로고

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑”

มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“คดีผู้บริโภค” หมายความว่า

(๑)

คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคตามมาตรา ๑๙ หรือกฎหมายอื่น กับผู้ประกอบธุรกิจซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ

(๒)

คดีแพ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย

(๓)

คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีตาม (๑) หรือ (๒)

(๔)

คดีอื่นที่มีกฎหมายบัญญัติให้ใช้วิธีพิจารณาตามพระราชบัญญัตินี้ “ผู้บริโภค” หมายความว่า ผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับความเสียหายจากสินค้าไม่ปลอดภัยหรือผู้ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีที่สินค้าไม่ปลอดภัย "ผู้ประกอบธุรกิจ" หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และให้หมายความรวมถึงผู้ประกอบการตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยด้วย "ก.ส." หมายความว่า คณะกรรมการว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม "เจ้าพนักงานคดี" หมายความว่า บุคคลที่เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 4 ให้มีเจ้าพนักงานคดีทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีผู้บริโภค ตามที่ศาลมอบหมาย ดังต่อไปนี้

(ก)

ไกล่เกลี่ยคดีผู้บริโภค

(ข)

ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน

(ค)

บันทึกคำพยาน

(ง)

ดำเนินการให้มีการคุ้มครองสิทธิของคู่ความทั้งก่อนและระหว่างการพิจารณา

(จ)

ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาในการทำหน้าที่ช่วยเหลือศาล ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เจ้าพนักงานคดีเป็นหัวหน้าสำนักงานประจำกองคดีผู้บริโภคที่ศาลมอบหมายหรือเป็นผู้รับผิดชอบบุคคลที่มอบให้ข้อมูล หรือให้ส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามอำนาจหน้าที่ หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดีให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา

มาตรา 5 ผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานคดี ต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

(ก)

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาในทางกฎหมายหรือระดับปริญญาเอกทางกฎหมาย

(ข)

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาทางกฎหมาย เป็นสมาชิกสภานักกฎหมายและได้รับใบอนุญาตว่าความจากกฎหมายเฉพาะที่ ก.ส. กำหนดให้เป็นไปตามที่ ก.ส. กำหนด

(ค)

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาทางกฎหมายจากสถาบันการศึกษาที่ ก.ส. กำหนดซึ่งไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี และได้รับใบอนุญาตว่าความจาก ก.ส. กำหนด ให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนดังที่แจ้งเป็นเจ้าพนักงานคดี ทั้งนี้ ตามระเบียบที่ ก.ส. กำหนด

มาตรา 6 ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกข้อกำหนดเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีผู้บริโภคเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็วและเป็นธรรม แต่ข้อกำหนดดังกล่าวจะต้องไม่ทำให้สิทธิในการต่อสู้คดีของคู่ความลดน้อยลง

ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด 1

บททั่วไป

มาตรา 7 กระบวนพิจารณาคดีผู้บริโภคให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาตามมาตรา 6 ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติและข้อกำหนดดังกล่าว ให้บังคับบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 8 ในกรณีมีปัญหาว่าคดีใดเป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่ ให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นที่สุด คำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้กระทำไปก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยดังกล่าว

การอุทธรณ์ในกระบวนพิจารณาคดีผู้บริโภคซึ่งยังไม่ถึงที่สุดตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่าโดยความเห็นชอบของโดยเคยเห็นชอบของศาลชั้นต้นหรือโดยคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ยื่นคำร้องขออุทธรณ์ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหรือคำพิพากษาในกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ ให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขออุทธรณ์ต่อศาลฎีกาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลฎีกาให้เป็นที่สุด ให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยคำวินิจฉัยและแจ้งผลไปยังศาลชั้นต้นโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว การดำเนินการใด ๆ ระหว่างศาลชั้นต้นกับศาลฎีกาตามมาตรานี้ จะดำเนินการโดยทางโทรสารหรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นใดก็ได้

มาตรา 9 ในกรณีที่มีการปฏิบัติหรือมีข้อขัดระเบียบหรือผิดพลาดในการดำเนินกระบวนพิจารณาของคู่ความฝ่ายใด ให้ศาลสั่งให้คู่ความที่ดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบหรือผิดพลาดแก้ไขหรือทำให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร หากคู่ความฝ่ายนั้นไม่แก้ไขหรือผิดพลาดดังกล่าวภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ศาลอาจสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้น

ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดมีการปฏิบัติหรือมีข้อขัดระเบียบหรือผิดพลาดโดยตั้งใจหรือมีเจตนาที่จะทำให้กระบวนพิจารณาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วหรือมีเจตนาที่จะทำให้สิทธิของคู่ความฝ่ายอื่นในกระบวนพิจารณาเสียหาย ให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่ความฝ่ายอื่นในกระบวนพิจารณา ในการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัตินี้และพระราชบัญญัติอื่นที่ให้มาโดยมาตรา ๗๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่ผู้บริโภคในฐานะโจทก์ผู้บริโภคและการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการบริโภคสินค้าหรือบริการระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ

