로고

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า ของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๗ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามบทบัญญัติ ป่าไม้ เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และเพื่อให้การบริหารจัดการ บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว

ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒

โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยป่าชุมชน

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่บทบัญญัติในมาตรา ๔ หมวด ๓ หมวด ๔ หมวด ๕ และ

มาตรา ๓๙ มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ มาตรา ๔๗ และมาตรา ๔๘

ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๓ บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้มุ่งหมายให้บุคคลและชุมชนได้รับประโยชน์

จากป่าชุมชน เกิดจิตสำนึกในการดูแลรักษาและจัดการป่าชุมชนร่วมกันทั้งนี้ เพื่อป้องกันการตัดไม้ โดยผิดกฎหมายและการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่า เพื่อรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางชีวภาพไปให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และคงอยู่เป็นมรดกทางธรรมชาติของประเทศและของมนุษยชาติสืบไป และผู้มุ่งหมายเพื่อพัฒนาสาระประโยชน์ของบุคคลและชุมชนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษาตลอดจนไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ อย่างสมดุลและยั่งยืนตามหลักรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติรับรอง

มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้

“ชุมชน” หมายความว่า ป่าชุมชน ป่าชายเลน หรือทรัพยากรอื่นของรัฐซึ่งอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรืออุทยานแห่งชาติ หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า หรือพื้นที่อื่นที่รัฐจัดให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ หรืออยู่ในความครอบครองของรัฐหรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ที่ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันมาเป็นเวลานานแล้ว “ชุมชน” หมายความว่า กลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อทำกิจกรรมหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของชุมชนในชุมชนนั้น โดยมีการจัดตั้งคณะทำงาน มีระบบบริหารจัดการในรูปของคณะบุคคลและมีการแสดงเจตนาเหตุผลเด่นชัด “เขตป่าชุมชน” หมายความว่า เขตชุมชนตามที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ เขตสงวนแห่งชาติ หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า หรือพื้นที่อื่นที่อยู่ในที่สาธารณประโยชน์ หรืออยู่ในความครอบครองของรัฐหรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และให้หมายความรวมถึงพื้นที่ที่ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันมาเป็นเวลานานแล้ว “ประโยชน์จากไม้” หมายความว่า ตัด ฟัน กาน โค่น เลื่อย ผ่า ถาก ทอน ขุด หรือกระทำโดยวิธีการอื่นใด หรือขัดถากไม้ที่อยู่ในป่าชุมชนหรือที่ไม่ได้อยู่ในป่าชุมชนของชุมชนตามที่รัฐประกาศไว้ “ไม้ทรงคุณค่า” หมายความว่า ไม้หวงห้ามตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ และให้หมายความรวมถึงไม้ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และยังอยู่ในป่าชุมชนของชุมชนหรือชนิดที่กำหนดในกฎกระทรวง “ซุงป่า” หมายความว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดหรือมีอยู่ในป่าชุมชน เป็นต้นว่า

(ก)

ฟืน ถ่านไม้ เปลือกไม้ ไม่ไผ่ ใบไม้ ดอกไม้ เมล็ด ผลไม้ หน่อไม้ ชัน และยางไม้

(ข)

หญ้า อ้อ แขม ไม้รวก ปรือ กก กกรุง กกแห้ว และแฝก

(ค)

สัตว์ป่า รวมถึง ซากสัตว์ป่า

(ง)

ดิน หิน กรวด และทราย แต่ไม่รวมถึงแร่ธาตุหรือทรัพยากรธรรมชาติอื่นอันมีลักษณะและคุณภาพพิเศษซึ่งจะใช้เป็นพลังงานหรือประโยชน์อย่างอื่น ``` - ๓ - “ความหลากหลายทางชีวภาพ” หมายความว่า ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และให้หมายความรวมถึงความหลากหลายทางพันธุกรรม ทางชนิดพันธุ์ และทางระบบนิเวศอันเป็นถิ่นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวนั้น “สมาชิกป่าชุมชน” หมายความว่า สมาชิกของป่าชุมชนที่ได้จัดทำทะเบียนรายชื่อดังนี้ “คณะทำงานป่าชุมชน” หมายความว่า การรวมตัวของคณะกรรมการดำเนินการป่าชุมชน หรือสมาชิกป่าชุมชนซึ่งมาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อดำเนินการจัดการป่าชุมชนร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และการเป็นสมาชิกป่าชุมชนจะไม่ขัดต่อระเบียบที่อธิบดีกำหนด “ทรัพยากรส่วนกลาง” หมายความว่า เงินและทรัพยากรส่วนที่ได้มาเพื่อใช้ในการจัดการป่าชุมชนให้สมาชิกป่าชุมชนร่วมกันดูแลในบริเวณที่การใช้ประโยชน์ และทรัพยากรที่สมาชิกป่าชุมชนร่วมกันจัดทำในการจัดการป่าชุมชน “องค์กรภาคประชาสังคม” หมายความว่า องค์กรที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสิทธิของชุมชนและผู้รักษาทรัพยากรธรรมชาติ หรือองค์กรที่ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือองค์กรที่ไม่ได้เป็นนิติบุคคล ทั้งนี้ โดยไม่มีการหาผลกำไรหรือรายได้แบ่งปัน และไม่กระทำการในลักษณะการประกอบกิจการสังคมหรือการไม่ควรยอมรับเพื่อสิทธิอันเกี่ยวกับการดำเนินการป่าชุมชน “เจ้าหน้าที่รัฐ” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมป่าไม้ “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงและประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ บททั่วไป

มาตรา ๕ เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการรู้จักการอนุรักษ์ ฟื้นฟู บำรุงรักษา ตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืนในแนวทางต่าง ๆ อย่างเหมาะสม โดยป่าชุมชนต้องตั้งขึ้นในที่ดินที่รัฐจัดให้ดังต่อไปนี้

(๑)

การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ```

(ข)

การฟื้นฟูพื้นที่ป่าในเขตป่าชุมชนโดยการปลูกป่าทดแทน

(ค)

การเสริมสร้างความร่วมมือจากทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในการจัดการป่าชุมชน

(ง)

การส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีที่หลากหลายของชุมชนในการอนุรักษ์ การฟื้นฟู การพัฒนา การควบคุมดูแล และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชน

(จ)

การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน

มาตรา ๗ การจัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่ป่าหรือพื้นที่ของรัฐ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอจัดตั้งป่าชุมชน สมาชิกป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าชุมชน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอจัดตั้งป่าชุมชน การจัดการป่าชุมชน การควบคุมดูแลป่าชุมชน การเพิกถอนป่าชุมชน และกรณีอื่นที่จำเป็น

หมวด ๒

คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน

มาตรา ๘ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน” ประกอบด้วย

(๑)

รองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ

(๒)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ

(๓)

กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์

(๔)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์จากผู้ประกอบวิชาชีพหรือผู้มีส่วนได้เสียในด้านต่าง ๆ มีจำนวน ๗ คน และในจำนวนนี้ต้องมีผู้แทนองค์กรชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าชุมชน จำนวนไม่น้อยกว่า ๒ คน และผู้แทนองค์กรชุมชนระดับชาติ จำนวนไม่น้อยกว่า ๑ คน ให้อธิบดีเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้อธิบดีแต่งตั้งข้าราชการของกรมป่าไม้เป็นผู้ช่วยเลขานุการกรรมการนโยบายได้ตามความจำเป็น

มาตรา ๑๑ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

ก. คุณสมบัติ

(๑)

มีสัญชาติไทย

(๒)

มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี

(๓)

มีความรู้ ความสามารถ มีผลงาน และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๖ ข. ลักษณะต้องห้าม

(๑)

เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

(๒)

เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(๓)

ติดยาเสพติดให้โทษ

(๔)

เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและพ้นโทษมายังไม่ถึงหนึ่งปีเว้นแต่เป็นโทษฐานประมาท หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(๕)

เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นเพราะกระทำผิดวินัยหรือมีความประพฤติเสื่อมเสียร้ายแรง

มาตรา ๑๒ ให้คณะกรรมการสรรหาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่สรรหาบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๙ (๔) ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา และผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการสรรหา

ให้อธิบดีแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งเป็นกรรมการสรรหาและเลขานุการ ให้คณะกรรมการสรรหามีอำนาจหน้าที่ในการสรรหาบุคคลที่สมควรเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้กรรมการไม่ปฏิบัติหน้าที่ในที่เป็นส่วนราชการของคณะกรรมการสรรหา

มาตรา ๑๓ ให้คณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๑๒ มีหน้าที่สรรหาและจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐ และทำการคัดผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีผลงาน และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้หรือมนุษยวิทยาหรือสังคมศาสตร์ กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม หรือองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรป่าไม้ โดยให้คำนึงถึงความหลากหลายของผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาในรายชื่อกรรมการสรรหาให้พิจารณาเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิให้รัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

