้น

มาตรา ๑๔๑ เรือทุกลำที่เดินทางออกจากเขตท่าให้ลดความเร็วลงและเทียบเรือ ณ ที่ตรวจเสมาหากไว้พบว่าเรือของตนมีของต้องห้ามหรือของต้องกำกัด ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการประจำการในเรือนั้น

มาตรา ๑๔๒ อธิบดีอาจกำหนดเงื่อนไขเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อให้เรืออย่าน้อยโดยที่ไม่ต้องเข้าเทียบที่ท่าเป็นทุกเที่ยว และให้พนักงานศุลกากร และให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวนั้นได้ด้วย

ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือความจำเป็นเร่งด่วน อธิบดีอาจอนุญาตให้นำถ่ายของนอกเขตที่จอดเรือภายนอกได้เป็นการเฉพาะคราว ทั้งนี้ อธิบดีอาจกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติไว้ด้วยก็ได้

มาตรา ๔๗ นายเรือที่ประสงค์จะขนถ่ายของในเขตท่าเรือภายนอก ให้ยื่นคำขออนุญาตต่ออธิบดี

การขนถ่ายของนอกเขตท่าเรือภายนอกจะกระทำได้เฉพาะในเขตที่อธิบดีกำหนดเท่านั้น โดยอธิบดีอาจกำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำอยู่ในเขตที่ขนถ่ายของดังกล่าวด้วยก็ได้

มาตรา ๔๘ ให้นายเรือเตรียมข้อมูลใบขนถ่ายของในเขตท่าเรือภายนอกจัดทำและยื่นบัญชีสินค้าพร้อมด้วยเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่เขตท่าเรือภายนอกตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

เมื่อนำของมาถึงเขตท่าเรือภายนอกที่ได้รับอนุญาตให้นำของถ่ายลำแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบและจัดทำบัญชีสินค้าตามหลักฐานที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว และให้จัดทำบัญชีสินค้าดังกล่าวเป็นใบอนุญาตนำของถ่ายลำไปยังเขตท่าเรือภายนอกที่ได้รับอนุญาต เมื่อเรือเลี่ยงลำมาถึงที่เขตท่าเรือภายนอกแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรจัดส่งบัญชีสินค้าดังกล่าวไปยังเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำเขตท่าเรือภายนอกนั้น แล้วจึงขนถ่ายของลงในที่เก็บพักรอศุลกากรก่อน

มาตรา ๔๙ ห้ามมิให้นำของถ่ายลำ กระจายปืน ดินปืน วัตถุระเบิด หรือของต้องกำกัด ณ ที่จอดเรือภายนอก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร

มาตรา ๕๐ ในกรณีที่ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรโดยต้องมีการขนถ่ายในเขตที่จอดเรือภายนอก ผู้ส่งของต้องยื่นใบขนสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรและชำระค่าภาระและค่าภาระติดพันให้ครบถ้วนก่อน และให้ออกใบอนุญาตขนส่งสินค้าดังกล่าวโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรส่งต่อพนักงานศุลกากรประจำท่าเทียบเรือภายนอกที่กำหนด วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

เมื่อนำของมาถึงเขตท่าเรือภายนอกที่ได้รับอนุญาตให้นำของถ่ายลำแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีสินค้าดังกล่าวแล้ว ให้ส่งบัญชีสินค้าดังกล่าวไปยังเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำเขตท่าเรือภายนอกนั้น แล้วจึงขนถ่ายของลงในที่เก็บพักรอศุลกากรก่อน ในกรณีที่นำของมาถึงเขตท่าเรือภายนอกที่ได้รับอนุญาตให้นำของถ่ายลำแล้วพบว่าของดังกล่าวมีลักษณะไม่เป็นไปตามบัญชีสินค้าที่ได้รับอนุญาต ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรต่อไป ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือความจำเป็นเร่งด่วน อธิบดีอาจอนุญาตให้นำของถ่ายลำได้ ทั้งนี้ อธิบดีอาจกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติไว้ด้วยก็ได้ ``` - ๒๓ - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

(๖)

ยื่นคำขออนุญาตต่อพนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่ขออนุญาตเพื่อบรรทุกของดังกล่าวลงในเรือหรือสิ่งที่ขอเรือภายนอกนั้นที่จะเดินทางไปยังท่าเรือต่างประเทศที่เดียวกันกับที่ระบุไว้ในใบอนุมัติบัตร

(ข)

ส่งของลงบรรทุกสิ่งที่ส่งออกไป โดยต้องแจ้งใบรับรองให้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับของนั้นจากพนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่ออกใบอนุญาตเพื่อบันทึกหมายเลขพนักงานศุลกากรประจำด่านศุลกากรและหมายเลขใบรับรองในใบอนุญาตนั้น และให้พนักงานศุลกากรประจำด่านศุลกากรลงลายมือชื่อรับรองในใบรับรองดังกล่าวไว้ด้วย ทั้งนี้ ให้ส่งของออกไปยังเรือหรือสิ่งที่ขอเรือภายนอกนั้นให้เสร็จสิ้นก่อนกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในใบอนุญาตนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่ตามมาตรา ๔๖ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับกับของนั้นไว้ การยื่นคำขออนุญาตตาม (๖) และการขอใบรับรองตาม (ข) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๔๕ ก่อนที่จะออกจากเขตที่ขอเรือภายนอก นายเรือต้องได้รับอนุญาตให้ทำการขนส่งในเขตที่ขอเรือภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งของผ่านด่านศุลกากรในท่าเรือหรือจะส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ต้องไปขอใบปล่อยเรือจากพนักงานศุลกากรประจำด่านศุลกากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด โดยต้องได้ทำการตรวจสอบใบรับรองและส่งมอบใบปล่อยเรือดังกล่าวให้พนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่ขอเรือภายนอก

ในกรณีที่นายเรือไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่ขอเรือภายนอกยังมีอำนาจที่จะไม่เสียอากรหรือตรวจรับเรือ หรือกำหนดเงื่อนไขเพื่อที่จะให้พนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่มีอำนาจยกใบปล่อยเรือไว้ใช้ในเขตที่ขอเรือภายนอกนั้นได้

มาตรา ๔๖ ให้พนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่ขอเรือภายนอกมีอำนาจตรวจเรือที่มาถึงหรือที่กำลังจะถ่ายของในเขตที่ขอเรือภายนอกด้วย

ส่วนที่ ๒ การนำของเข้าและการส่งของออกทางบก

มาตรา ๔๗ การขนส่งของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรผ่านด่านพรมแดนทางบกมายังท่าศุลกากร หรือจากท่าศุลกากรไปยังเขตด่านพรมแดน ต้องขนส่งตามทางอนุมัติ และภายในกำหนดเวลาที่อธิบดีประกาศกำหนด

