로고

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ______________________ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๔๘ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖

โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและ

นำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๖”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจา

นุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“ธนาคาร” หมายความว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย “ผู้ส่งออก” หมายความว่า ผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศ รวมทั้งบุคคลซึ่งมี คุณสมบัติตามที่คณะกรรมการกำหนดซึ่งทำการส่งออกสินค้า หรือบริการไปจำหน่ายยังต่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนเป็นทรัพย์สินหรือสิ่งอื่นใดที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศ รายได้จากอากร และให้หมายความรวมถึงผู้รับโอนผลตอบแทนดังกล่าวด้วย “ธนาคารของผู้ส่งออก” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินที่ให้ สินเชื่อแก่ผู้ส่งออก หรือดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำเอกสารเพื่อการส่งออกให้แก่ผู้ส่งออก “ผู้ประกอบการในประเทศ” หมายความว่า ผู้ประกอบการที่ทำการซื้อสินค้าหรือบริการจาก ประเทศไทย หรือสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย “ธนาคารของผู้ประกอบการในประเทศ” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินหรือองค์กร อื่นใดที่ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในประเทศ หรือดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำเอกสารเพื่อการซื้อ “ผู้ลงทุน” หมายความว่า ผู้ลงทุนในต่างประเทศ *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๐/ตอนที่ ๗๔/ฉบับพิเศษ หน้า ๑๐/๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๖

มาตรา ๓ นิยามคำว่า “ผู้ลงทุน” เพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒

``` - ๒ - สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

(๑)

ผู้ประกอบกิจการในประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกสิ่งสินค้าหรือบริการจากประเทศไทย กิจการที่ได้มาหรือสนับสนุนการได้มาซึ่งเงินตราต่างประเทศ หรือกิจการที่ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ

(๒)

ผู้ประกอบกิจการในต่างประเทศ ซึ่งมีผู้ลงทุนหรือร่วมลงทุนดังต่อไปนี้

(ก)

เป็นผู้มีสัญชาติไทย หรือ

(ข)

เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งมีผู้ลงทุนเป็นผู้มีสัญชาติไทย หรือ

(ค)

เป็นโดยบุคคลตาม (ก) หรือเป็นนิติบุคคลตาม (ข) ลงทุนในนิติบุคคลอื่น และมีผู้มีสัญชาติไทยลงทุนในนิติบุคคลนั้น และเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย หรือข้อบังคับหรือข้อตกลงของนิติบุคคลนั้นส่วนใหญ่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด หรือในการออกคะแนนเสียงข้างมากเพื่อกำหนดนโยบายการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น “ธนาคารของผู้ลงทุน” หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน หรือองค์กรอื่นที่ให้สินเชื่อ ค้ำประกัน หรือให้บริการทางการเงินที่เกี่ยวกับการลงทุนแก่ผู้ลงทุน “เงินลงทุน” หมายความว่า ทุนประเภทตามมาตรา ๔ และเงินที่ใช้ในการเพิ่มทุนตามมาตรา ๖๐ เงินสินเชื่อหรือเงินกู้ยืมที่ได้รับจัดสรรตามมาตรา ๖๓ ทั้งนี้ เงินลงทุนตามหมวดนี้เกิดขึ้นในทุกวงการเงินที่อยู่ภายใต้ และไม่เกี่ยวข้องจากการกระทำผิดกฎหมาย “คณะกรรมการการเงิน” หมายความว่า คณะกรรมการที่มีผู้แทนจากรัฐมนตรี และคณะกรรมการกำหนด “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการการเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการตามคณะกรรมการเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย “ผู้จัดการ” หมายความว่า ผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้อำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑

การจัดตั้งและเงินทุน

มาตรา ๕ ให้จัดตั้งธนาคารขึ้นเรียกว่า “ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย” เรียกโดยย่อว่า “ธสน.” และให้เป็นนิติบุคคล

มาตรา ๖ บัญญัติว่า “ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย” เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒

```

มาตรา 6 ให้ธนาคารตั้งสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสาขา หรือสำนักงานผู้แทน ณ ที่ใดภายในหรือภายนอกราชอาณาจักรก็ได้ แต่การจะตั้งสาขาหรือสำนักงานผู้แทนภายนอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน

มาตรา 7 ให้ธนาคารมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจอันเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยให้มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

(1) ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพย์สินใด ๆ ซื้อ จัดหา ขาย จำหน่าย เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม รับจำนำ รับจำนอง แลกเปลี่ยน โอน รับโอน หรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ตลอดจนบริหารทรัพย์สินที่มีผู้อื่นนำมาฝากไว้ (2) ให้สินเชื่อแก่นักลงทุน ผู้ส่งออก ธนาคารของผู้ส่งออก ธนาคารของผู้นำเข้า หรือผู้อื่น (3) ให้สินเชื่อเพื่อการนำเข้าสินค้าหรือบริการที่ใช้ในการผลิตสินค้าส่งออก หรือเพื่อการพัฒนาประเทศ (4) ให้สินเชื่อหรือบริการทางการเงินในรูปอื่นซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของธนาคาร (5) ออกตั๋วเงินหรือสลักหลังรับรองตั๋วเงินที่ออกโดยผู้อื่นเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจของผู้ส่งออก ธนาคารของผู้ส่งออก หรือธนาคารของผู้นำเข้า แล้วแต่กรณี (6) รับประกันความเสียหายในกรณีการได้รับชำระเงินจากผู้ซื้อหรือธนาคารของผู้ซื้อแก่ผู้ส่งออก (7) รับประกันความเสียหายในกรณีการได้รับชำระเงินจากการขายสินค้า หรือบริการแก่ผู้ส่งออก (8) รับประกันความเสียหายในกรณีการที่ธนาคารของผู้ส่งออก หรือธนาคารของผู้ลงทุนถูกเรียกให้ชำระเงินตามหนังสือค้ำประกัน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด *มาตรา 7 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 *มาตรา 7 (8) (ข) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2545 *มาตรา 7 (8) (ค) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2548 *มาตรา 7 (8) (ง) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2550

(ซ)

⁶⁾ รับประกันความเสี่ยงในการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุนตาม (ข) ของบทนิยามคำว่า “ผู้ลงทุน” ในมาตรา ๓ เฉพาะความเสี่ยงทางการเมือง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง

(ซ)

⁷⁾⁾ รับประกันความเสียหายในการให้สินเชื่อของธนาคารของผู้ลงทุนในต่างประเทศจากการเมือง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง

(ฌ)

เป็นการสนับสนุนการนำเข้าสิ่งของที่ผลิตสินค้าและบริการของประเทศไทย โดยจะส่งเสริมการประกอบกิจการในต่างประเทศของผู้ลงทุน และยังรวมถึงการส่งเสริมการส่งออกหรือการพัฒนาประเทศ

(ญ)

ซื้อ ข้อความ หรือรับช่วงสิทธิของธนาคารการเงิน หรือรับโอนสิทธิเรียกร้องของผู้รับประโยชน์ในตราสารนั้น

(ฎ)

รับรางวัลดัชนีเงิน รับรางวัลดัชนี หรือสอดเข้าแทนที่ในดัชนีเงิน

(ฏ)

เรียกเก็บค่าบริการ ส่วนลด ค่าธรรมเนียมและค่าบริการอื่น ๆ อันเนื่องมาจากการให้เงินยืมเงิน ซื้อ ข้อความ รับช่วงสิทธิของตราสารนั้น และการให้บริการการเงินอื่น ๆ

(ฐ)

ออกตราสารทางการเงิน

(ฑ)

ขาย ขายต่อ หรือขายช่วงตราสารทางการเงิน

(ฒ)

รับโอนเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดจากธนาคารหรือสถาบันการเงินของธนาคาร

(ณ)

ให้เงินกู้แก่ผู้รับประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของธนาคาร หรือเพื่อระดมเงินจากสถาบันการเงินของธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควรต่อไป

