로고

พระราชบัญญัติ การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นปีที่ ๖๓ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“การแพทย์ฉุกเฉิน” หมายความว่า การปฏิบัติการด้านการศึกษา การฝึกอบรม การค้นคว้า และการวิจัยเกี่ยวกับการป้องกัน การจัดการ การนำส่ง การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน และการป้องกันการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บฉุกเฉิน “ผู้ป่วยฉุกเฉิน” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งเป็นเหตุบังคับให้กระทำการหรือจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ อาจได้รับการประเมิน การจัดการ และการนำส่งรักษาอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างเพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรือการเสื่อมสภาพของอวัยวะหรืออาการป่วยอื่นๆ *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕/ตอนที่ ๔๔ ก/หน้า ๑/ มีนาคม ๒๕๕๑* ``` “สถานพยาบาล” หมายความว่า สถานพยาบาลของรัฐ สถานพยาบาลสภากาชาดไทย สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล และสถานพยาบาลอื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด “สถานพยาบาลของรัฐ” ให้หมายความรวมถึงสถานพยาบาลที่เป็นของรัฐหรือรัฐจัดตั้ง “ปฏิบัติการฉุกเฉิน” หมายความว่า การปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่การรับผิดชอบการแจ้งเหตุฉุกเฉินและการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุหรือระหว่างการส่งต่อ ซึ่งรวมถึงการประเมิน การจัดการ การประสานงาน การควบคุม ดูแล การติดตามอาการ การลำเลียงหรือส่ง การตรวจวินิจฉัย และการให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุและในสถานพยาบาล “หน่วยปฏิบัติการ” หมายความว่า หน่วยงานหรือองค์กรที่ปฏิบัติการฉุกเฉิน “ผู้ปฏิบัติการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉินตามที่คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินกำหนด “สถาบัน” หมายความว่า สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ “กองทุน” หมายความว่า กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน “เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ “กองทุนย่อย” หมายความว่า กองทุนย่อยของกองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน “ผู้ป่วยฉุกเฉิน” หมายความว่า ผู้ป่วยที่มีอาการบ่งชี้ว่ามีภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต หรืออาจทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะสำคัญของร่างกาย

มาตรา ๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้อำนาจออกประกาศ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด ๑ คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน

มาตรา ๔ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน” เรียกโดยย่อว่า “กพฉ.” ประกอบด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ

กรรมการโดยตำแหน่งจำนวนไม่เกิน ๗ คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

กรรมการผู้แทนแพทยสภาจำนวนสองคน โดยอย่างน้อยต้องเป็นแพทย์ผู้มีความรู้ ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินจำนวนหนึ่งคน

กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉินจำนวนสองคน โดยเป็นผู้แทนจากสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนอย่างละหนึ่งคน ``` (ข) กรรมการผู้แทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเลือกกันเองจำนวนสองคน (ค) กรรมการผู้แทนขององค์กรภาคเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรและดำเนินงานด้านบริการการแพทย์ฉุกเฉินหรือส่งเสริมสนับสนุนการแพทย์ฉุกเฉินซึ่งเลือกกันเองจำนวนสองคน (ง) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในด้านการเงินและบัญชี ด้านกฎหมาย ด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านการศึกษา หรือด้านอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่การแพทย์ฉุกเฉิน จำนวนไม่เกินห้าคน ให้เลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้เลขาธิการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ไม่เกินสองคน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

มาตรา ๖ การเลือกหรือแต่งตั้งกรรมการตามมาตรา ๕ (ข) (ค) และ (ง) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

มาตรา ๗ กรรมการตามมาตรา ๕ (ข) (ค) และ (ง) ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

มีสัญชาติไทย

อายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปีบริบูรณ์และไม่เกินเจ็ดสิบปีบริบูรณ์

ไม่เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐหรือเอกชน เพราะกระทำผิดที่ได้กระทำโดยเจตนาหรือความผิดอาญาโดยเจตนาที่มีความผิดอุกฉกรรจ์

มาตรา ๘ กรรมการตามมาตรา ๕ (ข) (ค) และ (ง) มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และอาจได้รับการเลือกหรือแต่งตั้งใหม่ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินกว่าสองวาระติดต่อกันไม่ได้

เมื่อครบกำหนดวาระตามวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการเลือกหรือแต่งตั้งกรรมการตามมาตรา ๕ (ข) (ค) และ (ง) ขึ้นใหม่ ให้กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีกรรมการซึ่งได้รับเลือกหรือแต่งตั้งขึ้นใหม่เข้ารับหน้าที่ ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการว่างลงก่อนครบวาระ ให้ดำเนินการเลือกหรือแต่งตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างลงภายในเก้าสิบวัน ในกรณีที่กรรมการซึ่งได้รับเลือกหรือแต่งตั้งตามวรรคสองดำรงตำแหน่งไม่ถึงสองปี ให้ถือว่าผู้ได้รับเลือกหรือแต่งตั้งให้ครบวาระในตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่างลงนั้นเป็นกรรมการซึ่งดำรงตำแหน่งครบวาระ ในกรณีที่มีกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระและยังมิได้มีการเลือกหรือแต่งตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างลงนั้นก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ให้ กพฉ. ประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่

มาตรา ๙ นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระ กรรมการตามมาตรา ๕ (ข) (ค) (ง) พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

ตาย

ลาออก

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๗

เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ

กพฉ. ไม่อาจกำหนดในกรณีของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่ยังอยู่ให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติผิดร้ายแรง หรือพ้นจากความสามารถ

มาตรา ๑๑ การประชุม กพฉ. ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการที่พึงมีจึงจะเป็นองค์ประชุม

ในการประชุม กพฉ. ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม ในการปฏิบัติหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้เป็นประธานในที่ประชุมตามวรรคหนึ่ง กพฉ. พิจารณา ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้นั้นแจ้งให้พิจารณา และให้ที่ประชุมพิจารณาตามวาระการประชุมที่มีและตรวจสอบอยู่ในที่ประชุมหรือมีมติในการประชุมเช่นนั้นได้ หรือไม่ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่ กพฉ. กำหนด การวินิจฉัยชี้ขาดของประธานที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งที่ไม่ลงมติในที่ประชุมและแสดงความเห็น ให้ประธานที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา ๑๒ กพฉ. มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

กำหนดมาตรฐานและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระบบการแพทย์ฉุกเฉิน

เสนอแนะเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้งและยุบเลิก

เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคอันเกิดจากการดำเนินงานเกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉินต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา

กำหนดนโยบายการบริหารงาน ให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานและอนุมัติแผนการเงินของสถานนั้น

ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป การจัดตั้งและยกเลิกสำนักงานต่างๆ ตลอดจนกองอำนวยการ ระดับเขต หรือในกรณีที่เกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน การติดตามประเมินผลและการดำเนินการอื่นของสถานนั้น

ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารองค์กรและหลักสูตรการศึกษา หรืออบรมผู้ปฏิบัติงาน และการให้ประกาศเกี่ยวกับระเบียบหรือแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับการจัดทำข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิผู้ป่วยที่เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือการประกอบวิชาชีพการแพทย์ ที่เป็นไปตามกฎหมายอื่น

ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการให้เงินสนับสนุนหรือเงินช่วยเหลือเพื่อมอบให้แก่บุคคลผู้สนับสนุนกิจการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน

ดำเนินการให้มีระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อประโยชน์ในการประสานงานและการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน

๑๐

ดำเนินการให้มีการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการ เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการฉุกเฉิน

๑๑

ออกระเบียบเกี่ยวกับการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินทุน รวมทั้ง การจัดหาผลประโยชน์ตามมาตรา ๑๗

๑๒

ให้ความเห็นชอบการกำหนดค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและการดำเนิน กิจการของสถาบัน

๑๓

สรรหา แต่งตั้ง ประเมินผลการปฏิบัติงานและถอดถอนเลขาธิการ

๑๔

ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายอื่น หรือ ตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย

มาตรา ๑๒ กพฉ. มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือที่ปรึกษาเพื่อให้ปฏิบัติ หน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามที่ กพฉ. มอบหมาย ให้มีความในมาตรา ๑๑ มาใช้บังคับกับการประชุมคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม

มาตรา ๑๓ ให้ประธานกรรมการ กรรมการ ประธานอนุกรรมการ หรือ อนุกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