ให้นับบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่รับรองโดยกรรมการสรรหาได้ไม่เกินเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไปจนบัญชีรายชื่อสิ้นอายุ หรือพ้นวาระที่ได้รับแต่งตั้งไปก่อนอธิบดีกรรมการกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ หลักเกณฑ์ วิธีการสรรหา และการเสนอรายชื่อบุคคลเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการสรรหากำหนด

มาตรา ๑๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้ ในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทน ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระยังคงปฏิบัติหน้าที่เพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าจะมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่

มาตรา ๑๔ ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระให้ดำเนินการจัดให้มีการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ภายในหกสิบวันก่อนวันครบวาระ

มาตรา ๑๕ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา ๑๓ วรรคหนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

(ก)

ตาย

(ข)

ลาออก

(ค)

ประธานกรรมการให้ออกเพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม หรือพ้นความสามารถ

(ง)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐ ในกรณีที่มีการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ก่อนวาระ ให้ประธานกรรมการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างสำหรับวาระที่เหลืออยู่ และให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งแทนตำแหน่งว่างอยู่ในวาระเท่ากับการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นไป เว้นแต่ วาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เหลืออยู่ไม่ถึงหกสิบวัน ประธานกรรมการอาจไม่แต่งตั้งกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิแทนก็ได้ในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้คณะกรรมการนโยบาย ประกอบด้วยกรรมการเท่าที่เหลืออยู่

มาตรา ๑๖ คณะกรรมการนโยบายมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(๑)

เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุน ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกของประชาชน หรือพิจารณาให้ความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับชุมชนตามที่คณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย

(๒)

เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดแนวทางการจัดการเงิน การคลัง หรือมาตรการอื่น เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานจัดการปัญหาของชุมชนตามที่คณะกรรมการจัดการปัญหา ชุมชนเสนอ

(๓)

เสนอแนะและให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีของพระราชบัญญัตินี้

(๔)

กำหนดระเบียบเพื่อปฏิบัติการพระราชบัญญัตินี้

(๕)

ให้ความเห็นชอบบัญชีรายชื่อข้อมูลที่คณะจัดตั้งเสนอมาให้ ความเห็นชอบ ส่งผลให้ และประสานการแก้ไขปัญหาของชุมชนในกรณีที่มีข้อขัดแย้งหรือข้อพิพาทเกี่ยวกับชุมชนหรือสังคมศาสตร์ ผู้แทนของการปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนคณะกรรมการจัดการปัญหาชุมชนในจังหวัดต่าง ๆ ตามที่กรรมการไม่เสนอเพื่อให้รัฐราชการจังหวัดแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด

(ข)

จัดทำรายงานและผลการดำเนินงานป่าชุมชนของจังหวัดหรือข้อเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีร่วมทั้งครั้ง เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริม การอนุรักษ์ การฟื้นฟูสภาพธรรมชาติในป่าชุมชน หรือการเพิ่มปริมาณการจัดการป่าชุมชน

(ค)

พิจารณารายงาน

(ง)

พิจารณาญัตติของที่ประชุมคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดที่ส่งการตามมาตรา 17 และพิจารณาการเสนอข้ออื่นตามมาตรา 9

(จ)

ปฏิบัติการอื่นตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการนโยบาย ในการเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนป่าชุมชนและหรือป่าชุมชนตาม (ข) และการเสนอแนะในการตราพระราชกฤษฎีกาและการออกกฎกระทรวงตาม (ล) ให้คณะกรรมการนโยบายรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาและเสนอแนะต่อรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา 17 ให้คณะกรรมการนโยบายกำหนดระเบียบว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาป่าชุมชน การอนุรักษ์ การฟื้นฟู การพัฒนา การควบคุมดูแล และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชน

มาตรา 18 ให้คณะกรรมการนโยบายกำหนดระเบียบว่าด้วยการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ประโยชน์จำกัดไม้ และใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชน โดยต้องคำนึงถึงกฎหมายว่าด้วยป่าไม้และกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติด้วย

มาตรา 19 การประชุมคณะกรรมการนโยบายต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบาย ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการเป็นประธาน ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ ถ้ามีเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มอีกเสียงหนึ่ง ในการประชุมคณะกรรมการนโยบาย ให้มีรายงานการประชุมและบันทึกเสียงการประชุมเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ

มาตรา ๒๐ ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับเบี้ยประชุม ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ตามระเบียบที่ประธานกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

มาตรา ๒๑ ให้คณะกรรมการมีอำนาจเชิญบุคคลเพื่อให้ข้อมูลหรือเอกสาร เพื่อพิจารณา หรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการเห็นสมควรได้ ให้คณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๙ และมาตรา ๒๐ ภายใต้บังคับแต่ละคณะกรรมการโดยอุโสมของคณะกรรมการตามมาตรา ๒๑ เมื่อมีอำนาจเรียกให้บุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริง ให้ความเห็นหรือคำแนะนำ หรือส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาได้

หมวด ๓

คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด

มาตรา ๒๒ ให้มีคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด ในจังหวัดที่มีการจัดตั้งป่าชุมชนหรือมีการขอจัดตั้งป่าชุมชนแล้ว ประกอบด้วย

(๑)

ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ

(๒)

กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ปลัดจังหวัด และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด

(๓)

ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งท้องที่ที่ป่าชุมชนตั้งอยู่ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจำนวนหนึ่งคน และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจำนวนหนึ่งคน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในจังหวัดนั้นซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจำนวนสองคนเป็นกรรมการ

(๔)

ประธานเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด เป็นกรรมการ

(๕)

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจำนวนไม่เกินเจ็ดคน โดยให้มีผู้แทนผู้ขอจัดตั้งป่าชุมชนหรือผู้แทนป่าชุมชนที่ได้รับการจัดตั้งแล้วในจังหวัดนั้นจำนวนหนึ่งคนเป็นกรรมการ และแต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการได้ไม่เกินสองคน ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งในกรณีตาม (๓) หรือ (๔) ให้คณะกรรมการประกอบด้วยกรรมการตามที่มีอยู่

มาตรา ๒๓ หลักเกณฑ์และวิธีการได้มา และการแต่งตั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับผู้ขอจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา ๒๒ (๓) ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด

มาตรา ๒๔ การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ๒๒ (๔) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาคัดเลือกผู้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือวิทยาศาสตร์ จำนวนไม่เกินสองคน ผู้แทน

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา องค์กรภาคประชาสังคม จำนวนไม่เกินสองคน และผู้แทนคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนในจังหวัด จำนวนไม่เกินสี่คน รวมทั้งตามระเบียบที่อธิบดีกรมป่าไม้กำหนดให้ความเห็นชอบตามมาตรา 16 (4) ให้นำความในมาตรา 10 มาตรา 13 มาตรา 50 มาตรา 62 มาตรา 63 และมาตรา 82 มาใช้บังคับกับกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด และการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดโดยอนุโลม

มาตรา 26 คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(1) พิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้งป่าชุมชน การขยายเขตป่าชุมชน การยกเลิกป่าชุมชน หรือการเพิกถอนป่าชุมชนในพื้นที่ของจังหวัด (2) ขยายระยะเวลาในการพิจารณาคำขอจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา 26 การจัดตั้งป่าชุมชน (3) มีมติให้กรรมการจัดการป่าชุมชนพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 45 วรรคสาม (4) แต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนตามมาตรา 27 และมาตรา 30 (5) พิจารณาอนุมัติแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการป่าชุมชน รวมทั้งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนดังกล่าวของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน และพิจารณาอนุมัติแผนตามมาตรา 50 วรรคสอง มาตรา 62 มาตรา 63 และมาตรา 66 (6) ให้คำแนะนำปรึกษาและความช่วยเหลือต่าง ๆ ต่อคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนในการจัดการป่าชุมชน (7) ควบคุมดูแลการจัดการป่าชุมชนของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ระเบียบของคณะกรรมการป่าชุมชน ข้อบังคับของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน และแผนการจัดการป่าชุมชน (8) ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของป่าชุมชนในจังหวัด รวมทั้งจัดทำรายงานเสนอคณะกรรมการนโยบายอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด (9) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการนโยบายมอบหมาย

มาตรา 27 ให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดมีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 25 หรือปฏิบัติการอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ป่าชุมชน ให้พิจารณาแต่งตั้งจากสมาชิกที่ได้รับการเสนอชื่อโดยคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนประจำป่าชุมชนที่เป็นสมาชิก

