로고

พระราชบัญญัติ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นบทบัญญัติทางประการเกี่ยวกับการพัฒนาศิลปะและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เพื่อให้การระงับข้อพิพาททางอาญาตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ไม่เป็นภาระและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายของประชาชนและรัฐ และเพื่อให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นไปโดยเที่ยงธรรมและคำนึงถึงผลประโยชน์ของคู่กรณีเป็นสำคัญ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและการขึ้นทะเบียนผู้ไกล่เกลี่ย เพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพผู้ไกล่เกลี่ยและคุ้มครองประโยชน์ของคู่กรณีและบุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาท ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขในบัญญัติมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ประชุมเห็นชอบ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒"

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ในส่วนที่เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่ง และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการปกครอง ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

"การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท" หมายความว่า การดำเนินการเพื่อให้คู่กรณีมีโอกาสเจรจาตกลงกันระงับข้อพิพาททางแพ่งและทางอาญาโดยสมัครใจและปราศจากการบังคับหรือข้อพิพาทที่มิใช่รวมถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในขั้นตอนการไต่สวนและในขั้นตอนการพิจารณาคดี "ผู้ไกล่เกลี่ย" หมายความว่า บุคคลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท "ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า ข้อพิพาทที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายอาจเป็นหรือระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรใด ๆ ที่มีแต่ละฝ่ายมิใช่บุคคลผู้มีสิทธิและหน้าที่อิสระที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบเฉพาะในส่วนที่ตนได้รับมอบหมาย "หน่วยงานส่วนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท" หมายความว่า หน่วยงานของรัฐซึ่งดำเนินการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท "หน่วยงานของรัฐ" หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการ "นายทะเบียน" หมายความว่า หัวหน้าหน่วยงานของรัฐซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ข้อพิพาท

มาตรา ๔ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแก่การขจัดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของตน

หน่วยงานของรัฐสามารถจัดทำบันทึกข้อตกลงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อเป็นหลักฐานในการปฏิบัติหน้าที่ได้

มาตรา ๕ ให้หน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามพระราชบัญญัตินี้แจ้งให้กระทรวงยุติธรรมทราบด้วย

มาตรา ๖ ในกรณีที่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสิ้นสุดลงโดยไม่เป็นผล หากปรากฏว่าอายุความครบกำหนดไปแล้วในระหว่างการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือคงเหลือระยะเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสิ้นสุดลง ให้ต่ออายุความออกไปอีกสามสิบวันนับแต่วันที่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสิ้นสุดลง

ในกรณีที่ศาลสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีเพื่อการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามมาตรา ๖ ให้ดำเนินการในวาระหนึ่งแห่งการพิจารณาคดีโดยไม่ให้พ้นระยะเวลาที่กำหนดในวรรคหนึ่งหรือกำหนดให้เสร็จสิ้นในเวลาที่เหมาะสม

มาตรา ๗ ให้หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม หรือรัฐวิสาหกิจ รัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล สามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้

ให้หน่วยงานของรัฐแจ้งให้กระทรวงยุติธรรมทราบก่อน และเสนอให้รัฐบาล รัฐบาลหรือกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ข้อกำหนด กฎกระทรวง ระเบียบ และข้อบังคับนั้น เมื่อได้รับประกาศในราชกิจจา นุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

มาตรา ๗ พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่สัตยาบันที่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชน และครอบครัว ตามกฎหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว

หมวด ๓ ผู้ไกล่เกลี่ย

มาตรา ๘ บุคคลที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ให้ยื่นคำขอต่อนาย ทะเบียน ให้พิจารณาขึ้นทะเบียนว่ามีความเหมาะสมที่จะขึ้นทะเบียนเป็น ผู้ไกล่เกลี่ยได้ด้วย แต่ต้องได้รับความยินยอมจากทุกคนที่เกี่ยวข้อง การยื่นคำขอขึ้นทะเบียน การออกใบรับรองการขึ้นทะเบียน การต่ออายุใบหรือ รับรองการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียน การแจ้งการเปลี่ยนแปลง ขึ้นทะเบียน และแบบใบประวัติผู้ไกล่เกลี่ย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่นายทะเบียน ประกาศกำหนด

การออกใบอนุญาตผู้ไกล่เกลี่ย การสละสิทธิการของผู้ไกล่เกลี่ย และการเพิกถอนการเป็น ผู้ไกล่เกลี่ย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนด ในกฎกระทรวง

มาตรา ๙ ผู้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ ต้องห้าม ดังต่อไปนี้ ก. คุณสมบัติ (๑) ผ่านการอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักสูตรที่คณะกรรมการ พัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติกำหนด หรือผ่านการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรม แห่งชาติรับรอง (๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ (๓) มีสัญชาติไทย ข. ลักษณะต้องห้าม (๑) เป็นผู้รับใบอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทนายความ หรือผู้ที่เคยได้รับ ความผิดที่เกี่ยวกับการประพฤติผิดจรรยาบรรณ (๒) เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ หรือคนวิกลจริตหรือ จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ (๓) เคยถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยตามพระราชบัญญัตินี้ และยังไม่พ้นห้าปี นับแต่วันที่คำสั่งเพิกถอนการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย มีผลบังคับ