หมวด ๒

สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ

มาตรา ๑๔ ให้จัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่ เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตาม กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น เรียกโดยย่อว่า “สพฉ.” ให้สถาบันมีฐานะเป็นนิติบุคคลและอยู่ในกำกับของรัฐมนตรี กิจการของสถาบันไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการพัสดุ กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ แต่ทั้งนี้พนักงานและลูกจ้างของสถาบันต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ดังกล่าว

จัดให้มีระบบปฏิบัติการฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน กพฉ. กำหนด ระบบสื่อสารและสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน กพฉ. กำหนด

ศึกษา ค้นคว้า วิจัยและพัฒนา รวมทั้งจัดทำมาตรฐานการแพทย์ฉุกเฉิน

ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ฉุกเฉิน (b) ประสานงาน ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติการกู้คุณคืน (ค) เป็นศูนย์กลางประสานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการกู้คุณคืน (ง) เรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์คุณคืนและการดำเนินกิจการของสถาบัน (จ) รับผิดชอบงานธุรการของ กพฉ. หรือปฏิบัติการอื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่น หรือที่ กพฉ. มอบหมาย

มาตรา ๑๒ รายได้ของสถาบัน ประกอบด้วย

เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสม

เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้

เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ตกเป็นของสถาบัน

รายได้จากค่าบริการทางการแพทย์คุณคืนและการดำเนินกิจการของสถาบัน

ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินตาม (๑) (๒) (๓) และ (๔) เงินและทรัพย์สินของสถาบันให้ถือเป็นทรัพย์สินของสถาบันที่ต้องนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของสถาบันตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

มาตรา ๑๓ เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ ของสถาบันที่ได้มาไม่ว่าโดยทางใด ๆ ยกเว้นอายุความขึ้นเมื่อพ้นห้าปีนับตั้งแต่วันที่เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์นั้นได้มา

บรรดาเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้มาไม่ว่าโดยทางใด ๆ หรือได้มาโดยการซื้อหรือแลกเปลี่ยนกับเงินหรือทรัพย์สินของสถาบันให้ถือเป็นทรัพย์สินของสถาบัน เว้นแต่เงินหรือทรัพย์สินที่ผู้บริจาคหรือผู้ให้ระบุไว้เป็นการเฉพาะว่าให้ใช้เพื่อการอื่น ให้ถือเป็นทรัพย์สินของสถาบัน แต่สถาบันมีอำนาจนำไปในการบำรุงรักษา และใช้ประโยชน์ ให้สถาบันมีอำนาจในการบำรุงรักษา ดูแล บำรุงรักษา ใช้ และจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินของสถาบัน

มาตรา ๑๔ การเก็บรักษาและการใช้จ่ายเงินของสถาบันให้เป็นไปตามระเบียบที่ กพฉ. กำหนด และต้องจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและการพัสดุของสถาบัน ตลอดจนรายงานผลการตรวจสอบที่ กพฉ. ทราบตามระยะเวลาที่กำหนด

ให้สถาบันจัดทำรายงานการเงินประจำปีซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองบัญชีการส่งผู้สอบบัญชีสถาบันที่รัฐมนตรีส่งวันนั้นแต่งตั้งเป็นผู้สอบบัญชีของกู้ ในกรณีที่รายได้ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการออกความเห็นต่อ กพฉ. และผู้ที่เกี่ยวข้องตามระเบียบที่ กพฉ. กำหนด โดยให้เสนอรายงานการเงินประจำปีและรายงานผลการตรวจสอบบัญชีต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธาน กพฉ. และให้คณะกรรมการพิจารณารายงานการเงินประจำปี และให้คณะกรรมการพิจารณารายงานการเงินประจำปี และให้คณะกรรมการพิจารณารายงานการเงินประจำปี รับรองว่าถูกต้องแล้ว พร้อมทั้งรายงานของผู้สอบบัญชี รวมทั้งแสดงงบลงของสถานบันในปีที่ผ่านมา ด้วย

มาตรา ๑๙ ให้สถาบันมีเลขาธิการคนหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบบริหารงานของสถาบัน ขึ้นตรงต่อ กพอ. มีหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งงานของสถาบัน และเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง ให้ กพอ. เป็นผู้คัดเลือกเพื่อแต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเลขาธิการ ให้เป็นไปตามที่ กพอ. กำหนด