การขนส่งของตามทางอนุมัติที่อยู่ในเขตอื่นนอกจากเขตที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๔๘ ในกรณีที่การขนส่งตามมาตรา ๔๗ เป็นการขนส่งตามลำแม่น้ำในเขตด่านพรมแดน ให้ต้องแจ้งพนักงานศุลกากรผู้กำกับท้องที่ในเขตด่านพรมแดนนั้น เพื่อให้นายเรือจอดเทียบท่าและอนุมัติยกน้ำหนักในเรือหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร

```

มาตรา ๔๘ ในการขนส่งของผ่านเขตแดนทางบกเข้ามาในราชอาณาจักร ให้ผู้ขนส่งปฏิบัติดังต่อไปนี้

(๑)

ยื่นบัญชีสินค้าต่อศุลการกรของท้องที่บริเวณด่านพรมแดนตามแบบที่กรมกำหนดพร้อมทั้งจำนวนของของนั้น ให้พนักงานศุลการกรประจำด่านพรมแดนตรวจสอบที่ขนส่งมา และเมื่อเห็นว่าของดังกล่าวถูกต้องตามบัญชีสินค้านั้น ให้ส่งไปยังด่านพรมแดนปลายทางโดยให้เจ้าหน้าที่ของด่านพรมแดนต้นทางลงชื่อในบัญชีสินค้านั้น ให้ส่งไปยังด่านพรมแดนปลายทางโดยให้เจ้าหน้าที่ของด่านพรมแดนต้นทางลงชื่อในบัญชีสินค้านั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด่านพรมแดนปลายทางตรวจสอบได้

(๒)

เมื่อได้รับใบอนุญาตผ่านด่านศุลการกรแล้ว ให้ขนของมายังด่านพรมแดนโดยพลันตามทางอนุมัติด้วยยานพาหนะเดียวกันกับที่ใช้เข้ามา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลการกรให้เปลี่ยนยานพาหนะหรือให้ขนด้วยวิธีอื่นได้ และมิให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงของ หรือห่อหรือบรรจุจุดนั้นด้วยประการใด ๆ

(๓)

ยื่นบัญชีสินค้าที่มีลายมือชื่อของพนักงานศุลการกรประจำด่านพรมแดนต่อพนักงานศุลการกรประจำด่านศุลการกรเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและดำเนินการศุลการกรต่อไป

มาตรา ๔๙ ในการขนส่งของผ่านเขตแดนทางบกออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ผู้ขนส่งปฏิบัติดังต่อไปนี้

(๑)

ยื่นบัญชีสินค้าต่อพนักงานศุลการกรของท้องที่บริเวณด่านพรมแดนตามแบบที่กรมกำหนดพร้อมทั้งจำนวนของของนั้น ให้พนักงานศุลการกรประจำด่านพรมแดนตรวจสอบที่ขนส่งมา และเมื่อเห็นว่าของดังกล่าวถูกต้องตามบัญชีสินค้านั้น ให้ส่งไปยังด่านพรมแดนปลายทางโดยให้เจ้าหน้าที่ของด่านพรมแดนต้นทางลงชื่อในบัญชีสินค้านั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด่านพรมแดนปลายทางตรวจสอบได้

(๒)

เมื่อได้รับใบอนุญาตผ่านด่านศุลการกรแล้ว ให้ขนของมายังด่านพรมแดนโดยพลันตามทางอนุมัติด้วยยานพาหนะเดียวกันกับที่ใช้เข้ามา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลการกรให้เปลี่ยนยานพาหนะหรือให้ขนด้วยวิธีอื่นได้ และมิให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงของ หีบห่อ หรือบรรจุจุดนั้นด้วยประการใด ๆ

(๓)

ยื่นบัญชีสินค้าที่มีลายมือชื่อของพนักงานศุลการกรประจำด่านพรมแดนต่อพนักงานศุลการกรประจำด่านพรมแดนเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง

มาตรา ๕๐ ในกรณีที่ผู้ส่งของออกได้นำใบอนุญาตส่งสินค้าออกตามมาตรา ๔๕ ต่อพนักงานศุลการกรแล้ว แต่ไม่ได้นำของนั้นออกไปภายในกำหนดที่ศุลการกรได้อนุมัติไว้ ให้ผู้ส่งของออกแจ้งเหตุที่ไม่สามารถส่งของออกไปต่อพนักงานศุลการกรนั้นก่อนกำหนดเวลาที่อนุมัติไว้ และให้พนักงานศุลการกรตรวจสอบโดยถือเอาเหตุที่แจ้งเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้พนักงานศุลการกรมีอำนาจขยายเวลาให้ได้ตามสมควร แต่ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันสิ้นกำหนดเวลาที่อนุมัติไว้ครั้งแรก และให้ผู้ส่งของออกเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

ให้ผู้ส่งของออกคืนใบกำกับภาษีอันเป็นต้นฉบับนั้นต่อพนักงานศุลการกร หรือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - ๒๓ -

(๒)

ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนดสิ้นวันนับแต่วันที่ทำการตรวจปล่อย ในกรณีที่ปรากฏว่าของนั้นได้ทำลายหรือมีประกัน หากผู้ส่งของออกไม่ดำเนินการตามที่กำหนดให้พัสดุภัณฑ์หรือวัตถุระเบิด ให้ริบของนั้น

มาตรา ๑๓ กรณีการส่งของออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ได้ผ่านทางทะเล หรือโดยที่ไม่มีเครื่องยนต์ หรือโดยที่ไม่มีเครื่องยนต์ ผู้ส่งของต้องหยุดที่ด่านพรมแดน และให้พนักงานศุลกากรตรวจของตามที่กำหนด หรือจัดหาพาหนะให้ในการขนส่งนั้น และให้ผู้ส่งของส่งทางอากาศของพาหนะนั้น โดยรายละเอียดตามสมควร

ส่วนที่ ๓ การนำของเข้าและการส่งของออกทางอากาศ

มาตรา ๑๔ อากาศยานที่ติดตั้งเข้าในราชอาณาจักร บ้านแต่จากทางอากาศยาน ต้องผ่านหรือมีการลงทะเบียนที่เป็นไปตามกฎหมายศุลกากร

มาตรา ๑๕ ในกรณีที่อากาศยานหรือเรือบินที่จำนำของส่งเข้าในราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักร

มาตรา ๕๔ เมื่อออกคำสั่งใดให้เจ้าหน้าที่ในราชอาณาจักรดำเนินต่อคำสั่งตามของหาราชการให้ผู้อำนวยการสถานพยาบาลนั้นที่ดังต่อไปนี้

(๑)

อำนวยความสะดวกแก่พนักงานศุลกากรในการขึ้นไปบนอากาศยาน

(๒)

ตอบคำถามใด ๆ ของพนักงานศุลกากรเกี่ยวกับอากาศยาน คนประจำอากาศยาน คนโดยสารการเดินทาง และของที่ขนส่งไปกับอากาศยานนั้น

(๓)

รายงานเกี่ยวกับอาวุธ ปืน กระสุนปืน ดินปืน หรือวัตถุระเบิดซึ่งมีอยู่ในอากาศยาน และให้ส่งมอบอาวุธปืนและกระสุนปืนแก่พนักงานศุลกากรทันที เมื่อพนักงานศุลกากรร้องขอสำหรับดินปืนและวัตถุระเบิดให้ส่งมอบแก่พนักงานศุลกากรซึ่งได้รับอนุญาตเฉพาะเพื่อการนั้น

มาตรา ๕๕ อากาศยานลำใดที่จะออกไปนอกราชอาณาจักรจากสนามบินที่เป็นด่านศุลกากร เว้นแต่ด่านศุลกากรของทางราชการ จะต้องได้รับใบปล่อยอากาศยาน โดยให้ผู้ควบคุมอากาศยานยื่นคำที่ที่พนักงานศุลกากรและยื่นบัญชีสินค้าสำหรับอากาศยานต่อพนักงานศุลกากรประจำสนามบินที่เป็นด่านศุลกากรนั้นเพื่อตรวจสอบ

เมื่อพนักงานศุลกากรได้รับรองรายงานอากาศยานแล้ว ให้ถือว่าอากาศยานนั้นได้ปล่อยออกนอกราชอาณาจักรได้ การรับรองรายงานอากาศยานให้กระทำโดยพนักงานศุลกากรประจำสนามบินที่เป็นด่านศุลกากรนั้น เพื่อให้อากาศยานเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ การทำรายงานและการยื่นบัญชีสินค้าสำหรับอากาศยานดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๕๖ ในกรณีที่ผู้ส่งของออกไปยังนอกราชอาณาจักรต้องการส่งของไปกับพนักงานศุลกากรนั้น แต่ไม่ได้ขนส่งในบรรจุภัณฑ์ใบอากาศยานให้ส่งของนั้นให้พนักงานศุลกากรส่งของออกแจ้งเหตุให้มีการส่งรายงานต่อบรรจุภัณฑ์ใบอากาศยานที่เกี่ยวข้องต่อพนักงานศุลกากรประจำสนามบินที่เป็นด่านศุลกากรนั้นเพื่อดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

ในกรณีที่พนักงานศุลกากรไม่สามารถส่งของออกไปยังนอกราชอาณาจักรได้ ให้พนักงานศุลกากรแจ้งเหตุให้ผู้ส่งของออกไปยังนอกราชอาณาจักรนั้นทราบ และให้พนักงานศุลกากรดำเนินการจัดเก็บของนั้นไว้ในสถานที่ที่พนักงานศุลกากรกำหนด ทั้งนี้ ให้ผู้ส่งของออกไปยังนอกราชอาณาจักรนั้นรับผิดชอบค่าเก็บของดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ผู้ส่งของออกดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับของที่เก็บไว้ตามวรรคหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(ก)

ขอรับของคืนภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งต่อพนักงานศุลการกร หรือ

(ข)

ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกำหนดดังกล่าวนั้น เว้นแต่ภายหลังพ้นกำหนดดังกล่าวแล้วสำหรับกรณีของที่เก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน ในกรณีที่ปรากฏว่าของนั้นได้ทำลายหรือสูญหายหรือมีประการอื่นใด ทุกฝ่ายซึ่งของออกไม่ดำเนินการตามที่กำหนดในวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ปรับของนั้น

ส่วนที่ 4

ตัวแทน

มาตรา 95 บุคคลใดประสงค์จะเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออก หรือผู้ขนส่งคนแดนหรือผู้ขอถ่ายลำ ให้เป็นตัวแทนเพื่อดำเนินการอย่างใด ๆ เกี่ยวกับของที่นำเข้า มาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ของที่ขนส่งคนแดน หรือของที่ถ่ายลำ หรือกิจการอื่นใดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

ให้ถือว่าบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้เป็นตัวแทนตามวรรคหนึ่ง เป็นตัวแทนของของที่ได้นำเข้า ส่งออกผ่านคนแดนหรือถ่ายลำด้วย

มาตรา 100 บุคคลใดประสงค์จะเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้ควบคุมยานพาหนะให้เป็นตัวแทนเพื่อกระทำหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา 96 ตัวแทนที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 95 หรือมาตรา 100 ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

ในกรณีตัวแทนที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 95 ให้ถือเป็นตัวแทนของผู้ส่งของออกให้ใช้สิทธิออกของในคลังสินค้าทัณฑ์บนได้ด้วย โดยไม่ต้องมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรที่ระบุให้ความจำนวนที่เห็นสมควรและไม่ทำให้ผู้แทนผู้ส่งของออกขาดความรับผิดชอบตามพระราชบัญญัตินี้หรือ ตามกฎหมายอื่น

หมวด 4

การผ่านแดน การถ่ายลำ และของตกค้าง

ส่วนที่ 1

การผ่านแดนและการถ่ายลำ

มาตรา ๑๐๙ ผู้ใดนำของเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลำไม่ว่าของรายอย่างจักรไปยังปลายทางอื่นตามแบบ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

ของตามวรรคหนึ่งไม่อยู่ภายใต้ความรับผิดที่จะต้องเสียอากร หากได้ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง และได้นำของออกไปจากราชอาณาจักรภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในใบขนผ่านแดนหรือรายอย่างจักร การผ่านแดนที่มีการข้ามแดนทางน้ำให้กระทำได้เมื่อมีความตกลงระหว่างประเทศ

มาตรา ๑๑๐ ในกรณีที่ผู้นำของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลำไม่นำของออกไปนอกราชอาณาจักรภายในระยะเวลาตามมาตรา ๑๐๙ วรรคสอง หรือขอเปลี่ยนการผ่านพิธีการศุลกากรเป็นการนำเข้ามาและได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว แต่ไม่เสียอากรหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากรภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ของนั้นตกเป็นของแผ่นดิน

มาตรา ๑๑๑ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าของที่นำเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลำมีลักษณะต้องห้าม ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจตรวจหรือค้นของนั้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น

(ก)

มีเหตุเชื่อได้ในการก่อการร้ายหรือเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย

(ข)

ขัดขืนต่อพนักงานศุลกากรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของประเทศ

(ค)

มีการแสดงสำแดงอันเป็นเท็จ

(ง)

เป็นของผิดกฎหมายที่เกี่ยวกับการผ่านแดนหรือการถ่ายลำ การตรวจหรือค้นตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๑๒ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องนำของไปเก็บนอกที่ที่สิทธิพิเศษตามมาตรา ๑๐๘ ให้ของนั้นเป็นของต้องห้ามและต้องห้ามส่งออก ไม่ว่าจะมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ก็ตามต้องส่งให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยของชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม หรือส่งออกไปโดยไม่มี หรือออกให้ดำเนินการอื่นใดตามสมควรเพื่อไม่ให้มีอาการเกี่ยวข้องกับของนั้นได้ตามระยะเวลาที่กำหนด