มาตรา ๑๐ ผู้ไกล่เกลี่ยต้องปฏิบัติหน้าที่และดำรงตน ดังต่อไปนี้ (๑) ให้ความเป็นกลางและไม่เลือกปฏิบัติ

(ข) ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก และเสนอแนะคู่กรณีในการหาแนวทางยุติข้อพิพาท (ค) ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยความเป็นกลาง (ง) จัดทำข้อยุติของกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามผลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในกรณีที่ผู้ไกล่เกลี่ยยุติข้อพิพาทตามหน้าที่โดยสุจริต ย่อมได้รับการคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา

มาตรา ๑๒ ผู้ไกล่เกลี่ยต้องยึดปฏิบัติตามจริยธรรม ดังต่อไปนี้

ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเสมอภาค

ไม่กระทำการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททุกกรณี ในกรณีที่ไม่อาจเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ด้วยเหตุผลและความจำเป็นอันทำให้เห็นว่าอาจมีเหตุขัดกันในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ไม่ทำให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ดำเนินอยู่นั้นเสียหาย

รักษาความลับและไม่กระทำหรือรับสินจ้างหรือประโยชน์อื่นใดจากคู่กรณีหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาท

ปฏิบัติหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยความสุภาพ

รักษาความลับเกี่ยวกับเรื่องที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ไม่กระทำการในลักษณะที่เป็นการเรียกรับหรือขอทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นข้อเสนอระหว่างกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

กรณีข้อพิพาทที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๑๓ ผู้ไกล่เกลี่ยต้องไม่แสดงพฤติการณ์หรือกระทำการใด ๆ อันอาจทำให้เสียความเป็นกลางและความเป็นอิสระของตนในการปฏิบัติหน้าที่นั้นผู้ไกล่เกลี่ยที่ผู้กระทำความผิดตามพระที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่อง ดังต่อไปนี้

เป็นคู่สมรสหรือคู่สมรส

เป็นบุตรหรืออยู่ในลำดับญาติใกล้ชิดใด ๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้อง นั้นได้เพียงภายในสามปี หรือเป็นญาติสนิทที่ผ่านมาหรือพ้นมาแล้วเพียงสองปี

เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดา หรือเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา

เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องหรือคู่กรณี หรือเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง

มาตรา ๑๔ ผู้ไกล่เกลี่ยอาจถูกคู่กรณีหรือทั้งสองฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องร้องขอให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นกลางหรือไม่เป็นธรรมใด ๆ หากมีกรณีดังกล่าวผู้ไกล่เกลี่ยอาจถูกถอดถอนตามมาตรา ๑๒ ได้

ในกรณีที่คู่กรณีไม่สามารถตกลงกันได้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่ายก่อน

มาตรา ๑๕ ผู้ไกล่เกลี่ยอาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งโดยคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องร้องขอหากมีกรณีดังกล่าวผู้ไกล่เกลี่ยอาจถูกถอดถอนตามมาตรา ๑๒ ได้

กระทำการหรือแสดงพฤติการณ์ที่ขัดต่อจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ไม่ปฏิบัติหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยไม่สุจริต โดยไม่เป็นกลาง หรือโดยไม่รอบคอบ

ขาดจริยธรรมตามมาตรา ๑๒

ถูกสั่งให้ออกจากตามมาตรา ๑๔

มาตรา ๑๖ ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ห้ามมิให้ผู้ไกล่เกลี่ยกระทำการหรือจัดให้กระทำการใด ๆ ที่เป็นการรับสินบน ทุจริต ทอดทิ้ง หรือกระทำการโดยมิชอบด้วยประการใด ๆ เพื่อให้กุศลกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระหว่างข้อพิพาท

มาตรา ๑๗ ความเป็นผู้ไกล่เกลี่ยสิ้นสุดลง เมื่อ

(ก) ตาย (ข) ลาออก (ค) สิ้นสภาพการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือถูกเพิกถอนการเป็นผู้ไกล่เกลี่ย (ง) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐

มาตรา ๑๘ ในกรณีที่ผู้ไกล่เกลี่ยถูกถอนหรือความเป็นผู้ไกล่เกลี่ยสิ้นสุดลงในระหว่างการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คู่กรณีต้องจัดให้มีผู้ไกล่เกลี่ยใหม่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้นต่อไปโดยอาศัยกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ดำเนินการมาแล้วได้ตามที่คู่กรณีและผู้ไกล่เกลี่ยคนใหม่เห็นสมควร

มาตรา ๑๙ ในกรณีปฏิบัติหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยในหน่วยงานนี้ซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้ผู้ไกล่เกลี่ยรับค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

หมวด ๒

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่ง

ส่วนที่ ๑

กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่ง

มาตรา ๒๐ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าเกี่ยวข้องสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัว หรือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ไม่สามารถกระทำได้