มาตรา ๒๐ เลขาธิการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) อายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปีบริบูรณ์และไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ (๓) สามารถทำงานให้สถาบันได้เต็มเวลา (๔) ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน (๕) ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยล้มละลายทุจริต (๖) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ (๗) ไม่เป็นผู้เคยถูกคำพิพากษาให้จำคุกและถูกปล่อยตัวโดยพ้นระยะเวลาที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๘) ไม่เป็นผู้บริหารหรือพนักงานของรัฐวิสาหกิจ (๙) ไม่เป็นข้าราชการส่วนกลาง ข้าราชการส่วนภูมิภาค ข้าราชการส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานของรัฐ (๑๐) ไม่รับตำแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น (๑๑) ไม่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการเพราะทุจริต หรือถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทมหาชนจำกัด เพราะทุจริตต่อหน้าที่ (๑๒) มีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามอย่างอื่นตามที่ กพอ. กำหนด

มาตรา ๒๑ ให้เลขาธิการมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่ต้องดำรงตำแหน่งติดต่อกันไม่เกินสองวาระ เมื่อพ้นตำแหน่งเลขาธิการตามวาระและยังไม่มีการแต่งตั้งเลขาธิการคนใหม่ ให้ กพอ. แต่งตั้งกรรมการหรือพนักงานของสถาบันคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ในกรณีที่เลขาธิการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองเลขาธิการที่ กพอ. กำหนดเป็นผู้ทำการแทน แต่ถ้าไม่มีรองเลขาธิการหรือรองเลขาธิการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ กพอ. แต่งตั้งพนักงานของสถาบันคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน

มาตรา ๒๒ เลขาธิการพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ตาย

ลาออก

ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐

กพจ. ถอดถอนจากตำแหน่ง เพราะขาดความร่วมมืออย่างที่มี มีความประพฤติที่เสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ มีเหตุผล ให้สมาชิกภาพพ้นจากตำแหน่งตาม (๔) ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการที่มีอยู่โดยไม่นับรวมเลขาธิการ

มาตรา ๒๓ เงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนของเลขาธิการ ให้เป็นไปตามที่ กพจ. กำหนด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

มาตรา ๒๔ เลขาธิการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

บริหารกิจการของสถาบันให้เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ มติ หรือแนวนโยบายของ กพจ.

จัดทำแผนและการดำเนินงานและแผนการเงินของสถาบันเสนอ กพจ. เพื่ออนุมัติ

ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การเงิน การงบประมาณและการบริหารทั่วไปของสถาบัน ตามข้อบังคับ ระเบียบ หรือประกาศ กพจ.

ปฏิบัติการอื่นใดตามที่ กพจ. มอบหมาย

มาตรา ๒๕ เลขาธิการอาจมอบอำนาจหน้าที่ของตนให้บุคคลภายนอก แต่เลขาธิการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องใดแทนตนระเบียบที่ กพจ. กำหนดต่อไปนี้

กิจการที่กระทำโดยไม่มีกำหนดระเบียบที่ กพจ. กำหนดต่อไปนี้ผู้ที่มิสถาบันเว้นแต่ กพจ. จะให้ยกเว้น

มาตรา ๒๖ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานของสถาบัน รัฐมนตรีอาจขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีตำแหน่ง ข้าราชการ ทหารหรือลูกจ้างในสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐมาปฏิบัติหน้าที่ในสถาบันโดยมิให้ถือเป็นการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนหรือกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหารหรือกฎหมายว่าด้วยระเบียบลูกจ้างของรัฐในส่วนที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ๒๗ ในกรณีมีเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๒๖ ขอกลับเข้ารับราชการหรือปฏิบัติงานในตำแหน่งเดิม ภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด ให้ผู้นั้นมีสิทธิเข้ารับราชการหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง และรับเงินเดือนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยมาตรา ๒๖

หมวด ๓

การปฏิบัติการฉุกเฉิน

มาตรา ๒๘ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานฉุกเฉิน ให้หน่วยปฏิบัติการสถานพยาบาล และผู้ปฏิบัติการ ดำเนินการปฏิบัติการฉุกเฉิน ตามหลักการดังต่อไปนี้