ตัวกลางสามารถเรียกค่าใช้จ่ายได้โดยไม่ผิดกฎหมาย โดยให้พนักงานศุลกากรอนุมัติและกำหนดค่าใช้จ่ายในการนั้น

มาตรา ๑๑๓ ให้เจ้าหน้าที่พิจารณาชื่อหรือคำอธิบายของของที่มีลักษณะตามมาตรา ๑๐๘ เกี่ยวข้องกับใบขนสินค้าของที่นำเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลำ โดยกำหนดลักษณะธรรมชาติของของ และประกาศรายละเอียดของของนั้นในราชกิจจานุเบกษา โดยให้รวมถึงสัตว์ธรรมชาติอยู่ในสัตว์ หรือพืช หรือส่วนใดของพืชหรือสัตว์ที่มีลักษณะต้องสงสัยต้องชำระค่าในคำคลังตามพระราชบัญญัติศุลกากร

หรือค่าเบี้ยปรับทางแพ่งในกรณีที่มีอาการปกป้องหรือพิสูจน์ทรัพย์สินทางการค้าหรืออุตสาหกรรม รวมทั้งการปฏิบัติ ตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ด้วย

ส่วนที่ 2

ของกลางค้าง

มาตรา 107 ให้ของที่อยู่ในอารักขาของศุลกากรที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ เป็นของกลางค้าง

(ก)

ของนำเข้าที่เป็นสินค้าอันตรายตามบัญชีหรือประเภทที่กำหนดมาตรา 5 (4) และมีใบอนุญาตเขตศุลกากรภายในระยะเวลาที่อธิบดีประกาศกำหนด

(ข)

ของนำเข้านอกจาก (ก) ที่อยู่ในอารักขาของศุลกากรเกินสามสิบวันโดยไม่มี การยื่นใบขนสินค้าและไม่มีการขอรับรองการจัดทำใบกำกับต่อ แต่ผู้รับยังไม่ยอมดำเนินการให้ถูกต้อง ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวนั้นจนถึงวันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากอธิบดี

(ค)

ของนำเข้านอกจาก (ก) ที่ยื่นใบขนสินค้าและเสียอากรหรือวางประกันค่า อากรไม่ครบถ้วน และไม่ได้ขอใบอนุญาตออกใบกำกับของศุลกากรภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ ได้รับหนังสือแจ้งจากอธิบดี

มาตรา 108 ในการดำเนินการกับของกลางค้างตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เจ้าหน้าที่ มีอำนาจ ดังต่อไปนี้

(ก)

ให้นำของศุลกากรนั้นออกขายทอดตลาดหรือทำลาย หรือ

(ข)

ให้นำของเข้าเรือผู้ขนส่ง ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร หากไม่ปฏิบัติตาม ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจขายทอดตลาดได้ โดยให้นำผลคงค้างส่งคืนผู้เสียสิทธิในสินค้า การดำเนินการกับของกลางค้างตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด และในกรณีที่เป็นการดำเนินการกับของกลางค้างตามมาตรา 107 (ก) ต้องดำเนินการแจ้งรายละเอียดข่าวให้กับประชาชน การทำลายของกลางค้างตาม (ก) หรือ (ข) แล้วแต่กรณี ให้ดำเนินการโดยวิธี ปลอดภัยต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม ถ้าของนั้นเป็น "ของกลางค้างตาม (ก)" จะไม่เสียเงินค่าภาระหรือค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำลายของกลางค้างนั้น

มาตรา 109 ให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการรักษาของกลางค้างที่อยู่ในอารักขาของศุลกากรไว้ เป็นของหลวง จนสิ้นสิทธิ และในกรณีที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศ อธิบดีจะสั่งให้เจ้าหน้าที่จัดการ กับของกลางค้างที่มีการขอรับคืนสิทธิสมบูรณ์ได้ก็ได้ โดยอาจแจ้งเรียกให้เจ้าของนำหรือ ผู้มีส่วนได้เสียมารับคืน

มาตรา ๑๑๑ เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีอื่นตามมาตรา ๑๐๘ ให้หักค่าอากร ค่าเก็บรักษา ค่าขนย้าย หรือค่าใช้จ่ายอย่างอื่นซึ่งเกี่ยวข้องระหว่างการยุติคดี รวมทั้งค่าอากรตามกฎหมายอื่นก่อน เพื่อดำเนินให้เจ้ากรมศุลกากรจัดสรรให้ผู้แจ้งความนำจับและผู้ชี้เบาะแส ตามลำดับ เมื่อได้หักเงินเพื่อชดใช้เงินที่ได้จ่ายให้แก่เจ้าของแผ่นดินเป็นเงินไว้ก่อนจะต้องคืนก่อนในกรณีที่ตกเป็นแผ่นดินตามคำพิพากษา

หมวด ๕ คลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ทัณฑ์บน และท่าเรือรับอนุญาต

ส่วนที่ ๑ การจัดตั้ง

มาตรา ๑๑๒ การจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนให้ดำเนินการได้เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๑๒ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขซึ่งอธิบดีประกาศกำหนด การจัดตั้งโรงพักสินค้าหรือท่าเรือรับอนุญาตให้ดำเนินการได้เพื่อประโยชน์สำหรับตรวจ เก็บ หรือรวบรวมของก่อนที่จะนำของเข้าหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือเพื่อประโยชน์อื่นใดตามที่กำหนดไว้ในหรือส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ในประกาศนั้น

มาตรา ๑๑๓ ผู้ใดประสงค์จะจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ทัณฑ์บน หรือท่าเรือรับอนุญาต ต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะดำเนินการจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้าทัณฑ์บน หรือท่าเรือรับอนุญาตนั้นได้ ในระหว่างที่มีการยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งโรงพักสินค้า ทัณฑ์บน หรือท่าเรือรับอนุญาต หากอธิบดีเห็นว่ามีความจำเป็นอาจอนุญาตให้จัดตั้งโรงพักสินค้า ทัณฑ์บน หรือท่าเรือรับอนุญาตชั่วคราวไปพลางก่อนได้ โดยผู้นั้นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดและเมื่อถึงกำหนดเวลาที่กำหนดการอนุญาตชั่วคราวนั้นจะสิ้นสุดลง

มาตรา ๑๑๔ นอกจากกรณีที่ระบุในอนุญาต ผู้ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๑๓ ต้องเสียภาษีประจำปีตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง การเสียภาษีประจำปีต้องกระทำภายในเดือนมกราคมของทุกปี หากผู้ได้รับใบอนุญาตไม่เสียภาษีประจำปีภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าใบอนุญาตนั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันสิ้นกำหนดเวลาประจำปีที่กำหนด

มาตรา ๑๑๔ ในกรณีที่ใบอนุญาตตามมาตรา ๑๑๒ สูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับทราบถึงการสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดดังกล่าว

การขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๑๕ ผู้ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๑๒ ต้องแสดงใบอนุญาตหรือใบแทนใบอนุญาต แล้วแต่กรณี ไว้ในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย ณ สถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาต

ส่วนที่ ๒

การดำเนินการ

มาตรา ๑๑๖ ในคลังสินค้าทัณฑ์บนให้ดำเนินการได้ในเรื่องดังต่อไปนี้

(ก)

เก็บของในคลังสินค้าทัณฑ์บน

(ข)

แสดงและขายของที่เก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน

(ค)

ผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใดกับของที่เก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน

มาตรา ๑๑๗ อธิบดีอาจเรียกประกันจากผู้ได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยให้ทำพันธบัตรหรือประกันอย่างอื่น เพื่อเป็นประกันการที่จะไม่กระทำอย่างอื่นซึ่งกรมศุลกากรอาจเรียกร้องได้ตามกฎหมายหรือข้ออุทธรณ์ก็ได้

มาตรา ๑๑๘ การตรวจของที่เก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า หรือที่มั่นคงใดให้กระทำ ณ คลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า หรือที่มั่นคงนั้น

ในกรณีที่เห็นสมควร อธิบดีอาจสั่งให้ทำการตรวจของเข้า หรือตรวจของออก ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งนอกจากที่กำหนดในวรรคหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๑๙ ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการศุลกากร พนักงานศุลกากรมีอำนาจเรียกข้อมูลเกี่ยวกับของที่ยังไม่ได้ตรวจเข้าเก็บไว้ในโรงพักสินค้า หรือที่มั่นคงนั้น

มาตรา ๑๒๐ ของที่เก็บไว้ในโรงพักสินค้าหรือที่มั่นคง ต้องเก็บไว้ในที่บรรจุภาชนะบรรจุที่ปิดผนึก และต้องมีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นของที่เก็บไว้ในภาชนะบรรจุนั้น ณ ท่าเรือขนถ่าย หรือท่าอากาศยานขนถ่าย หรือที่มั่นคงนั้น และเมื่อของดังกล่าวกลับบรรจุใหม่ในโรงพักสินค้าหรือที่มั่นคงนั้น และให้พนักงานศุลกากรตรวจสอบการเก็บนั้นไว้

การเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนย้าย หรือการดำเนินการใด ๆ แก่ของ หีบห่อ หรือภาชนะบรรจุเครื่องหมายแสดงตามลักษณะทั่วไป อาจทำให้เป็นโจรกรรมทรัพย์สิน ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร หรือดำเนินการตามกฎหมาย ของ หีบห่อ หรือภาชนะบรรจุใด ที่มีการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนย้าย หรือการดำเนินการใด ๆ โดยมิได้เป็นไปตามที่กำหนดในวรรคสอง ให้ริบเสียทั้งสิ้น

มาตรา ๑๒๑ ของที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างอื่น นำมารวบ ตัดเลือก แบ่งแยก บรรจุ หรือเก็บบรรจุใหม่ ซึ่งยังมิได้ขออนุญาต หรือสถานที่ที่ยังมิได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร และต้องมีพนักงานศุลกากรตรวจสอบอยู่ด้วย ของที่มีการเคลื่อนย้าย นำมารวบ ตัดเลือก แบ่งแยก บรรจุหรือกลับบรรจุใหม่ โดยมิได้เป็นไปตามที่กำหนดในวรรคสาม ให้ริบเสียทั้งสิ้น

มาตรา ๑๒๒ ของที่เก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนซึ่งจะนำไปเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนอื่นหรือของที่เก็บในโรงพักสินค้า หรือจะนำไปเก็บไว้ในโรงพักสินค้าอื่นหรือที่ใด โดยมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๒๓ การอนุญาตให้บริการรับของออก การบริการรับของ การตรวจสอบและการควบคุมของในคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ที่มีมูลค่า และการได้รับอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่ออธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๒๔ ของที่เก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนซึ่งจะนำไปเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนอื่นหรือของที่เก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยได้รับปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นที่ประกาศกำหนดแล้ว ให้พนักงานศุลกากรรับรองรายละเอียดแห่งของนั้น และให้อธิบดีออกหนังสือรับรองการเข้าเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยถูกต้องแล้ว

รายละเอียดแห่งของซึ่งพนักงานศุลกากรได้รับรองตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้สำหรับประเมินอากรนำเข้าของนั้นในกรณีที่ได้ใช้ของดังกล่าวสำหรับการผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นในคลังสินค้าทัณฑ์บน ให้คำนวณปริมาณที่ใช้จากหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนดหรือเห็นชอบ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน จัดทำและยื่นรายงานการขนของตามวรรคหนึ่งเข้าเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๒๕ ในกรณีที่มีการนำของในคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า หรือที่มั่นคง มีปริมาณแตกต่างจากที่ผู้ได้รับใบอนุญาตแจ้งไว้ต่อพนักงานศุลกากรในเวลาที่นำเข้าเก็บโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้อธิบดีอาจคำนวณปริมาณที่แตกต่างนั้นเป็นของซึ่งยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร

มาตรา ๑๒๖ ให้ยกเว้นการเก็บอากรขาเข้าและอากรขาออกแก่ของที่ปล่อยออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ ไม่ว่าจะปล่อยออกไปในสภาพเดิมที่นำเข้าหรือในสภาพอื่น

