로고

พระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๖๒ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๗๔ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาและกฎหมาย ว่าด้วยเรื่องราวร้องทุกข์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ ยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ.

๒๕๖๒”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิก

พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๔๘๙

พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๓

พระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๔๘๗

พระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๒

มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง

ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ

มาตรา ๕ ให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออก

กฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ “ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๓๖/หน้าที่ ๑๔/๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒” “มาตรา ๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ...” ``` ภาค ๓ คณะกรรมการกฤษฎีกา

หมวด ๑

บททั่วไป

มาตรา ๗ ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบด้วยกรรมการซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๑ ให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยตำแหน่งเมื่อพ้นจากหน้าที่ที่ดูแลกิจการทั่วไปของคณะกรรมการกฤษฎีกา

มาตรา ๘ คณะกรรมการกฤษฎีกามีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

จัดทำร่างกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบัญญัติ หรือประกาศตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี

รับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐหรือคณะรัฐมนตรีตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี

เสนอแนะและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดเตรียมร่างกฎหมายเพื่อการให้กฎหมายแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย

มาตรา ๙ (ยกเลิก)

มาตรา ๑๐ ให้กรรมการกฤษฎีกาได้รับค่าตอบแทนตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

มาตรา ๑๑ (ยกเลิก)

หมวด ๒

กรรมการกฤษฎีกา * มาตรา ๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ * มาตรา ๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ * มาตรา ๑๑ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ * มาตรา ๑๐ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ ``` สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔

มาตรา ๑๑ กรรมการกฤษฎีกานั้นจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกตามมาตรา ๑๑/๑ ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นกรรมการกฤษฎีกาโดยตำแหน่ง ให้หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ากรรมการร่างกฎหมายประจำมีสิทธิเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกาในแต่ละคณะที่มีการพิจารณากฎหมายของหน่วยงานนั้น เพื่อแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่หน่วยงานของตนเสนอร่างกฎหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาได้ ทั้งนี้ ในการเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและได้รับคำตอบแทนเช่นเดียวกับกรรมการกฤษฎีกาด้วย แต่ไม่มีสิทธิลงมติ

มาตรา ๑๒ กรรมการกฤษฎีกามีวาระดำรงตำแหน่งคราวละสามปีนับแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ถ้าสิ้นวาระแล้วกรรมการกฤษฎีกายังปฏิบัติในระหว่างที่กรรมการกฤษฎีกาชุดใหม่ยังไม่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิมไปพลางก่อนจนกว่ากรรมการกฤษฎีกาชุดใหม่จะได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งกรรมการกฤษฎีกาเพราะครบวาระตามวรรคหนึ่ง อาจได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการกฤษฎีกาอีกได้ ให้กรรมการกฤษฎีกาที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ตามวรรคหนึ่งอยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการกฤษฎีกาที่ตนแทน ความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่กรรมการกฤษฎีกาที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการกฤษฎีกาตามมาตรา ๑๔

คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔

มาตรา ๑๓ ผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกฤษฎีกาต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์หรือการบริหารราชการแผ่นดิน และต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อยหนึ่งอย่างต่อไปนี้ (๑) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธิบดีหรือเทียบเท่า (๒) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา อัยการศาลสูงสุด หรืออาจารย์มหาวิทยาลัยในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าศาสตราจารย์ ดุษฎีการ ศึกษาปริญญาสูงสุด หรืออุดมการณ์พระธรรมสูงสุด (๓) เป็นหรือเคยเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในสถาบันการศึกษาของรัฐในระดับมหาวิทยาลัยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี

มาตรา ๑๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๑๓/๑ แทรกเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๑๓/๒ แทรกเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๑๓/๓ แทรกเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๔

เคยเป็นกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๔๗๖

มีความรู้และประสบการณ์ในการว่าความหรือทางกฎหมายแล้วไม่น้อยกว่าสิบปีและมีความชำนาญและความสามารถเป็นที่ประโยชน์แก่การของคณะกรรมการกฤษฎีกา [คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๐]