ตรวจคัดแยกระดับความฉุกเฉินและจัดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินตามลำดับความเร่งด่วนทางการแพทย์

ผู้ป่วยฉุกเฉินต้องได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินเต็มที่ตามความสามารถของหน่วยปฏิบัติการหรือสถานพยาบาลที่เกี่ยวข้อง เว้นแต่แพทย์หรือพยาบาลผู้รับผิดชอบผู้ป่วยฉุกเฉินนั้นจะเป็นผู้ประเมินว่าการปฏิบัติการฉุกเฉินหรือการขนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น

การปฏิบัติการฉุกเฉินต่อผู้ป่วยฉุกเฉินต้องเป็นไปตามความรู้ที่เป็นและข้อกำหนดทางการแพทย์ โดยให้มีการบันทึกข้อมูลการปฏิบัติการฉุกเฉินและการขนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน การรับผิดชอบต่อผู้ป่วยฉุกเฉินหรือหน่วยอื่นใด ไปจนถึงสถานพยาบาลที่รับผู้ป่วยฉุกเฉินนั้นไว้ หน่วยปฏิบัติการหรือสถานพยาบาลต้องจัดระบบและดูแลการปฏิบัติการให้ดำเนินการปฏิบัติการฉุกเฉินและขนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน

มาตรา ๒๙ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการฉุกเฉินให้เป็นไปตามหลักการตามมาตรา ๒๘ กพฉ. มีอำนาจประกาศกำหนดในเรื่อง ดังต่อไปนี้

ประเภท ระดับ อำนาจหน้าที่ ขอบเขต ความรับผิดชอบ หรือข้อจำกัดของผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ และสถานพยาบาล

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ และสถานพยาบาล

มาตรฐานการปฏิบัติการฉุกเฉิน

หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการประสานงานและการรายงานของหน่วยปฏิบัติการและสถานพยาบาลในการปฏิบัติการฉุกเฉิน รวมทั้งความพร้อมเกี่ยวกับอุปกรณ์ สถานที่ และบุคลากรในการปฏิบัติการฉุกเฉินตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และมาตรฐานที่ กพฉ. กำหนดตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่จะได้รับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่ กพฉ. สนับสนุนด้านการเงินหรือกองทุน ในกรณีที่สถานพยาบาลใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และมาตรฐานที่ กพฉ. กำหนดตามวรรคหนึ่ง อาจสั่งไม่ให้สถานพยาบาลนั้นทำการปฏิบัติการฉุกเฉินหรือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอแสดงความรับผิดชอบในการปฏิบัติการถูกต้องตาม (๑) หรือจะสั่งงดการสนับสนุนด้านการเงินด้วยก็ได้ ในกรณีที่สถานพยาบาลใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข หรือมาตรฐานที่ กพฉ. กำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ กพฉ. แจ้งให้หน่วยงานที่ควบคุมหรือกำกับสถานพยาบาลนั้นดำเนินการให้สถานพยาบาลดังกล่าวปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยถือเป็นเงื่อนไขในการประกอบกิจการสถานพยาบาล

มาตรา ๓๐ ให้ กพฉ. กำกับดูแลให้ผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ และสถานพยาบาลปฏิบัติการฉุกเฉินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และมาตรฐานที่กำหนดตามมาตรา ๒๙ การกำกับดูแลการปฏิบัติการของผู้ปฏิบัติการหน่วยปฏิบัติการ และสถานพยาบาลตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล และกฎหมายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง

มาตรา ๓๑ ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ หรือสถานพยาบาลใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และมาตรฐานการปฏิบัติการฉุกเฉิน ให้ กพฉ. ดำเนินการสอบสวนเพื่อพิจารณาดำเนินมาตรการตามมาตรา ๓๒

ในการสอบสวนตามวรรคหนึ่ง ให้ กพฉ. มีอำนาจเรียกบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำหรือแจ้งให้บุคคลใด ๆ ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามมาตรานี้

มาตรา ๓๒ ในกรณีที่ผลการสอบสวนตามมาตรา ๓๑ ปรากฏว่าผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ หรือสถานพยาบาลใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และมาตรฐานการปฏิบัติการฉุกเฉิน ให้ กพฉ. แจ้งให้หน่วยงานที่ควบคุมหรือกำกับดูแลผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ หรือสถานพยาบาลนั้นดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