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งตามวรรคหนึ่ง ต้องอยู่ในเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (ก) ต้องเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าหรือเกี่ยวกับทรัพย์สิน (ข) ต้องมีการพิจารณาคดีในศาลหรือเกี่ยวกับการพิจารณาคดี (ค) ต้องมีข้อตกลงที่สามารถทำให้บังคับได้ (ง) ต้องมีจำนวนคู่กรณีไม่เกินในพระราชบัญญัติ (จ) และ (ฉ) ต้องเป็นทรัพย์สินในลักษณะตามกฎหมาย หรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชบัญญัติ

มาตรา ๒๑

คำร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้หน่วยงานซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสอบถามความสมัครใจของคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งที่จะเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ถ้าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่สมัครใจเข้าร่วมกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้หน่วยงานซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทบันทึกคำร้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น และแจ้งให้คู่กรณีผู้ยื่นคำร้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาททราบ ในกรณีที่คู่กรณีสมัครใจเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และคู่กรณีไม่สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ ให้หน่วยงานดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระงับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไว้ รวมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ การยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รายละเอียดของคำร้อง และระยะเวลาในการพิจารณาคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่หน่วยงานซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประกาศกำหนด

มาตรา ๒๔ ให้ศาลมีดุลพินิจสั่งไกล่เกลี่ยคนหนึ่งหรือหลายคนตามความสมัครใจผู้ยื่นไกล่เกลี่ยที่หน่วยงานดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทจัดหาไว้ หากคู่กรณีไม่สามารถแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยได้ คู่กรณีของหน่วยงานซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยตามบัญชีรายชื่อกลาง ทั้งนี้ ตามระเบียบที่หน่วยงานซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกำหนด

การแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้คำนึงถึงความเป็นกลาง ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น ๆ รวมทั้งความสมัครใจของคู่กรณีที่จะได้รับการแต่งตั้ง ให้หน่วยงานดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแจ้งคู่กรณีทราบก่อนการแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ความเป็นอิสระของผู้ไกล่เกลี่ยในการปฏิบัติหน้าที่นั้นอยู่ไกล่เกลี่ยตามมาตรา ๒๓ และคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคัดค้านการหรือผู้ไกล่เกลี่ยที่แต่งตั้งตามมาตราดังกล่าว ให้ผู้ไกล่เกลี่ยนั้นหยุดการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไว้ก่อน และแจ้งให้หน่วยงานซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททราบ เพื่อที่หน่วยงานจะพิจารณาดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดังกล่าวจะได้ดำเนินต่อไป การยื่นคำคัดค้าน การพิจารณาคำคัดค้าน และการให้ผู้ไกล่เกลี่ยยุติการปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงกำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา ๒๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ เมื่อมีการกำกับบังคับข้อกฎหมายระดับข้อพิพาทตามมาตรา ๒๓ แล้ว ถ้าบุคคลผู้ยื่นคำร้องไกล่เกลี่ยไม่ยินยอมให้เปิดเผยหรือจำกัดเป็นพิเศษตัวกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้หน่วยงานดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้นแจ้งให้คู่กรณีทราบถึงข้อจำกัดดังกล่าว

การแจ้งข้อจำกัดดังกล่าวให้คู่กรณีทราบ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่หน่วยงานซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกำหนด

มาตรา ๒๖ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยผู้ไกล่เกลี่ยของภาคส่วนกลางหรือภาคส่วนรองระยะเวลาการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต้องเสร็จสิ้น

ในกรณีไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เมื่อผู้ไกล่เกลี่ยสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อพิพาท ความประสงค์ของคู่กรณีที่มีระยะข้อพิพาท และข้อเท็จจริงอื่นที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแล้ว ให้ผู้ไกล่เกลี่ยอธิบายให้คู่กรณีเข้าใจถึงขั้นตอนและกำหนดเงื่อนไขร่วมกันก่อนนำไปสู่การตกลงระงับข้อพิพาทกันได้

มาตรา ๒๖ ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่อหน้าผู้กระทำผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อประโยชน์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในบางสถานการณ์ ผู้ไกล่เกลี่ยสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแยกกันได้ แต่ผู้ไกล่เกลี่ยต้องแจ้งให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งทราบด้วย

มาตรา ๒๗ ในระหว่างการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คู่กรณีมีอำนาจหนึ่งฝ่ายใดมีสิทธิตกลงข้อตกลงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยทำเป็นหนังสือแจ้งผู้ไกล่เกลี่ยได้

มาตรา ๒๘ ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คู่กรณีมีสิทธิตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ โดยอิสระ ทั้งนี้ ข้อความนั้นต้องไม่เป็นการขัดต่อหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เป็นการหมิ่นสิทธิ หรือเป็นการขัดต่อความเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

