พระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๖๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๗๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาและกฎหมาย ว่าด้วยเรื่องราวร้องทุกข์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
๒๕๖๒”
พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๔๘๙
พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๓
พระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๔๘๗
พระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๒
ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ
กฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ “ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๓๖/หน้าที่ ๑๔/๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒” “มาตรา ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ...” ``` ภาค ๓ คณะกรรมการกฤษฎีกา
บททั่วไป
จัดทำร่างกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบัญญัติ หรือประกาศตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี
รับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐหรือคณะรัฐมนตรีตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี
เสนอแนะและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดเตรียมร่างกฎหมายเพื่อการให้กฎหมายแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย
กรรมการกฤษฎีกา * มาตรา ๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ * มาตรา ๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ * มาตรา ๑๑ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ * มาตรา ๑๐ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ ``` สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔
คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔
เคยเป็นกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๔๗๖
มีความรู้และประสบการณ์ในการว่าความหรือทางกฎหมายแล้วไม่น้อยกว่าสิบปีและมีความชำนาญและความสามารถเป็นที่ประโยชน์แก่การของคณะกรรมการกฤษฎีกา [คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๐]
ให้ประธานกรรมการกฤษฎีกาคัดเลือกกันเองในที่ประชุมเพื่อแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการ หลักเกณฑ์การคัดเลือกและการพิจารณาให้ความเห็นชอบคณะกรรมการ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาวางหลักเกณฑ์
[คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๐]
[มาตรา ๑๔/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๐] การแบ่งกรรมการกฤษฎีกาออกเป็นคณะ การแต่งตั้งประธานกรรมการกฤษฎีกาแต่ละคณะ และการประชุมของกรรมการกฤษฎีกาคณะวาระหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด การลงมติวินิจฉัยข้อปัญหา ให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการกฤษฎีกาคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในที่ประชุมคณะ หากคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มเป็นเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด [คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542]
[คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542]
[คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542]
ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกามีอำนาจวางระเบียบให้เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบอำนาจ หรือสิทธิอันพึงมีในกรณีที่มีผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ปรึกษาหรือเรื่องที่เสนอต่อได้ [คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542]
คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่งตั้งข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ ในกรณีที่เห็นสมควร ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาอาจแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนากฎหมายย่อยตามข้อกฎหมายที่จำเป็นได้ ให้บทบัญญัติมาตรา 12 วรรคสองว่าด้วยการจัดวาระการประชุมใช้บังคับแก่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโดยอนุโลม [คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562]
การเสนอความเห็นของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ถ้าได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนากฎหมายย่อยตามมาตรา 17 ทวิ ให้เสนอคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย [มาตรา 17 ทวิ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย และมาตรา 17 ตรี มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562]
ในกรณีมีเหตุอันควร คณะกรรมการพัฒนากฎหมายอาจขอให้ประธานใหญ่กรรมการกฤษฎีกาจัดการแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องที่แจ้งไว้ต่อได้ [คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2542]
ภาค 2 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รับผิดชอบในงานธุรการของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย และศึกษาและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
พิจารณาและจัดทำร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐ มอบหมาย และเสนอความเห็นเกี่ยวกับการให้มีหรือแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย
ช่วยเหลือและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการร่างกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐ
ให้ความเห็นหรือปฏิบัติการอื่นเกี่ยวกับกฎหมายให้แก่หน่วยงานของรัฐ หรือ ตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติไว้หรือร้องขอ