มาตรา ๑๑ ประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำอื่นๆ ประการใดๆ ของผู้ประกอบธุรกิจที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในเจตนาสำคัญว่าผู้ประกอบธุรกิจจะขาย มอบให้ หรือจัดทำให้สิ่งของ บริการ หรือกระทำอื่นใด เพื่ออำนวยประโยชน์แก่ผู้บริโภคอย่างหนึ่งอย่างใดในเมื่อเป็นการตอบแทนผู้บริโภคในเงิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใด ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะได้รับประโยชน์แม้ผู้บริโภคจะมิได้มีการทำสัญญาใดๆ ให้ถือว่า ข้อความ การกระทำ หรือข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจปฏิบัติตามข้อความ การกระทำ หรือข้อตกลงนั้นได้ เว้นแต่การทำสัญญานั้นจะห้ามมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือและไม่ปรากฏข้อความนั้นในหนังสือที่ได้ทำขึ้นก็ถือว่า

มาตรา ๑๒ ในการใช้สิทธิแห่งนิติ ในการชำระหนี้ที่ ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้า ที่เหมาะสมและใช้ธรรมธุรกิจที่เป็นธรรม

มาตรา ๑๓ ในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย โดยผลของสารที่ผลิตอยู่ในร้านของผู้บริโภคหรือบริการที่ได้ใช้สอยในการแสดงการ ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ประกอบธุรกิจ หรือผู้แทนจำหน่ายนั้นแต่ผู้บริโภคจะต้องแสดงให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงให้รู้ถึงความเสียหาย

มาตรา ๑๔ ถ้าหากการทำคำสัญญาหรือข้อตกลงที่มีขึ้นระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจและผู้ประกอบธุรกิจมีความผิดตามที่กำหนดไว้ ให้ศาลสามารถสั่งยกเลิกข้อตกลงนั้นในระหว่างนั้นจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ยกเลิกการเจรจา

มาตรา ๑๕ ระยะเวลาความที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นที่นำบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้นำมาใช้บังคับ หรือระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้เมื่อคดีการเกี่ยวกับการร้องขอ ศาลมีอำนาจที่จะขยายระยะเวลาได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

มาตรา ๑๖ การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใด หรือการแจ้งวันนัด คำสั่งของศาลหรือข้อความอย่างอื่นไปยังคู่ความหรือบุคคลอื่นใดในคดีผู้บริโภคจำเลยต้องดำเนินการโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้เพื่อให้เกิดการโดยง่ายในการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้น โพสต์ทูโพสต์ โปร่งใส โปร่งใสหรือเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นที่ศาลเห็นชอบ โดยคำสั่งหรือข้อความนั้นจะต้องมีการระบุถึงการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นเพื่อให้เกิดการโดยง่ายในการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา

หมวด ๒

วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคในศาลชั้นต้น

ส่วนที่ ๑

การฟ้องคดี

มาตรา 17 ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจจะฟ้องผู้บริโภคเป็นคดีผู้บริโภค และผู้ประกอบธุรกิจสิ้นสุดคดีฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือศาลอื่นได้ด้วย ให้ผู้ประกอบธุรกิจเลือกฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้เพียงแห่งเดียว

มาตรา 18 ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย การยื่นคำฟ้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีผู้บริโภคต้องดำเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมในคำพิพากษาในที่สุด

ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคฟ้องคดีมาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เรียกร้องค่าเสียหายเกินสมควร ประพฤติตนไม่เรียบร้อย ดำเนินกระบวนพิจารณาอันมีลักษณะเป็นการประวิงคดีหรือไม่สุจริต หรือมีพฤติการณ์อื่นที่แสดงให้ศาลควรเชื่อว่าบุคคลนั้นกระทำการละเมิดต่อศาล ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลนั้นชำระค่าธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามที่ศาลเห็นสมควรในเงื่อนไขและวิธีการที่ศาลกำหนดได้ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ศาลสั่งจำคุกหรือกักขังทนายคดีออกจากการบังคับคดีตามความควร ในกรณีที่สมควรแก่เหตุและธรรมสอดคล้องกัน ศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าธรรมเนียมที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรเกี่ยวกับการดำเนินคดีในคดีผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคต้องชำระค่าธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามที่ศาลเห็นสมควรในเงื่อนไขและวิธีการที่ศาลกำหนดได้

มาตรา 19(2) ให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคตามที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมอบหมายมีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้ โดยให้ระบุชื่อและที่อยู่ของผู้บริโภคให้ชัดเจน และให้ทำบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการฟ้องและการดำเนินคดีแทนตามกฎหมายดังกล่าวไว้บังคับโดยอนุโลม

การถอนฟ้องหรือการประนีประนอมยอมความในคดีตามวรรคหนึ่งจะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อศาล และในการขอถอนฟ้องศาลจะสั่งคดีให้เสร็จเด็ดขาดได้ต่อเมื่อเห็นว่าการถอนฟ้องนั้นไม่เป็นผลเสียต่อการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม ถ้าภายหลังที่ได้แทรกแซงเพื่อช่วยต่อสู้คดีแล้ว สามารถขอรับมอบอำนาจฟ้องถูกเพื่อคุ้มครองหรือบังคับตามกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคหรือได้รับมอบอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้ ให้ถือว่าผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีที่สมควรแก่เหตุ ผู้บริโภคอาจขอให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือส่วนของผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองผู้มีอำนาจฟ้องคดีด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีผลบังคับต่อไปได้