มาตรา ๒๙ ห้ามมิให้ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทซึ่งทราบข้อเท็จจริงที่ได้มาจากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดังต่อไปนี้ เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี ครอบคลุมการอนุญาโตตุลาการ หรือกระบวนการพิจารณาอื่นใด ในแต่ละกรณีเว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากคู่กรณีทุกฝ่าย

(ก) ความประสงค์หรือความสมัครใจของคู่กรณีในการเข้าร่วมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (ข) ความเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของคู่กรณี (ค) การยอมรับหรือความคิดเห็นที่ระบุโดยคู่กรณีในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (ง) ข้อเสนอใด ๆ ที่เสนอโดยผู้ไกล่เกลี่ย (จ) ข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นถึงความสมัครใจหรือยอมรับข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (ฉ) เอกสารที่จัดทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะใช้หรือใช้ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยเฉพาะ พยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใดที่มีอยู่แล้วก่อนกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศาล กระบวนการอนุญาโตตุลาการ หรือกระบวนการพิจารณาอื่นใด ย่อมไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้ และคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถใช้ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

มาตรา ๓๐ เมื่อคู่กรณีได้บรรลุข้อตกลงเป็นประการใดแล้ว ให้ผู้ไกล่เกลี่ยบันทึกข้อตกลงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทซึ่งมีสาระสำคัญของข้อพิพาทนั้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยให้คู่กรณีและผู้ไกล่เกลี่ยลงลายมือชื่อไว้

บันทึกหรือเอกสารของวรรณะหนึ่ง อย่างน้อยต้องมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

ชื่อและที่อยู่ของคู่กรณี

ข้อพิพาททางกฎหมาย

ความสมัครใจเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

สาระสำคัญของข้อมูลการเจรจาเพื่อประยุกต์การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เช่น การเสนอใช้ เยียวยาความเสียหาย หรือแนวทางการปฏิบัติระหว่างคู่กรณี ระยะเวลาในการดำเนินการ หรือวิธีการอื่น ไม่ติดใจที่จะรับการไกล่เกลี่ยเยียวยาความเสียหาย

มาตรา ๓๑ กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสิ้นสุดลง เมื่อปรากฏดังต่อไปนี้

คู่กรณีตกลงระงับข้อพิพาทกันได้

คู่กรณีถอนตัวจากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามมาตรา ๒๗

ผู้ไกล่เกลี่ยเห็นว่าการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่อไปจะไม่เป็นประโยชน์และให้ยุติ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

ส่วนที่ ๒

การรับคําร้องการระงับข้อพิพาท

มาตรา ๓๒ เมื่อคู่กรณีมีฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามข้อตกลง

ระงับข้อพิพาทแล้ว แต่คู่กรณีฝ่ายที่ถูกเรียกร้องนั้นไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระงับข้อพิพาท คู่กรณี ฝ่ายที่เรียกร้องอาจยื่นคำร้องของตนต่อให้ได้รับคำตามข้อตกลงระงับข้อพิพาท การร้องขอตามวรรณะหนึ่งให้ยื่นต่อศาลยุติธรรมที่มีการทำข้อตกลงระงับข้อพิพาท ในเขตตามนั้นหรือศาลยุติธรรมที่คู่กรณีสมัครใจเลือกในเขตตามนั้นมีอำนาจ หรือศาลยุติธรรม ที่มีเขตอำนาจจากการพิจารณาข้อพิพาทที่มิได้การไกล่เกลี่ยนั้น และให้ศาลดำเนินการโดย กฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่งในชั้นบังคับคดีหรือของให้ศาลดำเนินการของมูลคดีการ ในประเทศ

มาตรา ๓๓ ให้ศาลสั่งคำสั่งบังคับตามข้อตกลงระงับข้อพิพาท เว้นแต่ตามปรากฏ

แก่ศาลหรือคู่กรณีมีเหตุอันคู่ขัดขวางข้อตกลงนั้นให้เป็นที่ยุติได้

คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมิได้ปฏิบัติตามข้อในส่วนอันมีความสามารถในการบังคับ ระงับข้อพิพาท

มูลเหตุแห่งข้อพิพาทหรือข้อกำหนดระงับข้อพิพาทสิ้นสุดและเป็นการพิจารณาแจ้ง โดยกฎหมาย เป็นการพิจารณา หรือวิธีการอื่น ๆ ที่มิได้ระบุไว้ในข้อกำหนดระงับข้อพิพาท

ข้อกำหนดระงับข้อพิพาทเกิดจากการฉ้อฉล บังคับ ขู่เข็ญ หรือกระทำการโดยมิชอบ ด้วยประการใด ๆ

มีเหตุเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยตามมาตรา ๒๔ ที่มีผลต่อการดำเนินบันทึกข้อตกลงอย่างสำคัญ ห้ามมิให้ยกข้อคัดค้านตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ (ก) ศาลสั่งไม่รับบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท (ข) ศาลสั่งไม่เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท (ค) ศาลสั่งเพิกถอนบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาท คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวข้างต้นให้เป็นที่สุด