การปล่อยของออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บน หากเป็นการโอนเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนอื่นหรือจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบกิจการตามมาตรา ๔๐ หรือผู้ส่งเสริมได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน ให้ถือว่าเป็นการส่งออกนอกราชอาณาจักร และให้ผู้ประกอบกิจการตามมาตรา ๔๐ หรือผู้ส่งเสริมได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนที่รับโอนหรือซื้อสินค้าทัณฑ์บนดังกล่าวปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด การรับของที่โอนหรือขายตามความวรรคสอง ให้ถือว่าเป็นการนำเข้ามาในราชอาณาจักรหรือเป็นการสำเร็จในเวลาที่ปล่อยของเช่นนั้นออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด มีใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เข้าข่ายกับการขายของในราชอาณาจักรที่ต้องเสียภาษีขายเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บน และได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในสภาพเดิม

มาตรา ๑๒๗ ในกรณีที่ของใดที่กฎหมายบัญญัติให้ได้รับการยกเว้นหรือคืนอากรเมื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หากนำของนั้นเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามมาตรา ๑๒๖ (๒) ให้ถือว่าได้รับการยกเว้นหรือคืนอากรเมื่อส่งของนั้นออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บนในสภาพที่รับมาหรือในสภาพอื่น ทั้งนี้ โดยให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

มาตรา ๑๒๘ อธิบดีอาจสั่งให้ของที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน สำหรับของที่สูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรืออุบัติเหตุขึ้นเองจากสภาพสิ่งเสื่อมเสียได้ ในกรณีดังต่อไปนี้

(ก)

ของที่อยู่ระหว่างขนย้ายเพื่อเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า หรือที่มั่นคง ในเวลาที่ขนย้ายหรือรับฝากเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า หรือที่มั่นคง

(ข)

ของที่อยู่ระหว่างการขนย้าย ณ หรือระหว่างผู้ขนย้าย

(ค)

ของที่เสียไปขณะเก็บรักษา ณ หรือระหว่างการเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน หรือที่มั่นคง ทัณฑ์บน หรือ

(ง)

ของที่เตรียมไปจนสิ้นสภาพเพื่อขอออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน ในขณะที่รับมอบไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บน การยกเว้นอากรและการคืนอากรตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

มาตรา ๑๒๙ ผู้ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๒๔ หรือ ๑๒๕ ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดเก็บอากรดำเนินการ ให้แจ้งเป็นหนังสือให้อธิบดีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนที่จะมีการเลิกการดำเนินการ

การแจ้งเลิกการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๓๐ ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า หรือที่มั่นคง ที่แจ้งการเลิกการดำเนินการตามมาตรา ๑๒๖ ต้องหยุดการดำเนินการตามที่ได้รับอนุญาต ในกรณีที่เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บนให้จัดการกับของที่เก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(๑)

แจ้งให้ผู้นำของเข้านำของออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน พร้อมทั้งเสียอากรให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด

(๒)

ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร หรือส่งของไปเก็บในโรงพักสินค้าทัณฑ์บน เขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรีตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร หรือในคลังสินค้าทัณฑ์บน หรือส่งขายให้แก่บุคคลซึ่งได้รับอนุญาตตามมาตรา ๒๙ หรือมีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยพิพิธภัณฑ์สถานการพิจารณาอนุมัติ และจัดการดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ในกรณีที่เป็นโรงพักสินค้าหรือที่มั่นคง ให้ถือว่าสถานที่เก็บในโรงพักสินค้าหรือที่มั่นคง นั้นเป็นของตกค้างและให้ดำเนินการกับของตกค้างตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยศุลกากร อธิบดีอาจสั่งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้าหรือที่มั่นคงเลิกการดำเนินการได้ต่อเมื่อไม่ดำเนินการตามวรรคสองหรือวรรคสามและและให้ในบุคคลที่เสียอากรนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องดูแลให้เกิดการดำเนินการนั้น

มาตรา ๑๓๑ ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน ซึ่งได้แจ้งการเลิกการดำเนินการตามมาตรา ๑๒๖ ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๓๐ อธิบดีอาจสั่งให้เจ้าพนักงานศุลกากรดำเนินการตามมาตรา ๑๓๐ วรรคหนึ่ง และให้พิจารณาแจ้งให้บุคคลซึ่งเสียอากรนั้นๆ ชำระอากรในระยะเวลาที่กำหนด

มาตรา ๑๔๑ (๑)

ส่วนที่ ๓

การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต

มาตรา ๑๓๒ ผู้ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๑๘ หรือ ผู้ใดไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเงื่อนไขในใบอนุญาตให้อธิบดีมีหนังสือเตือนให้ปฏิบัติหรือแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าผู้นั้นไม่ปฏิบัติตามให้ถือเป็นคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต

ผู้ได้รับใบอนุญาตที่ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตต้องดำเนินการตามคำสั่งในมาตราดังกล่าวภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด

มาตรา ๑๓๓ อธิบดีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตที่พักใช้ใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓๒ กำหนดเวลาได้เมื่อปรากฏว่าผู้ถูกพักใช้ใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามคำสั่งตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อยึดใบใช้ใบอนุญาตนั้น

มาตรา ๑๓๔ ให้ถือเงินที่มีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓๒ เมื่อผู้ได้รับใบอนุญาตกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

(๑)

ไม่ดำเนินการภายใต้กำหนดเงื่อนไขหรือข้อบังคับที่ได้รับใบอนุญาต หรือหยุดดำเนินการติดต่อกันเกินกว่าหกเดือนหรือปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการที่ได้รับการกำหนดไว้ตามกำหนดหรือวิธีการ และเงื่อนไขซึ่งเป็นประการกำหนด

(๒)

ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต

(๓)

ไม่ชำระค่าธรรมเนียมรายปีภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา ๑๓๓ วรรคสอง

มาตรา ๑๓๕ คำสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา ๑๓๒ หรือมาตรา ๑๓๔ ให้ทำเป็นหนังสือแจ้งผู้ได้รับใบอนุญาตทราบ และให้ประกาศเป็นหนังสือแจ้งการพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผย ณ สถานที่ที่กิจการของผู้ได้รับใบอนุญาต ให้บันทึกไว้ตามมาตรา ๑๓๓ และมาตรา ๑๓๔ มาใช้บังคับแก่ผู้ได้รับใบอนุญาตซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตโดยอนุโลม

หมวด ๖

เขตปลอดอากร

ส่วนที่ ๑

การจัดตั้งเขตปลอดอากร

มาตรา ๑๓๖ ผู้ใดประสงค์จะจัดตั้งเขตปลอดอากรเพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากรในการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี

การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะดำเนินการจัดตั้งเขตปลอดอากรนั้นได้

มาตรา ๑๓๗ ของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรให้ได้รับยกเว้นอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๑๓๘ ผู้ยื่นคำขอใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(๑)

เป็นรัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลตามกฎหมาย หรือเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ

(๒)

มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ที่จะใช้ในการจัดตั้งเขตปลอดอากรในพื้นที่ที่จะจัดตั้ง ``` - ๓๔ - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

(๓)

ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากร

(๔)

ไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากร เว้นแต่ได้ถูกเพิกถอน ใบอนุญาตมาแล้วเกินสามปีก่อนที่จะยื่นขอรับใบอนุญาต

(๕)

มีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๓๓ ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรถึงแก่กรรม ผู้ได้รับ

ใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องแจ้งเจ้าพนักงานศุลกากรภายในระยะเวลาที่กำหนด ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตถึงแก่กรรมและไม่อาจระบุกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้ได้รับ ใบอนุญาตหรือองค์กรนั้นได้ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตดำเนินการตามที่กำหนด

มาตรา ๑๓๔ ในกรณีที่ใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรสูญหาย ถูกทำลาย หรือ

ชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตภายในกำหนดนับแต่ วันที่ได้รับการรับแจ้งการสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดดังกล่าว การขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นที่ประกาศกำหนด

มาตรา ๑๓๕ ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องแสดงใบอนุญาตหรือใบ

แทนใบอนุญาต แล้วแต่กรณี ไว้ในที่เปิดเผยเห็นได้ ณ สถานที่ทำการของผู้ได้รับใบอนุญาต

มาตรา ๑๓๖ ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรต้องแจ้งเจ้าพนักงานศุลกากร

ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดในกรณีที่มีการยกเลิกกิจการหรือเลิก การดำเนินการ การแจ้งเลิกการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๓๗ ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรที่แจ้งการเลิกการดำเนินการ

ตามมาตรา ๑๓๖ ต้องหยุดการดำเนินการตามที่ได้รับอนุญาตและแจ้งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบ กิจการในเขตปลอดอากรดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(๑)

นำของออกจากเขตปลอดอากร พร้อมทั้งเสียอากรให้ครบถ้วนภายในระยะเวลา ที่อธิบดีศุลกากร หรือ

(๒)

ส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร หรือนำของไปยังเขตปลอดอากรอื่น หรือเขตประกอบการเสรีตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ โดยให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากรดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลาที่อธิบดีศุลกากรกำหนด ทั้งนี้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นที่ ประกาศกำหนด อธิบดีศุลกากรอาจให้ใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรเลิกการดำเนินการ ต่อเมื่อได้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว และให้แจ้งยกเลิกใบอนุญาตดังกล่าวในระบบ โลจิสติกส์ด้านศุลกากรนั้น ```

มาตรา ๑๔๔ ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรซึ่งได้แจ้งการเลิกการดำเนินการตามมาตรา ๑๔๓ แต่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๓๓ ภายในระยะเวลาที่อธิบดี กำหนด ให้ถือว่ามีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากร และให้ผลประโยชน์ที่ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรนั้นได้รับและให้อยู่ในเขตปลอดอากรนั้นเป็นอันสิ้นสุด เว้นแต่มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าว โดยให้คณะกรรมการตามมาตรา ๑๔๕