ในกรณีที่สมาชิกซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนลาออกจากสมาชิกภาพหรือไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่งของมาตรา 25 ให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนจากสมาชิกที่ได้รับการเสนอชื่อโดยคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนแทนสมาชิกที่พ้นจากการเป็นสมาชิก

มาตรา 28 เจ้าหน้าที่ป่าชุมชนพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

(๑๐)

(๑)

ตาย

(๒)

ลาออก กรณีเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนซึ่งแต่งตั้งจากสมาชิกป่าชุมชน

(๓)

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๘

มาตรา ๓๐ การถอดถอนเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนตามมาตรา ๒๙ (๔) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

(๑)

เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๘

(๒)

เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนไม่ปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ หรือระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการป่าชุมชน

หมวด ๔

การจัดตั้งป่าชุมชน

มาตรา ๓๑ เพื่อให้การจัดตั้งป่าชุมชนสอดคล้องกับการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ตามที่บัญญัติในหมวด ๒ การจัดการป่าชุมชน การกำหนดเขตของพื้นที่และลำดับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าชุมชน ขนาดของชุมชน และศักยภาพของชุมชนที่มีความสามารถในการจัดการป่าชุมชนอย่างยั่งยืน

การกำหนดเขตของพื้นที่ป่าชุมชนและลำดับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชน ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๓๒ ชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ในอำเภอเดียวกันกับพื้นที่ป่าซึ่งอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ และมีความสามารถดูแลรักษาป่านั้นได้ หากประสงค์จะนำพื้นที่นั้นมาจัดตั้งเป็นป่าชุมชน ให้บุคคลในชุมชนซึ่งมีความสนใจเข้าร่วมกันเป็นประชาคมขึ้นในระดับตำบลเป็นเบื้องต้นเพื่อสำรวจจัดตั้งป่าชุมชนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด หรือในกรณีที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดได้แต่งตั้งคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดให้พิจารณาดำเนินการแทนคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดตามระเบียบที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดวางไว้

บุคคลตามวรรคหนึ่ง ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์และมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ป่าชุมชน อันเป็นพื้นที่ของชุมชนที่ขอจัดตั้งป่าชุมชน ในกรณีเป็นการจัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ และในกรณีเป็นการจัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ หรือกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ในกรณีที่มีการขอจัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในเวลาเดียวกัน ให้ดำเนินการขอจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา ๑๕ แล้ว จะมีการยื่นคำขอจัดตั้งป่าชุมชนโดยให้พื้นที่นั้นทั้งหมดหรือบางส่วนของพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์เป็นป่าชุมชน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอจัดตั้งป่าชุมชนและการอนุญาตให้จัดตั้งป่าชุมชนให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๑๓ คำขอความมาตรา ๑๒ และเอกสารหรือหลักฐานประกอบคำขออย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้

(๑)

วัตถุประสงค์ของป่าชุมชน

(๒)

รายชื่อและประวัติโดยสังเขปของผู้ขอจัดตั้งป่าชุมชน ซึ่งคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นสมาชิกป่าชุมชนตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนดตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง

(๓)

รายชื่อคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนซึ่งเลือกตั้งจากที่ประชุมชุมชนตาม (๒) โดยมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นกรรมการจัดการป่าชุมชนที่คณะกรรมการนโยบายกำหนดตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง

(๔)

ความเป็นมาของชุมชนโดยสังเขป สภาพพื้นที่ที่ขอจัดตั้งป่าชุมชนและแผนที่แสดงขอบเขตและเขตติดต่อ

(๕)

แผนจัดการป่าชุมชนซึ่งต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของป่าชุมชน มีการกำหนดวิธีและแนวทางการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ หรือระบบและวิธีการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายและความเหมาะสมของพื้นที่ รวมทั้งแนวทางการพัฒนาพื้นที่ป่าชุมชนในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยต้องไม่ทำให้เกิดการสูญเสียสภาพ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชนอย่างยั่งยืน โดยต้องไม่ทำให้เกิดการสูญเสียสภาพ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชนอย่างยั่งยืน

(๖)

รายการอื่นที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๑๔ ให้สำนักงานตรวจสอบคำขอจัดตั้งป่าชุมชนและเอกสารหรือหลักฐานประกอบคำขอให้ครบถ้วนถูกต้อง และให้สำนักงานจัดทำรายงานผลการตรวจสอบคำขอจัดตั้งป่าชุมชนเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งต้องไม่เกินหกสิบวัน

ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าคำขอจัดตั้งป่าชุมชนและเอกสารหรือหลักฐานประกอบคำขอไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนให้สำนักงานพิจารณาแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอจัดตั้งป่าชุมชนแก้ไขเพิ่มเติมคำขอ หรือจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งต้องไม่เกินยี่สิบวัน ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอจัดตั้งป่าชุมชนไม่แก้ไขเพิ่มเติมคำขอ หรือไม่จัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าคำขอจัดตั้งป่าชุมชนนั้นเป็นอันยกเลิกและไม่อาจยื่นคำขอจัดตั้งป่าชุมชนในระยะเวลาต่อมา และให้สำนักงานพิจารณาแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอทราบเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเร็ว

มาตรา ๑๕ ให้สำนักงานจัดทำรายงานป่าชุมชนที่ไม่มีเอกสารหรือหลักฐานประกอบคำขอจัดตั้งป่าชุมชนที่ครบถ้วนถูกต้องตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา ๑๖ และให้สำนักงานแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยเร็ว

ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดตั้งป่าชุมชน ให้สำนักงานจัดทำคำขอจัดตั้งป่าชุมชนพร้อมเอกสารหรือหลักฐานประกอบคำขอที่ครบถ้วนถูกต้องตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา ๑๗ และให้สำนักงานแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยเร็ว และที่ทำการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แห่งท้องที่ที่พื้นที่ป่าที่ขอจัดตั้งป่าชุมชนตั้งอยู่หรือสถานที่อื่น หรือยอมเผยแพร่โดยวิธีการอื่นตามที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดเห็นสมควรเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน การจัดทำแผนที่แสดงแนวเขตป่าชุมชนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่ออกกำหนด

มาตรา ๑๓ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐใด หรือบุคคลซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินคดีว่าด้วยป่าไม้ในพื้นที่ที่ขอจัดตั้งป่าชุมชน หรือบุคคลซึ่งอยู่ระหว่างข้อพิพาทหรือแย้งสิทธิในพื้นที่ที่ขอจัดตั้งป่าชุมชน สมาคมหรือมูลนิธิที่แสดงข้อคัดค้านการขอจัดตั้งป่าชุมชนต่อคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดภายในกำหนดระยะเวลาปิดประกาศหรือเผยแพร่คำขอจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา ๑๒ ในกรณีมีเหตุอันควรปิดประกาศหรือเผยแพร่คำขอได้ครบกำหนดในสามสิบวันดังกล่าว ให้บันทึกคำคัดค้านหรือข้อสังเกต

มาตรา ๑๔ ให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดดำเนินการตรวจสอบคำขอจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา ๑๒ และจัดทำรายงานผลการตรวจสอบคำขอจัดตั้งป่าชุมชน แผนที่แสดงแนวเขตป่าชุมชน และความเห็นเกี่ยวกับคำขอจัดตั้งป่าชุมชนเสนอต่อคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดเพื่อพิจารณาและเสนอแนะในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นสุดการปิดประกาศหรือเผยแพร่คำขอจัดตั้งป่าชุมชนตามมาตรา ๑๒

การตรวจสอบคำขอจัดตั้งป่าชุมชนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๑๕ ให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาคำขอจัดตั้งป่าชุมชน แผนจัดการป่าชุมชน และรายงานผลการตรวจสอบ ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบตามมาตรา ๑๔

ในกรณีที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดเห็นว่าแผนจัดการป่าชุมชนไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ให้แจ้งผู้ยื่นคำขอจัดตั้งป่าชุมชนแก้ไขแผนจัดการป่าชุมชนได้ โดยต้องแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด ในกรณีดังกล่าวให้แผนจัดการป่าชุมชนที่แก้ไขเสร็จภายในเวลาที่กำหนดมาพิจารณาและเสนอแนะในที่ประชุมคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดไม่เกินห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแผนจัดการป่าชุมชนที่แก้ไข

มาตรา ๑๖ เมื่อคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดมีมติให้จัดตั้งป่าชุมชนตามคำขอทั้งหมดหรือบางส่วน หรือโดยแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือมีมติไม่ให้จัดตั้งป่าชุมชน ให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นคำขอทราบโดยเร็วที่สุด และต้องแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดทราบด้วย