มาตรา ๓๔ ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาอาจออกข้อกำหนดในเรื่องการยื่นคำร้องและการรับคำร้องคัดค้านข้อตกลงระงับข้อพิพาทตามมาตรา ๓๓ ทั้งนี้ นอกจากที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้ ให้นำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด ๓

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา

มาตรา ๓๕ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาให้กระทำได้ในกรณี ดังต่อไปนี้

ความผิดยอมความได้

ความผิดตามกฎหมายตามมาตรา ๓๕๖ มาตรา ๓๕๗ มาตรา ๓๕๘ มาตรา ๓๕๙ มาตรา ๓๖๐ มาตรา ๓๖๑ มาตรา ๓๖๒ และมาตรา ๓๖๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามกฎหมายอื่นที่ประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากำหนด การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาตามวรรคหนึ่งเมื่อคู่กรณีทำข้อตกลงระงับข้อพิพาททางอาญากันแล้ว ให้ถือว่ามีสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับเฉพาะคู่กรณีที่มีข้อพิพาทดังกล่าว

มาตรา ๓๖ ในกรณีการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา หากคดีอยู่ในระหว่างการสอบสวนหรือพิจารณาคดีของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลแล้ว ให้พนักงานซึ่งดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตรวจดูเงื่อนไขของสิทธิและเสรีภาพที่มีในแต่ละชั้นว่ามีอำนาจกำกับดูแลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของคู่กรณีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หากพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลแล้วแต่กรณี การสอบสวน การสั่งคดี การพิจารณาคดีหรือการพิจารณาคดีที่แล้วแต่กรณี ให้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่อไป

เมื่อการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาสิ้นสุดแล้ว ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลพิจารณาคดีหรือการพิจารณาคดีที่แล้วแต่กรณี หากคู่กรณีทำข้อตกลงระงับข้อพิพาทหรือกรณีคู่กรณีระงับข้อพิพาทแล้ว ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลในกรณีที่คู่กรณีตกลงระงับข้อพิพาททางอาญากันได้ ให้สั่งระงับการสอบสวนหรือพิจารณาคดีต่อไป ในกรณีที่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาไม่เป็นผล ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล สั่งคดี หรือพิจารณาคดีต่อไป

มาตรา 37 หากคู่กรณีหนึ่งทำข้อตกลงระงับข้อพิพาททางอาญาที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจมีสิทธิหรือหน้าที่จะต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายตามความจำเป็น ให้ศาลนำคำสั่งตามมาตรา 36 หรือระงับข้อพิพาทตามข้อตกลงระงับข้อพิพาทในส่วนที่แนบแล้ว ในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระงับข้อพิพาทในส่วนแนบ ให้คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดำเนินการเพื่อขอให้มีการบังคับตามข้อตกลงระงับข้อพิพาทตามมาตรา 36 ได้

ในกรณีที่ศาลตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าข้อพิพาทที่ได้ระงับไปแล้วมีลักษณะไม่ใช่เรื่องประโยชน์แห่งส่วนตนในการปฏิบัติตามข้อตกลง ให้มีความในมาตรา 36 มิให้ใช้บังคับในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง

มาตรา 38 กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในศาลตามในหมวดนี้ให้บัญญัติไว้ ให้กับบัญญัติในหมวด 2 การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่ง มาใช้บังคับกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาโดยอนุโลม

หมวด 4 การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในชั้นการสอบสวน

ส่วนที่ 1 บททั่วไป

มาตรา 39 ในหมวดนี้ “การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา” หมายความว่า การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในชั้นการสอบสวน โดยพนักงานสอบสวนจัดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีอาญามีโอกาสเจรจาความหรือเยียวยาความเสียหายเพื่อระงับคดีอาญา

“คู่กรณี” หมายความว่า ผู้ต้องหาและผู้เสียหายในคดีอาญา แต่ไม่หมายความรวมถึงคดีอาญาที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้เสียหาย

มาตรา 40 เมื่อพนักงานสอบสวนมีผู้ต้องหาออกคำสั่งให้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาตามมาตรา 39 แล้ว ให้พนักงานอัยการในการดำเนินคดีอาญา และเมื่อพนักงานสอบสวนมีผู้ต้องหาออกคำสั่งให้ดำเนินคดีต่อไปตามมาตรา 39 ให้บันทึกไว้ในสำนวนคดีด้วย

พนักงานสอบสวนมีผู้ต้องหาออกคำสั่งให้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา ให้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาร่วมกับเจ้าหน้าที่ บังคับการตำรวจ ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในชั้นการสอบสวน การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในชั้นการสอบสวนต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง รวมทั้งการจัดทำบันทึกข้อตกลงระงับข้อพิพาททางอาญาในชั้นการสอบสวนมาใช้บังคับ ที่มีความในมาตรา 36 หรือระงับข้อพิพาทตามข้อกำหนดที่แนบไว้ในระยะเวลาเท่าที่จำเป็น กระบวนพิจารณา และการดำเนินการอื่นใดที่เป็นไป. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีตามวรรคสาม ถ้าผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวระหว่างในการสอบสวน มีให้บังคับบัญญัติในเรื่องระยะเวลาตามมาตรา ๑๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใช้บังคับ