มาตรา ๑๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการคัดเลือกรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๓ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในระดับสูงสมควรเป็นกรรมการกฤษฎีกา โดยให้มีจำนวนที่เพียงพอในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพของคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอต่อคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วย ประธานกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการมาตรา ๑๔ เป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการกฤษฎีกามีหน้าที่พิจารณาและอนุญาต เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วแจ้งผลให้นายกรัฐมนตรีรับทราบก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแต่งตั้งต่อไป

ให้ประธานกรรมการกฤษฎีกาคัดเลือกกันเองในที่ประชุมเพื่อแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการ หลักเกณฑ์การคัดเลือกและการพิจารณาให้ความเห็นชอบคณะกรรมการ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาวางหลักเกณฑ์

มาตรา ๑๕ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการกฤษฎีกาพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (ก) ตาย (ข) ลาออก (ค) ต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดที่กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ (ง) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (จ) เป็นบุคคลล้มละลาย

[คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๐]

มาตรา ๑๖ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการกฤษฎีกาประชุมปรึกษาหารือกันเป็นคณะ มีคณะหนึ่งไม่ต้องมีกรรมการกฤษฎีกาไม่น้อยกว่าสามคน และในกรณีที่มีปัญหาสำคัญให้กรรมการกฤษฎีกาประชุมร่วมกันทั้งคณะหรือร่วมกันหลายคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งต้องมีกรรมการกฤษฎีกามาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการกฤษฎีกาทั้งหมด

[มาตรา ๑๔/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๐] การแบ่งกรรมการกฤษฎีกาออกเป็นคณะ การแต่งตั้งประธานกรรมการกฤษฎีกาแต่ละคณะ และการประชุมของกรรมการกฤษฎีกาคณะวาระหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด การลงมติวินิจฉัยข้อปัญหา ให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการกฤษฎีกาคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในที่ประชุมคณะ หากคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มเป็นเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด [คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542]

มาตรา 15 ทวิ ในการพิจารณาร่างกฎหมายให้กรรมการกฤษฎีกาพึงสังวรณ์จำเป็น ความเป็นไปได้และขอบเขตที่ต้องมีกฎหมายดังกล่าว ความสอดคล้องกับหลักกฎหมายและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ความโปร่งใสสิทธิเสรีภาพของประชาชนและกลไกเพื่อการใช้บังคับกฎหมาย ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและรัฐ และควรหรืออาจมีมาตรการอื่นที่ประชาชนหรือรัฐพึงปฏิบัตินอกเหนือจากกฎหมาย และแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสม ในกรณีที่กรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าร่างกฎหมายใดไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสมด้วยเหตุผลดังกล่าว หรือมีความเห็นขั้นแนะนำแนวทางของรัฐหรือเอกชนที่มิใช่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กรรมการกฤษฎีกาอาจเสนอความเห็นดังกล่าวต่อรัฐมนตรีเจ้าของเรื่องเพื่อประกอบการพิจารณาได้ ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น และรายงานต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไปได้

[คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542]

มาตรา 16 ให้ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกามีอำนาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการจัดทำร่างกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับหรือประกาศ และระเบียบว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

[คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542]

มาตรา 17 คณะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้รับแต่งตั้งให้มีเสียงเป็นการส่วนตัวในเรื่องที่ปรึกษาหรือเรื่องที่เสนอต่อได้ ให้มีหน้าที่วินิจฉัยในเรื่องนั้น

ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกามีอำนาจวางระเบียบให้เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบอำนาจ หรือสิทธิอันพึงมีในกรณีที่มีผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ปรึกษาหรือเรื่องที่เสนอต่อได้ [คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542]

มาตรา 18 คณะกรรมการกฤษฎีกาเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543

หมวด 2 ทวิ

คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย

มาตรา 17 ทวิ ให้มีคณะกรรมการเรียกว่า "คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย" ประกอบด้วย กรรมการกฤษฎีกาตามมาตรา 11 และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานของรัฐหรือของเอกชน ซึ่งประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้แต่งตั้ง มีจำนวนไม่น้อยกว่าสามคน แต่ไม่เกินสิบห้าคน เป็นกรรมการพัฒนากฎหมาย ในกรณีจำเป็นให้สามารถเชิญผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย และกรรมการกฤษฎีกาซึ่งมิใช่กรรมการกฤษฎีกาตามมาตรา 11 และให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นกรรมการพัฒนากฎหมายโดยตำแหน่ง ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายอย่างน้อยทำหน้าที่ตามบัญญัติไว้ในหมวดนี้

ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแต่งตั้งข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ ในกรณีที่เห็นสมควร ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาอาจแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนากฎหมายย่อยตามข้อกฎหมายที่จำเป็นได้ ให้บทบัญญัติมาตรา 12 วรรคสองว่าด้วยการจัดวาระการประชุมใช้บังคับแก่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโดยอนุโลม [คำว่า "กรรมการกฤษฎีกา" แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562]

มาตรา 17 ตรี ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีหน้าที่ศึกษาพิจารณาตรวจสอบบรรดากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ถ้าเห็นว่ากฎหมายฉบับใดหรือเรื่องใดมีบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ หรือทรัพย์สิน หรือการประกอบอาชีพของประชาชนโดยไม่สมควรหรือก่อให้เกิดการแก้การประกอบอาชีพหรือธุรกิจของบุคคลโดยไม่เป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล หรือการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม หรือวัฒนธรรมของประเทศ หรือมีบทบัญญัติที่ก่อให้เกิดภาระแก่ประชาชนโดยไม่จำเป็นหรือขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับรองไว้ หรือเพื่อประโยชน์แก่การพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือวัฒนธรรม ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการพัฒนากฎหมายเพื่อจัดทำแผนการพัฒนากฎหมายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยระบุขอบเขตของการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และในกรณีที่เห็นสมควร ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการต่อไป

การเสนอความเห็นของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ถ้าได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนากฎหมายย่อยตามมาตรา 17 ทวิ ให้เสนอคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย [มาตรา 17 ทวิ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย และมาตรา 17 ตรี มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562]

มาตรา 17 ห้า เมื่อคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติเสนอนามหรือโครงการพัฒนากฎหมายตามมาตรา 17 ตรี แล้ว ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายดำเนินการศึกษาวิจัยและจัดทำรายงานพร้อมทั้งร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญหรือจัดทำรายงานที่มีขอบเขตแคบก็ได้ เพื่อการนี้ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายอาจมอบหมายให้คณะอนุกรรมการ หรือให้แต่งตั้งคณะทำงานหรือมอบหมายให้ประธานกรรมการพัฒนากฎหมายดำเนินการแทนก็ได้

ในกรณีมีเหตุอันควร คณะกรรมการพัฒนากฎหมายอาจขอให้ประธานใหญ่กรรมการกฤษฎีกาจัดการแก้ไขเพิ่มเติมเรื่องที่แจ้งไว้ต่อได้ [คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2542]

มาตรา 17 เบญจ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานตามมาตรา 17 ตรี หรือมาตรา 17 จัตวา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะจัดให้มีการวิจัย การสัมมนา หรือการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานหรือบุคคลต่าง ๆ ทั้งในการรับฟังและการตอบความคิดเห็นและข้อแก้ไขก็ได้

มาตรา 17 ฉ ในกรณีที่มีเหตุสมควร คณะกรรมการพัฒนากฎหมายอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมายมอบหมายก็ได้

มาตรา 17 ฉัต ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายและคณะอนุกรรมการตามมาตรา 17 ฉ มีอำนาจเชิญผู้แทนหน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ภาครัฐบาลและภาคเอกชนมาให้ข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นก็ได้

มาตรา 17 อัฏฐ ให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายและคณะอนุกรรมการตามมาตรา 17 ฉ ได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับกรรมการกฤษฎีกา

หมวด 3 กรรมการวิจัยอัยร้องทุกข์

มาตรา 18 (ยกเลิก)

มาตรา 19 (ยกเลิก)

มาตรา 20 (ยกเลิก)

มาตรา 21 (ยกเลิก)

มาตรา 22 (ยกเลิก)

หมวด 3 กรรมการวิจัยอัยร้องทุกข์ มาตรา 18 ถึง มาตรา 22 ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2542

มาตรา ๒๓ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๔ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๕ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๖ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๗ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๘ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๙ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๐ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๑ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๒ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๓ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๔ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๕ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๖ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๗ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๘ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๙ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๐ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๑ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๒ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๓ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๔ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๕ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๖ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๗ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๘ (ยกเลิก)