ผู้ยื่นคำขอจัดตั้งป่าชุมชนที่มีมติไม่จัดตั้งป่าชุมชนมีสิทธิคัดค้านการไม่จัดตั้งป่าชุมชนประจำจังหวัดต่อคณะกรรมการนโยบายโดยการยื่นคำคัดค้านนั้นนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ข้อบันทึกข้อคิดเห็นข้อสังเกตของคณะกรรมการปฏิรูปจังหวัด ให้เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการนโยบายการปฏิรูปภารกิจภายในสิ้นห้าวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติ ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการนโยบายการปฏิรูปภารกิจพิจารณาสอดส่องหรือคำนึงถึงข้อร้องเรียนของชนิดตามวรรคสามให้แล้วเสร็จภายในสิ้นห้าวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องหรือความเห็นของชนิด คำวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายการปฏิรูปภารกิจตามวรรคนี้ให้ถือเป็นที่สุด และให้คณะกรรมการปฏิรูปจังหวัดปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว หนังสือแจ้งข้อบันทึกของคณะกรรมการปฏิรูปจังหวัดประจำจังหวัด คำคัดค้านของผู้ตั้งคำขอปฏิรูปชนิด หรือผู้มีส่วนได้เสียอื่น ความเห็นของชนิด และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายต้องแสดงเหตุผลโดยชัดแจ้ง

มาตรา 50 ในกรณีที่คณะกรรมการปฏิรูปจังหวัดประจำจังหวัดมีมติอนุมัติแผนแก้ปัญหาปฏิรูปชนิดและให้ตั้งปฏิรูปชนิดได้ โดยข้อบันทึกข้อคิดเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปจังหวัดประจำจังหวัดตามมาตรา 49 วรรคสาม และปรากฏว่าไม่มีการอุทธรณ์ตามกำหนดระยะเวลาที่บัญญัติในมาตรา 49 วรรคสอง หรือในกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการปฏิรูปภารกิจตามความเห็นที่ได้รับจากชนิดตามมาตรา 49 วรรคสาม หรือพิจารณาสอดส่องตามมาตรา 49 วรรคสองแล้วมีมติให้ตั้งปฏิรูปชนิดได้ ให้ชนิดจัดทำคำขอตั้งปฏิรูปชนิดตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยระบุรายละเอียดตามที่กำหนดในระเบียบของคณะกรรมการนโยบาย และให้แนบเอกสารที่แสดงเหตุผลของชนิดนั้นในเรื่องแผนการปฏิรูปชนิดหรือแผนการแก้ปัญหาปฏิรูปชนิดที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการปฏิรูปจังหวัดประจำจังหวัด

มาตรา 51 ในระหว่างระยะเวลาปฏิรูปชนิดหรือแผนแก้ปัญหาที่ชนิดจัดทำคำขอปฏิรูปชนิดตามมาตรา 45 หากปรากฏว่ามีการยื่นคำขอตั้งปฏิรูปชนิดในพื้นที่ซึ่งมีมากกว่าหนึ่งคำขอ โดยแต่ละคำขอระบุชนิดปฏิรูปชนิดที่จะขอตั้งต้องสัมพันธ์กับพื้นที่หมวดหรือหมู่มวลชน ให้หลักเกณฑ์หรือพยากรป่าไม้แห่งหนึ่งหรือรับการพิจารณาคำขอตั้งปฏิรูปชนิดในพื้นที่ดังกล่าวนั้นและแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอตั้งปฏิรูปชนิดจัดทำคำความคงร่วมกันเกี่ยวกับพื้นที่ที่จะตั้งปฏิรูปชนิด องค์ประกอบของคณะกรรมการจัดการปฏิรูปชนิด แผนการปฏิรูปชนิด และรายละเอียดต่าง ๆ ที่ระบุในคำขอตั้งปฏิรูปชนิด และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้รับแจ้งจากชนิดหรือพยากรป่าไม้แห่งหนึ่งหรือที่

ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอตั้งปฏิรูปชนิดไม่สามารถตกลงร่วมกันที่เกี่ยวกับความร่วมกันที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิด คณะกรรมการจัดการปฏิรูปชนิดเพียงคำขอเดียว ให้สำนักงานพยากรป่าไม้แห่งหนึ่งหรือรับการพิจารณาคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติคำขอตั้งปฏิรูปชนิดที่ได้รับอนุมัติ

หมวด ๕

การจัดการป่าชุมชน

มาตรา ๕๓ เมื่อได้รับประกาศการตั้งป่าชุมชนแล้ว ให้ผู้มีรายชื่ออยู่ในบัญชีตามมาตรา ๓๓ (๒) เป็นสมาชิกป่าชุมชน และ (๓) เป็นคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน ประกอบด้วย คุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของสมาชิกป่าชุมชนและกรรมการจัดการป่าชุมชน การเปลี่ยนแปลงสมาชิกป่าชุมชน การเลือกตั้งคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน การพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๕๔ การจัดการป่าชุมชน ให้กระทำโดยคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนร่วมกับสมาชิกป่าชุมชน ซึ่งต้องเป็นไปตามข้อบังคับของป่าชุมชนและแผนจัดการป่าชุมชนที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด ทั้งนี้ การแสดงเจตนาออกจากคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนให้กระทำโดยคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน

มาตรา ๕๕ ให้คณะกรรมการป่าชุมชนมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชนดังต่อไปนี้

(๑)

ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดให้มีหลักเกณฑ์ ป้าย หรือเครื่องหมายอื่นตามมาตรา ๕๔

(๒)

ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชน หลักเกณฑ์การรับบุคคลเป็นสมาชิกป่าชุมชน และการพ้นจากการเป็นสมาชิกของป่าชุมชน ทั้งนี้ ให้สอดคล้องกับระเบียบของคณะกรรมการนโยบาย

(๓)

ดูแลรักษาป่าชุมชน บำรุงและฟื้นฟูป่าชุมชน ส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้และสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชน และเผยแพร่ประสบการณ์เกี่ยวกับป่าชุมชน

(๔)

ดูแลรักษาทรัพย์สินที่นำมาอาจของป่าชุมชน รวมทั้งจัดทำบัญชีทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนตามหลักเกณฑ์ที่ข้อบังคับกำหนด และรายงานให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดทราบทุกปี

(๕)

ดูแลให้สมาชิกป่าชุมชนปฏิบัติตามที่กำหนดตามพระราชบัญญัตินี้

(๖)

สั่งให้ผู้ที่เข้าใช้พื้นที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ (๒) ออกจากป่าชุมชน หรือให้กระทำการหรือระงับการใดๆ ในเขตป่าชุมชน เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับ (๒) หรือพระราชบัญญัตินี้

(๗)

ไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมเมื่อเกิดความขัดแย้งในการจัดการป่าชุมชน

(๘)

ช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนหรือปราบปรามผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

(๙)

มีมติรับบุคคลเป็นสมาชิกป่าชุมชน หรือมติให้ออกจากสมาชิกป่าชุมชน และแจ้งมติดังกล่าวให้สมาชิกป่าชุมชนทราบโดยเร็วที่สุด

(๑๐)

ดำเนินการตามที่เห็นสมควรเพื่อป้องกันหรือระงับความเสียหายในป่าชุมชน

(๑)

ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่คณะกรรมการนโยบายหรือคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดกำหนดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน การออกข้อบังคับตาม (๒) ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดก่อน ในกรณีที่ผลของการออกข้อบังคับของคณะกรรมการป่าชุมชนทำให้เกิดความไม่สอดคล้องหรือไม่ปฏิบัติตามที่กำหนดพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดมีอำนาจสั่งให้คณะกรรมการป่าชุมชนปรับปรุงข้อบังคับดังกล่าวให้สอดคล้องหรือยกเลิกข้อบังคับดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนได้ และหากคณะกรรมการป่าชุมชนฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ให้ถือว่าพ้นจากการเป็นกรรมการจัดการป่าชุมชน และให้ผู้แทนกลับมาเป็นกรรมการจัดการป่าชุมชนอีกครั้ง

มาตรา ๕๔ สมาชิกป่าชุมชนมีหน้าที่ในการดูแลรักษาป่าชุมชน ดังต่อไปนี้

(ก)

ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการนโยบาย ข้อบังคับของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนและแผนการจัดการป่าชุมชน

(ข)

ร่วมมือกับทางราชการในการดูแลรักษาป่าชุมชน สัตว์ป่า และทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชน

(ค)

ร่วมมือกับคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนในกรณีที่มีการบุกรุกหรือทำลายป่าชุมชน

มาตรา ๕๕ แผนจัดการป่าชุมชนที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดอนุมัติแล้วให้มีอายุบังคับใช้เป็นเวลาห้าปี

ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนเสนอแผนจัดการป่าชุมชนต่อคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาอนุมัติก่อนแผนจัดการป่าชุมชนเดิมหมดอายุไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน ในกรณีการพิจารณาอนุมัติแผนจัดการป่าชุมชนของคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด เห็นว่าแผนจัดการป่าชุมชนไม่ถูกต้องหรือมีเหตุผลใดๆ ให้แจ้งให้คณะกรรมการป่าชุมชนแก้ไขแผนจัดการป่าชุมชนดังกล่าวภายในสิ้นกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในคำแจ้งจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด ในกรณีที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดไม่อนุมัติแผนจัดการป่าชุมชนตามวรรคสอง ให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดแจ้งเหตุผลให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนทราบโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดไม่อนุมัติแผนจัดการป่าชุมชนตามวรรคสอง ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนแก้ไขแผนจัดการป่าชุมชนดังกล่าวตามเหตุผลที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดแจ้ง แล้วเสนอใหม่ ในกรณีที่แผนจัดการป่าชุมชนเดิมหมดอายุ คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดยังไม่อนุมัติแผนจัดการป่าชุมชนใหม่ ให้แผนจัดการป่าชุมชนเดิมมีผลใช้บังคับไปจนกว่าจะมีการอนุมัติแผนจัดการป่าชุมชนใหม่

มาตรา ๔๗ ในกรณีที่คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนประสงค์จะปรับปรุงแผนจัดการป่าชุมชนในระหว่างที่แผนจัดการป่าชุมชนยังไม่หมดอายุ ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนเสนอแผนจัดการป่าชุมชนที่ปรับปรุงแล้วต่อคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาอนุมัติ และให้ใช้ความในมาตรา ๔๖ วรรคสามและวรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

เมื่อคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาอนุมัติแผนจัดการป่าชุมชนที่ปรับปรุงแล้ว ให้แผนจัดการป่าชุมชนดังกล่าวนำไปใช้บังคับแทนแผนจัดการป่าชุมชนเดิมในวันที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดกำหนด

มาตรา ๔๘ ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนอาจขอขยายเขตป่าชุมชนหรือขอให้เพิกถอนป่าชุมชนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ แต่ต้องแสดงเหตุผลและรายละเอียดโดยชัดแจ้ง

ในกรณีที่เป็นการขยายเขตป่าชุมชน ให้บังคับความในมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๖ และมาตรา ๔๖ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีที่เป็นการเพิกถอนป่าชุมชนบางส่วน เมื่อคณะกรรมการสิ้นสภาพของป่าชุมชนตามมาตรา ๔๙ แล้ว ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนปรับปรุงแผนจัดการป่าชุมชนให้สอดคล้องกับพื้นที่ของป่าชุมชนที่คงเหลือ และเสนอคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาอนุมัติภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาอนุมัติการเพิกถอนป่าชุมชนบางส่วนดังกล่าว

มาตรา ๔๙ หากพื้นที่ป่าชุมชนถูกทำลายหมดสิ้น ป้าย หรือเครื่องหมายอื่นที่แสดงเขตป่าชุมชน ประสบเหตุการสูญหาย และรวมถึงการใช้ประโยชน์ในเขตป่าชุมชนโดยผิดวัตถุประสงค์แห่งแผนจัดการป่าชุมชน รวมถึงการขอเพิกถอนแผนที่เขต ป้าย หรือเครื่องหมายอื่นที่จำเป็น หรือสูญหายดังกล่าว และคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนและสมาชิกป่าชุมชนมิอาจให้ความร่วมมือในการดำเนินการดังกล่าว

หลักเกณฑ์ วิธีการ และรูปแบบ ในการจัดให้มีหลักเขต ป้าย หรือเครื่องหมายอื่นตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด

มาตรา ๕๐ ภายในป่าชุมชน สมาชิกป่าชุมชนมีสิทธิในป่าชุมชนเพื่อการพัฒนา หย่อนในและมีสิทธิใช้ประโยชน์จากผลิตผลและบริการป่าชุมชนหรือผลผลิตจากแผนจัดการป่าชุมชนที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดอนุมัติ ในกรณีดังต่อไปนี้

(ก)

การเก็บหาของป่าในป่าชุมชน

(ข)

การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนเพื่อการยังชีพ

(ค)

การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนเพื่อการพาณิชย์ โดยให้สมาชิกป่าชุมชนได้รับประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในแผนจัดการป่าชุมชน และให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนจัดสรรรายได้จากการใช้ประโยชน์ดังกล่าว เพื่อใช้ในการบริหารจัดการและการพัฒนาป่าชุมชน

(ง)

การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวในป่าชุมชน ต่อกรณีในวรรคหนึ่ง การใช้ประโยชน์จากผลิตผลและบริการป่าชุมชนดังกล่าว ต้องเป็นไปอย่างสมดุลและยั่งยืน ไม่ก่อความเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่า หรือสิ่งแวดล้อม หรือส่งผลต่อไปในป่าชุมชนอื่น และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด โดยระเบียบดังกล่าวจะกำหนดข้อห้ามการใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการในชุมชนชนิดหรือประเภทใด หรือกำหนดให้การใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการในชุมชนชนิดใด ประเภทใด หรือกรณีใด ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดด้วยก็ได้

มาตรา ๕๒ คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนและสมาชิกป่าชุมชนต้องใช้ประโยชน์ จากป่าชุมชนเพื่อส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้และสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในป่าชุมชน รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนเพื่อการดำรงชีพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศในป่าชุมชน และต้องไม่กระทำการ ดังต่อไปนี้

(๑)

กระทำการใด ๆ ที่เป็นการเสื่อมสภาพแก่ป่าชุมชน หรือทำให้เสียหายหรือทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ

(๒)

การกระทำอื่นใดตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๕๓ ในกรณีที่คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนหรือสมาชิกป่าชุมชนมี ความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าชุมชนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เสียหายอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติหรือภัยสาธารณะหรือมีเหตุจำเป็นอื่นซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทันที ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตดังกล่าว ให้เป็นไปตามระเบียบ ที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๕๔ บุคคลซึ่งไม่ใช่สมาชิกป่าชุมชนและเข้ามาในเขตป่าชุมชนเพื่อการศึกษาเรียนรู้ เกี่ยวกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พักผ่อนหย่อนใจ และเยี่ยมชมของป่า ให้เฉพาะที่ที่กำหนดในข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชนตามมาตรา ๔๖ (๒)

มาตรา ๕๕ บรรดาไม้และของป่าที่ได้มาจากป่าชุมชนตามแผนจัดการป่าชุมชน ที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดอนุญาต หรือจากต้นเกษตรพันธุ์พระราชทานที่ปลูกขึ้นทดแทนไม้ ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แข็งความคงทน หรือค่าเหมาะสมที่จะใช้ในการบำรุงป่า

มาตรา ๕๖ เงินค่าปรับที่ได้รับตามพระราชบัญญัตินี้จะต้องนำมาจัดการกระทำความผิด ในป่าชุมชนแห่งนี้ ให้หักไว้ส่วนหนึ่งในการจัดการป่าชุมชนในพื้นที่นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของ เงินค่าปรับดังกล่าว ส่วนที่เหลือให้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ ตามระเบียบที่ออกโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

มาตรา ๕๗ เพื่อเป็นการสนับสนุนการจัดการป่าชุมชนให้เกิดความยั่งยืน คณะกรรมการนโยบายอาจกำหนดข้อห้ามและเงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการในป่าชุมชนเช่นเดียวกับทรัพยากรป่าไม้ ค่าตอบแทน หรือค่าใช้บริการ บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกป่าชุมชน เมื่อมีการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนดังกล่าว

เงินที่เป็นค่าตอบแทนดังกล่าว ให้เก็บรวบรวมมาตรา ๕๕ และให้เพิ่มขึ้น เงินสนับสนุน จากการจัดสรรเงินรายได้อื่น ๆ ให้ดำเนินการเพื่อสนับสนุนการจัดการป่าชุมชนและเก็บรักษาไว้ต่อไป ในการจัดการป่าชุมชน หรือตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

มาตรา ๕๙ ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ เกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนและดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนได้ตามวัตถุประสงค์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด ให้กระทำโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนในพื้นที่ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนในพื้นที่นั้น และเมื่อคณะกรรมการมีมติเป็นรายกรณีแล้ว จะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้กรรมการคนหนึ่งคนใดเป็นผู้ดำเนินการแทนก็ได้

มาตรา ๖๐ ผู้ใดฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ หรือระเบียบหรือข้อบังคับที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่สัตว์ พืช ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมในป่าชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดค่าเสียหายโดยตรงหรือทางอ้อม ให้ต้องชดใช้ค่าเสียหายดังต่อไปนี้

(ก)