มาตรา ๑๔๕ ให้บันทึกบัญญัติมาตรา ๑๓๓ มาตรา ๑๓๔ มาตรา ๑๔๓ มาตรา ๑๔๔ และมาตรา ๑๔๕ มาใช้บังคับกับการพักใช้และการเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากรโดยอนุโลม

ส่วนที่ ๒

การขออนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร

มาตรา ๑๔๖ ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการในเขตปลอดอากรต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี

การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจะประกอบกิจการในเขตปลอดอากรนั้นได้

มาตรา ๑๔๗ ผู้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากรต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(ก)

เป็นนิติบุคคล

(ข)

ได้รับความยินยอมให้ประกอบกิจการจากผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเขตปลอดอากร

(ค)

ไม่เป็นผู้ยื่นคำขอระหว่างคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร

(ง)

ไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร เว้นแต่ได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตมาแล้วเกินสามปีนับแต่วันที่ขอรับใบอนุญาต

(จ)

มีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๔๘ มาตรา ๑๔๗ วรรคหนึ่ง (ข) และ (ค) มิให้ใช้บังคับกับกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรโดยอนุโลม

มาตรา ๑๔๙ ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรต้องประกอบกิจการตามที่ขออนุญาตซึ่งเป็นกิจการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเขตปลอดอากรนั้น

ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรมีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลง เพิ่ม หรือลดประเภทกิจการที่ดำเนินการ หรือขออนุญาตต่ออายุสิทธิพิเศษที่เคยกำหนด วิธีการ และเงื่อนไขซึ่งอธิบดีประกาศกำหนด และเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะดำเนินการต่อไปได้

มาตรา ๔๔ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมเขตปลอดอากร ให้อธิบดีมีอำนาจออกประกาศกำหนดประเภทหรือชนิดของสินค้าและของอย่างอื่นที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากร และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นที่เกี่ยวข้องตามที่เห็นสมควร

ส่วนที่ ๓

สิทธิประโยชน์ในเขตปลอดอากร

มาตรา ๔๕ ให้องค์ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อนำเข้าไปในเขตปลอดอากรได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ในกรณีดังต่อไปนี้

(ก)

เครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือและเครื่องใช้ รวมทั้งส่วนประกอบแห่งของดังกล่าวที่จำเป็นต่อการประกอบกิจการ โดยให้รวมถึงสิ่งที่ใช้ในการสร้าง ประกอบ ติดตั้งโรงงานหรืออาคารในเขตปลอดอากร

(ข)

ของที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการประกอบอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ หรือ

(ค)

ของที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการบรรจุหีบห่อสินค้าที่ผลิตหรือประกอบในเขตปลอดอากร การยกเว้นอากรขาเข้าและอากรขาออกตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๔๖ ในกรณีการนำของเข้ามาในราชอาณาจักรหรือจำหน่ายจ่ายแจกในราชอาณาจักรซึ่งนำไปในเขตปลอดอากรเพื่อผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการอื่นใดกับของนั้นจนเป็นผลให้ของที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสำคัญ ให้ของนั้นได้รับยกเว้นอากรขาเข้าและอากรขาออกตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการนำของเข้ามา การประกอบการหรือการผลิตใด ๆ แทนของเดิม

การจำหน่ายจ่ายแจกของดังกล่าวในกรณีการนำเข้ามาในเขตปลอดอากรให้พิจารณาให้ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าและอากรขาออกในส่วนที่เกินในส่วนที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร การยกเว้นอากรดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรฐานหรือคุณภาพ การประพฤติชอบ หรือเครื่องหมายใด ๆ แก่ของนั้นบันทึกวันที่นำออกจากเขตปลอดอากร โดยถือเสมือนว่าของนั้นได้เข้ามาในราชอาณาจักรในวันที่ของนั้นถูกนำออกจากเขตปลอดอากร การนำของเข้าเขตปลอดอากร การปล่อยของออกจากเขตปลอดอากรตามหมวดนี้ วรรคสอง และวรรคสาม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๕๔ ในกรณีที่ของที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรได้รับยกเว้นอากรหรือคืนอากรเมื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หากของนั้นนำไปในเขตปลอดอากร ให้เจ้าของหรือผู้นำของส่งออก โดยให้ถือว่าของนั้นได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในเวลาที่นำของนั้นออกไปจากเขตปลอดอากร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๕๕ ของที่ปล่อยออกไปจากเขตปลอดอากรเพื่อนำเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ว่าของนั้นจะนำเข้ามาจากนอกราชอาณาจักรหรือจากในราชอาณาจักร ให้ถือว่าของตามสภาพแห่งของราชอาณาจักร และพิกัดอัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลาที่ปล่อยของนั้นออกไปจากเขตปลอดอากร ในกรณีที่ของซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตปลอดอากร โดยของนั้นเข้าไปนั้นไม่มีสิทธิขอคืนอากรในวันหรือเวลาที่ของนั้นออกไป ไม่ว่าของนั้นจะถูกส่งกลับมาในราชอาณาจักรหรือไม่ ให้ถือว่าของนั้นเป็นของในราชอาณาจักร โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

มาตรา ๑๕๖ การนำของเข้าไปในหรือปล่อยของออก การเก็บของ การแบ่งบรรจุ การแยกของ และการควบคุมของในเขตปลอดอากร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

หมวด ๗

หน้าที่นายศุลกากร

มาตรา ๑๔๘ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากร ให้พนักงานศุลกากรซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจดังต่อไปนี้

(๑)

เข้าไปในสถานประกอบการหรือสถานที่อื่นที่เกี่ยวกับการประกอบการของผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออก ผู้นำส่ง หรือคนแทนของบุคคลดังกล่าว หรือบุคคลอื่นซึ่งอาจนำหรือส่งของเข้าออกนอกราชอาณาจักร หรือสถานที่ที่มีไว้เพื่อเก็บของที่นำเข้าหรือส่งออกนอกราชอาณาจักร หรือสถานที่อื่น ในการนี้ อาจสั่งให้บุคคลดังกล่าวหรือบุคคลอื่นในสถานที่นั้นกระทำการเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ

(๒)

จับกุมผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ โดยไม่ต้องมีหมายจับ เมื่อปรากฏว่ามีการกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลบางคนจะมีการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป

(๓)

ยึดหรืออายัดบัญชี เอกสาร หลักฐาน ข้อมูล หรือสิ่งของอื่นใดที่อาจใช้พิสูจน์ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากร

(๔)

เรียกหรือเรียกให้ส่งบัญชี เอกสาร หลักฐาน ข้อมูล หรือคนแทนของบุคคลดังกล่าว หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการนำหรือการส่งของออกนอกราชอาณาจักร หรือการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งตามพระราชบัญญัตินี้ หรือให้ส่งบัญชี เอกสาร หลักฐาน หรือสิ่งอื่นที่จำเป็นในการพิจารณาได้ ทั้งนี้ ต้องให้โอกาสบุคคลดังกล่าวแสดงเหตุผลหรือพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน

มาตรา ๑๔๙ ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ เพื่อการตรวจสอบศุลกากร หรืออยู่ในอำนาจหน้าที่ของการตรวจสอบศุลกากร และเอาเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปในสถานที่นั้นเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบศุลกากรได้ หากการกระทำดังกล่าวจะทำให้เจ้าของเสียหายหรือมีการรบกวนอย่างที่สุด และถ้ามีของตกเสียให้คืนแก่เจ้าของโดยมิชักช้า

มาตรา ๑๕๐ การใช้อำนาจของพนักงานศุลกากรที่ซึ่งอธิบดีมอบหมายตามมาตรา ๑๔๘ หรือพนักงานศุลกากรตามมาตรา ๑๔๙ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

ให้พนักงานศุลกากรเริ่มดำเนินงานไปตามหน้าที่และอำนาจเพื่อการตรวจสอบหรือเรียกบัญชี เอกสารหลักฐาน และข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวกับการดำเนินงานหรือที่จำเป็นสำหรับการพิจารณาในกำหนดระยะเวลาไม่เกินหกปีนับแต่วันที่ของเข้า หรือส่งของออกไปนอกราชอาณาจักรหรือผ่านราชอาณาจักร

มาตรา ๑๕๑ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิดที่มีมูลได้เสียอากร ของกลาง ของผู้ต้องคำพิพากษา หรือของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านพิธีการ ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจสั่งให้หยุดยานพาหนะเพื่อการตรวจค้นตามหมาย หรือจุดสกัดในเขตพรมแดน

มาตรา ๑๑๑ พนักงานศุลกากรอาจตรวจหรือค้นหีบห่อของผู้โดยสารที่เข้ามาใน หรือออกไปนอกราชอาณาจักรได้ หากพนักงานผู้นั้นมีเหตุอันควรสงสัยว่าของต้องห้าม ของต้องกำกัด หรือ ของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจยึดหีบห่อหรือของนั้นไว้ได้

มาตรา ๑๑๒ ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจเข้าไปตรวจสอบ ณ สถานประกอบการ สถานที่เกี่ยวข้อง หรือยานพาหนะใดๆ ในเขตท่าเรือ เขตท่าอากาศยาน หรือเขตชายแดนที่กำหนด

มาตรา ๑๑๓ อธิบดีมีอำนาจมอบอำนาจให้พนักงานศุลกากรเข้าไปตรวจสอบ และยึดของที่ต้องสงสัยว่าผ่านพิธีการศุลกากรไม่ถูกต้องในเขตท่าเรือ เขตท่าอากาศยาน หรือเขตชายแดนที่กำหนด

มาตรา ๑๑๔ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า เรือดำ เรือที่เป็นเรือที่ต้องถูกยึดหรือตรวจ ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจสั่งให้เรือนั้นหยุดหรือเรือใดที่แล่นผ่านที่ทำการศุลกากรเมื่อได้รับคำสั่งให้หยุดจากพนักงานศุลกากรแล้ว แต่ยังแล่นต่อไป ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจสั่งให้เรือนั้นหยุด หรือแล่นเข้ามาใกล้ หรือแล่นเข้ามาเทียบท่า ณ ที่ทำการศุลกากร หรือที่ใดๆ เพื่อจับกุมหรือปราบปราม หรือเพื่อป้องกันการหลบหนี

มาตรา ๑๑๕ เรือที่เรือประมงหรือเรือพาณิชย์ไม่แล่นตรงหรือกลับเรือ ยานพาหนะอื่นใด หรือของต้องห้าม ของต้องกำกัด หรือของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจยึดเรือหรือของนั้นไว้ได้

มาตรา ๑๑๖ ของที่ยังมิได้เสียอากร ของต้องห้าม ของต้องกำกัด หรือของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร เป็นของที่พึงริบตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๑๗ ให้พนักงานศุลกากร พนักงานฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีอำนาจยึด หรืออายัดสิ่งใดๆ ซึ่งพึงต้องริบหรือเป็นสิ่งที่สงสัยว่าจะหลีกเลี่ยงพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๑๖๘ ในกรณีของทรัพย์สินอันเนื่องจากการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้มิได้เป็นของผู้กระทำความผิด ให้ศาลสั่งริบโดยให้เจ้าของทรัพย์หรือผู้ครอบครองทรัพย์สินซึ่งสุจริต หรือองค์กรการกุศลตามควร แต่ไม่ให้ริบทรัพย์กรณีเป็นที่ดินหรือทรัพย์อันเกี่ยวเนื่องกับการทำมาหาเลี้ยงชีพของผู้กระทำความผิด หรือมีเหตุจำเป็นอื่นที่ศาลเห็นว่าไม่สมควรริบไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