มาตรา 20 การฟ้องคดีผู้บริโภค โจทก์จะฟ้องด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้ ในกรณีที่ฟ้องด้วยวาจา ให้เจ้าพนักงานคดีจดให้การรับฟังการจดบันทึกรายละเอียดแห่งคำฟ้องแล้วให้โจทก์ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ

คำฟ้องต้องมีข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีรวมทั้งคำขอบังคับซึ่งแสดงพอที่จะทำให้เข้าใจได้ หากศาลเห็นว่าคำฟ้องนั้นไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในส่วนที่ไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญได้

มาตรา 21 ภายหลังที่ได้การฟ้องคดีผู้บริโภคแล้ว หากมีการเสนอคำฟ้องในคดีอื่นที่มีความเกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อคดีผู้บริโภค ให้ศาลคดีในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องดังกล่าวมาพิจารณาสั่งและคดีที่ศาลสั่งให้รวมพิจารณาเหล่านั้นเป็นคดีผู้บริโภคตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย

ส่วนที่ 2

การพิจารณาคดี

มาตรา 22 ถ้าบุคคลใดแสดงว่าพยานหลักฐานที่เสนออ้างอิงในภายหน้าจะสูญหายหรือยากแก่การนำมาเมื่อมีการฟ้องเป็นคดีผู้บริโภค หรือที่มีความเกี่ยวข้องในคดีผู้บริโภคอาจขอให้ศาลทำการสอบสวนพยานหลักฐานดังกล่าวไว้ก่อนที่จะมีการฟ้องคดีหรือเป็นการยากที่จะนำมาในภายหลัง บุคคลนั้นจะต้องมีความน่าเชื่อถือและมีคำขอเพื่อมีคำสั่งให้สอบพยานหลักฐานนั้นไว้เท่าที่จำเป็นได้

เมื่อศาลได้รับคำขอเช่นว่านั้น ให้ศาลสอบพยานหลักฐานดังกล่าวตามที่เห็นสมควร หากคำสั่งอนุญาตตามคำขอ ก็ให้สิ่งพยานหลักฐานไปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ส่วนรายงานและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนั้นให้ศาลเก็บรักษาไว้ ในกรณีที่มีความจำเป็นหรือบุคคลรายงานที่เกี่ยวข้องไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและยังไม่ได้เข้ามาในคดีนั้น เมื่อศาลได้รับคำขอจากรวมรวมหนึ่ง ให้ศาลสั่งคำขอนั้นด้วยคำสั่งอย่างใดแต่เพียงเดียว และคำสั่งดังกล่าวตามคำขอนั้นให้ศาลสืบพยานไปในภายหลัง

มาตรา 23 ในกรณีเหตุสุดวิสัย เมื่อมีการยื่นคำขอตามมาตรา 22 ผู้ยื่นคำขอต้องมีคำร้องรวมไปด้วยเพื่อให้ศาลสั่งคำสั่งหรือออกหมายเรียกโดยไม่ต้องมีการพิจารณาในคดีนั้น และให้ศาลมีคำสั่งหรือออกหมายเรียกตามคำร้องนั้นได้โดยไม่ต้องมีการพิจารณาในคดีนั้น

ให้บทมาตรา 20 มาตรา 22 และมาตรา 23 และมาตรา 24 และมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัตินี้บังคับใช้แก่การพิจารณาคดีผู้บริโภคตามพระราชบัญญัตินี้โดยอนุโลม

มาตรา 24 เมื่อศาลสั่งรับคำฟ้องแล้ว ให้ศาลกำหนดวันนัดพิจารณาโดยเร็ว และออกหมายเรียกจำเลยให้มาศาลตามกำหนดเพื่อพิจารณาโดยใกล้เคียง ให้การ และสืบพยานต่อไป

พยานในวันเดียวกัน ทั้งนี้ ให้ศาลส่งสำเนาคำฟ้องหรือสำเนาบันทึกคำฟ้องให้จำเลย และสั่งให้โจทก์มาศาลในวันนัดพิจารณานั้นด้วย จำเลยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือต่อหน้านัดพิจารณาตามมาตรา ๒๕ ก็ได้ มาตรา ๒๕ ในวันนัดพิจารณา เมื่อโจทก์และจำเลยมาพร้อมกันแล้วให้เจ้าพนักงานคดีหรือบุคคลที่ศาลกำหนดหรือที่คู่ความตกลงกันทำการไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกันหรือรับประนอมยอมความกันก่อน ในการไกล่เกลี่ย ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอหรือคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลง ศาลก็อาจสั่งให้ดำเนินการเป็นการลับต่อหน้าตัวความทุกฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการไกล่เกลี่ย ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา

มาตรา ๒๖ ถ้าคู่ความไม่อาจตกลงกันหรือไม่อาจประนอมยอมความกันได้ และจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ ให้ศาลจัดให้การสอบถามคำให้การของจำเลยโดยจะสอบถามคำให้การเป็นหนังสือหรือให้การด้วยวาจาก็ได้ ในกรณีที่จำเลยให้การเป็นหนังสือ หากศาลเห็นว่าคำให้การดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือขัดต่อสาระสำคัญของเรื่อง ศาลอาจสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนที่ไม่ถูกต้องหรือขัดต่อสาระสำคัญได้ ในกรณีที่ให้การด้วยวาจา ให้ศาลสั่งให้บันทึกคำให้การนั้นและให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ

ถ้าจำเลยไม่ได้ให้การตามความผิด และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ขยายระยะเวลาในการให้การ ให้ถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในคำฟ้อง

มาตรา ๒๗ เมื่อโจทก์ได้ทราบคำให้การตามมาตรา ๒๖ แล้วไม่ว่าในวันนัดพิจารณาหรือในวันอื่น ให้โจทก์แถลงต่อศาลว่าประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลสั่งมอบสำนวนคดีออกเสียงพิจารณาโดยไม่ชักช้าและเร่งรัดให้การพิจารณาแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ถ้าจำเลยไม่ยื่นคำให้การ ให้ศาลสั่งมอบสำนวนคดีออกเสียงพิจารณาโดยไม่ชักช้าและเร่งรัดให้การพิจารณาแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด

เมื่อจำเลยได้ยื่นคำให้การตามมาตรา ๒๖ แล้วไม่ว่าในวันนัดพิจารณาหรือไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้แถลงคดี ถ้าจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การ ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่เพียงอย่างเดียว แต่ถ้ายกเลิกยื่นคำให้การให้ยอมรับในวันนัดดังกล่าว ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา

มาตรา ๒๘ ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลในวันนัดอื่นที่ศาลกำหนดไว้ตามมาตรา ๒๖ ให้ถือว่าฝ่ายนั้นละเลยสิทธิการดำเนินกระบวนพิจารณาในวันนั้นและกระบวนพิจารณาดำเนินต่อไปในวันนัดต่อไปด้วยแล้ว

มาตรา ๒๙ ประเด็นข้อพิพาทข้อใดเป็นข้อพิพาทข้อเท็จจริงที่ต้องดำเนินการพิสูจน์ การสอบพยาน หรือพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ หรือการดำเนินการอื่นใด ซึ่งศาลเห็นว่าข้อพิพาทดังกล่าวอยู่ในความรู้ทั่วไปและพอจะคาดหมายได้เป็นปกติวิสัยของบุคคล ให้การพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวอยู่แต่ภายในศาลที่มีผู้พิพากษาอยู่รับรู้กัน

มาตรา ๓๐ ถ้าจำเลยสั่งให้ได้มาศาลทั้งที่ศาลสั่งให้จำเลยมาศาลในคดีผู้บริโภคแล้วปรากฏว่าจำเลยหรือผู้ประกอบธุรกิจรายเดียวกันเป็นผู้ดำเนินคดีโดยข้อพิพาทที่พิพาท

เป็นอย่างเดียวกันคือก่อนและสุดในคดีที่ตนได้วินิจฉัยไว้แล้ว ศาลในคดีหลังอาจมีคำสั่งให้ถือว่าข้อที่วินิจฉัยในประเด็นนั้นผูกพันอยู่เฉพาะกับคดีเดิมโดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานหรือต่อสู้กันอีกในข้อที่วินิจฉัยดังกล่าวนั้นยังไม่มีพยานหลักฐานอันจะหักล้างคำวินิจฉัยดังกล่าว หรือเพื่อให้โอกาสแก่คู่ความที่เสียเปรียบต่อข้อคดี ศาลอาจแจ้งให้พยานหลักฐานมาสืบเองหรืออนุญาตให้คู่ความนำพยานหลักฐานมาสืบเพิ่มเติมตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา ๓๑ ในกรณีที่ศาลสั่งให้สืบพยาน ให้ศาลสอบถามคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายว่าประสงค์จะอ้างพยานหลักฐานอะไรบ้าง ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่ระบุพยานหลักฐานที่ต้องการอ้างในระยะเวลาตามที่ศาลสมควรก็ได้

มาตรา ๓๒ ก่อนการสืบพยาน ให้ศาลแจ้งประเด็นข้อพิพาทให้คู่ความทราบและอธิบายต่อให้คู่ความเข้าใจในประเด็นข้อพิพาทนั้นก่อนหรือหลังก็ได้

มาตรา ๓๓ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในอันที่จะให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี ให้ศาลมีอำนาจเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองตามที่เห็นสมควร ในการนี้ศาลอาจสั่งให้เจ้าพนักงานตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวงแล้วรายงานให้ศาลทราบ รวมทั้งมีอำนาจเรียกนักวิชาการและกรรมการผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงาน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล หรือให้จัดพยานหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาได้

