ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑
โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค
“คดีผู้บริโภค” หมายความว่า
คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคตามมาตรา ๑๙ หรือกฎหมายอื่น กับผู้ประกอบธุรกิจซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ
คดีแพ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าไม่ปลอดภัย
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีตาม (๑) หรือ (๒)
คดีอื่นที่มีกฎหมายบัญญัติให้ใช้วิธีพิจารณาตามพระราชบัญญัตินี้ “ผู้บริโภค” หมายความว่า ผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับความเสียหายจากสินค้าไม่ปลอดภัยหรือผู้ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีที่สินค้าไม่ปลอดภัย "ผู้ประกอบธุรกิจ" หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และให้หมายความรวมถึงผู้ประกอบการตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยด้วย "ก.ส." หมายความว่า คณะกรรมการว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม "เจ้าพนักงานคดี" หมายความว่า บุคคลที่เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ไกล่เกลี่ยคดีผู้บริโภค
ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน
บันทึกคำพยาน
ดำเนินการให้มีการคุ้มครองสิทธิของคู่ความทั้งก่อนและระหว่างการพิจารณา
ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาในการทำหน้าที่ช่วยเหลือศาล ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เจ้าพนักงานคดีเป็นหัวหน้าสำนักงานประจำกองคดีผู้บริโภคที่ศาลมอบหมายหรือเป็นผู้รับผิดชอบบุคคลที่มอบให้ข้อมูล หรือให้ส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามอำนาจหน้าที่ หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดีให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาในทางกฎหมายหรือระดับปริญญาเอกทางกฎหมาย
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาทางกฎหมาย เป็นสมาชิกสภานักกฎหมายและได้รับใบอนุญาตว่าความจากกฎหมายเฉพาะที่ ก.ส. กำหนดให้เป็นไปตามที่ ก.ส. กำหนด
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาทางกฎหมายจากสถาบันการศึกษาที่ ก.ส. กำหนดซึ่งไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี และได้รับใบอนุญาตว่าความจาก ก.ส. กำหนด ให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนดังที่แจ้งเป็นเจ้าพนักงานคดี ทั้งนี้ ตามระเบียบที่ ก.ส. กำหนด
ข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
บททั่วไป
การอุทธรณ์ในกระบวนพิจารณาคดีผู้บริโภคซึ่งยังไม่ถึงที่สุดตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่าโดยความเห็นชอบของโดยเคยเห็นชอบของศาลชั้นต้นหรือโดยคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ยื่นคำร้องขออุทธรณ์ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหรือคำพิพากษาในกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ ให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขออุทธรณ์ต่อศาลฎีกาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลฎีกาให้เป็นที่สุด ให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยคำวินิจฉัยและแจ้งผลไปยังศาลชั้นต้นโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว การดำเนินการใด ๆ ระหว่างศาลชั้นต้นกับศาลฎีกาตามมาตรานี้ จะดำเนินการโดยทางโทรสารหรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นใดก็ได้
ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดมีการปฏิบัติหรือมีข้อขัดระเบียบหรือผิดพลาดโดยตั้งใจหรือมีเจตนาที่จะทำให้กระบวนพิจารณาไม่เป็นไปโดยรวดเร็วหรือมีเจตนาที่จะทำให้สิทธิของคู่ความฝ่ายอื่นในกระบวนพิจารณาเสียหาย ให้ศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่ความฝ่ายอื่นในกระบวนพิจารณา ในการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัตินี้และพระราชบัญญัติอื่นที่ให้มาโดยมาตรา ๗๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่ผู้บริโภคในฐานะโจทก์ผู้บริโภคและการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการบริโภคสินค้าหรือบริการระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ
วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคในศาลชั้นต้น
การฟ้องคดี
ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคฟ้องคดีมาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เรียกร้องค่าเสียหายเกินสมควร ประพฤติตนไม่เรียบร้อย ดำเนินกระบวนพิจารณาอันมีลักษณะเป็นการประวิงคดีหรือไม่สุจริต หรือมีพฤติการณ์อื่นที่แสดงให้ศาลควรเชื่อว่าบุคคลนั้นกระทำการละเมิดต่อศาล ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลนั้นชำระค่าธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามที่ศาลเห็นสมควรในเงื่อนไขและวิธีการที่ศาลกำหนดได้ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ศาลสั่งจำคุกหรือกักขังทนายคดีออกจากการบังคับคดีตามความควร ในกรณีที่สมควรแก่เหตุและธรรมสอดคล้องกัน ศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าธรรมเนียมที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรเกี่ยวกับการดำเนินคดีในคดีผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคต้องชำระค่าธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามที่ศาลเห็นสมควรในเงื่อนไขและวิธีการที่ศาลกำหนดได้
การถอนฟ้องหรือการประนีประนอมยอมความในคดีตามวรรคหนึ่งจะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อศาล และในการขอถอนฟ้องศาลจะสั่งคดีให้เสร็จเด็ดขาดได้ต่อเมื่อเห็นว่าการถอนฟ้องนั้นไม่เป็นผลเสียต่อการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม ถ้าภายหลังที่ได้แทรกแซงเพื่อช่วยต่อสู้คดีแล้ว สามารถขอรับมอบอำนาจฟ้องถูกเพื่อคุ้มครองหรือบังคับตามกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคหรือได้รับมอบอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้ ให้ถือว่าผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีที่สมควรแก่เหตุ ผู้บริโภคอาจขอให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือส่วนของผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองผู้มีอำนาจฟ้องคดีด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีผลบังคับต่อไปได้
คำฟ้องต้องมีข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีรวมทั้งคำขอบังคับซึ่งแสดงพอที่จะทำให้เข้าใจได้ หากศาลเห็นว่าคำฟ้องนั้นไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในส่วนที่ไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญได้
การพิจารณาคดี
เมื่อศาลได้รับคำขอเช่นว่านั้น ให้ศาลสอบพยานหลักฐานดังกล่าวตามที่เห็นสมควร หากคำสั่งอนุญาตตามคำขอ ก็ให้สิ่งพยานหลักฐานไปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ส่วนรายงานและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนั้นให้ศาลเก็บรักษาไว้ ในกรณีที่มีความจำเป็นหรือบุคคลรายงานที่เกี่ยวข้องไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและยังไม่ได้เข้ามาในคดีนั้น เมื่อศาลได้รับคำขอจากรวมรวมหนึ่ง ให้ศาลสั่งคำขอนั้นด้วยคำสั่งอย่างใดแต่เพียงเดียว และคำสั่งดังกล่าวตามคำขอนั้นให้ศาลสืบพยานไปในภายหลัง
ให้บทมาตรา 20 มาตรา 22 และมาตรา 23 และมาตรา 24 และมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัตินี้บังคับใช้แก่การพิจารณาคดีผู้บริโภคตามพระราชบัญญัตินี้โดยอนุโลม
พยานในวันเดียวกัน ทั้งนี้ ให้ศาลส่งสำเนาคำฟ้องหรือสำเนาบันทึกคำฟ้องให้จำเลย และสั่งให้โจทก์มาศาลในวันนัดพิจารณานั้นด้วย จำเลยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือต่อหน้านัดพิจารณาตามมาตรา ๒๕ ก็ได้ มาตรา ๒๕ ในวันนัดพิจารณา เมื่อโจทก์และจำเลยมาพร้อมกันแล้วให้เจ้าพนักงานคดีหรือบุคคลที่ศาลกำหนดหรือที่คู่ความตกลงกันทำการไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกันหรือรับประนอมยอมความกันก่อน ในการไกล่เกลี่ย ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอหรือคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลง ศาลก็อาจสั่งให้ดำเนินการเป็นการลับต่อหน้าตัวความทุกฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการไกล่เกลี่ย ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา
ถ้าจำเลยไม่ได้ให้การตามความผิด และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ขยายระยะเวลาในการให้การ ให้ถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในคำฟ้อง
เมื่อจำเลยได้ยื่นคำให้การตามมาตรา ๒๖ แล้วไม่ว่าในวันนัดพิจารณาหรือไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้แถลงคดี ถ้าจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การ ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่เพียงอย่างเดียว แต่ถ้ายกเลิกยื่นคำให้การให้ยอมรับในวันนัดดังกล่าว ให้ถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา
เป็นอย่างเดียวกันคือก่อนและสุดในคดีที่ตนได้วินิจฉัยไว้แล้ว ศาลในคดีหลังอาจมีคำสั่งให้ถือว่าข้อที่วินิจฉัยในประเด็นนั้นผูกพันอยู่เฉพาะกับคดีเดิมโดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานหรือต่อสู้กันอีกในข้อที่วินิจฉัยดังกล่าวนั้นยังไม่มีพยานหลักฐานอันจะหักล้างคำวินิจฉัยดังกล่าว หรือเพื่อให้โอกาสแก่คู่ความที่เสียเปรียบต่อข้อคดี ศาลอาจแจ้งให้พยานหลักฐานมาสืบเองหรืออนุญาตให้คู่ความนำพยานหลักฐานมาสืบเพิ่มเติมตามที่เห็นสมควรก็ได้
พยานหลักฐานที่ได้มาภายหลังด้วยวิธีให้คู่ความทุกฝ่ายทราบและไม่ตัดสิทธิ์คู่ความในอันที่จะโต้แย้งพยานหลักฐานดังกล่าว
ให้ศาลมีอำนาจซักถามพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างก็ตาม
ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญที่ศาลขอให้ความเห็นประกอบการพิจารณาคดีได้รับค่าป่วยการ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นตามที่กำหนดในระเบียบที่กำหนดโดยคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม
แถลงการณ์ดังกล่าวต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรและให้คู่ความทุกฝ่ายทราบโดยทั่วกัน แต่ถ้าโดยลักษณะของคดีหรือพฤติการณ์แห่งคดี หากศาลเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจแถลงการณ์ด้วยวาจาในระหว่างการพิจารณาได้ ให้ศาลทำการสืบพยานหลักฐานต่อไปได้ ซึ่งอาจรวมทั้งการเรียกพยานที่สืบแล้วมาสืบใหม่ด้วย โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ
คำพิพากษาและคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี
เสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ เช่น ความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับ ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับ สภาพทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การที่ผู้ประกอบธุรกิจได้ใช้ทรัพยากรจนทำให้เกิดความเสียหายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการที่ผู้บริโภคมีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายด้วย การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจกำหนดได้ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนด แต่ถ้าค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดมีจำนวนเงินไม่เกินห้าพันบาท ให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกินห้าหมื่นบาทแล้วแต่กรณีที่ศาลเห็นสมควร
ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดการประกาศและรับคืนสินค้าดังกล่าวซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเพื่อการแก้ไขหรือเปลี่ยนให้เหมาะในสถานที่กำหนดโดยค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบธุรกิจเอง แต่ถ้าผู้บริโภคไม่อาจนำสินค้ามาคืนได้ ให้ใช้วิธีการอื่นที่ศาลเห็นสมควร โดยคำนึงถึงลักษณะและสภาพของสินค้านั้นร่วมด้วย รวมถึงความสำคัญของผู้ประกอบธุรกิจในรายย่อย
ห้ามผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าที่เหลืออยู่และให้เรียกคืนสินค้าที่จำหน่ายไปแล้วจากผู้บริโภคหรือผู้จำหน่ายสินค้ารายย่อย โดยค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบธุรกิจเอง ทั้งนี้ ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดการทำลายสินค้าดังกล่าวในกรณีที่ศาลเห็นสมควรเพื่อมิให้สินค้าดังกล่าวกลับเข้าสู่ตลาดอีกต่อไป ให้ศาลสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างดังกล่าวข้างต้นแล้วแต่กรณี ถ้าความปรากฏในภายหลังว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลมีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอำนาจทำการแทนของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลไว้จนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว หรือสั่งให้พนักงานคดีหรือบุคคลที่ศาลมอบหมายดำเนินการโดยให้ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่าย และหากผู้ประกอบธุรกิจไม่ชำระ ให้บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจเสียสละเงินหรือทรัพย์สินของตนเพื่อชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าว ผู้ประกอบธุรกิจหรือบุคคลที่ศาลมอบหมายดำเนินการดังกล่าวมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจดังกล่าวได้ตามจำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่ได้เสียสละไป ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิของผู้ประกอบธุรกิจหรือบุคคลดังกล่าวที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจดังกล่าวในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือบุคคลดังกล่าวต้องชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวแทนบุคคลอื่น