มาตรา ๑๖๙ ถ้าการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้มีสิ่งอื่นซึ่งมิใช่ทรัพย์สินตามพระราชบัญญัตินี้ในครอบครอง ให้เจ้าพนักงานศุลกากรหรือพนักงานสอบสวนส่งสิ่งนั้นไปยังหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นของบุคคลใดโดยให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินซึ่งสุจริตหรือองค์กรการกุศลตามควรได้รับคืนไป และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถือว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดิน

มาตรา ๑๗๐ บรรดาของหรือสิ่งที่ได้จากพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากรต้องส่งมอบให้เจ้าพนักงานศุลกากรเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ของหรือสิ่งที่เสียและตกเป็นของแผ่นดินหรือที่ส่งให้พนักงานศุลกากรหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากร ให้พนักงานศุลกากรดำเนินการเพื่อจัดเก็บหรือจำหน่ายตามระเบียบที่กำหนด

มาตรา ๑๗๑ ถ้าของหรือสิ่งที่เสียหายหรือสูญเสียไป หรือจำหน่ายไปแล้วเป็นการทำลายหรือเสื่อมสภาพ หรือถ้าเป็นการจำหน่ายโดยการขายทอดตลาด หรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น ให้พนักงานศุลกากรหรือพนักงานสอบสวนส่งเงินที่ได้รับจากการขายของตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายและค่าภาระติดพันแล้ว ให้ถือไว้แทนของ

มาตรา ๑๗๒ ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลกากรตามพระราชบัญญัตินี้ ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร

มาตรา ๑๗๓ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานศุลกากรต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง

บัตรประจำตัวพนักงานศุลกากร ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกำหนด

มาตรา ๑๗๔ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งพนักงานศุลกากรตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานศุลกากรจับกุมผู้กระทำความผิดและส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่เป็นที่จับกุมสอบสวนรับผิดชอบ และให้เป็นรายงานต่อพนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิที่ศาลสั่งให้พนักงานสอบสวนในส่วนกลางสอบสวนต่อจนเสร็จสิ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

หมวด ๘

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อำนาจทางศุลกากรในพื้นที่เฉพาะ

ส่วนที่ ๑

เขตควบคุมศุลกากร

มาตรา ๑๕ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับศุลกากรในเขตท้องที่ ให้กำหนดเขตท้องที่นั้นเป็นเขตควบคุมศุลกากรโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ภายในเขตควบคุมศุลกากรที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจตรวจหรือค้นโรงเรือน สถานที่ ยานพาหนะ หรือบุคคลใด ไม่ว่าในเวลากลางวันหรือกลางคืนโดยไม่ต้องมีหมายค้น ทั้งนี้ พนักงานศุลกากรต้องแสดงเหตุผลอันสมควรต่อเจ้าของบ้านหรือผู้อยู่อาศัย ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลผู้ที่ถูกตรวจหรือค้นตามวรรคสอง ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากร และบุคคลนั้นไม่สามารถแสดงเหตุผลอันสมควรได้ ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจจับกุมบุคคลนั้นเพื่อส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป

มาตรา ๑๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง อธิบดีมีอำนาจออกประกาศกำหนดประเภทแห่งของหรือชนิดแห่งของที่ต้องห้ามมิให้นำเข้ามาในเขตควบคุมศุลกากร หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร

ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจตรวจบัญชีและของที่ระบุไว้ในบัญชีตามวรรคหนึ่ง หากพบว่าของนั้นมีจำนวนหรือปริมาณแตกต่างจากที่ระบุไว้ในบัญชีโดยไม่สามารถแสดงเหตุผลอันสมควรได้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ของที่มีจำนวนหรือปริมาณแตกต่างนั้นเป็นของที่มีไว้โดยมิได้เสียภาษี

มาตรา ๑๗ ภายในเขตควบคุมศุลกากร อธิบดีมีอำนาจประกาศกำหนดบริเวณพิเศษเพื่อความมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่งในราชกิจจานุเบกษา โดยให้แผนที่แสดงเขตและรายละเอียดของที่อยู่ในบริเวณนั้นแนบท้ายประกาศด้วย

การขนถ่ายของ การเก็บรักษาของ หรือการนำของไปในบริเวณพิเศษ ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากรตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

ส่วนที่ ๒

พื้นที่ความร่วมกัน

มาตรา ๑๘ ในส่วนนี้

“พื้นที่ความร่วมกัน” หมายความว่า พื้นที่ตามเขตแดนที่เป็นพื้นที่ความร่วมกันตามกฎหมายว่าด้วยการจัดการความตกลงเขตการค้าเสรี "ความตกลง" หมายความว่า ความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน

มาตรา ๑๕ ให้กรมศุลกากรมีอำนาจทางศุลกากรทั้งปวงในพื้นที่ควบคุมร่วมกัน เช่นเดียวกับในเขตศุลกากร

มาตรา ๑๖ การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลกากรในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอก ราชอาณาจักร ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในราชอาณาจักร

มาตรา ๑๗ การดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากรที่ตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันในราชอาณาจักร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้

(ก)

ในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายไทย ให้พนักงานศุลกากรของ รัฐบาลไทยดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

(ข)

ในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายของประเทศที่ตกลงตามความตกลง และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศที่ตกลงตามความตกลงร้องขอ ให้พนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยส่งตัวบุคคล สัตว์ พืช ของ ตลอดจนพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ และคนประจำพาหนะที่ได้กระทำความผิดดังกล่าวไปยังประเทศที่ตกลงตามความตกลง ทั้งนี้ อธิบดีอาจกำหนดเงื่อนไขหรือวิธีการที่ต้องปฏิบัติไว้ แล้วแจ้งรับทราบให้เจ้าหน้าที่ของประเทศที่ตกลงตามความตกลงทราบ

(ค)

ในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายไทยและกฎหมายของประเทศที่ตกลง ตามความตกลง ให้พนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยดำเนินการตามกฎหมายไทยต่อไป เว้นแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศที่ตกลงตามความตกลงร้องขอให้พนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยส่งตัวบุคคล สัตว์ พืช ของ ตลอดจนพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ และคนประจำพาหนะที่ได้กระทำความผิดดังกล่าวไปยังประเทศที่ตกลงตามความตกลง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายของประเทศที่ตกลงตามความตกลงแทน

มาตรา ๑๘ การดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากรที่ตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอก ราชอาณาจักรของรัฐบาลประเทศที่ตกลงตามความตกลง ให้พนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยร้องขอไปยังเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศที่ตกลงตามความตกลงให้ส่งตัวบุคคล สัตว์ พืช ของ ตลอดจนพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ และคนประจำพาหนะที่ได้กระทำความผิดดังกล่าวมายังราชอาณาจักรเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากรต่อไป

การดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายไทยและกฎหมายของประเทศที่ตกลงตามความตกลงที่เกี่ยวกับการขนส่งข้ามพรมแดนที่ตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอก ราชอาณาจักรพนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยจะร้องขอไปยังเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศที่ตกลงตามความตกลงให้ส่งตัวบุคคล สัตว์ พืช ของ ตลอดจนพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ และคนประจำพาหนะที่ได้กระทำความผิดดังกล่าวมายังราชอาณาจักร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากรได้

มาตรา ๑๓๓ ให้ถือบันทึกข้อความกำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการสุ่มการในพื้นที่ที่ควบคุมร่วมกัน

ส่วนที่ ๓

การค้าชายฝั่ง

มาตรา ๑๔๔ การค้าชายฝั่ง หมายถึง การขนส่งของจากท่าหนึ่งไป รายละเอียดการปล่อยทุกหนแห่งในราชอาณาจักร เพื่อรับค่ตอบแทนในการขนส่งของ รวมทั้งการซื้อขายของที่ขนส่งนั้น

ให้ถือบันทึกข้อความประกาศกำหนดรูปแบบและลักษณะเพื่อถือว่าเป็นการค้าชายฝั่งตามวรรคหนึ่ง

มาตรา ๑๔๕ เรื่องที่การค้าชายฝั่งที่ขอออกจากท่า ให้ขนเรื่องทำบัญชีสินค้าสำแดงรายละเอียดตำแหน่งของในเรือยื่นต่อพนักงานศุลกากร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

เมื่อพนักงานศุลกากรได้รับบัญชีสินค้าสำแดงแล้วและได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องของบัญชีสินค้าสำแดงดังกล่าว ให้พนักงานศุลกากรคืนบัญชีสินค้าสำแดงดังกล่าวให้แก่ผู้ควบคุมเรือโดยเร็ว ในกรณีที่พนักงานศุลกากรตรวจสอบบัญชีสินค้าสำแดงแล้วเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัย ให้พนักงานศุลกากรตรวจสอบเรือหรือยานพาหนะที่ใช้ขนส่งสินค้าดังกล่าวได้ ในกรณีที่ตรวจสอบพบว่าของที่บรรทุกหรือขนส่งในเรือยื่นบัญชีสินค้าสำแดงไม่ตรงกับบัญชีสินค้าสำแดงที่บรรทุกหรือขนส่งมาจากท่าเรือนั้นๆ ในการนี้ตรวจสอบพบว่าของที่บรรทุกหรือขนส่งในเรือยื่นบัญชีสินค้าสำแดงไม่ตรงกับบัญชีสินค้าสำแดงที่บรรทุกหรือขนส่งมาจากท่าเรือนั้นๆ ให้พนักงานศุลกากรยึดของที่ขนส่งนั้น ประเภท ปริมาณ แก่ต่างจากบัญชีสินค้าสำแดง ให้พนักงานศุลกากรยึดของที่ขนส่งนั้น ประเภท หรือปริมาณแตกต่างกันไปของที่นำเข้าหรือส่งออกโดยมิชอบให้เสียอากร ก่อนการปล่อยของขนจากเรือ นายเรือต้องยื่นใบอนุญาตปล่อยสินค้าและใบปล่อยเรือนั้นแก่พนักงานศุลกากร เมื่อได้รับการตรวจสอบจากพนักงานศุลกากรแล้วจึงจะทำการปล่อยของขึ้นได้โดยต้องทำงานต่อไปทุก ๆ ท่าเรืออื่นเดินทางไปถึง

มาตรา ๑๔๖ ให้บันทึกเรื่องเก็บรักษาบัญชีสินค้าตามมาตรา ๑๔๕ ทุกเที่ยวการเดินเรือในเรือนั้นในระยะเวลาสามเดือน เพื่อให้พนักงานศุลกากรตรวจสอบในบัญชีสินค้านั้น

มาตรา ๑๔๗ ห้ามมิให้ดำเนินการเรื่องที่การค้าชายฝั่งในราชอาณาจักร เว้นแต่จะมีเหตุอันเป็นอันตรายต่อสิ่งใด ๆ และได้แจ้งเหตุจำเป็นต่อพนักงานศุลกากรรับผิดชอบพื้นที่ที่เรือนั้นถึง

ส่วนที่ 4

เขตต่อเนื่อง

มาตรา 158 เรื่องที่เกิดขึ้นในเขตต่อเนื่องของไทยหรือของรัฐอื่นซึ่งต้องตอบคำถามของพนักงานศุลกากรเกี่ยวกับเรื่อง การเดินเรือ การเดินอากาศ สินค้าที่ขนส่ง ขอให้แจ้ง และสิ่งที่นำมาในเรือ และต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานศุลกากร

มาตรา 159 ห้ามมิให้เรือที่อยู่ในเขตต่อเนื่องจงใจหลบซ่อนใด ๆ โดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร

ของใดที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามมาตรานี้ ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่

มาตรา 160 ให้บังคับบัญญัติมาตรา 27 มาตรา 29 มาตรา 154 มาตรา 160 มาตรา 162 มาตรา 163 มาตรา 164 มาตรา 165 และมาตรา 166 ใช้บังคับกับการกระทำที่เกิดขึ้นในเขตต่อเนื่อง และให้บังคับบทโทษที่เกี่ยวกับผู้กระทำผิด รวมทั้งบทกำหนดโทษตามมาตรา 27 มาตรา 29 มาตรา 154 มาตรา 160 มาตรา 162 มาตรา 163 มาตรา 164 มาตรา 165 และมาตรา 166