พยานหลักฐานที่ได้มาภายหลังด้วยวิธีให้คู่ความทุกฝ่ายทราบและไม่ตัดสิทธิ์คู่ความในอันที่จะโต้แย้งพยานหลักฐานดังกล่าว

มาตรา ๓๔ ศาลมีอำนาจถามคู่ความ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลอื่นใดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งคดี คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลอื่นใดมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลหรือไม่ตอบคำถามได้ต่อเมื่อได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

ให้ศาลมีอำนาจซักถามพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างก็ตาม

มาตรา ๓๕ การนั่งพิจารณาสืบพยาน ให้ศาลนั่งพิจารณาคดีติดต่อกันไปโดยไม่เลื่อนคดีจนกว่าจะเสร็จการพิจารณา เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจทำความเสียได้ ศาลจะมีคำสั่งเลื่อนได้ครั้งละไม่เกินสิบห้าวัน

มาตรา ๓๖ ศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีได้ แต่ต้องให้คู่ความทุกฝ่ายทราบและให้โอกาสคู่ความทุกฝ่ายซักถามผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญนั้นด้วย

ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญที่ศาลขอให้ความเห็นประกอบการพิจารณาคดีได้รับค่าป่วยการ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นตามที่กำหนดในระเบียบที่กำหนดโดยคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม

มาตรา ๓๗ ศาลอาจแถลงการณ์ให้คู่ความทราบถึงข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนพิจารณาหรือสิ่งที่ศาลรับฟังได้ในระหว่างการพิจารณาเพื่อให้คู่ความได้ทราบและแถลงการณ์โต้แย้งหรือแสดงพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ในระยะเวลาที่ศาลกำหนด

แถลงการณ์ดังกล่าวต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรและให้คู่ความทุกฝ่ายทราบโดยทั่วกัน แต่ถ้าโดยลักษณะของคดีหรือพฤติการณ์แห่งคดี หากศาลเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจแถลงการณ์ด้วยวาจาในระหว่างการพิจารณาได้ ให้ศาลทำการสืบพยานหลักฐานต่อไปได้ ซึ่งอาจรวมทั้งการเรียกพยานที่สืบแล้วมาสืบใหม่ด้วย โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ

ส่วนที่ 3

คำพิพากษาและคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี

มาตรา 37 คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี อย่างน้อยต้องแสดงข้อเท็จจริงที่ได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีพร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยนั้น

มาตรา 38 ในคดีที่ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคเป็นโจทก์ ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่ถูกต้องหรือวิธีการบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่มีเพียงพอสำหรับการเยียวยาความเสียหายตามฟ้อง ศาลมีอำนาจบังคับให้โจทก์ต้องแก้ไขวิธีการบังคับในคำฟ้องหรือลดหรือเพิ่มจำนวนค่าเสียหายที่ปรากฏในคำขอบังคับของโจทก์ก็ได้ แต่เมื่อศาลแก้ไขคำวินิจฉัยแล้วจะต้องเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่คู่ความยกขึ้นมากล่าวกันแล้วโดยชอบ

มาตรา 39 ในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยและในความที่พยานหลักฐานในทางพินิจของศาลยังไม่แน่ชัดความเสียหายที่แท้จริงเพียงใด ศาลอาจกำหนดในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดชั่วคราวให้ใช้เงินหรือแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดนั้นในระยะเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ ต้องไม่เกินห้าปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาด แต่ถ้าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้มีความชัดเจนก่อนครบกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดนั้นได้

มาตรา 40 ในคดีที่ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคเป็นโจทก์ ฟ้องขอให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินในความชำรุดบกพร่องของสินค้า การผิดสัญญาหรือการกระทำละเมิดหรือในเหตุอื่นอันเกี่ยวเนื่องกับการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจ ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน

เสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ เช่น ความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับ ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับ สภาพทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การที่ผู้ประกอบธุรกิจได้ใช้ทรัพยากรจนทำให้เกิดความเสียหายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการที่ผู้บริโภคมีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายด้วย การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจกำหนดได้ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนด แต่ถ้าค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดมีจำนวนเงินไม่เกินห้าพันบาท ให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกินห้าหมื่นบาทแล้วแต่กรณีที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา 13 ในคดีผู้บริโภค เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอันชัดแจ้งจากสำนวนคดีหรือคำเบิกความจากสำนวนความ หากข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่ายังมีสินค้าที่ได้จำหน่ายไปแล้วหรือที่เหลืออยู่ในท้องตลาดอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยของผู้บริโภค โดยส่วนรวม และไม่อาจใช้วิธีอื่นอย่างใดได้ ให้ศาลสั่งถอนจากออกคลัง ดังต่อไปนี้

(ก)

ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดการประกาศและรับคืนสินค้าดังกล่าวซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเพื่อการแก้ไขหรือเปลี่ยนให้เหมาะในสถานที่กำหนดโดยค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบธุรกิจเอง แต่ถ้าผู้บริโภคไม่อาจนำสินค้ามาคืนได้ ให้ใช้วิธีการอื่นที่ศาลเห็นสมควร โดยคำนึงถึงลักษณะและสภาพของสินค้านั้นร่วมด้วย รวมถึงความสำคัญของผู้ประกอบธุรกิจในรายย่อย