(ด)

ทำธุรกรรมเกี่ยวกับการลงทุนในเศรษฐกิจของประเทศ

(ต)

ออกหลักทรัพย์หรือหุ้นกู้ของธนาคารในการลงทุนเพื่อสนับสนุนให้ธนาคารได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ

(ถ)

กระทำการอื่นนอกที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดการให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของธนาคาร การรับประกันความเสี่ยงตาม (ข) (ซ)⁶⁾ (ซ)⁷⁾ และ (ฌ) ให้รวมถึงการรับประกันภัยด้วย

มาตรา ๔ ให้กำหนดทุนประเดิมของธนาคารเป็นจำนวนสองพันห้าร้อยล้านบาท

ประกอบด้วย “มาตรา ๓ (ซ)⁶⁾ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐” “มาตรา ๓ (ซ)⁷⁾ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐” “มาตรา ๓ (ฌ) เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐” “มาตรา ๔ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐” “มาตรา ๔ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐”

(๑)

เงินผลกำไรรวมทั้งดอกผลตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารเงินผลกำไรที่ได้จากมาตรการทางภาษี เนื่องจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อส่งเสริมกิจการที่ดำเนินให้เป็นเงินตราต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๗

(๒)

เงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายสมทบครบจำนวนทุนประเดิม ให้พระราชกฤษฎีกาตั้งค่าในกรณีเงินทุนตาม (๑) และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินสมทบครบจำนวนทุนประเดิมตาม (๒) โดยให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้และให้เงินส่วนที่เหลือในกรณีเงินทุนตาม (๑) และเงินสมทบครบจำนวนทุนประเดิมตาม (๒) ที่เหลือในส่วนนี้เป็นของพระราชบัญญัตินี้ทั้งสิ้น

มาตรา ๑๐ การเพิ่มทุนของธนาคารให้กระทำโดยได้รับเงินจากการแข่งขันประเทศไทยหรือได้รับการจัดสรรจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือจากแหล่งเงินอื่นโดยได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี

มาตรา ๑๑ เงินที่ใช้หมุนเวียนในการดำเนินกิจการประกอบด้วย

(๑)

เงินกองทุน

(๒)

เงินซึ่งธนาคารการเกษตรแห่งประเทศไทย

(ก)

เงินที่ได้จากการออกตราสารหนี้ หรือเงินกู้ยืมจากธนาคาร

(ข)

เงินประกันการให้กู้ยืมและการให้บริการ

(ค)

เงินที่ได้จากงบประมาณแผ่นดินในประเทศ

(ง)

เงินที่ได้จากการขาย ขายต่อ ขายฝากของตราสารทางการเงิน

(จ)

รายได้ของธนาคาร

(ฉ)

เงินที่มีผู้มอบให้

(ช)

เงินจากแหล่งเงินอื่นที่รัฐมนตรีอนุมัติ

มาตรา ๑๒ ให้ธนาคารได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการจดจำนองธนาคาร

หมวด ๒

คณะกรรมการและการจัดการ

มาตรา ๑๓ ให้มีคณะกรรมการธนาคารและตั้งชื่อว่า “คณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรม และผู้จัดการ เป็นกรรมการ และกรรมการอื่นอีกไม่เกิน

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - 6 - ห้าคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยในจำนวนนี้ต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนอย่างน้อยสามคน ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง เป็นประธานกรรมการกรรมการที่เหลือของคณะรัฐมนตรี การให้ประธานกรรมการพ้นจากตำแหน่ง ให้รัฐมนตรีเป็นผู้สั่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี กรณีกรรมการซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 4 กรรมการที่เหลืออยู่ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้

มาตรา 4 กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งระหว่างอยู่ในตำแหน่งด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดดังต่อไปนี้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการอื่นแทนตำแหน่งที่ว่างลง

(ก)

ตาย

(ข)

ลาออก

(ค)

รัฐมนตรีให้ออกด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี

(ง)

เป็นบุคคลล้มละลาย

(จ)

เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(ฉ)

ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

มาตรา 5 การประชุมคณะกรรมการหรือคณะกรรมการย่อยต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม

การวินิจฉัยของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา 13 กรรมนีแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลิกสภาตลอดจนตำแหน่งแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560

มาตรา ๑๗ คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแล โดยทั่วไปซึ่งกิจการของธนาคารอันอยู่ในขอบวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๗ อำนาจหน้าที่นั้นให้รวมถึง

(๑)

แต่งตั้งและถอดถอนผู้จัดการหรือคณะผู้จัดการตามข้อบังคับของธนาคาร

(๒)

กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เงินเดือน เงินบำเหน็จ และค่าใช้จ่าย

(๓)

กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง การจ้าง ทรัพย์สิน และการบัญชี รวมทั้งการตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของธนาคาร

(๔)

กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารและดำเนินกิจการ

(๕)

กำหนดคุณสมบัติ ประเภทสินค้า บริการ และเงื่อนไขการให้สินเชื่อ การลงทุนของผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และผู้ลงทุนที่สมควรได้รับการสนับสนุน

(๖)

กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรับประกันความเสี่ยง การออกธนบัตร อัตราเบี้ยประกัน การประเมินราคาทรัพย์สินและการจัดให้คำสินไหมทดแทน

(๗)

พิจารณาให้ความเห็นชอบงบประมาณของธนาคาร

มาตรา ๑๘ คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารคณะหนึ่งประกอบด้วยผู้จัดการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการอีกจำนวนหนึ่งไม่เกินห้าคน โดยจำนวนนี้ให้แต่งตั้งจากกรรมการโดยตำแหน่งไม่เกินหนึ่งคน เป็นกรรมการบริหารและกำหนดให้กรรมการบริหารคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการบริหาร ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการบริหารมีอำนาจหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมอบหมาย

มาตรา ๑๙ ให้ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการบริหารได้รับเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา ๒๐ ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการของธนาคารให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของธนาคาร และตามนโยบายหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด ในการบริหารของธนาคารที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้จัดการเป็นผู้แทนของธนาคาร และเพื่อการนี้ผู้จัดการอาจมอบอำนาจให้แก่บุคคลใดกระทำการแทนอย่างแทนตนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด

หมวด ๓

การกำกับ การดำเนินงานและการควบคุม

มาตรา ๒๑ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของธนาคารเพื่อการชี้แจงสั่งให้ธนาคารชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับกิจการของธนาคารต่อคณะรัฐมนตรีและต่อรัฐมนตรี ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินกิจการของธนาคารสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอาจสั่งให้ธนาคารดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรีได้

มาตรา ๒๒ (๔) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา 26 ให้ธนาคารจัดสรรเงินกองทุนเป็นข้อกำหนดกับสินทรัพย์ หนี้สิน หรือภาระผูกพันตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง

มาตรา 27 ในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายเนื่องจากการดำเนินธุรกิจตามนโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงการคลังจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีเพื่อชดเชยเท่ากับจำนวนความเสียหายนั้น

มาตรา 28 ในกรณีที่ธนาคารได้รับความเสียหายจากการดำเนินธุรกิจการรับประกันความเสียหายตามในมาตรา 25 (1) (2) (3) (4) หรือ (5) อันอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของธนาคารหรือมีผลทำให้ธนาคารไม่สามารถดำรงเงินกองทุนตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 26 ได้ ให้กระทรวงการคลังจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือเงินอื่นเพื่อชดเชยการขาดทุนหรือเพื่อเพิ่มทุน

มาตรา 29 ในกรณีที่มีการก่อหรือรู้ว่าจะก่อให้ธนาคารต้องรับผิดชำระเงินเงินจากแหล่งให้กู้ยืมในต่างประเทศหรือภายในประเทศ หรือหนี้อื่นอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคาร ให้กระทรวงการคลังจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือเงินอื่นเพื่อชดเชยความเสียหายหรือเพื่อเพิ่มทุนตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นสมควร ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยความเสียหายที่มีอยู่ในกฎหมายใด