มาตรา 161 ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากรหรือมีการกระทำความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจสั่งให้ผู้ควบคุมเรือหรือผู้ควบคุมอากาศยานหยุดเรือหรืออากาศยาน และให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจตรวจค้นเรือหรืออากาศยานดังกล่าว

เมื่อพนักงานศุลกากรได้จับกุมกระทำความผิดและส่งให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ใดแล้ว ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่นั้นมีอำนาจสอบสวนในระหว่างรอคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบจากอธิบดีกรมศุลกากรหรือรัฐมนตรีตามเหตุผลประการหนึ่งตามวิธีการสอบสวนความอาญา ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนดว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวนเป็นเวลาความผูกพันของเจ้าพนักงานสอบสวนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ส่วนที่ 5

พื้นที่พัฒนาร่วม

มาตรา 162 ในส่วนนี้

"พื้นที่พัฒนาร่วม" หมายความว่า พื้นที่พัฒนาร่วมตามที่อาจกำหนดร่วมกันระหว่างไทย - มาเลเซีย ของที่ได้รับความเห็นชอบจากศุลกากร หมายความว่า ของที่ได้รับยกเว้นอากรศุลกากรทั้งตามกฎหมายของราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียที่เกี่ยวกับศุลกากร

มาตรา ๑๓๓ การจัดระเบียบการเคลื่อนย้ายของที่นำเข้ามาในหรือส่งออกไปจากพื้นที่พัฒนาร่วมให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี

มาตรา ๑๓๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓๓ มาตรา ๑๓๕ และมาตรา ๑๓๖ (๔) การอนุญาตการนำเข้าอากรทางศุลกากรทั้งของสำนักงานหรือการส่งออกไปจากพื้นที่พัฒนาร่วม

มาตรา ๑๓๕ การเคลื่อนย้ายของใด ๆ เข้ามาในหรือส่งออกไปจากพื้นที่พัฒนาร่วมให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

(๑)

ของใด ๆ ที่เข้ามาในพื้นที่พัฒนาร่วมจาก

(ก)

ประเทศอื่นโดยทางการอากรของไทยหรือมาเลเซีย ครั้งลำดับใด ๆ ที่ได้รับใบอนุญาตหรือรับรองจากอธิบดีของราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย ให้ถือว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือมาเลเซีย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา วัตถุประสงค์ของการประสานงานด้านการดำเนินการตามกฎหมายศุลกากรและสรรพสามิตในพื้นที่พัฒนาร่วม

มาตรา ๑๙๕ การกระทำที่ให้ลงโทษในพื้นที่พัฒนาร่วม

(๑)

หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวกับศุลกากรของราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย ประเทศใดพบการกระทำผิดในฐานะผู้กระทำความผิดเป็นคนแรกในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดดังกล่าวมีสิทธิเข้าใช้เขตอำนาจตามกฎหมายของตน

(ก)

หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวกับศุลกากรของราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย และเป็นกรณีที่มีการจับหรือยึดพร้อมกันโดยกรมศุลกากรและหน่วยงานสรรพสามิตของแต่ละประเทศ ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดดังกล่าว ประเทศที่มีสิทธิเข้าใช้เขตอำนาจตามกฎหมายของตนให้ดำเนินการพิจารณาชี้ขาดร่วมกันระหว่างกรมศุลกากร และหน่วยงานศุลกากรและสรรพสามิตของแต่ละประเทศ

(ข)

เว้นแต่ได้มีการขายของซึ่งเป็นผลผลิตของพื้นที่พัฒนาร่วมที่จัดให้แบ่งเท่าเทียมระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย

มาตรา ๑๙๖ เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้ คำว่า “รายอาณาจักร” ในพระราชบัญญัตินี้ให้หมายความถึง “พื้นที่พัฒนาร่วม”

มาตรา ๑๙๗ ให้ศาลภาษีอากรกลาง ศาลจังหวัดสงขลา หรือศาลอาญา มีเขตอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีศุลกากรที่เกี่ยวกับพื้นที่พัฒนาร่วม

หมวด ๙

บทกำหนดโทษ

มาตรา ๒๐๐ ผู้ใดฝ่าฝืน จัดให้ หรือยอมให้ผู้อื่นนำสินค้า เอกสาร หรือข้อมูล ซึ่งเกี่ยวกับการเสียภาษีหรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเสียปรับรวม ยกเว้นว่าได้เกิดความล่าช้าผิดปกติในการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับการกระทำที่เกี่ยวกับศุลกากร ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองเท่าของค่าภาษีที่ต้องเสีย

มาตรา ๒๐๑ ผู้ใดแจ้งข้อความ ให้ถ้อยคำ หรือยอมให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือไม่ตอบคำถามของพนักงานศุลกากรที่มาถามเกี่ยวกับหน้าที่ในเขตพัฒนาร่วม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๐๔ ผู้ใดปลอมหรือแปลงเอกสารที่ใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแสดงเอกสารอันมีข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานคุมครองพืชเพื่อการดำเนินการดังกล่าวพระราชบัญญัตินี้จะระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้ใดใช้เอกสาร ตรวจสำเนาเอกสาร หรือสำเนาหมาย ที่เกิดจากการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

มาตรา ๒๐๕ ผู้ส่งของออกผู้ใดเปลี่ยนแปลงสำเนาใบขนสินค้าออกเพื่อขอคืนอากรโดยแสดงข้อมูลเกี่ยวกับของไม่ถูกต้องและพนักงานศุลกากรพบว่าของนั้นไม่ตรงตามที่แสดงไว้ หรือเป็นข้อมูลโดยน้อยกว่าที่แสดงหรือไม่มีการส่งของออกตามที่แสดง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือปรับเป็นเงินที่เท่ากับจำนวนเงินอากรที่ขอคืน แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้น

มาตรา ๒๐๖ ผู้ขนย้ายของที่ได้ขอคืนอากรตามมาตรา ๘๔ หรือมาตรา ๘๔ โดยความตั้งใจโดยฉ้อโกงหรือขายทอดตลาด หรือโดยวิธีอื่นใดที่ทำนองเดียวกัน เพื่อขัดขืนการเก็บคืนอากรตามมาตรา ๘๔ หรือมาตรา ๘๔ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือปรับเป็นเงินที่เท่ากับจำนวนเงินอากรที่ขอคืน แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๐๗ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้เกี่ยวกับการขายสินค้าต่างประเทศตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๒๐๘ ผู้ใด ขอเข้าทำหรือผู้ส่งของออกผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๐๙ ผู้ควบคุมยานพาหนะผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕๖ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๑๐ ผู้ใดนำของอย่างอื่นเข้ามาในหรือหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรนอกจากของตามช่องทางตามมาตรา ๔๔ โดยไม่ไปยังด่านศุลกากรอันชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือปรับเป็นเงินสามเท่าของราคาของ แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า หรือทั้งจำทั้งปรับและให้ริบของนั้น

มาตรา ๒๑๑ ผู้ควบคุมยานพาหนะซึ่งส่งของออกไปโดยไม่ให้แสดงรายการหรือใบอนุญาตกำกับกับพนักงานศุลกากรซึ่งอยู่ในเขตด่านศุลกากรอันชอบด้วยกฎหมายในเวลาการส่งของที่เกี่ยวกับของนั้น ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๐๒ ผู้ควบคุมยานพาหนะผู้โดยสารยานพาหนะที่มีของเป็นที่น่ารังเกียจหรือน่าขยะแขยงซึ่งมีมูลค่าหรือสภาพสะอาดตามกฎหมาย หรือไม่มีสิ่งของตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท และให้ริบของนั้น

มาตรา ๒๐๓ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๐๔ นายเรือผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานศุลกากรตามมาตรา ๕๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๐๕ นายเรือหรือผู้ควบคุมยานพาหนะผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๕๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๐๖ ผู้ใดแสดงข้อความเท็จ รายการ หรือผู้ใดแสดง หรือยื่นบัญชีใบกำกับ หรือเอกสารอื่นใดอันเป็นเท็จต่อพนักงานศุลกากร หรือผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับสิ่งของที่นำเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร โดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงอากรศุลกากร ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท และให้ศาลสั่งริบของนั้นได้

มาตรา ๒๐๗ นายเรือหรือผู้ควบคุมยานพาหนะทางบกผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท

(ก)

ความคุมเรือหรือยานพาหนะทางบกที่มีที่ปิดบัง ที่ซ่อนทรัพย์ หรือมีเครื่องกลบยางอย่างใดเพื่อสำแดงสิ่งของที่บรรทุก เช่นเดียวจะพิสูจน์ได้ว่าได้มีการขนส่งสิ่งของหรือบรรจุสิ่งของไว้ในที่ปิดบัง ที่ซ่อนทรัพย์ หรือเครื่องกลบยางอย่างใด

(ข)

สั่งสมรู้กันในการสร้าง ทำ วาง หรือใช้สิ่งใดบ้าง ที่ซ่อนทรัพย์ หรือเครื่องกลบยางอย่างใดเพื่อหลีกเลี่ยงอากรศุลกากร ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจสั่งให้ทำลายสิ่งของนั้นได้เพื่อกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๒๐๘ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๒๑๐ หรือมาตรา ๒๑๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๒๑ นายเรือผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๐ มาตรา ๘๗ มาตรา ๑๐๑ มาตรา ๑๐๘ มาตรา ๑๒๐ มาตรา ๑๒๕ วรรคสอง มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๔๕ ประกอบกับมาตรา ๑๗๗ หรือมาตรา ๑๔๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๒๒ ผู้สั่งของออก ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘๖ วรรคสอง มาตรา ๘๗ วรรคสอง มาตรา ๙๐ วรรคสอง มาตรา ๙๓ วรรคสอง หรือมาตรา ๙๔ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

มาตรา ๒๒๓ นายเรือผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๙๗ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท และให้ริบของที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว

มาตรา ๒๒๔ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘๘ มาตรา ๙๕ มาตรา ๑๐๐ หรือมาตรา ๑๒๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๒๕ ผู้ส่งของออกผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๒๖ นายเรือหรือผู้ส่งของออกผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๙๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๒๗ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๙๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท เว้นแต่การกระทำความผิดนั้นเป็นการกระทำโดยประมาท หรือมีเหตุสุดวิสัย หรือเป็นการกระทำความผิดที่ไม่ร้ายแรง ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ตามที่กำหนดในมาตรา ๒๙ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๒๘ นายเรือผู้ใดจอดเทียบที่ท่าหรือสถานที่อย่างหนึ่งอย่างใดในที่หรือส่งออกไปนอกอาณาจักรนอกจากเขตพื้นที่ตามลักษณะที่เป็นเขตแดนตามมาตราสิบห้าประกาศกำหนดตามมาตรา ๙๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๒๙ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๔๘ หรือมาตรา ๑๕๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และให้ถือว่าข้อขัดขวางที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้นอาจจะได้รับการถูกต้อง

มาตรา ๒๓๐ ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๙๙ หรือแจ้งข้อความเท็จตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท เจ้าของหรือพนักงานประจำสถานที่เก็บสินค้าใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