ค่าใช้จ่ายที่รัฐได้จ่ายไปในการเคลื่อนย้ายสิ่งต่างที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือการทำให้สิ่งนั้นหมดสภาพตามสิ่งแวดล้อมหรือความเป็นพิษ ตลอดจนการนำเอาของกลางนั้น กัก หรือรักษาไว้

(ข)

ค่าใช้จ่ายที่รัฐได้จ่ายไปในการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ

(ค)

ค่าใช้จ่ายที่รัฐได้จ่ายไปในการช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่นเนื่องในความเสียหายนั้น

(ง)

ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่รัฐได้จ่ายไปในการป้องกันความเสียหายและปรับแก้ไขข้อขัดข้องในการเยียวยาผลกระทบต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่น หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่รัฐได้จ่ายไปเพื่อให้เกิดความเสียหายตามกฎหมาย

(จ)

มูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่เสียหาย ในกรณีที่คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนได้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่วนใดตามวรรคหนึ่ง หรือในกรณีที่การกระทำหรือละเว้นกระทำการใดตามวรรคหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกร่วมในป่าชุมชนในการใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการป่าชุมชน ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนมีอำนาจดำเนินการให้การชดใช้ค่าเสียหายหรือการเยียวยาค่าเสียหายได้ในพื้นที่ป่าชุมชนนั้น

มาตรา ๖๑ ให้ความในมาตรา ๖๐ มาใช้บังคับแก่ผู้กระทำหรือละเว้นกระทำการใด ๆ ไม่ว่าโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม และก่อให้เกิดความเสียหายแก่สัตว์ พืช ทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมในป่าชุมชนโดยปกปิด

มาตรา ๖๒ ในกรณีที่เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชน คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนในพื้นที่นั้นมีอำนาจฟ้องคดี หรือยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายให้แก่ทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนนั้นได้

มาตรา 26 บทบัญญัติในมาตรา 45 และมาตรา 45 ไม่เป็นการลบล้างหรือจำกัดหน้าที่และความรับผิดที่บุคคลอยู่ตามบทบัญญัติของกฎหมายอื่น และไม่เป็นการตัดอำนาจของผู้มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายอื่นที่จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของตน

หมวด 6

การควบคุมดูแลป่าชุมชน

มาตรา 27 ภายในป่าชุมชน ห้ามมิให้บุคคลใดกระทำการ ดังต่อไปนี้

(ก)

ยึดถือ ครอบครอง หรือใช้ในที่อยู่ที่อาศัยหรือที่ทำกิน

(ข)

ก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ขุดแร่ ล่าสัตว์ในสวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า หรือกระทำการอย่างใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าชุมชน เว้นแต่เป็นการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษาและป้องกันทรัพยากรธรรมชาติภายในป่าชุมชน หรือเป็นการกระทำของกรรมการดำเนินการป่าชุมชนตามแผนหรือมาตรการที่คณะกรรมการป่าชุมชนแห่งชาติหรือได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด

(ค)

ใช้ประโยชน์จากไม้ เว้นแต่เป็นการกระทำตามมาตรา 20 (ข) หรือมาตรา 25

(ง)

ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง เว้นแต่เป็นการก่อสร้างสิ่งใดที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือกรรมการดำเนินการป่าชุมชนตามแผนหรือมาตรการที่คณะกรรมการป่าชุมชนแห่งชาติหรือได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด และต้องไม่เป็นการก่อสร้างเพื่อการอยู่อาศัยถาวรหรือเพื่อการประกอบกิจการอันมีลักษณะเป็นการค้า

มาตรา 28 เพื่อประโยชน์ในการป้อง รักษา และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชนให้เป็นไปอย่างสมดุลยั่งยืน ให้เจ้าหน้าที่ป่าชุมชนซึ่งคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดแต่งตั้งตามมาตรา 7 มีหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(ก)

ตรวจสอบพื้นที่และตรวจดูแลการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการป่าชุมชนของสมาชิกป่าชุมชนและบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกป่าชุมชน และการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในป่าชุมชน

(ข)

แนะนำ ให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกแก่บุคคลในชุมชนและบุคคลที่อยู่รอบพื้นที่ป่าชุมชนในการดูแลรักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชน รวมทั้งรักษากฎปฏิบัติของชุมชน อันประกอบด้วย กฎระเบียบ และข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง

(ค)

สนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการดำเนินการป่าชุมชนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้

(ง)

รายงานคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดเมื่อปรากฏว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายในพื้นที่ป่าชุมชนหรือพื้นที่รอบป่าชุมชน

มาตรา ๒๕ ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนตามมาตรา ๒๔ หากพบว่า มีผู้กระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ระเบียบของคณะกรรมการนโยบาย หรือข้อบังคับ ของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน และไม่อาจเรียกรายงานคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับผู้กระทำการหรือก่อให้เกิดการกระทำใด ๆ ในป่าชุมชนได้ เจ้าหน้าที่ป่าชุมชนมีอำนาจสั่ง ให้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการป่าชุมชน และให้รายงานคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนและคณะกรรมการ ป่าชุมชนประจำจังหวัดทราบโดยเร็ว

มาตรา ๒๖ ผู้ใดจะเข้าไปในเขตการในป่าชุมชน เพื่อการศึกษา ค้นคว้า วิจัย หรือสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพ หรือทรัพยากรธรรมชาติที่หรือรกราก ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดโดยการอนุญาตดังกล่าวกำหนดให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์จากการศึกษา ค้นคว้า วิจัย หรือสำรวจนั้นให้แก่ผู้เกี่ยวข้องด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การศึกษา ค้นคว้า วิจัย หรือสำรวจทางวิชาการ ของกรมทรัพยากรป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง คณะกรรมการจัดการป่าชุมชน เจ้าหน้าที่ป่าชุมชน และพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ต้องแจ้งให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดทราบและต้องรายงานผล การศึกษาดังกล่าวให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดทราบ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่ คณะกรรมการนโยบายกำหนด ในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย หรือสำรวจทางวิชาการที่หรือรกราก ห้ามมิให้เข้า หรือพาการหรือพาของจากป่าชุมชน ไปแต่เพียง

(๑)

ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด หรือ (๒) เป็นการกระทำของกรมทรัพยากรป่าไม้หรือกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรณีที่มีความจำเป็น ตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๒๗ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ ดังต่อไปนี้

(ก)

เข้าไปในป่าชุมชนเพื่อตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินการเกี่ยวกับป่าชุมชน และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ และในกรณีที่พบว่าคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนใดฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือระเบียบหรือข้อบังคับของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน ให้รายงาน ผลต่ออธิบดีโดยเร็ว

(ข)

สั่งให้ผู้หนึ่งผู้ใดออกจากป่าชุมชน หรือให้พ้นจากการกระทำใด ๆ ในป่าชุมชน ในกรณีที่เชื่อถือได้ว่าการกระทำหรือพฤติการณ์ดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมในป่าชุมชน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนทราบโดยเร็ว

(ค)

ดำเนินการหรือดำริการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชนที่หรือรกราก หรือจัดการป่าชุมชนที่หรือรกรากในกรณีที่คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนไม่อาจดำเนินการได้ เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์ และดำเนินคดี