มาตรา ๔๓ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในชั้นการสอบสวนให้กระทำได้ในคดีความผิด ดังต่อไปนี้

คดีความผิดข้อยอมความได้

คดีความผิดที่โทษทางมาตรา ๓๙ ตามมาตรา ๓๙ ตรี มาตรา ๓๙ จัตวา มาตรา ๓๙ เบญจ มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และคดีความผิดที่มิใช่กรณีของความผิดตามมาตรา ๓๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา (ก) ความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปีตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๔๔ คดีความผิดตามมาตรา ๔๓ ดังนี้

ผู้ต้องหาไม่เคยได้รับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่เป็นคดีความผิดที่เกิดกระทำโดยประมาท คดีความผิดลหุโทษ ซึ่งในระยะเวลาเกินสิบปีนับแต่มีคำสั่งสุดท้ายคดี และ

ผู้ต้องหาไม่อยู่ระหว่างการต้องหาคดีหรือถูกฟ้องในคดีใดๆ ที่ได้กระทำโดยเจตนาแล้ว เกินกว่าหนึ่ง เว้นแต่เป็นคดีความผิดที่เกิดกระทำโดยประมาท คดีความผิดลหุโทษ หรือคดีความผิดที่ผู้ต้องหาได้กระทำในระยะเวลาที่อยู่ห่างกันเกินสิบปี

มาตรา ๔๕ คดีที่อาจไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาได้ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้คู่กรณีทราบในโอกาสแรกเมื่อมีการยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา

มาตรา ๔๖ เมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายสมัครใจและประสงค์จะเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา และตกลงกันได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ให้คู่กรณียื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาต่อพนักงานสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนส่งความเห็นเสนอ ทนายพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจออกคำสั่งเห็นชอบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในกรณีและไม่ส่งผลกระทบต่อรัฐและต่อส่วนรวมโดยให้พิจารณาได้ให้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา

การยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา การพิจารณาและระยะเวลาการดำเนินการ และการแจ้งผลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาให้คู่กรณีทราบ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในประกาศกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม หรือข้อบังคับกระทรวงยุติธรรม

มาตรา ๑๓ ให้ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาเพราะระบุบัญญัติข้อนี้ ทั้งนี้ ต้องไม่ขัดหรือแย้งความประสงค์ของผู้เสียหาย

มาตรา ๑๔ กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในขั้นการสอบสวนเพื่อความเป็นหมวดหมู่เป็นไปด้วยความสมัครใจ ให้บันทึกบัญญัติในสำนวนคดี การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในขั้นนี้ แสดงเหตุผลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา มาเป็นลักษณะกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในขั้นการสอบสวนโดยอุโลม

ส่วนที่ ๒

ผู้ไกล่เกลี่ย

มาตรา ๑๕ บุคคลที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยตามความในหมวดนี้ให้ยื่นคำขอต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม หรืออัยการสูงสุด แล้วแต่กรณี ในฐานะนายทะเบียน และให้ปฏิบัติตามมาตรา ๔ มาเป็นบังคับโดยอนุโลม

ผู้ไกล่เกลี่ยตามวรรคหนึ่งต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐

มาตรา ๑๖ ให้พนักงานสอบสวนจัดให้มีการประชุมระหว่างคู่กรณีเพื่อเจรจาและแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในประกาศที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือปลัดกระทรวงยุติธรรม หรืออัยการสูงสุด กำหนด แล้วแต่กรณี

ส่วนที่ ๓

กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในขั้นการสอบสวน

มาตรา ๑๗ ให้พนักงานสอบสวนกำหนดนัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาครั้งแรก ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดทราบ

ให้ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดมีสิทธิแต่งตั้งบุคคลใด ๆ เข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาได้ตามความเหมาะสม ให้ผู้เสียหายแจ้งความประสงค์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาได้ ถ้าผู้เสียหายแจ้งความประสงค์ไม่ขอไกล่เกลี่ย ให้ถือว่า มาตรา ๑๓ ผู้มีอำนาจ นักจิตวิทยาหรือ นักสังคมสงเคราะห์มีสิทธิแจ้งความประสงค์แทนผู้เสียหาย การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาตามพระราชบัญญัตินี้กระทำเป็นการลับ

มาตรา ๕๒ ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาตามศาลมีความจำเป็นต้องให้ล่ามให้พนักงานสอบสวนจัดหาล่ามให้

มาตรา ๕๓ ก่อนเริ่มต้นการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องอธิบายชี้แจงให้คู่กรณีทราบถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่คู่กรณีจะเป็นผู้ต้องหาให้กระทำความผิดหรือทุกข์ ข้อเท็จจริงอื่นที่เกี่ยวข้องกับคดี กระบวนการและผลการพิจารณาในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา และสิทธิในการยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา เพื่อประโยชน์ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการร่วมมือกับผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อทราบถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ และข้อเท็จจริงอื่นตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๕๔ ผู้ไกล่เกลี่ยต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและเป็นกลาง และต้องช่วยเหลือหรือสนับสนุนคู่กรณีในการเจรจาเพื่อระงับข้อพิพาทตามสมควร

มาตรา ๕๕ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในสามวัน นับแต่วันที่กำหนดนัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาครั้งแรก เว้นแต่คู่กรณีจะเป็นผู้กระทำผิดหรือผู้เสียหายมีเหตุอันควรที่ศาลหรือพนักงานสอบสวนตกลงกันได้ ผู้ไกล่เกลี่ยอาจดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาต่อไปได้โดยให้บันทึกเหตุผลไว้

กรณีที่คู่กรณีไม่สามารถตกลงกันได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าการไกล่เกลี่ยสิ้นสุดลงตามมาตรา ๕๕ ระยะเวลาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาให้ไม่นับรวมเป็นระยะเวลาการดำเนินคดีในศาลหรือการสอบสวนของพนักงานสอบสวน

มาตรา ๕๖ ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา คู่กรณีมีสิทธิโต้แย้งกรณีเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันได้โดยอิสระ ทั้งนี้ ข้อตกลงนั้นต้องไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย เป็นการขัดศีลธรรมหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ ข้อตกลงตามวรรคหนึ่งต้องได้รับการเห็นชอบจากผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ด้วย

มาตรา ๕๗ เมื่อคู่กรณีได้บันทึกข้อตกลงเป็นประการใดแล้ว ให้ผู้ไกล่เกลี่ยบันทึกข้อตกลงหรือข้อให้บันทึกข้อตกลงนั้นไว้ในรายงานสำนวน และให้คู่กรณีและผู้ไกล่เกลี่ยลงลายมือชื่อไว้ แล้วให้ผู้ไกล่เกลี่ยส่งรายงานนั้นไปยังพนักงานสอบสวนหรือศาลแล้วแต่กรณี

บันทึกข้อตกลงตามวรรคแรกต้องมีข้อความอย่างน้อยดังต่อไปนี้

ชื่อและที่อยู่ของคู่กรณี

พฤติการณ์แห่งคดี

ความตกลงและเงื่อนไขการปฏิบัติตามความตกลงที่คู่กรณีได้กระทำ

ลายมือชื่อผู้ไกล่เกลี่ยและคู่กรณี

สาระสำคัญของข้อตกลงอันเป็นผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา เช่น การชดใช้เยียวยาความเสียหาย การขอโทษ การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม การให้คำมั่นว่าจะไม่กระทำผิดอีก หรือข้อตกลงใดที่ก่อให้ผู้กระทำความเสียหาย

ส่วนที่ ๔

การยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในชั้นการสอบสวน

มาตรา ๕๙ คู่กรณีคนใดคนหนึ่งอาจขอถอนตัวเพื่อยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในเวลาใดก็ได้

ในกรณีที่คู่กรณีมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับผลการขอถอนตัวเพื่อยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาของคนใดคนหนึ่งหรือหลายคน ย่อมไม่กระทบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาของคู่กรณีที่เหลืออยู่ทั้งสองฝ่าย

มาตรา ๖๐ ผู้ไกล่เกลี่ยยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่เข้าร่วมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาโดยไม่แจ้งหรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือมีพฤติการณ์ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา

มีเหตุอันควรสงสัยว่าความตกลงนั้นมิได้เป็นไปโดยสมัครใจ

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาไม่อาจบรรลุผลได้โดยแน่แท้

คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายกระทำการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาโดยไม่เป็นการจัดทำความตกลงที่ชอบด้วยกฎหมาย

คู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงหรือไม่อาจเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

มาตรา ๖๑ เมื่อความปรากฏต่อผู้ไกล่เกลี่ยว่าผู้เสียหายยื่นฟ้องคดีอาญาต่อศาลไม่ว่าก่อนการสอบสวนหรือระหว่างการสอบสวน ให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาเป็นอันยุติ

มาตรา ๖๒ ให้ผู้ไกล่เกลี่ยรายงานให้พนักงานสอบสวนทราบถึงการยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาตามมาตรา ๕๙ มาตรา ๖๐ และมาตรา ๖๑ ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา

เมื่อได้รับรายงานการยุติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา ให้พนักงานสอบสวนผู้รับรายงานออกคำสั่งสิ้นสุดคดีนั้นต่อไป

มาตรา ๖๓ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาตามหมวดนี้ หากการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาไม่สำเร็จลุล่วงหรือระงับไป ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนคดีนั้นต่อไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อพนักงานสอบสวนเห็นว่าคดีนั้นมีมูล ให้ผู้เสียหายดำเนินคดีในชั้นศาลต่อไปตามความผิดที่เกิดขึ้นอยู่

มาตรา 23 กรณีที่มีการกระทำอันเป็นการรบกวนหรือผิดต่อกฎหมายหลายสถาน หากความผิดต่อกฎหมายดังเป็นบทหนักที่สุดหรือดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหลายฐานความผิดพร้อมๆ กัน ให้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในความผิดบทนั้นหรือฐานนั้นไปด้วย แต่หากความผิดที่กระทำมีลักษณะการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาได้สำเร็จเป็นความผิดที่มีโทษเบากว่าหรือฐานที่ต่ำสุด ไม่เป็นเหตุทำให้พนักงานอัยการไม่ฟ้องในความผิดที่มีโทษหนักกว่าหรือฐานที่สูงสุดต่อไป

ส่วนที่ 5

ผลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในชั้นการสอบสวน

มาตรา 24 เมื่อคู่กรณีได้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงตามมาตรา 19 แล้ว ให้แจ้งพนักงานสอบสวนทราบ เพื่อสั่งยุติการปฏิบัติการสอบสวนคดี และออกคำสั่งไม่ฟ้องแก่พนักงานอัยการพร้อมทั้งส่งสำเนาการสอบสวนและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาสั่งยุติคดี

ในกรณีที่มีการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงไม่ครบถ้วน ให้คู่กรณีแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบ เพื่อพิจารณาดำเนินการสอบสวนต่อไป หรือแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบถึงเหตุแห่งการไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง เพื่อให้คู่กรณีแจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตรวจสอบกรณีนี้

มาตรา 25 ถ้าความปรากฏแก่พนักงานสอบสวนว่าคู่กรณีมีเจตนาต้องการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงโดยไม่สมบูรณ์ ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการออกคำสั่งสั่งดำเนินคดีต่อไป

มาตรา 26 เมื่อพนักงานอัยการสั่งคดีที่สั่งยุติคดี สิทธิทางคดีของผู้ถูกฟ้องเป็นอันระงับในกรณีที่มีผู้เสียหายหลายคน หากผู้เสียหายคนหนึ่งตกลงทำข้อตกลงกับผู้ต้องหาได้ สิทธิในคดีอาญาของผู้เสียหายคนนั้นก็จะช่วยไม่ระงับ

มาตรา 27 การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาไม่ตัดอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะทำการสอบสวนต่อไป

หมวด 5

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาประชาชน

มาตรา 28 ให้พนักงานสอบสวนแจ้งสิทธิและหน้าที่ของผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือผู้มีส่วนได้เสียให้ประชาชนทราบตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา และให้ประชาชนทราบถึงข้อพิพาททางอาญาประชาชน

การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาประชาชนต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง และไม่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา ต้องทำตามมาตรา 17 ให้ถือเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา จากประชาชน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา - 16 - ให้การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่หน้าที่และอำนาจกำกับดูแลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 59 ภายใต้บังคับมาตรา 60 การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนให้กระทำได้ในกรณี ดังต่อไปนี้

1

ข้อพิพาททางแพ่งที่มีมูลหนี้ไม่เกินห้าแสนบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

2

ข้อพิพาททางแพ่งอื่นนอกจาก (1) ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

3

ข้อพิพาทอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ในกรณีที่การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่หน้าที่และอำนาจกำกับดูแลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนมิได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ และออกหนังสือรับรองให้แล้ว ให้ถือว่าการระงับข้อพิพาทนั้นบังคับได้หรือให้ถือเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 60 ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจัดทำยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการในการดำเนินการของศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนประยุกต์เป็นข้อบังคับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

หมวด 6

บทกำหนดโทษ

มาตรา 61 ผู้ใดเสนอให้ผู้ไกล่เกลี่ย รับ หรือขอรับจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเป็นการตอบแทน เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 62 ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำใดอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บัญชีท้ายพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาดังนี้ (๑) ความผิดฐานเข้าร่วมในการชุมนุมอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดของทางการชุมนุม ต่อผู้อื่น ตามมาตรา ๒๔๕ วรรคหนึ่ง (๒) ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา ๒๙๕ (๓) ความผิดฐานทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา ๒๙๖ วรรคหนึ่ง (๔) ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา ๓๐๐ (๕) ความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา ๓๓๔ หมาเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันข้อพิพาททางแพ่งและ ทางอาญาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เห็นควรให้กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งซึ่งมีฐานะทรัพย์สิน ไม่มากนักและข้อพิพาททางอาญาบางประเภทมาทดแทนกับกฎหมายลักษณะอื่นให้มีความชอบธรรมรู้ถึง พนักงานสอบสวน หรือผู้เสียหายเกี่ยวข้องพิจารณาควบประชาชนไปในลักษณะที่มีการชี้หรือจะบังคับพนักงานสอบสวน โดยคำสั่งหรือความยินยอมของคู่กรณีเป็นสำคัญ ที่ให้มีริมเกลาศูนย์สาธารณข้อสง ลดปัญหาความล่าช้า เพื่อให้ความสะดวกแก่ประชาชน ลดภาระของประชาชนและศาลให้มีความรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พัชราภรณ์/ธนบดี/จัดทำ 23 พฤษภาคม 2562 พิมพ์/ตรวจ 10 มิถุนายน 2562