ให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอำนาจทำการแทนของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายดังกล่าวโดยตรง
ให้ผู้เสียหายที่มิได้เข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีนั้นเข้ามาเป็นคู่ความร่วม และให้มีอำนาจฟ้องร้องผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้มีอำนาจทำการแทนของผู้ประกอบธุรกิจในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคลในคดีนั้นต่อไป ดิฉันบุคคลมีชื่อผู้บริโภคได้ด้วย เว้นแต่ผู้ซึ่งนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว หรือในกรณีของผู้รับมอบทรัพย์สินนั้นจากดิฉันบุคคลจะต้องพิสูจน์ได้ว่าตนได้รับทรัพย์สินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ผู้รับมอบทรัพย์สินจากดิฉันบุคคลตามวรรคหนึ่งให้รวมถึงผู้ใดไม่เกินทรัพย์สินที่ผู้นั้นได้รับจากดิฉันบุคคลนั้น
ธุรกรรม
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเหตุต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา ๔๗ ผู้พิพากษาต้องส่งคำร้องโดยทันทีหรือในคราวเดียวกับคำร้องเพื่อขออนุญาตอุทธรณ์และคำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามคำร้องดังกล่าวให้ถือเป็นที่สุด ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ต้องห้ามก็ให้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์นั้นไว้ดำเนินการต่อไป หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับอุทธรณ์และการพิจารณาคำขอของศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคตามมาตรา ๔๘ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา
ภายใต้บังคับมาตรา ๕๐ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคและศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคให้เป็นที่สุด
ฎีกา
วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา
คำขอสามารถรวมถึงรายการค่าใช้จ่ายหรือจริงที่แสดงว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจเป็นจำนวนและลักษณะเป็นการชั่วคราวเพื่อให้มีอำนาจสั่งการหรือสั่งอนุญาตตามคำขอนั้น รวมทั้งต้องมีน้ำหนักอย่างยิ่งที่แสดงถึงความจริงว่าผู้มีหน้าที่แถลงการณ์ขอเพื่อสนับสนุนข้ออ้างดังกล่าว
คำขอนั้นสมควรในโอกาสที่ยื่นคำขอนั้นมีเหตุสมควร และมีเหตุเพียงพอที่ศาลสั่งคำสั่งอนุญาตตามคำขอนั้นได้ และ
สภาพแห่งความเสียหายของผู้ขอไม่สามารถที่จะได้รับชดใช้เงินเป็นเงินหรือทดแทนด้วยสิ่งอื่นได้ หรือผู้ที่ถูกฟ้องเป็นฝ่ายไม่อยู่ในฐานะที่จะชดใช้หรือทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ หรือมีเหตุที่ศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์ของการเป็นจำเลยนั้นได้ตามสมควร หรือด้วยความเสียหายอยู่ในลักษณะเป็นส่วนรวมอย่างยิ่งอาจเกิดการเป็นเยี่ยงอย่างในทางลบ ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่ากันเพียงใดเป็นสำคัญ ถ้าศาลมีคำสั่งให้ยกคำขอนั้น คำสั่งเช่นว่านั้นให้เป็นที่สุด
คำสั่งศาลตามวรรคหนึ่งนั้นให้มีผลบังคับแก่ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยได้ทันที
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอาจยื่นคำขอต่อศาลให้ยุติขอหมายตามมาตรา ๕๗ จนถึงเวลาที่ศาลเห็นสมควรได้ โดยอาจรวมไปถึงคำขอให้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่ง หรือคำขอต่อศาลให้ยุติขอหมายจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งหรือภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ทั้งนี้ ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลเห็นสมควร และถ้าผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลมีอำนาจบังคับผู้ขอเสียเงินหรือทรัพย์สินที่วางเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอาจยื่นคำขอต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คำสั่งนั้นเป็นอันสิ้นผล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอันเนื่องมาจากคำสั่งอนุญาตดังกล่าว และถ้าศาลเห็นว่าผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ไม่มีเหตุผลอันสมควรในการขอหมายดังกล่าว ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวได้
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอาจยื่นคำขอต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คำสั่งนั้นเป็นอันสิ้นผล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่อยู่ถูกฟ้องเป็นจำเลยอันเนื่องมาจากคำสั่งอนุญาตดังกล่าว และถ้าศาลเห็นว่าผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ไม่มีเหตุผลอันสมควรในการขอหมายดังกล่าว ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ขอหมายตามมาตรา ๕๗ ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวได้