มาตรา ๔๙ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๐ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๑ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๒ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๓ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๔ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๕ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๖ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๗ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๘ (ยกเลิก)

มาตรา ๕๙ (ยกเลิก)

มาตรา ๖๐ (ยกเลิก)

มาตรา 26 (ยกเลิก)

ภาค 2 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มาตรา 26 ให้มีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

1

รับผิดชอบในงานธุรการของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย และศึกษาและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย

2

พิจารณาและจัดทำร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐ มอบหมาย และเสนอความเห็นเกี่ยวกับการให้มีหรือแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย

3

ช่วยเหลือและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการร่างกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐ

4

ให้ความเห็นหรือปฏิบัติการอื่นเกี่ยวกับกฎหมายให้แก่หน่วยงานของรัฐ หรือ ตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติไว้หรือร้องขอ

5

ศึกษาอบรมและพัฒนาบุคลากรเกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการกฤษฎีกา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและการพัฒนากฎหมาย รวมทั้งจัดทำเอกสารทางวิชาการเกี่ยวกับกฎหมายต่าง ๆ

6

ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนดหรือที่คณะกรรมการกฤษฎีกามอบหมาย รายการเอกสารลับ ความลับ

7

จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับผลงานและอุปสรรคในการดำเนินงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการพัฒนากฎหมายเสนอคณะรัฐมนตรี

8

ศึกษาและรวบรวมข้อมูล รวมทั้งจัดให้มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบกฎหมายไทยและระบบกฎหมายต่างประเทศ และงานวิจัยกฎหมายหรือวิชาการอื่นที่เกี่ยวกับกฎหมายของไทย และต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการพัฒนากฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา 27 ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหน้าที่ควบคุมดูแลดังต่อไปนี้

ซึ่งราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รับผิดชอบขึ้นตรงต่อประธานคณะกรรมการ กฤษฎีกาและเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้มีอำนาจสั่งการและปฏิบัติราชการในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล และให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในกิจการที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นของรัฐหรือเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศตามที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกามอบหมาย รายการแผ่นดินตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีและได้รับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับ ในกรณีที่รัฐสภาประกอบด้วยสภาเดียวให้ได้รับความเห็นชอบของสภานั้น

มาตรา ๒๕/๑ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานกฎหมายของรัฐ ให้มีตำแหน่งนักกฎหมายกฤษฎีกาซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในทางนิติศาสตร์ การร่างกฎหมายและกระบวนวิธีพิจารณากฎหมายเป็นต้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ และให้ถือว่าตำแหน่งนักกฎหมายกฤษฎีกาได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งในอัตราที่กำหนดแล้ว ไม่ต่ำกว่าค่าตอบแทนของข้าราชการอัยการอธิบดี

คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่ง การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักกฎหมายกฤษฎีกา และอัตราเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งนักกฎหมายกฤษฎีกา ให้เป็นไปตามระเบียบที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด

มาตรา ๒๕/๒ เพื่อประโยชน์ในการตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย หรือร่างกฎ ให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย นิติกร หรือเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย หรือร่างกฎหมายไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้น

ให้ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในหน่วยงานของรัฐนั้น โดยให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ต่อเนื่องจากการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงานที่ต้องมอบหมายของหน่วยงานของรัฐนั้น

มาตรา ๒๖ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๖/๑ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๖/๒ ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการประสานงาน แลกเปลี่ยนประสบการณ์และพัฒนาการปฏิบัติราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายหรือเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการของพระราชบัญญัตินี้ รัฐมนตรียังอาจแต่งตั้งคณะเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอขอให้นายกรัฐมนตรีมอบหมายหัวหน้ารัฐบาลใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน แต่งตั้งข้าราชการ ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่ง ไปดำรงตำแหน่งในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มาตรา ๒๕ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๘ (ฉบับที่ ๒)

พ.ศ. ๒๕๖๒

มาตรา ๒๕/๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๕/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๖ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘

มาตรา ๒๖/๑ ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กฤษฎีกาโดยได้รับเงินเดือนจากกระทรวง ทบวง กรมเดิม แต่มีฐานะเสมือนเป็นข้าราชการที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่งต้องมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งไม่เกินสามปี ให้บังคับตามในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับแก่การแต่งตั้งข้าราชการที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำรงตำแหน่งในกระทรวง ทบวง กรมอื่นด้วยโดยอนุโลม

มาตรา ๒๘ (ยกเลิก)

มาตรา ๒๙ (ยกเลิก)

ภาค ๓ บทกำหนดโทษ

มาตรา ๓๐ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๑ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๒ (ยกเลิก)

มาตรา ๓๓ (ยกเลิก)

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๓๔ ให้กรรมการกฤษฎีกาที่ได้รับแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๔๘๙ และกรรมการร่างกฎหมายที่ได้รับแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นกรรมการกฤษฎีกาและกรรมการร่างกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่มติคณะรัฐมนตรีจะมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งใหม่ตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัตินี้

ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัตินี้

มาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๘

มาตรา ๕๔ คำเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ที่ไม่ต่อคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์

ตามพระราชบัญญัติเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตาม พระราชบัญญัตินี้ถือว่าเรื่องราวร้องทุกข์ดังกล่าวเป็นเรื่องราวร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้ว แต่ถ้า คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัตินั้นเห็นสมควรให้อ้างตามมาตรา ๔๔ และ

มาตรา ๔๕ ที่ให้กระทำได้

มาตรา ๕๕ ภายในระยะเวลาที่กำหนดบังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ประธาน

คณะกรรมการกฤษฎีกาอาจสั่งให้กรรมการกฤษฎีกาปฏิบัติหน้าที่ในนามคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ได้ และให้กรรมการกฤษฎีกาผู้หนึ่งเมื่อออกจากหน้าที่และสิทธิชั้นเดียวกับกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ คำว่า “กรรมการกฤษฎีกา” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๘