``` - ๕๐ -

มาตรา ๒๓๑ ผู้ควบคุมจากสายผู้ใต้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๔๕ หรือมาตรา ๒๒๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และให้เจ้าหน้าที่ของที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้นจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

มาตรา ๒๓๒ ผู้ควบคุมจากสายผู้ใต้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๗๙ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๓๓ ผู้ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา ๑๒๗ หรือผู้ใดที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๔๕ หรือมาตรา ๑๒๘ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

ผู้ได้รับใบอนุญาตดังกล่าวตั้งสำนักงาน โรงพักสินค้า หรือที่เก็บสุรา เมื่อได้แจ้งการเลิกการดำเนินการตามมาตรา ๑๒๘ แล้ว แต่ได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๓๐ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๓๔ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานศุลกากรผู้ทำหน้าที่หรือรับอนุญาตตามมาตรา ๑๓๙ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๒๓๕ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเทคนิค วิธีการ หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๑๔๒ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และให้เจ้าหน้าที่ของที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว

มาตรา ๒๓๖ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๑๔๖ หรือมาตรา ๑๔๗ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

มาตรา ๒๓๗ ผู้ใดกลอกเปิดคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า หรือที่มั่นคง หรือล่วงเข้าไปยังของที่อยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า หรือที่มั่นคง โดยไม่มีเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๓๘ ผู้ใดเป็นใบอนุญาตตั้งเขตปลอดอากรซึ่งได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๔๐ มาตรา ๑๔๑ หรือมาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๒๓๙ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานศุลกากรผู้ทำหน้าที่หรือรับอนุญาตตามมาตรา ๑๔๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๔๐ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่กำหนดหรือการปฏิบัติงานของพนักงานศุลกากรตามมาตรา ๑๖๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

```

มาตรา ๒๔๑ นายเรือผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำเตือนของพนักงานศุลการกร หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลการกรตามมาตรา ๑๔๕ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๔๒ ผู้ใดเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งพัสดุที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลการกร หรือปล่อยพัสดุที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลการกรออกไปนอกราชอาณาจักร หรือรับจำนำ รับซื้อ รับไว้เพื่อจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา ๒๔๖ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินสี่เท่าของราคาของที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจสั่งริบของนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ผู้ใดพยายามกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

มาตรา ๒๔๓ ผู้ใดนำของที่ผ่านหรือกำลังผ่านพิธีการศุลการกรเข้าไปในราชอาณาจักร หรือส่งของซึ่งกำลังออกไปนอกราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียอากร โดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากรหรือส่วนของอากรที่ต้องเสียเพิ่ม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินตั้งแต่ครึ่งหนึ่งแต่ไม่เกินสี่เท่าของอากรที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจสั่งริบของนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ผู้ใดพยายามกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน

มาตรา ๒๔๔ ผู้ใดนำของที่ผ่านหรือกำลังผ่านพิธีการศุลการกรเข้าไปในราชอาณาจักร หรือส่งของซึ่งกำลังออกไปนอกราชอาณาจักร หรือขนถ่ายของในเขตท่าหรือแถบหรือที่กำหนดไว้ในกำหนดเขตศุลกากร โดยหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียอากร หรือปรับไม่เกินหกเท่าของอากรที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจสั่งริบของนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่

มาตรา ๒๔๕ ผู้ใดเป็นผู้ให้หรือผู้สนับสนุน หรือสมคบกันในการกระทำความผิดตามมาตรา ๒๔๒ มาตรา ๒๔๓ หรือมาตรา ๒๔๔ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในการกระทำความผิดนั้น

มาตรา ๒๔๖ ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา ๒๔๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินตั้งแต่ครึ่งหนึ่งแต่ไม่เกินสี่เท่าของราคาของที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง หากเป็นการกระทำเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๒๔๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหกเท่าของอากรที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง หากเป็นการกระทำเพื่อรู้ว่าเป็นของที่เกี่ยวด้วยความผิดตามมาตรา ๒๔๒ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหกเท่าของอากรที่ต้องเสียเพิ่ม หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๔๘ ผู้ใดทำหรือยอมให้ผู้อื่นทำของต้องห้าม ของต้องกำกัด หรือของที่ยังมีได้ผ่านพิธีการศุลกากร ขึ้นบรรทุกหรือออกจากยานพาหนะ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินมาตรา ๒๔๖ หรือมาตรา ๒๔๗ แล้วแต่กรณี

มาตรา ๒๔๙ ในกรณีที่มีการทำความผิดตามมาตรา ๒๔๖ หรือมาตรา ๒๔๗ ผู้ใดซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองยานพาหนะ หากพบเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่อาจใช้กระทำความผิดหรือใช้ในการป้องกันไม่ให้การกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๕๐ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๑๗๗ วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๘๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มาตรา ๒๕๑ นายเรือผู้ใดไม่ตอบคำถามหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานศุลกากรตามมาตรา ๑๘๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

มาตรา ๒๕๒ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๔๔ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือปรับเป็นเงินสองเท่าของราคาของ แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๒๕๓ การกระทำความผิดตามมาตรา ๒๔๖ มาตรา ๒๔๗ หรือมาตรา ๒๔๘ ให้พนักงานศุลกากรจับและนำตัวกระทำโดยไม่มีหมาย

มาตรา ๒๕๔ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวนี้ได้สั่งการหรือกระทำการและละเลยไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นเหตุให้บุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย

มาตรา ๒๕๕ การประเมินราคาของเพื่อกำหนดค่าปรับตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือค่าราคาของตามที่ได้แสดงไว้ต่อเจ้าพนักงานด่านศุลกากรในเวลาที่ของนั้นลักลอบเข้ามาหรือความผิดนั้น ในกรณีที่ราคาดังกล่าวไม่อาจกำหนดได้หรือกำหนด

มาตรา ๒๕๖ ให้ถือวันที่มีคำสั่งแจ้งไปยังเจ้าพนักงานและเจ้าของด่านศุลกากรเป็นวันที่กำหนดโดยใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ผิดกฎหมาย

(๑)

ความผิดตามมาตรา ๒๔๕ และมาตรา ๒๔๖ เฉพาะกรณีความผิดเกี่ยวกับการลักลอบนำของเข้ามาในราชอาณาจักร โดยให้หักจ่ายเป็นเงินสินบนร้อยละสี่สิบ และเป็นเงินรางวัลร้อยละสี่สิบ แต่กรณีที่มีผู้รับของกลาง หรือของกลางไม่อาจจำหน่ายได้ให้หักจ่ายจากเงินค่าปรับ (8) ความผิดตามมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ เฉพาะกรณีความผิดฐานผลิตเลียนแบบหรือจำหน่ายโดยมิได้รับรางวัลหรือของสิ่งต่างๆ ที่นำมาขายของกลาง แต่กรณีที่มีผู้รับของกลางหรือของกลางไม่อาจจำหน่ายได้ให้หักจ่ายจากเงินค่าปรับ (9) ความผิดตามมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ เฉพาะกรณีความผิดฐานผลิตเลียนแบบหรือจำหน่ายโดยมิได้รับรางวัลหรือของสิ่งต่างๆ ที่นำมาขายของกลาง แต่กรณีที่มีผู้รับของกลางหรือของกลางไม่อาจจำหน่ายได้ให้หักจ่ายจากเงินค่าปรับ เงินสินบนและเงินรางวัลตาม (8) และ (9) ให้หักจ่ายเป็นเงินสินบนร้อยละสี่สิบ และเป็นเงินรางวัลร้อยละสี่สิบ แต่กรณีที่มีผู้รับของกลางหรือของกลางไม่อาจจำหน่ายได้ให้หักจ่ายจากเงินค่าปรับ

มาตรา ๒๖๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๗ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าบุคคลนั้นยอมรับสารภาพ หรือให้ทำความตกลง หรือทำคำพิพากษา หรือให้ประกันตามที่อธิบดีเห็นสมควรแล้วอธิบดีจะพิจารณาเรื่องราวร้องขอได้ดี และให้อธิบดีดำเนินการกับบุคคลนั้นตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้

ในกรณีเช่นนี้อธิบดีมีอำนาจจะฟ้องคดีตามพระราชบัญญัตินี้ได้ทันทีที่เหตุผลในการฟ้องคดีฐานความผิดได้พอ

มาตรา ๒๖๗ ความผิดตามมาตรา ๒๖๗ มาตรา ๒๘ มาตรา ๒๙ และมาตรา ๒๖๘ ถ้ารายการของกลางหรือการกระทำดังกล่าวมีลักษณะการเสียหายมาก ให้คณะกรรมการปรับเปรียบเทียบดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้

คณะกรรมการปรับเปรียบเทียบความรับผิดตามวรรคหนึ่งประกอบด้วยผู้แทนกรมศุลกากร ผู้แทนกระทรวงการคลังและผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อคณะกรรมการปรับเปรียบเทียบได้ทำการปรับเปรียบเทียบครบถ้วนแล้ว และผู้ต้องหาได้ชำระเงินค่าปรับหรือได้ทำความตกลง หรือทำคำพิพากษา หรือให้ประกัน ตามคำสั่งปรับเปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการปรับเปรียบเทียบกำหนดแล้ว ให้อธิบดีดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ บทเฉพาะกาล

มาตรา ๒๖๘ ให้การกระทำที่ผู้กระทำผิดถูกจับกุมได้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ซึ่งมีการดำเนินการอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นการกระทำที่ผู้กระทำผิดถูกจับกุมได้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ จนกว่าจะได้มีการดำเนินคดี ผู้กระทำความผิดถูกจับกุมได้ในวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ

มาตรา ๒๖๙ เมื่อพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ

(a) ให้คลังสินค้าทัณฑ์บน ที่มั่นคง และเขตปลอดอากร ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2560 และดำเนินการอยู่ในขอบข่ายที่พระราชบัญญัตินี้บังคับ เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บน ที่มั่นคง และเขตปลอดอากร ตามพระราชบัญญัตินี้ (b) ให้หน่วยงานหรือองค์กรที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2560 และดำเนินการอยู่ในขอบข่ายที่พระราชบัญญัตินี้บังคับ เป็นหน่วยงานตามพระราชบัญญัตินี้

(ค)

ให้คลังสินค้าทัณฑ์บน คลังสินค้า โรงพักสินค้า ท่าเรือ และเขตปลอดอากรตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมทั้งผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ยังคงดำเนินการต่อไปได้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ผู้ดำเนินการตามมาตรตรา 54 ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือไม่เสียค่าธรรมเนียมตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้ ให้อธิบดีเพิกถอนการจัดตั้งกิจการดังกล่าวโดยให้บาบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2545 ใช้บังคับ

มาตรา 60 บาบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2560 วรรคสอง มาตรา 60 จะไม่บังคับใช้กับความผิดที่เกิดขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับแล้ว

มาตรา 61 บรรดาพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่ง ที่ออกตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2480 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2482 หรือพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2545 ที่มีผลใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะมีการออกพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่งขึ้นใหม่

การดำเนินการตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งตามวรรคหนึ่งให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดำเนินการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ``` ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ``` อัตราค่าธรรมเนียม

(ก)

ใบอนุญาต

(ก)

จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน ฉบับละ 10,000 บาท

(ข)

จัดตั้งโรงพักสินค้า ฉบับละ 20,000 บาท

(ค)

ตั้งสนามบิน ฉบับละ 50,000 บาท

(ง)

จัดตั้งท่าเรือรับอนุญาต ฉบับละ 50,000 บาท

(จ)

ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ฉบับละ 20,000 บาท

(ข)

ค่าธรรมเนียมรายปี

(ก)

การจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ท่าเรือรับอนุญาต และเขตปลอดอากร ปีละ 40,000 บาท

(ข)

การประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ปีละ 45,000 บาท

(ค)

การดำเนินพิธีการศุลกากร

(ก)

การยื่นใบขนสินค้า ฉบับละ 200 บาท

(ข)

การขอรับสำเนาข้อมูลในฐานข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับละ 200 บาท

(ง)

การดำเนินการตามมาตรา 72

(ก)

ประกอบกิจการในคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ท่าเรือรับอนุญาต หรือเขตปลอดอากร เพื่อตรวจปล่อยของ ฉบับละ 800 บาท

(ข)

ประกอบการในจุดศุลกสถานหรือสถานที่นอกจาก (ก) และ (ข) รายละ 800 บาทต่อครั้ง

(จ)

ใบปล่อยเรือออกจากอารักขาศุลกากร

(ก)

กรณีออกไปนอกราชอาณาจักร ลำละ 500 บาท

(ข)

กรณีออกไปต่างท่าหรือสนามบิน ลำละ 500 บาท

(ฉ)

การประจำเรือหรือเรือบรรทุกน้ำตาลทรายดิบ หรือเรือที่ขนถ่ายสินค้าอื่น ๆ ตามมาตรา 126

(ก)

ค่าค้นหา กิโลเมตรละ 100 บาท แต่ไม่เกิน 3,000 บาท

(ข)

ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ รายวัน คณะละ 800 บาท สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

(๙)

การร้องขอให้พิจารณาเป็นการล่วงหน้าตามมาตรา ๑๔

(ก)

การกำหนดราคาสุทธิกากร ฉบับละ ๒,๐๐๐ บาท

(ข)

การกำหนดคำนำหนักเนื่องของ ฉบับละ ๒,๐๐๐ บาท

(ค)

การตีความพิกัดอัตราศุลกากร ฉบับละ ๒,๐๐๐ บาท

(๑๐)

ค่าใช้จ่ายในการเผาทำลายของ หน่วยหรือ ตามระยะเวลาต่อวัน คำสั่งกรมศุลกากร ราช

(๑๑)

ค่าธรรมเนียมในการให้บริการของศุลกากรที่เกี่ยวกับการผ่านแดนตามมาตรา ๑๒๐ คันละ ๒,๐๐๐ บาท หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติสุดการทหาร พุทธศักราช ๒๔๙๔ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและมีบทบัญญัติบางเรื่องล้าสมัยหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งยังมีสาระทางกฎหมายบางส่วนไม่เหมาะสมหรือมีข้อคำกล่าวตลอดจนบ้าง ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้บังคับกฎหมายประกอบกับการดำเนินการส่งกำลังระหว่างประเทศได้พัฒนาและขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้บทความจำเป็นต้องปรับปรุงการดำเนินพิธีการศุลกากรและการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สมควรปรับปรุงพระราชบัญญัติสุดการทหารเพื่อให้เกิดความสอดคล้องในการบริหารของประเทศ สมควรปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิมพ์คำขาว/วรรณยุกต์/จัดทำ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ปริญสิทธิ์/ตรวจ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