มาตรา ๒๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน เจ้าหน้าที่ป่าชุมชน และพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนควร

```

มาตรา ๒๙ ทรัพย์สินที่ยึดได้ตามมาตรา ๒๗ (๔) ถ้าศาลมีคำสั่งเด็ดขาด

ไม่ให้ออกคำพิพากษาให้ริบและผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองมิได้ขอรับคืนภายในสองปี นับแต่วันที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ให้ออกคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ทรัพย์สินที่ยึดได้ตามมาตรา ๒๗ (๔) ถ้าในขณะที่จะยึดไม่ปรากฏว่ามีเจ้าของผู้ ครอบครองและไม่มีผู้ใดมาแสดงตนเป็นเจ้าของหรือครอบครองภายในสองปีนับแต่วันที่ยึด ให้ตกเป็นของ แผ่นดิน ทรัพย์สินที่ยึดได้ตามมาตรา ๒๗ (๔) ถ้าศาลมีคำสั่งเด็ดขาดให้ริบ หรือศาลไม่พิพากษาให้ริบ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกคำสั่งทรัพย์สินที่ยึดตกเป็นของแผ่นดิน ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใดถึงแก่ความตาย ให้ทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดไว้ ตามมาตรา ๒๗ (๔) ตกเป็นของแผ่นดิน เว้นแต่ภายในสองปีนับแต่วันที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น ถึงแก่ความตายและทายาทของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสามารถพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิได้เกี่ยวข้อง กับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คืนทรัพย์สินนั้นให้แก่ทายาทของผู้ต้องหาหรือจำเลย รายนั้น การดำเนินการกับทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินตามมาตรานี้ ให้เป็นไปตามระเบียบ ที่อธิบดีกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

มาตรา ๓๐ ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ยึดได้ตามมาตรา ๒๗ (๔) มีลักษณะเป็นของเสีย

ของเสียใช้แล้วในการผลิตหรือการจำหน่ายหรือเป็นการเสียหายต่อความเสียหาย หรือจะเสียค่าใช้จ่าย ในการเก็บรักษาเป็นจำนวนมากหรือเป็นการเก็บรักษาไว้โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ในการเก็บรักษา ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดการกับทรัพย์สินนั้นโดยวิธีการที่เหมาะสม กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดต่าง เงินที่ขายได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าภาระที่เกี่ยวข้องแล้ว เหลือเงินจำนวนสุทธิเท่าใดให้ถือเงินนั้นเป็นเงิน

มาตรา ๓๑ ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้กรรมการจัดการป่าชุมชน เจ้าหน้าที่ที่ป่าชุมชน

และพนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวของกรรมการจัดการป่าชุมชน เจ้าหน้าที่ที่ป่าชุมชน และพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

มาตรา ๓๒ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการจัดการป่าชุมชน

เจ้าหน้าที่ป่าชุมชน และพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๓๓ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการจัดการป่าชุมชน

กรรมการจัดการป่าชุมชน เจ้าหน้าที่ป่าชุมชน สมาชิกป่าชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ที่ป่าชุมชน กระทำการใด หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ระเบียบของคณะกรรมการนโยบาย หรือข้อบังคับของ คณะกรรมการจัดการป่าชุมชน คณะกรรมการจัดการป่าชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ที่ป่าชุมชนไม่ต้องรับผิด ทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย ``` จัดการป่าชุมชน กรรมการจัดการป่าชุมชน สมาชิกป่าชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ป่าชุมชนดังกล่าว กระทำการ หรือดำเนินการกระทำใด ๆ ตามความเหมาะสม ผู้ได้รับคำสั่งของคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดตามวรรคหนึ่ง ต้องปฏิบัติ ตามคำสั่งดังกล่าวภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดกำหนด ในกรณีที่ผู้ได้รับคำสั่งของคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดตามวรรคแรก ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งให้ผู้ได้รับคำสั่งและให้ความตามในมาตรา ๓๗ วรรคสี่และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้การดำเนินการต้องยุติการปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดเว้นแต่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการนโยบายจะสั่งเป็นอย่างอื่น การดำเนินการตามมาตรานี้ ไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ได้รับคำสั่งที่คณะกรรมการ จัดการป่าชุมชน กรรมการจัดการป่าชุมชน สมาชิกป่าชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ป่าชุมชน

มาตรา ๔๕ อธิบดีมีหน้าที่และอำนาจในการส่งเสริมสนับสนุนและติดตามดูแล การดำเนินงานของคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด และอาจสั่งให้กรรมการและเลขานุการของ คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติ งานของคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดได้

มาตรา ๔๖ อธิบดีอาจขอให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดกระทำการหรือ ยับยั้งการกระทำใด ๆ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบายหรือมติของคณะรัฐมนตรีและระเบียบของ กระทรวง

ให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาและแจ้งผลให้อธิบดีทราบภายในสามสิบวันนับแต่ วันที่ได้รับแจ้งคำขอ ในกรณีที่อธิบดีไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด ที่แจ้งมาตามวรรคสอง ให้อธิบดีนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพิจารณาออกในสามสิบวันนับวันที่ ได้รับแจ้งผลและให้บังคับตามมาตรา ๓๗ วรรคสี่และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๔๗ ในกรณีที่มีการสำแดงพระราชบัญญัติ เป็นเหตุให้สิทธิในที่ดินสูญสิ้นหรือ มีสิทธิอื่นไปในป่าชุมชน ให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดอำนวยให้ผู้กระทำการที่สิน สิ้นสิทธิหรือรอนสิทธิในที่ดินหรือสิทธิอื่นในป่าชุมชน หรือกระทำการใด ๆ ตามความ เหมาะสมภายในเวลาที่กำหนด

ในกรณีที่ผู้กระทำการที่สินสิ้นสิทธิหรือรอนสิทธิในที่ดินหรือสิทธิอื่นในป่าชุมชน หรือรอนสิทธิในป่าชุมชนมีความเสียหาย คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดอาจพิจารณาให้ ความปลูกสร้างหรือสิ่งอื่นใดที่อยู่ในป่าชุมชนเป็นของผู้กระทำการที่สินสิ้นสิทธิหรือรอนสิทธิ นั้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้กระทำการที่สินสิ้นสิทธิหรือรอนสิทธิในกรณี ที่มีเหตุสมควร และเงินที่เป็นค่าเสียหายที่ผู้กระทำการที่สินสิ้นสิทธิหรือรอนสิทธิจะต้องเสียไปในการที่ คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดหรือเจ้าหน้าที่กระทำการเสียหาย

หมวด ๗

การเพิกถอนป่าชุมชน

มาตรา ๔๗ อธิบดีมีอำนาจสั่งเพิกถอนป่าชุมชนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ ในกรณีดังต่อไปนี้

(๑)

คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนขอให้เพิกถอนป่าชุมชนนั้นตามมาตรา ๔๖

(๒)

คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนหยุดหรือไม่จัดการพื้นที่ป่าชุมชนนั้นต่อไป

(๓)

คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ หรือระเบียบหรือข้อบังคับที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ อันอาจเป็นเหตุให้ป่าชุมชนได้รับความเสียหายหรือมีเหตุควรไว้วางใจให้การอนุรักษ์ป่าชุมชนต่อไป

(๔)

เมื่อมีเหตุผลความจำเป็นทางด้านกิจการเพื่อความมั่นคงของประเทศ โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ในกรณีที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาเหตุตาม (๒) หรือ (๓) และเห็นเป็นการสมควรให้เพิกถอนป่าชุมชน ให้คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดส่งเรื่องเพื่อให้เพิกถอนป่าชุมชนนั้นต่อไป หรือในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบเหตุตาม (๒) หรือ (๓) ให้รายงานข้อวินิจฉัยเพื่อจัดการส่งเพิกถอนป่าชุมชน เมื่ออธิบดีมีคำสั่งเพิกถอนป่าชุมชนแล้ว ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าชุมชนตรวจสอบทรัพย์สินภายในพื้นที่ป่าชุมชนนั้นให้แล้วเสร็จ ในกรณีที่อธิบดีมีคำสั่งเพิกถอนป่าชุมชนเพราะเหตุตาม (๒) หรือ (๓) ให้กรมป่าไม้จัดการป่าชุมชนนั้นกลับมาเป็นกิจการป่าตามพระราชบัญญัตินี้ การเพิกถอนป่าชุมชนให้มีผลเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วและในกรณีที่เป็นการเพิกถอนป่าชุมชนบางส่วน ให้แสดงแผนที่แสดงแนวเขตพื้นที่บางส่วนประกาศด้วย

มาตรา ๔๘ ป่าชุมชนที่ถูกเพิกถอนทั้งหมด ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนจัดการป่าชุมชนนั้นให้แล้วเสร็จรวมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนและทรัพย์ที่ต้องอยู่ในป่าชุมชนตามสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียในป่าชุมชนนั้นตามระเบียบที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดกำหนด

ในกรณีที่มีการเพิกถอนป่าชุมชนบางส่วน ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนจัดการทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนและทรัพย์ที่ต้องอยู่ในป่าชุมชนตามสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียในป่าชุมชนนั้นตามระเบียบที่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดกำหนด ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนจัดการป่าชุมชนที่ถูกเพิกถอนนั้นให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้กรมป่าไม้ดำเนินการแทน

มาตรา ๔๐ ทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนที่ถูกเพิกถอน ถ้าเป็นไม้หรืออิสหาริมทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินและให้กรมป่าไม้จัดการตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดต่อไป

มาตรา ๔๑ ป่าชุมชนที่ถูกเพิกถอนตามมาตรา ๓๗ อาจมีการกำหนดพื้นที่ดังกล่าวของจัดตั้งป่าชุมชนใหม่ก็ได้ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด และให้ถือความในหมวด ๓ การจัดตั้งป่าชุมชนมาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด ๘