(ข)

ห้ามผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าที่เหลืออยู่และให้เรียกคืนสินค้าที่จำหน่ายไปแล้วจากผู้บริโภคหรือผู้จำหน่ายสินค้ารายย่อย โดยค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบธุรกิจเอง ทั้งนี้ ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดการทำลายสินค้าดังกล่าวในกรณีที่ศาลเห็นสมควรเพื่อมิให้สินค้าดังกล่าวกลับเข้าสู่ตลาดอีกต่อไป ให้ศาลสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างดังกล่าวข้างต้นแล้วแต่กรณี ถ้าความปรากฏในภายหลังว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลมีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอำนาจทำการแทนของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลไว้จนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว หรือสั่งให้พนักงานคดีหรือบุคคลที่ศาลมอบหมายดำเนินการโดยให้ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่าย และหากผู้ประกอบธุรกิจไม่ชำระ ให้บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจเสียสละเงินหรือทรัพย์สินของตนเพื่อชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าว ผู้ประกอบธุรกิจหรือบุคคลที่ศาลมอบหมายดำเนินการดังกล่าวมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจดังกล่าวได้ตามจำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่ได้เสียสละไป ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิของผู้ประกอบธุรกิจหรือบุคคลดังกล่าวที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจดังกล่าวในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือบุคคลดังกล่าวต้องชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวแทนบุคคลอื่น

มาตรา 14 ในคดีผู้บริโภค เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอันชัดแจ้งจากสำนวนคดีหรือคำเบิกความจากสำนวนความ หากข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่ามีผู้เสียหายที่มิได้เข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีนั้นด้วย ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอำนาจทำการแทนของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายดังกล่าวด้วย ให้ศาลสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างดังต่อไปนี้

(ก)

ให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอำนาจทำการแทนของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายดังกล่าวโดยตรง

(ข)

ให้ผู้เสียหายที่มิได้เข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีนั้นเข้ามาเป็นคู่ความร่วม และให้มีอำนาจฟ้องร้องผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอำนาจทำการแทนของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลในคดีนั้นต่อไป ดิฉันบุคคลมีชื่อผู้บริโภคได้ด้วย เว้นแต่ผู้ซึ่งนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว หรือในกรณีของผู้รับมอบทรัพย์สินนั้นจากดิฉันบุคคลจะต้องพิสูจน์ได้ว่าตนได้รับทรัพย์สินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ผู้รับมอบทรัพย์สินจากดิฉันบุคคลตามวรรคหนึ่งให้รวมถึงผู้ใดไม่เกินทรัพย์สินที่ผู้นั้นได้รับจากดิฉันบุคคลนั้น

หมวด ๓

ธุรกรรม

มาตรา ๔๕ ให้ถือเป็นโมฆะหากดิฉันผู้บริโภคสั่งในกลอุบายหรือกลลวงธุรกรรมใดและกลอุบายหรือกลลวงธุรกรรมนั้นมีผลกระทบต่อผู้บริโภค

มาตรา ๔๖ การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีผู้บริโภค ให้พยานหลักฐานของกลอุบายหรือกลลวงธุรกรรมที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคกระทำไปในทางที่เหมือนกันแต่มีได้โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น

มาตรา ๔๗ ในคดีผู้บริโภคที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้มีความพิพาทในปัญหาข้อเท็จจริง

มาตรา ๔๘ ในกรณีที่ผู้พิพากษาเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวมีข้อพิพาทเกี่ยวกับมาตรา ๔๗ ผู้พิพากษาต้องส่งคำสั่งดังกล่าวพร้อมด้วยคำร้องเพื่อขออนุญาตอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์และคำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามคำร้องดังกล่าวให้ถือเป็นที่สุด ในกรณีเช่นว่านี้เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ต้องห้ามก็ให้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์นั้นไว้ดำเนินการต่อไป

ในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเหตุต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา ๔๗ ผู้พิพากษาต้องส่งคำร้องโดยทันทีหรือในคราวเดียวกับคำร้องเพื่อขออนุญาตอุทธรณ์และคำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามคำร้องดังกล่าวให้ถือเป็นที่สุด ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ต้องห้ามก็ให้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์นั้นไว้ดำเนินการต่อไป หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับอุทธรณ์และการพิจารณาคำขอของศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคตามมาตรา ๔๘ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา

มาตรา ๔๙ การพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคให้ถือปฏิบัติตามมาตรา ๓๖ ถึงมาตรา ๔๐ โดยอนุโลม

ภายใต้บังคับมาตรา ๕๐ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคและศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคให้เป็นที่สุด

มาตรา 60 ให้นำบทบัญญัติในหมวด 2 วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาชี้ขาดข้อพิพาทซึ่งตกลงกันโดยสมัครใจของศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคและศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคโดยอนุโลม

หมวด 4

ฎีกา

มาตรา 61 การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคหรือศาลอุทธรณ์ในคดีแผนกคดีผู้บริโภค ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 62 (ยกเลิก)

มาตรา 63 (ยกเลิก)

มาตรา 64 (ยกเลิก)

มาตรา 65 ให้นำบทบัญญัติในหมวด 2 วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาต่อเนื่องคดีของศาลฎีกาโดยอนุโลม

หมวด 5

วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา

มาตรา 66 ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา หากมีเหตุแสดงโดยน่าเชื่อถือว่าการที่ผู้บริโภคฟ้องคดีมีมูลอันน่าจะทำให้ศาลสั่งคุ้มครองหรือให้มีวิธีชั่วคราวก่อนพิพากษาตามมาตรา 254 (2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือมีความจำเป็นต้องขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวมิให้จำเลยกระทำการหรือดำเนินการหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นส่วนรวม ผู้ฟ้องซึ่งเป็นโจทก์อาจยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องเพื่อขอให้มีวิธีการชั่วคราวดังกล่าวก่อนฟ้องได้

คำขอสามารถรวมถึงรายการค่าใช้จ่ายหรือจริงที่แสดงว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจเป็นจำนวนและลักษณะเป็นการชั่วคราวเพื่อให้มีอำนาจสั่งการหรือสั่งอนุญาตตามคำขอนั้น รวมทั้งต้องมีน้ำหนักอย่างยิ่งที่แสดงถึงความจริงว่าผู้มีหน้าที่แถลงการณ์ขอเพื่อสนับสนุนข้ออ้างดังกล่าว

มาตรา 67 ในการพิจารณาคำขอตามมาตรา 66 ให้ศาลสั่งคำสั่งอนุญาตตามคำขอ หากตรวจสอบแล้วเห็นว่า

(ก)

คำขอนั้นสมควรในโอกาสที่ยื่นคำขอนั้นมีเหตุสมควร และมีเหตุเพียงพอที่ศาลสั่งคำสั่งอนุญาตตามคำขอนั้นได้ และ

(ข)

สภาพแห่งความเสียหายของผู้ขอไม่สามารถที่จะได้รับชดใช้เงินเป็นเงินหรือทดแทนด้วยสิ่งอื่นได้ หรือผู้ที่ถูกฟ้องเป็นฝ่ายไม่อยู่ในฐานะที่จะชดใช้หรือทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หรือมีเหตุที่ศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์ของการเป็นจำเลยนั้นได้ตามสมควร หรือด้วยความเสียหายอยู่ในลักษณะเป็นส่วนรวมอย่างยิ่งอาจเกิดการเป็นเยี่ยงอย่างในทางลบ ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่ากันเพียงใดเป็นสำคัญ ถ้าศาลมีคำสั่งให้ยกคำขอนั้น คำสั่งเช่นว่านั้นให้เป็นที่สุด

มาตรา ๕๙ ให้ศาลแจ้งคำสั่งอนุญาตตามมาตรา ๕๗ ให้ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยทราบโดยไม่ชักช้า

คำสั่งศาลตามวรรคหนึ่งนั้นให้มีผลบังคับแก่ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยได้ทันที

มาตรา ๖๐ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามมาตรา ๕๗ ให้ศาลพิจารณาหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลย และอาจสั่งให้ผู้อุทธรณ์ตามมาตรา ๕๗ วางเงินหรือทรัพย์สินไว้ตามจำนวนที่ศาลกำหนดในระยะเวลาที่ศาลกำหนดเพื่อเป็นประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าวได้

มาตรา ๖๑ ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอาจยื่นคำขอให้ศาลยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งอนุญาตตามมาตรา ๕๗ ได้ ถ้าศาลมีคำสั่งยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมดังกล่าว คำสั่งเช่นว่านั้นให้เป็นที่สุด

ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอาจยื่นคำขอต่อศาลให้ยุติขอหมายตามมาตรา ๕๗ จนถึงเวลาที่ศาลเห็นสมควรได้ โดยอาจรวมไปถึงคำขอให้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่ง หรือคำขอต่อศาลให้ยุติขอหมายจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งหรือภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ทั้งนี้ ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลเห็นสมควร และถ้าผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลมีอำนาจบังคับผู้ขอเสียเงินหรือทรัพย์สินที่วางเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา

มาตรา ๖๒ ในกรณีที่ผู้ขอตามมาตรา ๕๗ มิได้ฟ้องคดีเกี่ยวกับคำขอที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามมาตรา ๕๗ ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งหรือภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ให้ถือว่าคำสั่งนั้นเป็นอันสิ้นผลโดยทันที

ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอาจยื่นคำขอต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คำสั่งนั้นเป็นอันสิ้นผล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอันเนื่องมาจากคำสั่งอนุญาตดังกล่าว และถ้าศาลเห็นว่าผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ไม่มีเหตุผลอันสมควรในการขอหมายดังกล่าว ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวได้