ตักเตือนเป็นหนังสือให้ผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ หรือสถานพยาบาลนั้นปฏิบัติให้ถูกต้อง

แจ้งเรื่องไปยังผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่มีอำนาจควบคุมการดำเนินการของหน่วยปฏิบัติการ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

แจ้งเรื่องไปยังผู้มีอำนาจตามกฎหมายเพื่อพิจารณาดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ดำเนินการสถานพยาบาลของรัฐหรือราชการส่วนท้องถิ่น

แจ้งเรื่องไปยังผู้มีอำนาจตามกฎหมายเพื่อพิจารณาดำเนินการทางจริยธรรมกับผู้ปฏิบัติการหรือผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุข

หมวด ๔

กองทุนแพทย์ฉุกเฉิน

มาตรา ๓๓ ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นภายใต้พระราชบัญญัตินี้ เรียกว่า “กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน” มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน รวมทั้งใช้จ่ายทุนหรือเงินค่าตอบแทนให้แก่ผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ หรือสถานพยาบาลที่ดำเนินการเกี่ยวกับการแพทย์

ฉบับนี้ ทั้งนี้ โดยดำเนินการปฏิบัติการฉุกเฉินในเขตพื้นที่หรือภูมิประเทศที่ไม่มีผู้ปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการ หรือสถานพยาบาลเพียงพอประกอบด้วย เพื่อส่งเสริมการมีบทบาทความพร้อม ความเหมาะสม และความจำเป็นของประชาชนในท้องถิ่น ให้ กพฉ. สนับสนุนและประสานกับองค์กรภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้องค์กรดังกล่าวเป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ โดยอาจได้รับการอุดหนุนจากกองทุน

มาตรา ๑๔ กองทุนประกอบด้วย

เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี

เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้

เงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาในกิจการของสถาบัน

เงินค่าปรับทางปกครองตามพระราชบัญญัตินี้

เงินที่ได้จากหน่วยงานของรัฐ หรือจากบุคคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์หรือเกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน

เงินรายได้จากการนำทุนไปหาผลประโยชน์

ดอกผลหรือผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินตาม (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖)

มาตรา ๑๕ เพื่อประโยชน์ในการจัดหามาแห่งทุนตามมาตรา ๑๔ (๒) กพฉ. อาจขอรับเงิน ทรัพย์สิน หรือจากบุคคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์หรือเกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน โดยจัดทำเป็นข้อตกลงหรือสัญญาเพื่อประโยชน์ในการจัดหามาแห่งทุนดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่มีปัญหาในการดำเนินการ กพฉ. อาจเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาวินิจฉัยได้

การจ่ายเงินของหน่วยงานของรัฐหรือจากทุนอื่นให้กับกองทุนตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเป็นการจ่ายเงินที่กระทำได้ตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐหรือจากทุนอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

มาตรา ๑๖ เงินและทรัพย์สินตามมาตรา ๑๔ ให้เป็นของสถาบันเพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุน

การรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินกองทุน รวมทั้งการนำเงินกองทุนไปจัดหาผลประโยชน์ ให้เป็นไปตามระเบียบที่ กพฉ. กำหนด ให้บังคับตามในมาตรา ๑๗ และไม่บังคับโดยอนุโลมกับการจัดทำงบประมาณ การสอบบัญชีและประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของกองทุน

หมวด ๕

โทษทางปกครอง

มาตรา ๓๗ ผู้ใดฝ่าฝืนประกาศที่ กทจ. กำหนดตามมาตรา ๒๕ (๕) ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าแสนบาท

มาตรา ๓๘ ผู้ใดใช้ระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งใช้สำหรับการปฏิบัติการฉุกเฉินโดยมิชอบหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการรบกวนหรือขัดขวางการปฏิบัติการฉุกเฉิน ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าแสนบาท

มาตรา ๓๙ การกำหนดโทษปรับทางปกครองตามมาตรา ๓๗ และมาตรา ๓๘ ให้ กพฉ. ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่ กพฉ. กำหนด

มาตรา ๔๐ ผู้ใดไม่แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิหรือเอกสารใด ๆ ว่าตนมีประกาศนียบัตรหรือมีความรู้ความสามารถโดยที่ตนไม่มีสิทธิ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าหมื่นบาท