บทกำหนดโทษ

ส่วนที่ ๑

โทษทางปกครอง

มาตรา ๔๒ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการนโยบายตามมาตรา ๑๗ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าหมื่นบาท และปรับทางปกครองอีกวันละไม่เกินหนึ่งพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติได้ถูกต้อง

มาตรา ๔๓ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการนโยบายตามมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท และปรับทางปกครองอีกวันละไม่เกินสามพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติได้ถูกต้อง

มาตรา ๔๔ ผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำ แจ้งข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสารตามคำสั่งของคณะกรรมการนโยบายหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๒ โดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินสองหมื่นบาท

มาตรา ๔๕ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการการจัดการป่าชุมชนเกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชนตามมาตรา ๒๖ (๖) ต้องระวางโทษปรับทางปกครองวันละไม่เกินห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติได้ถูกต้อง

มาตรา ๔๖ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย หรือเสื่อมค่าของหลักเขต ป้าย หรือเครื่องหมายอื่นที่ตั้งหรือทำไว้ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๔๗ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๙ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๔๐ วรรคแรก ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินสามแสนบาท และปรับทางปกครองอีกวันละไม่เกินสามหมื่นบาทจนกว่าจะปฏิบัติได้ถูกต้อง

ในกรณีที่เป็นการกระทำของนิติบุคคล ถ้าผู้บริหารหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นได้สั่งการหรือเพิกเฉยปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำดังกล่าว ต้องระวางโทษปรับทางปกครองตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นด้วย

มาตรา ๔๙ ผู้ใดไม่อำนวยความสะดวกแก่กรรมการจัดการป่าชุมชน เจ้าหน้าที่ป่า ชุมชน และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๓๘ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าหมื่นบาท

มาตรา ๕๐ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการป่าชุมชนจังหวัดตาม มาตรา ๓๗ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินสองแสนบาท

มาตรา ๕๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองตามอัตรา หลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด ในการกำหนดอัตราโทษปรับทางปกครองตามวรรคหนึ่ง ต้องคำนึงถึงเหตุวิกฤตการณ์ แห่งการกระทำ ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำนั้น ตลอดจนความหนักเบาของโทษที่จะใช้กับ ผู้ถูกลงโทษ

มาตรา ๕๒ การกระทำใดเป็นการรบกวนเปรียบเทียบความผิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย หลายบทที่กำหนดโทษประชาชนผู้ถูกจับและกฎหมายอื่น ให้ลงโทษปรับทางปกครองตาม พระราชบัญญัตินี้ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ

มาตรา ๕๓ ในกรณีที่ผู้ถูกลงโทษปรับทางปกครองไม่ชำระค่าปรับทางปกครอง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจสั่งลงโทษปรับทางปกครองดำเนินการตามกฎหมายเพื่อบังคับชำระ ค่าปรับทางปกครอง โดยให้มีอำนาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ถูกลงโทษปรับทางปกครองได้ เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่กฎหมายกำหนดให้ยึดหรืออายัดไม่ได้ และหากผู้ถูกลงโทษ ปรับทางปกครองไม่มีทรัพย์สินให้ยึดหรือทรัพย์สินที่ยึดไม่เพียงพอกับค่าปรับทางปกครอง ให้คณะกรรมการกำหนดการให้ผู้กระทำ บำเพ็ญประโยชน์สาธารณะหรือมาตรการอื่นตามที่คณะเห็นสมควร

ส่วนที่ ๒ โทษทางอาญา

มาตรา ๕๔ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ความผิดตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นการกระทำในบริเวณเพื่อการอยู่อาศัยหรือหัก ล้างถางพงเพื่อการเกษตรกรรม ให้ระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกิน สองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๕๕ วรรคแรก ของบท หรือทรัพย์สินที่บุคคลใดพบหรือได้มาในการกระทำ ความผิดหรือที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่า ทรัพย์สินนั้นจะเป็นของผู้กระทำความผิดหรือไม่

มาตรา ๙๖ ในวาระเริ่มแรก ให้คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนประกอบด้วยกรรมการตามมาตรา ๙ (๑) (๒) และ (๓) อีกกรณีไม่มีในกรรมการและเลขาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ที่คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อนจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา ๙๗ ในวาระเริ่มแรก ให้คณะกรรมการป่าชุมชนจังหวัดในจังหวัดที่ยังไม่มีป่าชุมชนและมีการยื่นคำขอจัดตั้งป่าชุมชนแล้วจึงพิจารณาแต่งตั้งกรรมการป่าชุมชนจังหวัดตามมาตรา ๒๔ (๒) (๓) และ (๔) เฉพาะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่รู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีผลงาน และประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือการพัฒนาชุมชนหรือสังคมในท้องถิ่น และผู้แทนองค์กรภาคเอกชนที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือการพัฒนาชุมชนหรือสังคมในท้องถิ่นตามพระราชบัญญัตินี้ไปพลางก่อนจนกว่าจะได้มีการขับระเบียบหรือป่าชุมชนระดับจังหวัด และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ราชการจังหวัดแต่งตั้งต้องมาจากผู้แทนคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว

เมื่อได้มีข้อบังคับตามมาตรา ๒๔ แล้ว ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งผู้แทนคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๔ โดยเร็ว

มาตรา ๙๘ ในวาระเริ่มแรก บรรดาใบอนุญาต อาชญาบัตร และประทานบัตรตามกฎหมายว่าด้วยแร่ที่ได้รับใบอนุญาตไปแล้วโดยชอบ ซึ่งได้ออกให้แก่บุคคลใดแล้วและยังคงมีพื้นที่ป่าชุมชนตามพระราชบัญญัตินี้อยู่ในท้องที่ที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงใช้ได้ต่อไปเพียงเท่าที่ทบอยู่ในอยู่ๆ อาชญาบัตร และประทานบัตร หรือสัมปทานนั้น ๆ

มาตรา ๙๙ ป่าชุมชนที่ได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้หรือกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ และยังมีอยู่ในครอบครองในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้เป็นป่าชุมชนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับป่าชุมชนตามโครงการดังกล่าวเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้และมีการจัดตั้งและการจัดการป่าชุมชนตามมาตรา ๑๐๑

มาตรา ๑๐๐ ป่าชุมชนที่ได้จัดตั้งโดยการสนับสนุนของกรมป่าไม้และอยู่ในพื้นที่ของรัฐและยังมีอยู่ในครอบครองในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นป่าชุมชนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับป่าชุมชนตามโครงการดังกล่าวเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้และมีการจัดตั้งและการจัดการป่าชุมชนตามมาตรา ๑๐๑

การดำเนินการเกี่ยวกับป่าชุมชนตามวรรคหนึ่งต้องมีหน่วยงานของรัฐที่กำหนดดูแลพื้นที่ไม่ยินยอมให้จัดตั้งเป็นป่าชุมชนต่อไป ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนกำหนด

มาตรา ๑๐๑ ให้สมาชิกป่าชุมชนและคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนตามมาตรา ๙๙ และมาตรา ๑๐๐ มีสถานะเป็นชุมชนและคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนตาม

มาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะครบวาระการดำรงตำแหน่งสำหรับกรณีของคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน หรือจากคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในระเบียบที่ออกตามความในมาตรา ๔๕ วรรคสอง

มาตรา ๑๐๖ ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนตามมาตรา ๙๔ และมาตรา ๑๐๐ เสนอแผนจัดการป่าชุมชนต่อคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดเพื่อพิจารณาอนุมัติตามพระราชบัญญัตินี้และข้อบังคับเกี่ยวกับระเบียบว่าด้วยการจัดการป่าชุมชนตามมาตรา ๑๗ มีผลใช้บังคับตามคำสั่งและการไม่เสนอภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนั้น นับจากภายในสิ้นหกวันนับแต่วันที่ป่าชุมชนนั้นถูกเพิกถอน

มาตรา ๑๐๗ ในกรณีที่ป่าชุมชนตามมาตรา ๙๔ และมาตรา ๑๐๐ อยู่ในพื้นที่ป่า หรือพื้นที่ที่ยังของรัฐก่อนวันที่จะมีการประกาศให้พื้นที่นั้นเป็นเขตป่าอนุรักษ์ตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติหรือกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ให้ป่าชุมชนนั้นเป็นป่าชุมชนตามพระราชบัญญัตินี้ และยังให้มีความหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติหรือกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าในพื้นที่นั้นเป็นป่าชุมชน แต่เพียงเพื่อประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่นั้นอย่างอื่น

มาตรา ๑๐๘ การดำเนินการออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศตามพระราชบัญญัตินี้ หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัตินี้หรือข้อบังคับ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จต่อคณะรัฐมนตรีทราบ

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมาเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรส่งเสริมให้ชุมชน ได้ร่วมกันรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนในรูปแบบของชุมชน เพื่อให้ ชุมชนสามารถจัดการป่าชุมชนและได้ประโยชน์จากป่าชุมชน อันจะส่งผลให้ชุมชนมีระบบรักษา ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศให้มีความสมบูรณ์และ ยั่งยืน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ชญานันท์/รบม./จัดทำ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ปริญสุภัค/ตรวจ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๒