มาตรา ๖๓ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามมาตรา ๕๗ ฟ้องคดีเกี่ยวกับคำขอที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามมาตรา ๕๗ ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งหรือภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ให้ถือว่าคำสั่งนั้นเป็นอันสิ้นผลโดยทันที

ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอาจยื่นคำขอต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คำสั่งนั้นเป็นอันสิ้นผล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอันเนื่องมาจากคำสั่งอนุญาตดังกล่าว และถ้าศาลเห็นว่าผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ไม่มีเหตุผลอันสมควรในการขอหมายดังกล่าว ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวได้

มาตรา ๖๔ บทบัญญัติมาตรา ๕๗ ถึงมาตรา ๖๓ และมาตรา ๒๖๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งให้ใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 13 ในระหว่างการพิจารณา ถ้ามีความจำเป็นต้องกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เพื่อบรรเทาความเสียหายหรือป้องกันเหตุที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกริบโดยเป็นส่วนรวมในการดำรงชีพหรือการพำนักอาศัย เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความมีคำขอพร้อมด้วยการยกเหตุผลของเจ้าพนักงานคดี ให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการนั้นได้เท่าที่จำเป็นและพอสมควรแก่กรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดโดยข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา

เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรากรณีนี้ ให้ศาลสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องแจ้งข้อมูลหรือออกหมายเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับความเสียหาย เหตุที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย รวมทั้งกิจการและทรัพย์สินของจำเลยได้ตามที่เห็นสมควร

หมวด 6

การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง

มาตรา 14 ในการบังคับคดี หากการออกคำบังคับไปสู่บุคคลที่ถือตามคำพิพากษาอาจมีการออกหมายบังคับคดีระงับหรือแก้ไขคำบังคับทางการได้รวมความเสียหายและบทบัญญัติใด ๆ ไว้ในวงบังคับคดีได้ เจ้าพนักงานพิพากษาทางอาญาอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหมายบังคับคดีในแก้ไขคำบังคับโดยไม่ต้องออกคำบังคับคดีใหม่

ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีใด ๆ หากเจ้าพนักงานพิพากษาทางอาญาเห็นว่าการบังคับคดีนั้นไม่เหมาะสมหรือไม่อาจบังคับคดีได้ ให้เจ้าพนักงานพิพากษาทางอาญายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวตามความจำเป็นและสมควรแก่กรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม บทเฉพาะกาล

มาตรา 15 บรรดาคดีที่ยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ศาลนั้นพิจารณาพิพากษาต่อไป และให้บังคับตามกฎหมายที่ใช้บังคับในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับจนกว่าคดีนั้นจะถึงที่สุด

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจการขายและซื้อขายทรัพย์สินมีการพัฒนาอย่างกว้างขวางและมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการผลิตสินค้าและบริการมาใช้ ในขณะเดียวกันก็มีการแสวงหาผลประโยชน์ในเรื่องของการฟอกเงินที่เกิดจากการกระทำความผิดทางอาญา ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างร้ายแรง ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการฟอกเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างเหมาะสม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ OCR 결과는 다음과 같습니다: กรณีคู่ ผู้บริโภคซึ่งตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบมานานครั้งนำไปสู่การใช้วิธีการที่รุนแรงและต่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกับกลุ่มผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรม อันส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สมควรให้มีระบบวิธีพิจารณาคดีที่เลือกใช้การไกล่เกลี่ยระหว่างคู่กรณีในคดีผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายได้บรรเทา แก้ไขเยียวยาด้วยความรวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพ อันเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค จนเสมอภาค เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินกิจการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการให้มีมาตรฐาน ซึ่งจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๕(8)

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคได้กำหนดให้ศาลมีคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคของผู้บริโภค ฟ้องคดีแทน คดีอาญา และดำเนินการแทนบางกรณีใด ๆ ในคดีที่เกี่ยวข้องผู้บริโภคที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยร่วมกับหน่วยงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามแต่เหตุจำเป็นเป็นครั้งคราว เพื่อให้มีการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและดำเนินคดีต่อศาลด้วยกฎหมายอย่างล่าช้า จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๕(9)

มาตรา ๓ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

หมายเหตุ :- การที่มีการตราพระราชบัญญัติศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคให้ทันสมัยตามกฎหมาย ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับจากคดีจะเสร็จการพิจารณาจากศาลฎีกา

มาตรา ๗ ให้ประธานศาลฎีกากำหนดรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาแล้ว โดยให้สอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปิติธรรม / Maker 25 ตุลาคม 2565 ปริญญ์สิษฐ์ / Checker 26 ตุลาคม 2565 ปริญญ์สิษฐ์ / Authorizer 26 ตุลาคม 2565 (1) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125/ตอนที่ 37 ก/หน้า 22/27 กุมภาพันธ์ 2551 (2) มาตรา 19 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (3) มาตรา 49 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (4) มาตรา 50 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (5) มาตรา 52 ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (6) มาตรา 53 ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (7) มาตรา 54 ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (8) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 110/ตอนที่ 25 ก/หน้า 1/18 มีนาคม 2536 (9) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 120/ตอนที่ 120 ก/หน้า 37/14 ธันวาคม 2546