การดำเนินการตามวรรคหนึ่งจะกระทำในกรณีธนาคารไทยพาณิชย์ตรวจสอบงบสัญญาเงินกู้ วรรคหนึ่ง ให้ใช้วิธีการแก้ไขตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 30 ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของธนาคารและเสนอรายงานผลการสอบบัญชีต่อรัฐมนตรี

ให้ธนาคารจัดทำงบกิจการประจำปี งบคุม บัญชีค่าใช้จ่ายและงบทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีตามวรรคหนึ่งได้รับรองแล้วส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อทราบภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นบัญชีแต่ละปี

หมวด 4 การจัดสรรกำไร

*มาตรา 31 และให้เพิ่มเติมโดยแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560* *มาตรา 32 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562*

มาตรา ๒๙ การจัดสรรกำไรสุทธิประจำปี ให้ธนาคารจัดสรรเป็นเงินสำรองไว้ในกิจการของธนาคารไม่น้อยกว่าร้อยละหนึ่งของกำไรสุทธิ ส่วนที่เหลือให้จัดสรรเข้เงินกองทุนและหรือนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ``` - ๑๐ - หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญนับว่าอย่างมากต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับการค้าระหว่างประเทศที่มีการแบ่งเขตข้ามกัน ดังนั้นจึงสมควรจัดตั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยขึ้นเป็นองค์กรทำหน้าที่ให้บริการทางการเงินและบริการค้าอื่น เพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ อันจะเป็นการอำนวยประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่มีสมควรแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยเพื่อให้มีกิจการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ดังนั้น โดยให้สามารถให้สินเชื่อ ให้บริการทางการเงินรูปอื่น สำหรับสนับสนุนหรือปรับปรุงโครงสร้างผลิต ตลอดจนให้มีอำนาจนำเงินหรือให้สินเชื่อเพื่อการลงทุนในกิจการต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือผู้ลงทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารดังกล่าวสามารถดำเนินการลงทุนในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุนในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ผู้ลงทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารดังกล่าวสามารถดำเนินการลงทุนในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน สมควรแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ *พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติในอดีตคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕*

มาตรา ๓๔ ในพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๖ ให้แก้ไขคำว่า “อธิบดีกรมเศรษฐกิจ” เป็น “อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ”

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้โอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปยังส่วนราชการอื่น ซึ่งมีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจการบริหารส่วนราชการในหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม นั้นแล้ว และเนื่องจากพระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดให้บทบัญญัติในอดีตคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐบาลจึงตราพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้ส่วนราชการเดิมมีการปฏิบัติราชการที่เหมาะสม โดยให้แก้ไขบทบัญญัติในอดีตให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการใหม่ ``` หน้าที่ที่ต้องไปด้วย ฉะนั้น เพื่อมุ่งจัดให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว สมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอนส่วนราชการ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่ต้องไปค้นหาในกฎหมายโอนย้ายหน้าที่หรือตามกฎหมายใดที่มีการโอนย้ายการจัดตั้งส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายอื่นไปเป็นของส่วนราชการใดหรือรัฐวิสาหกิจใด โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้เหมาะสมเปลี่ยนชื่อส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่มีการโอนย้ายหน้าที่หรือการจัดตั้งส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจใหม่ให้ถูกต้อง และสมควรกำหนดกระบวนการในการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อการจัดโอนงานตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้ชัดเจนและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560"

มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้กรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปี และเมื่อพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้ดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการใหม่เข้าดำรงตำแหน่ง

มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการเพื่อขยายขอบอำนาจในการกระทำกิจการของธนาคารในส่วนที่เกี่ยวกับการรับประกันและเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยรวมทั้งเพื่อให้การดำเนินงานของธนาคารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ```plaintext บุรณ/เพิ่มเติม 6 สิงหาคม 2563 ```