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรากรณีนี้ ให้ศาลสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องแจ้งข้อมูลหรือออกหมายเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับความเสียหาย เหตุที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย รวมทั้งกิจการและทรัพย์สินของจำเลยได้ตามที่เห็นสมควร
การบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง
ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีใด ๆ หากเจ้าพนักงานพิพากษาทางอาญาเห็นว่าการบังคับคดีนั้นไม่เหมาะสมหรือไม่อาจบังคับคดีได้ ให้เจ้าพนักงานพิพากษาทางอาญายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวตามความจำเป็นและสมควรแก่กรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม บทเฉพาะกาล
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจการขายและซื้อขายทรัพย์สินมีการพัฒนาอย่างกว้างขวางและมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการผลิตสินค้าและบริการมาใช้ ในขณะเดียวกันก็มีการแสวงหาผลประโยชน์ในเรื่องของการฟอกเงินที่เกิดจากการกระทำความผิดทางอาญา ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างร้ายแรง ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการฟอกเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างเหมาะสม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ OCR 결과는 다음과 같습니다: กรณีคู่ ผู้บริโภคซึ่งตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบมานานครั้งนำไปสู่การใช้วิธีการที่รุนแรงและต่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกับกลุ่มผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรม อันส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สมควรให้มีระบบวิธีพิจารณาคดีที่เลือกใช้การไกล่เกลี่ยระหว่างคู่กรณีในคดีผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายได้บรรเทา แก้ไขเยียวยาด้วยความรวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพ อันเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค จนเสมอภาค เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินกิจการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการให้มีมาตรฐาน ซึ่งจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๕(8)
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคได้กำหนดให้ศาลมีคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคของผู้บริโภค ฟ้องคดีแทน คดีอาญา และดำเนินการแทนบางกรณีใด ๆ ในคดีที่เกี่ยวข้องผู้บริโภคที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยร่วมกับหน่วยงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามแต่เหตุจำเป็นเป็นครั้งคราว เพื่อให้มีการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและดำเนินคดีต่อศาลด้วยกฎหมายอย่างล่าช้า จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๕(9)
หมายเหตุ :- การที่มีการตราพระราชบัญญัติศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคให้ทันสมัยตามกฎหมาย ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับจากคดีจะเสร็จการพิจารณาจากศาลฎีกา
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาแล้ว โดยให้สอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ปิติธรรม / Maker 25 ตุลาคม 2565 ปริญญ์สิษฐ์ / Checker 26 ตุลาคม 2565 ปริญญ์สิษฐ์ / Authorizer 26 ตุลาคม 2565 (1) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125/ตอนที่ 37 ก/หน้า 22/27 กุมภาพันธ์ 2551 (2) มาตรา 19 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 (3) มาตรา 49 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (4) มาตรา 50 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (5) มาตรา 52 ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (6) มาตรา 53 ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (7) มาตรา 54 ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 (8) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 110/ตอนที่ 25 ก/หน้า 1/18 มีนาคม 2536 (9) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 120/ตอนที่ 120 ก/หน้า 37/14 ธันวาคม 2546