ศึกษาอบรมและพัฒนาบุคลากรเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการกฤษฎีกา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและการพัฒนากฎหมาย รวมทั้งจัดทำเอกสารทางวิชาการเกี่ยวกับกฎหมายต่าง ๆ
ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือที่คณะกรรมการกฤษฎีกามอบหมาย รายการเอกสารลับ ความลับ
จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับผลงานและอุปสรรคในการดำเนินงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการพัฒนากฎหมายเสนอคณะรัฐมนตรี
ศึกษาและรวบรวมข้อมูล รวมทั้งจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบกฎหมายไทยและระบบกฎหมายต่างประเทศ และงานวิจัยกฎหมายหรือวิชาการอื่นที่เกี่ยวกับกฎหมายของไทย และต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการพัฒนากฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้
ซึ่งราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รับผิดชอบขึ้นตรงต่อประธานคณะกรรมการ กฤษฎีกาและเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้มีอำนาจสั่งการและปฏิบัติราชการในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล และให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในกิจการที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นของรัฐหรือเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศตามที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกามอบหมาย รายการแผ่นดินตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีและได้รับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับ ในกรณีที่รัฐสภาประกอบด้วยสภาเดียวให้ได้รับความเห็นชอบของสภานั้น
คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่ง การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักกฎหมายกฤษฎีกา และอัตราเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งนักกฎหมายกฤษฎีกา ให้เป็นไปตามระเบียบที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด
ให้ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในหน่วยงานของรัฐนั้น โดยให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ต่อเนื่องจากการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงานที่ต้องมอบหมายของหน่วยงานของรัฐนั้น
พ.ศ. ๒๕๖๒
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กฤษฎีกาโดยได้รับเงินเดือนจากกระทรวง ทบวง กรมเดิม แต่มีฐานะเสมือนเป็นข้าราชการที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่งต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งไม่เกินสามปี ให้บังคับตามในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับแก่การแต่งตั้งข้าราชการที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำรงตำแหน่งในกระทรวง ทบวง กรมอื่นด้วยโดยอนุโลม
ภาค ๓ บทกำหนดโทษ
บทเฉพาะกาล
ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัตินี้
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๘
ตามพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม พระราชบัญญัตินี้ถือว่าเรื่องราวร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว แต่ถ้า คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัตินั้นเห็นสมควรให้อ้างตามมาตรา ๔๔ และ
คณะกรรมการกฤษฎีกาอาจสั่งให้กรรมการกฤษฎีกาปฏิบัติหน้าที่ในนามคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ได้ และให้กรรมการกฤษฎีกาผู้หนึ่งเมื่อออกจากหน้าที่และสิทธิชั้นเดียวกับกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๘
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โชตร์วิทย์ รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ใช้บังคับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๙ บางบัญญัติขาดความชัดเจนไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติราชการ และรัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งศาลปกครองซึ่งพระราชบัญญัติการจัดตั้งศาลปกครองฯ ฉบับนี้ จึงมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนการจัดตั้งศาลปกครอง ประกอบกับในเรื่องการร้องทุกข์เป็นหน้าที่ของศาลปกครอง อีกหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงจำเป็นต้องทราบเหตุของการร้องทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อพิจารณาและวินิจฉัยให้คำปรึกษาแก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น และจะช่วยให้มีการบรรเทาร้องทุกข์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นตามร่างกฎหมายและทำให้ความเห็นในทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา ชัดเจนยิ่งขึ้น คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงควรมีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องการร้องทุกข์ และสมควรกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการเรื่องการร้องทุกข์เป็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เหมาะสมสอดคล้องต่อเนื่องกันด้วย นอกจากนี้ในกรณีที่มีประชาชนร้องเรียนร้องทุกข์ต่อรัฐมนตรีสองทาง คือ ทางสำนักงานคณะกรรมการเรื่องการร้องทุกข์ทางสำนักงานกิจการสาธารณรัฐมนตรี ซึ่งจำเป็นให้ความสัมพันธ์ประสาน สมควรจึงไม่เห็นสมควรนำเรื่องนี้ คือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนั้นจึงต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๖ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้ประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผ่านมานานแล้วและมีการเปลี่ยนแปลงในทางการปกครองและรัฐธรรมนูญ และโดยเฉพาะรัฐบาลในปัจจุบันได้กำหนดให้มีการพิจารณากฎหมายและรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สมควรจึงยกเลิกการแต่งตั้งกรรมการวินิจฉัยข้อร้องทุกข์ออกไปอีกกลับวัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๗ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรที่ให้หน่วยงานขึ้นกับนายกรัฐมนตรีเพื่อที่ทำหน้าที่เสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ หรือกฎหมายที่ขัดต่อศีลธรรมในร่างกาย หรือขัดต่อการประกอบอาชีพของประชาชนโดยไม่สมควร หรือก่อให้เกิดการประกอบอาชีพหรือธุรกิจของบุคคลโดยไม่จำเป็นซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน สมควรจึงยกเลิกการพิจารณากฎหมาย การเสนอกฎหมาย การวินิจฉัยอุทธรณ์ร้องทุกข์ ย้อนกลับการร้องทุกข์ การตรวจต้นแบบตามพระราชบัญญัติเรื่องข้อร้องทุกข์และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กฤษฎีกาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังไม่เหมาะสม สมควรได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๓ ให้แก้ไขคำว่า “กรรมการร่างกฎหมาย” ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็น “กรรมการกฤษฎีกา” ทุกแห่ง มาตรา ๑๑ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับงานคณะกรรมการวิจัยข้อร้องทุกข์และข้อเสนอแนะทางกฎหมายและการร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ เฉพาะที่นายกรัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ไปเป็นของสำนักงานศาลปกครองตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ให้ข้าราชการที่ย้ายไปตามวรรคหนึ่งเป็นข้าราชการศาลปกครองและในระหว่างที่ยังไม่มีระเบียบของคณะกรรมการบริหารศาลปกครองในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ให้บังคับกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนมาใช้บังคับโดยอนุโลมถึงข้าราชการที่ย้ายไปตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกบัญชีอัตรากำลังของสำนักงานพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๒ และพระราชบัญญัตินี้ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการปรับปรุงบัญชีอัตรากำลังตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง มาตรา ๑๓ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองได้บัญญัติให้โอนภารกิจที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีปกครอง อันเป็นการดำเนินการที่มีลักษณะเป็นอำนาจตุลาการจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปเป็นขององค์กรตุลาการศาลปกครองแต่กฎหมายดังกล่าวได้กำหนดการโอนองค์กรตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ไว้แล้ว แต่ยังมิได้กำหนดการโอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องไปให้แก่ศาลปกครอง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๕๒๒ โดยให้สอดรับกับกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง รัชกาลที่ ๑๐ บรมราช เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๙๕ ก/หน้า ๔๕/๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ ความคุ้มกัน หลังจากนั้นได้มีการปรับปรุงเป็นพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยให้คณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งยกฐานะขึ้นเท่าที่หัวหน้าฝ่ายอัยการทหารตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร กับหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้แทนในการสร้างหลักกฎหมายอันเหมาะสมแก่ประเทศไทย และสร้างความคุ้มกันในระบบวิธีการยุติธรรมที่เป็นครรลองโดยจะพัฒนาไปในระบบคณะกรรมอย่างเต็มรูปแบบต่อไป บัดนี้ จึงได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาโดยเฉพาะขึ้นเพื่อให้ที่ทำการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเอกเทศ จึงสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาและยกเลิกพระราชบัญญัติเดิมที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังนี้ พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ ให้กรรมการกฤษฎีกาสั่งจัดการตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับตามที่ในพระราชกฤษฎีกาต่อไปจากระยะสิ้นสุดราชการ ให้ยึดพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะตามมาตรา ๖ ตามคำสั่งประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ ๖/๒๕๔๕ เรื่อง การแบ่งกรรมการกฤษฎีกาออกเป็นหมวด ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งตำแหน่งที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คนเป็นประธานกรรมการกฤษฎีกาต่อไป มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกตำแหน่งที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งตำแหน่งที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับในกฎหมายกฤษฎีกา ให้ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งตามหลักเกณฑ์ที่ได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการตั้งตำแหน่งใหม่ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนดตามมาตรา ๒๓/๑ วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกตำแหน่งที่จัดการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากมีการสร้างระบบวิธีการยุติธรรมได้มาและการตราตั้งตำแหน่งของกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้เหมาะสมต่อเกิดบุคคลที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในระดับสูงได้อย่างกว้างขวางจนเป็นไปในข้อความรอบคอบตลอดจนเพื่อให้กรรมการกฤษฎีกามีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็ม และสมควรปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่และการพัฒนาคุณภาพของเจ้าหน้าที่ให้ไปสู่หลักการที่เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สัญชัย/ปรับปรุง ๑๔ มกราคม ๒๕๕๐ ไตรินทร์/ตรวจ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ระพีพัฒน์/ปรับปรุง ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ วิทยพันธ์/ตรวจ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