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โชตร์วิทย์ รองนายกรัฐมนตรี หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ใช้บังคับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๙ บางบัญญัติขาดความชัดเจนไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติราชการ และรัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งศาลปกครองซึ่งพระราชบัญญัติการจัดตั้งศาลปกครองฯ ฉบับนี้ จึงมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนการจัดตั้งศาลปกครอง ประกอบกับในเรื่องการร้องทุกข์เป็นหน้าที่ของศาลปกครอง อีกหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงจำเป็นต้องทราบเหตุของการร้องทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อพิจารณาและวินิจฉัยให้คำปรึกษาแก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น และจะช่วยให้มีการบรรเทาร้องทุกข์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นตามร่างกฎหมายและทำให้ความเห็นในทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา ชัดเจนยิ่งขึ้น คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงควรมีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องการร้องทุกข์ และสมควรกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการเรื่องการร้องทุกข์เป็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เหมาะสมสอดคล้องต่อเนื่องกันด้วย นอกจากนี้ในกรณีที่มีประชาชนร้องเรียนร้องทุกข์ต่อรัฐมนตรีสองทาง คือ ทางสำนักงานคณะกรรมการเรื่องการร้องทุกข์ทางสำนักงานกิจการสาธารณรัฐมนตรี ซึ่งจำเป็นให้ความสัมพันธ์ประสาน สมควรจึงไม่เห็นสมควรนำเรื่องนี้ คือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนั้นจึงต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๖ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้ประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผ่านมานานแล้วและมีการเปลี่ยนแปลงในทางการปกครองและรัฐธรรมนูญ และโดยเฉพาะรัฐบาลในปัจจุบันได้กำหนดให้มีการพิจารณากฎหมายและรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สมควรจึงยกเลิกการแต่งตั้งกรรมการวินิจฉัยข้อร้องทุกข์ออกไปอีกกลับวัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๗ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรที่ให้หน่วยงานขึ้นกับนายกรัฐมนตรีเพื่อที่ทำหน้าที่เสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ หรือกฎหมายที่ขัดต่อศีลธรรมในร่างกาย หรือขัดต่อการประกอบอาชีพของประชาชนโดยไม่สมควร หรือก่อให้เกิดการประกอบอาชีพหรือธุรกิจของบุคคลโดยไม่จำเป็นซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบัน สมควรจึงยกเลิกการพิจารณากฎหมาย การเสนอกฎหมาย การวินิจฉัยอุทธรณ์ร้องทุกข์ ย้อนกลับการร้องทุกข์ การตรวจต้นแบบตามพระราชบัญญัติเรื่องข้อร้องทุกข์และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กฤษฎีกาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังไม่เหมาะสม สมควรได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๓ ให้แก้ไขคำว่า “กรรมการร่างกฎหมาย” ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็น “กรรมการกฤษฎีกา” ทุกแห่ง มาตรา ๑๑ ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับงานคณะกรรมการวิจัยข้อร้องทุกข์และข้อเสนอแนะทางกฎหมายและการร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ เฉพาะที่นายกรัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ไปเป็นของสำนักงานศาลปกครองตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ให้ข้าราชการที่ย้ายไปตามวรรคหนึ่งเป็นข้าราชการศาลปกครองและในระหว่างที่ยังไม่มีระเบียบของคณะกรรมการบริหารศาลปกครองในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ให้บังคับกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนมาใช้บังคับโดยอนุโลมถึงข้าราชการที่ย้ายไปตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๑๒ ให้ยกเลิกบัญชีอัตรากำลังของสำนักงานพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๒ และพระราชบัญญัตินี้ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการปรับปรุงบัญชีอัตรากำลังตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง มาตรา ๑๓ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองได้บัญญัติให้โอนภารกิจที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีปกครอง อันเป็นการดำเนินการที่มีลักษณะเป็นอำนาจตุลาการจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปเป็นขององค์กรตุลาการศาลปกครองแต่กฎหมายดังกล่าวได้กำหนดการโอนองค์กรตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ไว้แล้ว แต่ยังมิได้กำหนดการโอนกิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องไปให้แก่ศาลปกครอง จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้นเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช ๒๕๒๒ โดยให้สอดรับกับกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง รัชกาลที่ ๑๐ บรมราช เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๙๕ ก/หน้า ๔๕/๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ ความคุ้มกัน หลังจากนั้นได้มีการปรับปรุงเป็นพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยให้คณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งยกฐานะขึ้นเท่าที่หัวหน้าฝ่ายอัยการทหารตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร กับหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้แทนในการสร้างหลักกฎหมายอันเหมาะสมแก่ประเทศไทย และสร้างความคุ้มกันในระบบวิธีการยุติธรรมที่เป็นครรลองโดยจะพัฒนาไปในระบบคณะกรรมอย่างเต็มรูปแบบต่อไป บัดนี้ จึงได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมกฤษฎีกาโดยเฉพาะขึ้นเพื่อให้ที่ทำการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเอกเทศ จึงสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาและยกเลิกพระราชบัญญัติเดิมที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังนี้ พระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ ให้กรรมการกฤษฎีกาสั่งจัดการตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับตามที่ในพระราชกฤษฎีกาต่อไปจากระยะสิ้นสุดราชการ ให้ยึดพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะตามมาตรา ๖ ตามคำสั่งประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ ๖/๒๕๔๕ เรื่อง การแบ่งกรรมการกฤษฎีกาออกเป็นหมวด ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งตำแหน่งที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คนเป็นประธานกรรมการกฤษฎีกาต่อไป มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกตำแหน่งที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งตำแหน่งที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับในกฎหมายกฤษฎีกา ให้ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งตามหลักเกณฑ์ที่ได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการตั้งตำแหน่งใหม่ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนดตามมาตรา ๒๓/๑ วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกตำแหน่งที่จัดการตามพระราชบัญญัตินี้ หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากมีการสร้างระบบวิธีการยุติธรรมได้มาและการตราตั้งตำแหน่งของกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้เหมาะสมต่อเกิดบุคคลที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในระดับสูงได้อย่างกว้างขวางจนเป็นไปในข้อความรอบคอบตลอดจนเพื่อให้กรรมการกฤษฎีกามีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็ม และสมควรปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่และการพัฒนาคุณภาพของเจ้าหน้าที่ให้ไปสู่หลักการที่เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ สัญชัย/ปรับปรุง ๑๔ มกราคม ๒๕๕๐ ไตรินทร์/ตรวจ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ระพีพัฒน์/ปรับปรุง ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ วิทยพันธ์/ตรวจ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