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๔๑ ให้โอนบรรดางานอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และเงินของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการแพทย์ฉุกเฉิน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริการการแพทย์ฉุกเฉินซึ่งมีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับไปเป็นของสถาบัน

มาตรา ๔๒ ในวาระเริ่มแรก ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเพื่อให้ กพฉ. ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในระหว่างที่ยังไม่มี กพฉ. ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ กพฉ. ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสถาบันตามมาตรา ๒๗

มาตรา ๔๓ ให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเกี่ยวกับอาสากู้ภัยการบริการการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ในวันพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งอาสากู้ภัยตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ผู้ซึ่งต้องได้รับแต่งตั้งในวันบังคับใช้พระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔๔ ข้าราชการหรือบุคคลของส่วนราชการใด ประสงค์จะไปปฏิบัติงานเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของสถาบัน ให้ขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา และให้สถาบันดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์ที่ กพฉ. กำหนด ภายในสองปีนับแต่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

มาตรา 45 ข้าราชการที่ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นนักการของสถานันตามมาตรา 44 ให้ถือว่าเป็นการออกจากราชการทหารหรืราชการตำรวจอยู่ชั่วคราว และให้มีวันเวียนชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แล้วแต่กรณี

ลูกจ้างที่ไปปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวของสถานันตามมาตรา 44 ให้ถือว่าออกจากราชการหรือการจ้างตามสัญญาจ้างที่ทำไว้กับกระทรวงกลาโหมหรือกระทรวงมหาดไทยหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าเช่าบ้านที่มีอยู่

เพื่อประโยชน์ในการบำเหน็จบำนาญสำหรับกรณีดังกล่าวหรือประโยชน์ในลักษณะเดียวกันของสถานัน ข้าราชการหรือลูกจ้างตามสัญญาจ้างที่ได้เปลี่ยนสถานะไปตามมาตรา 44 ประสงค์จะให้บรรจุสถานะหรือเวลาทำงานในขณะนั้นเป็นเวลาที่นับราชการหรือการจ้างต่อเนื่องกับเวลาทำงานของพนักงานหรือลูกจ้างของสถานัน แล้วแต่กรณี ก็ให้สิทธิ์กระทำได้โดยแสดงความจำนงว่าไม่ขอรับบำเหน็จบำนาญ การไม่ขอรับบำเหน็จหรือบำนาญตามวรรคสาม จะต้องกระทำภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่เปลี่ยนสถานะ สำหรับกรณีข้าราชการก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แล้วแต่กรณี สำหรับกรณีของลูกจ้างก็ให้กระทำในหนังสือ ลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานยื่นต่อสถาบันเพื่อส่งต่อไปให้กระทรวงการคลังทราบ

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ``` หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินในปัจจุบันยังขาดระบบบริหารจัดการด้านบุคลากร อุปกรณ์ และเครื่องมือที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมทั้งยังขาดหน่วยงานรับผิดชอบ ประสานการปฏิบัติการ ทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินต้องสูญเสียชีวิต อวัยวะ หรือเกิดความทุพพลภาพร้องในการทำงานของหน่วยช่วยเหลือผู้ป่วย รวมทั้งทำให้การเจ็บป่วยหรืออาการบาดเจ็บรุนแรงเพิ่มโดยไม่สมควร เพื่อคนละป้องกันความสูญเสียดังกล่าว สมควรกำหนดให้มีคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินขึ้น เพื่อกำหนดนโยบายการแพทย์ฉุกเฉินและจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ตลอดจนกำหนดให้มีสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติขึ้นเป็นหน่วยรับผิดชอบการบริหารจัดการ การประสานการทำงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐและเอกชน และเพื่อให้การปฏิบัติการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามบทบาทในการบริหารจัดการเพื่อให้ความร่วมมือในการปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกัน อันจะทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการดูแลรักษาในระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึง เท่าเทียม มีคุณภาพมาตรฐาน โดยได้รับการช่วยเหลือและรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วรวัจน์/เทใจ วิศิษฎ์/ตรวจ ๓ เมษายน ๒๕๕๓ รัชดาภิเษก/ปรับปรุง ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ```