로고

พระราชบัญญัติ ความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ๒๕๖๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจาก มลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ประชุมรัฐสภา ต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งต่อความ

เสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ๒๕๖๐”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วัน

ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้

“เรือ” หมายความว่า เรือเดินทะเลใด ๆ รวมทั้งยานพาหนะทางทะเลแบบใด ๆ ซึ่ง ใช้เพื่อหรือตั้งใจเพื่อขนส่งน้ำมันเป็นประจำหรือเพื่อขนส่งน้ำมันและสินค้าอื่น ๆ โดยที่ น้ำมันและสินค้าอื่น ๆ นั้นจะต้องเป็นเรื่องความหมายที่เกี่ยวเนื่องกันในระหว่างการขนส่ง สินค้า และให้ถือว่าเป็นเรืออยู่ในขณะใดในระหว่างการเดินทางจากหลักฐานน้ำมันจากจุดพิสูจน์ ให้ว่าไม่เป็นน้ำมันหรืออยู่ในระวาง “บุคคล” หมายความว่า บุคคลธรรมดา กลุ่มบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐหรือ เอกชนไม่ว่าจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ และให้หมายความรวมถึงรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ “เจ้าของเรือ” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเรือในกรณีที่ ไม่มีการจดทะเบียนให้หมายถึงบุคคลซึ่งได้เป็นเจ้าของเรือในกรณีที่มีการซื้อหรือการเช่าเรือ และดำเนินการโดยบริษัทหรือบุคคลซึ่งได้เป็นเจ้าของเรือในประเทศที่ไม่มีระบบทะเบียนเรือ คำว่า “เจ้าของเรือ” ให้หมายความรวมถึงผู้เช่าเรือด้วย “น้ำมัน” หมายความว่า น้ำมันดิบ แต่ไม่รวมถึงสิ่งเจือปน *ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๖๐ ก/หน้า ๑๔/๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ "น้ำมัน" หมายความว่า น้ำมันแร่ไฮโดรคาร์บอนซึ่งสกัดด้วยตน เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันหล่อลื่น ไม่ว่าจะบรรทุกบนเรืออย่างลำเดียวหรือไม่ถึงน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือดังกล่าว "ความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม" หมายความว่า (ก) การสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดกับสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการปนเปื้อนที่มีผลกระทบต่อการไหลหรือการเปลี่ยนแปลงของน้ำหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมในลักษณะใด ๆ ทั้งนี้ รวมถึงค่าใช้จ่ายตามเสียหายของสิ่งแวดล้อมและการสูญเสียประโยชน์จากความเสียหายของสิ่งแวดล้อม (ข) ค่าใช้จ่ายหรือรวมค่าใช้จ่ายในการป้องกัน และการดูแลรักษาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว "มาตรการในการป้องกัน" หมายความว่า มาตรการที่มีเหตุผลซึ่งดำเนินการโดยบุคคลใด ๆ ภายหลังที่เกิดอุบัติการณ์ เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม "อุบัติการณ์" หมายความว่า เหตุการณ์หรือเหตุการณ์ต่อเนื่องใด ๆ อันเป็นผลจากเหตุเดียวกันที่นำไปสู่ความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม หรือที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบหรือเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม "หน่วยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ" หมายความว่า หน่วยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หมายความว่าอำนาจหรือหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อม "ค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อม" หมายความว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการป้องกันและการดูแลรักษาความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม "ศาล" หมายความว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ "หน่วยงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งมีอำนาจหรือการกระทำการตามแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจในการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

กฎกระทรวงนี้ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

หมวด 1

บททั่วไป

มาตรา 5 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับทันที

(ก) ความเสียหายทางกายภาพที่เกิดขึ้น (ข) ในกรณีความเสียหายที่รวมถึงทรัพยากรเฉพาะถิ่น (ค) ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทย (ข) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้มาตรการในการป้องกันไม่ให้ความเสียหายในพื้นที่ตาม (ก) ทั้งนี้ ไม่ว่าจะได้ดำเนินมาตรการนั้น ณ ที่ใด

มาตรา ๘ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับเรือรบ หรือเรืออื่นใดที่รัฐธรรมนูญใช้เพื่อ หรือดำเนินการในกิจกรรมของรัฐซึ่งมิได้มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์

พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับเรือรบหรือเรืออื่นใดที่รัฐธรรมนูญใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ด้วย โดยรัฐภาคีที่เกี่ยวข้องจะต้องยินยอมอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นอยู่ในคณะไม่

หมวด ๒

ความรับผิด

มาตรา ๙ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเรือในขณะเกิดอุบัติเหตุหรือในขณะเกิดเหตุการณ์หรือในกรณีที่ผู้ประกอบการประกอบเหตุการณ์ต่อเนื่องซึ่งจะรับผิดต่อความเสียหายตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับนี้

มาตรา ๑๐ ในกรณีที่เรือมีเจ้าของหลายคน เจ้าของแต่ละคนจะรับผิดชอบในกิจการใด ๆ ซึ่งเป็นผลให้เกิดความเสียหายทางกายภาพ และไม่อาจจะแยกได้ว่าความเสียหายส่วนใดเกิดจากเรือลำใด เจ้าของเรือทุกลำจะต้องรับผิดร่วมกันและแทนกันต่อความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น เว้นแต่จะเป็นกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ตามมาตรา ๙ และมาตรา ๑๑

มาตรา ๑๑ เจ้าของเรือจะไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายทางกายภาพที่พิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้น

(ก) เป็นผลมาจากการกระทำของบุคคลที่ปฏิบัติการ สงคราม การก่อการร้าย หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และป้องกันมิได้ (ข) เกิดขึ้นทั้งหมดจากความผิดหรือการละเลยของบุคคลที่ได้รับการช่วยเหลือให้เกิดความเสียหายตามนั้น (ค) เกิดขึ้นจากการกระทำหรือการละเลยของหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลหรือรักษาอาคารหรือทรัพย์สินที่อยู่ในความดูแลในกรณีที่ดังกล่าว

มาตรา ๑๒ เจ้าของเรือจะต้องรับผิดตามความรับผิดที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้ หากพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายทางกายภาพนั้นไม่ได้ทำให้เหตุหรือว่าเป็นผลจากการกระทำหรือการละเลยกระทำไม่ว่าในกรณีใด ๆ ของบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในเรือของเขาในขณะเกิดเหตุการณ์นั้น

มาตรา 13 ห้ามเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากมลพิษจากเจ้าของเรือนอกเหนือจากที่ได้รับในพระราชบัญญัตินี้

ห้ามเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้นี้หรือกฎหมายอื่นจาก

1

ลูกจ้าง ต้นหนเจ้าของเรือ หรือคนประจำเรือ

2

ผู้บังคับหรือบุคคลอื่นที่ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนประจำเรือแต่ต่างหากให้วิกรชนเรือ

3

ผู้แทนเรือ

4

ผู้จัดการเรือหรือผู้ประกอบกิจการเดินเรือ

5

บุคคลใด ๆ ซึ่งดำเนินการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเลโดยความยินยอมของเจ้าของเรือหรือภายใต้คำสั่งของหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจ

6

บุคคลใด ๆ ซึ่งดำเนินมาตรการในการป้องกัน

7

ลูกจ้างหรือพนักงานของบุคคลซึ่งระบุใน (1) (2) (3) (4) (5) และ (6) ความในวรรคสองนี้ไม่รวมถึงค่าสินไหมทดแทนที่ความเสียหายตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำหรือความบกพร่องกระทำโดยบุคคลดังกล่าว ซึ่งได้กระทำโดยเจตนาหรือเล็งเห็นไม่ว่าใจใส่ที่มีความเสียหายตามนั้นย่อมเกิดขึ้นได้ บทบัญญัตินี้ไม่กระทบต่อสิทธิหรือสิทธิใด ๆ ของเจ้าของเรือที่มีต่อบุคคลตามวรรคสอง และบุคคลที่สาม

มาตรา 14 เจ้าของเรือมีสิทธิร้องขอจำกัดความรับผิดตามความผิดของตนภายใต้บังคับพระราชบัญญัตินี้ตามหลักการในอนุสัญญา ดังนี้

1

4. 5 ล้านหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน สำหรับเรือที่มีขนาดไม่เกิน 5,000 ตันกรอส

2

4. 5 ล้านหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน สำหรับเรือที่มีขนาดเกินกว่า 5,000 ตันกรอส และให้คำนวณอีกตันกรอสละ 223 หน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน สำหรับจำนวนส่วนที่เกินจาก 5,000 ตันกรอส แต่จำนวนรวมของความรับผิดทั้งหมดจะต้องไม่เกิน 89. 77 ล้านหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน การจำกัดความรับผิดนี้อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงตามอนุสัญญาวิธีที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา

มาตรา 15 เพื่อประโยชน์แก่การคำนวณความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้

1

การแปลงหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงินให้เป็นเงินสกุลบาท ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนด

2

ขนาดของเรือให้ใช้ขนาดของตัวเลขในใบจดทะเบียนเรือซึ่งเป็นตัวเลขที่คำนวณตามอนุสัญญาว่าด้วยการวัดขนาดของเรือ ค.ศ. 1969

มาตรา 16 เจ้าของเรือไม่อาจใช้สิทธิจัดการความรับผิดตามมาตรา 14 ได้ หากการพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายอันเกิดขึ้นเกิดขึ้นจากการกระทำหรือจงใจการกระทำโดยส่วนตน

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ของเจ้าของเรือ ซึ่งให้กระทำโดยจงใจหรือสะเพรอไม่เอาใจใส่ทั้งที่รู้ว่าความเสียหายจากผลพิษนั้นอาจเกิดขึ้นได้

หมวด 3

การประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงิน

มาตรา 13 เรือที่มิได้จดทะเบียนในประเทศไทยที่มีน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 2,000 ตันขึ้นไป ต้องมีใบรับรองที่ออกตามความในมาตรา 20 แสดงถึงการจัดทำประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงินที่มีจำนวนไม่น้อยกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 12 เพื่อให้เพียงพอต่อความรับผิดสำหรับความเสียหายจากผลพิษตามพระราชบัญญัตินี้

การจัดทำประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงินตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 14 ให้กรมเจ้าท่าออกใบรับรองให้แก่เรือที่จดทะเบียนในประเทศไทยในเรื่องประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงิน ดังต่อไปนี้

1

เรือที่จดทะเบียนในประเทศไทย

2

เรือที่จดทะเบียนในต่างประเทศซึ่งมีเจ้าของเรือ (ก) มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย หรือ (ข) มีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย และได้จัดทำประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงินตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ใบรับรองดังกล่าวให้มีข้อความตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และมีอายุไม่เกินกว่าระยะเวลาของการประกันภัยหรือหลักประกันทางการเงิน ใบรับรองให้ทำขึ้นเป็นภาษาไทย และให้จัดทำแปลภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอใบรับรอง การออกใบรับรอง ตลอดจนการสิ้นผลของใบรับรอง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 15 เรือที่จดทะเบียนในรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาจะต้องมีใบรับรองจากกรมเจ้าท่าให้ โดยให้นำความในมาตรา 13 และมาตรา 16 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 16 ให้เก็บใบรับรองไว้ในเรือ และให้กรมเจ้าท่าเก็บสำเนาใบรับรองที่กรมเจ้าท่าออกให้ไว้ในทะเบียนเรือ

มาตรา 17 เรือที่จดทะเบียนในรัฐใดซึ่งมิใช่รัฐภาคีแห่งอนุสัญญาที่มีน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 2,000 ตันขึ้นไป และไม่มีใบรับรองตามความในมาตรา 13 แต่ประสงค์จะเข้าเทียบท่าหรือออกจากท่าเรือของประเทศไทย ต้องมีใบรับรองซึ่งออกโดยอำนาจหน้าที่ของ

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อำนาจของรัฐสภาแห่งอนุสัญญาสำหรับเรือซึ่งจดทะเบียนหรือที่จดทะเบียนในรัฐธรรมนูญ และมีสาระในทำนองเดียวกันที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๑ ในกรณีที่กรมเจ้าท่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ประกันภัยจะมิอาจปฏิบัติให้ครบถ้วนตามการเงินตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญสามารถที่จะขอให้เจ้าท่ารับความเสียหายทางกฎหมายตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ให้กรมเจ้าท่าหรือฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการในรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมโดยเร็ว

มาตรา ๒๐ ในกรณีเรือหรือรัฐสภาแห่งอนุสัญญาที่มีการรวมสิทธิซึ่งใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในพรรคหรือได้ผ่านพรรคออกจากเขตอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย และเรือดังกล่าวไม่มีการประกันภัยหรือเกี่ยวกับประกันการเงินในใด ๆ ซึ่งอาจทำให้เจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรืออาจมีความรับผิดชอบต่อความเสียหายหรือความรับผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒ และในระหว่างนั้นมีพยานเอกสารและข้อความตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๒ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

หมวด ๔ การวางหลักประกัน

มาตรา ๒๑ เจ้าของเรือจะมีสิทธิกักความรับผิดได้เมื่อมีเอกสารที่ได้แสดงว่ามีได้ดำเนินการในขั้นตอนแล้ว เจ้าของเรือได้วางหลักประกันตามจำนวนความรับผิดที่กำหนดตามมาตรา ๑๒ ทั้งหมดต่อศาล

การวางหลักประกันตามวรรคหนึ่งจะวางเป็นเงินสดหรือหนังสือประกันของธนาคารหรือหลักประกันอื่น ๆ โดยเจ้าหน้าที่หรือศาลอย่างรวมกัน ตามที่ศาลเห็นสมควร ทั้งนี้ในการยอมรับหลักประกัน จะต้องเป็นหลักประกันที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้โดยสะดวกและรวดเร็ว หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการวางหลักประกันให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อกำหนดของศาล

มาตรา ๒๒ ผู้ประกันภัยหรือบุคคลอื่นใดที่ได้ให้หลักประกันแก่เจ้าของเรือมีสิทธิที่จะวางหลักประกันภายใต้หลักเกณฑ์ตามมาตรา ๒๑ โดยให้ส่งเอกสารไปยังเจ้าของเรือเป็นผู้วางหลักประกันแล้ว หลักประกันดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในกรณีที่เจ้าของเรือได้ดำเนินการตามมาตรา ๑๙ แต่การวางหลักประกันดังกล่าวจะไม่มีผลในการระงับหรือยกเลิกข้อพิพาทใด ๆ ที่มีต่อเจ้าของเรือ

มาตรา ๒๓ ภายหลังจากที่ศาลได้พิจารณา เมื่อเจ้าของเรือมีข้อพิสูจน์ถึงการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ได้วางหลักประกันตามมาตรา ๒๑ หรือผู้รับประกันภัยหรือบุคคลอื่นได้วางหลักประกันตามมาตรา ๒๒ แล้ว

ห้ามผู้มีสิทธิเรียกร้องเพื่อความเสียหายทางกายพิการซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุนั้น ใช้สิทธิเรียกร้องต่อทรัพย์สินส่วนของเจ้าของเรือ

ให้สิทธิของเจ้าของเรือหรือทรัพย์สินอื่นของเจ้าของเรือที่ได้ถูกทำให้จำนองหรือจำนำ เนื่องมาจากสิทธิเรียกร้องเพื่อความเสียหายทางกายพิการซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุนั้น และให้สิทธิของการจำนอง หรือจำนำประกันหรือหลักประกันอื่นใดที่ได้ให้เพื่อให้มีหลักทรัพย์คุ้มครองสิทธิเรียกร้องนั้นด้วย

มาตรา ๒๔ ให้บังคับบทกำหนดตามมาตรา ๒๒ หรือมาตรา ๒๓ แล้วแต่กรณี ให้แก่บรรดาผู้มีสิทธิเรียกร้องลำดับในเท่ากันเพื่อความเสียหายทางกายพิการซึ่งเกิดขึ้นได้พิสูจน์ในศาลแล้ว

มาตรา ๒๕ ในกรณีที่เจ้าของเรือได้กระทำการโดยสมัครใจและตามสมควร ซึ่งก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายหรือมีการเสียสละทรัพย์สิน เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเสียหายจากอุบัติเหตุนั้น ให้บังคับสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหรือมูลค่าของทรัพย์สินที่ได้เสียสละไป ลำดับเสมอกับสิทธิเรียกร้องซึ่งบังคับตามมาตรานี้

มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ไม่มีการชำระเงินจากหลักประกันตามมาตรา ๒๔ หรือมาตรา ๒๕ หรือการชำระเงินนั้นไม่เพียงพอ ให้เจ้าของเรือหรือบุคคลอื่นซึ่งมีสิทธิได้รับเงินตามมาตรา ๒๔ หรือมาตรา ๒๕ ได้กระทำการฟ้องร้องในศาลเพื่อให้ได้รับเงินจากหลักประกันนั้นได้ภายในกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันที่เกิดอุบัติเหตุ ถ้าพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ให้สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันระงับไป

มาตรา ๒๗ ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการรับช่วงสิทธิ บุคคลอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๖ อาจใช้สิทธิในการรับช่วงสิทธิตามมาตราดังกล่าว ตามจำนวนค่าเสียหายแทนตนที่ตนได้จ่ายไป

มาตรา ๒๘ ถ้าเจ้าของเรือหรือบุคคลอื่นได้แสดงให้เห็นได้ว่าเขาได้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อชำระค่าเสียหายแทนตนทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งตามรายการรับช่วงสิทธิได้ตามมาตรา ๒๖ หรือมาตรา ๒๗ และบุคคลดังกล่าวได้ใช้สิทธิรับช่วงสิทธิตามมาตรา ๒๖ หรือมาตรา ๒๗ แล้ว ให้ศาลมีคำสั่งให้ลดจำนวนเงินที่เจ้าของเรือหรือบุคคลอื่นนั้นสามารถได้รับเรียกร้องจากเงินจำนวนดังกล่าวได้

มาตรา ๒๙ การเรียกร้องค่าเสียหายแทนตนเพื่อความเสียหายทางกายพิการอาจเรียกร้องได้โดยตรงจากผู้รับประกันภัยให้แก่เจ้าของเรือกับการเงินเพื่อความรับผิดชอบสำหรับความเสียหายทางกายพิการอันเกิดจากอุบัติเหตุ

ผู้รับประกันภัยหรือผู้ให้หลักประกันการเงินตามวรรคหนึ่งซึ่งตกเป็นจำเลยอาจ ยกข้อยกเว้นในเรื่องดังต่อไปนี้ได้

การจำกัดค่าความรับผิดตามที่ระบุในมาตรา ๑๒ แล้วเจ้าของเรือจะไม่มีสิทธิ จำกัดความรับผิดของตนตามมาตราดังกล่าว

ข้อที่ผู้รับเจ้าของเรืออาจยกขึ้นว่าได้ ยกเว้นการรับผิดต่อผลที่การเลิก กิจการเจ้าของเรือเอง

การอุทธรณ์ต่อให้ศาลวินิจฉัยว่าเจ้าของเรือจะต้องรับผิดในเหตุให้เกิดความ เสียหายจากมลพิษนั้น จำเลยอาจยกข้อยกเว้นดังต่อสู้อื่นตามที่มีต่อเจ้าของเรือซึ่งผู้เสียหายเรียกร้องเพื่อ ความเสียหายจากมลพิษ

มาตรา ๓๐ จำนวนเงินที่นำประกันภัยไว้หรือที่ระบุในหลักประกันการเงินให้ใช้ เป็นค่าลีไมท์ตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น

มาตรา ๓๑ ให้พนักงานอัยการมีอำนาจดำเนินการทั้งในเรื่องร้องค่าเสียหาย ทดแทนเพื่อความเสียหายจากมลพิษตามพระราชบัญญัตินี้และเสียหายแก่รัฐอันในกรณีที่ มอบอำนาจจากเจ้าของเรือหรือผู้ให้หลักประกันการเงิน

ในการดำเนินการดังกล่าวพนักงานอัยการมีอำนาจเรียกให้เจ้าของเรือหรือผู้ให้หลัก ประกันการเงินให้ส่งเอกสารหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าเสียหายจากมลพิษ นั้น ทั้งนี้ไม่ว่าเจ้าของเรือหรือผู้ให้หลักประกันการเงินจะเป็นคู่ความในคดีหรือไม่ เจ้าของเรือหรือผู้ให้หลักประกันการเงินต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานอัยการ ตามวรรคสองโดยไม่มีข้อยกเว้น

มาตรา ๓๒ จำเลยตามมาตรา ๒๙ อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องเพื่อให้ศาลออก หมายเรียกเจ้าของเรือให้เข้ามาในคดีนั้น

มาตรา ๓๓ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามพระราชบัญญัตินี้เป็นอันระงับเมื่อพ้น ความในอันพึงทราบในวันที่ความเสียหายจากมลพิษเกิดขึ้น หรือเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับตั้งแต่ อุบัติเหตุเรือล่มหรือวันที่เหตุการณ์เริ่มแรกได้เกิดขึ้นในกรณีที่มีอุบัติเหตุเรือล่มหรือเหตุการณ์ ต่อเนื่อง

หมวด ๖

เขตอำนาจศาล

มาตรา ๓๔ ให้ศาลมีเขตอำนาจเฉพาะเรื่องคดีทั้งในเขตอำนาจในเขตเพื่อความ เสียหายจากมลพิษตามพระราชบัญญัตินี้ โดยต้องมีการส่งหมายเรียกให้จำเลยโดยตรงและให้

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โอกาสตามสมควรสำหรับการต่อสู้คดี ทั้งนี้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางโดยมติของที่ประชุมคณะผู้พิพากษาอาวุโสอาจออกข้อกำหนดใด ๆ เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาได้

มาตรา ๔๕ ในกรณีที่เจ้าของเรือได้วางหลักประกันการชดใช้ความเสียหายตามมาตรา ๒๐ ให้ศาลสั่งถอนอายัดเรือนั้นและรัฐมนตรีจะสั่งให้ปล่อยเรือหรือรื้อถอนค่าอายัดตามความในมาตรา ๒๗ ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งออกคำสั่งใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินการดังกล่าวก็ได้

มาตรา ๔๖ คำพิพากษาซึ่งเกี่ยวกับความเสียหายจากมลพิษของศาลต่างประเทศที่เป็นภาระผูกพันอยู่ตามกฎหมายในประเทศใดให้ (ก) คำพิพากษานั้นได้โดยกลอุบาย (ข) จำเลยมิได้รับหมายเรียกโดยชอบและไม่มีโอกาสแสดงตนในกระบวนพิจารณา (ค) คำพิพากษานั้นขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนกำหนดเวลา เงื่อนไข และวิธีการในการบังคับตามคำพิพากษาของศาลต่างประเทศตามอนุสัญญานี้ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาล

หมวด ๗ บทกำหนดโทษ

มาตรา ๔๗ การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ หรือมาตรา ๒๐ นายเรือและเจ้าของเรือต้องระวางโทษปรับรายละไม่เกินสองล้านบาท และให้นำกฎหมายว่าด้วยการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามนั้นไว้บังคับการจัดให้มีเรือบรรจุของตามมาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ หรือมาตรา ๒๐ แล้วแต่กรณี

มาตรา ๔๘ นายเรืออีก ได้ไม่อาจแสดงใบรับรองตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัตินี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๔๙ เมื่อเจ้าของเรือหรือผู้ประกอบการเรือไม่จัดการอย่างสูงสุดสำหรับความความตามมาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดให้เป็นตามมาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่การขนส่งน้ำมันส่วนใหญ่ของ ขนส่งทางเรือเป็นจำนวนมาก เรือบรรทุกน้ำมันเหล่านี้ที่เกิดให้น้ำมันรั่วลงสู่ทะเลจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยน้ำมันลงในทะเล การรั่วไหลของน้ำมัน หรือการประสบอุบัติเหตุ ของเรือบรรทุกน้ำมันแล้วก่อให้เกิดความเสียหาย มลพิษน้ำมันในทะเลไม่เพียงก่อความเสียหายใน ประเทศที่เกิดเหตุเท่านั้น แต่ยังอาจขยายไปสู่รัฐอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงด้วย องค์การทางทะเลระหว่าง ประเทศ (International Maritime Organization) จึงได้จัดทำอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วย ความรับผิดทางแพ่งสำหรับความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๓๕ (International Convention on Civil Liability for Oil Pollution Damage, 1992) ขึ้น เพื่อให้มีการชดใช้ความ เสียหายจากมลพิษน้ำมัน โดยกำหนดให้เจ้าของเรือต้องรับผิดอย่างเคร่งครัดและต้องเอาประกันภัย หรือจัดหาหลักประกันทางการเงินอื่นใดเพื่อชดใช้ความเสียหายและประเทศที่ได้รับความเสียหายก็ อนุสัญญาดังกล่าว จึงสมควรมีกฎหมายที่มีมาตรการเกี่ยวกับความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหาย จากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือให้สอดคล้องกับอนุสัญญานั้นด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พรวิชา/ภรณรรณ์/จัดทำ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ทิพาพร/ตรวจ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